“DITP” แนะผปก.ไทย ใช้ช่องทางออนไลน์ขายสินค้าแฟชั่นเจาะตลาดฝรั่งเศส 

DITP สำรวจตลาดอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่นในฝรั่งเศส พบขยายตัวต่อเนื่อง ผู้บริโภคใช้เป็นช่องทางซื้อสินค้า ดันยอดขายกระฉูด คาดยังเติบโตต่อ แนะผู้ประกอบการไทยใช้เป็นช่องทางเปิดตัว จำหน่ายสินค้า และใช้ภาษาท้องถิ่นเสริม มั่นใจเพิ่มโอกาสขายได้เพิ่มขึ้นแน่

วันที่ 15 กันยายน 2568 นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้มอบนโยบายให้ทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทำการสำรวจลู่ทางการค้า และโอกาสการส่งออกสินค้าไทยไปยังประเทศที่ประจำอยู่ ตามนโยบายกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดได้รับรายงานจากนายนิษณะ ทวีพาณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงปารีส ฝรั่งเศส ถึงการสำรวจตลาดอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่นที่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ และโอกาสในการส่งสินค้าแฟชั่นไทยเข้าไปจำหน่าย

ทั้งนี้ทูตพาณิชย์ได้รายงานข้อมูลของสมาพันธ์ผู้ประกอบการค้าอีคอมเมิร์ซแห่งฝรั่งเศส (FEVAD) ระบุว่า ภาพรวมตลาดการค้าออนไลน์ประจำปี 2024 ทั้งการจำหน่ายสินค้าและการให้บริการมีมูลค่า 175,000 ล้านยูโร จากจำนวนธุรกรรมทั้งหมด 2.6 พันล้านรายการ ในส่วนของยอดขายสินค้า มีมูลค่า 66,900 ล้านยูโร ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดที่เคยทำได้ในปี 2021 ที่ 67,000 ล้านยูโร หลังจากที่มูลค่าการขายสินค้าอยู่ในระดับทรงตัวตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา และผู้บริโภคชาวฝรั่งเศสจำนวน 41.6 ล้านคน ได้ทำการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพิ่มขึ้น 2.2 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยมีจำนวนการซื้อเฉลี่ย 62 รายการต่อคนต่อปี และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อการซื้ออยู่ที่ 68 ยูโร ซึ่งใกล้เคียงกับระดับของปีก่อนหน้า โดยมูลค่าและจำนวนการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในฝรั่งเศสที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญนั้น พบว่า ผู้บริโภคสินค้าออนไลน์กว่า 60% นิยมซื้อสินค้าในหมวดหมู่แฟชั่นและเครื่องแต่งกายเป็นหลัก ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ยอดนิยม เช่น Shein, Temu และ Amazon และแนวโน้มดังกล่าวส่งผลให้สัดส่วนการซื้อขายสินค้าแฟชั่นและเครื่องแต่งกายผ่านช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็น 23% จาก 21% ในปี 2023 คิดเป็นมูลค่ารวม 7.7 พันล้านยูโร

นอกเหนือจากเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายแล้ว สินค้าประเภทอื่นที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภคชาวฝรั่งเศสบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ได้แก่ รองเท้า 49% ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายและความงาม 47% และของเล่น 43% โดยสินค้ามือสอง ยังเป็นสินค้าอีกหนึ่งประเภทที่ได้รับความนิยม โดยพบว่าผู้บริโภคออนไลน์ 51% มีพฤติกรรมเลือกซื้อสินค้ามือสอง และในจำนวนนั้น 39% เป็นสินค้าประเภทแฟชั่นและเสื้อผ้ามือสอง

ส่วนแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ในปี 2024 ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่ อันดับที่ 1 เว็บไซต์ Amazon มีปริมาณผู้เข้าชม 41.05 ล้านคนต่อเดือน (36.88 ล้านคน ปี 2023) อันดับที่ 2  เว็บไซต์ Leboncoin  มีปริมาณผู้เข้าชม 29.63 ล้านคนต่อเดือน (27.57 ล้านคน ปี 2023)ซึ่งขายสินค้ามือสองเป็นหลักและได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับประกาศขายหรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ อันดับที่ 3 เว็บไซต์ E.Leclerc แพลตฟอร์มออนไลน์ของห้างค้าปลีก E.Leclerc มีปริมาณผู้เข้าชม 20.58 ล้านคนต่อเดือน (16.63 ล้านคน ปี 2023)  ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นสองอันดับจากอันดับที่ 5 ในปีก่อนหน้าคาดการณ์ว่าความนิยมในการซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ในฝรั่งเศส จะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์ดังเช่น Tiktok  Facebook  Instagram ยังคงเป็นอาวุธสำคัญที่ช่วยในการส่งเสริมการขายได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคฝรั่งเศส 75% สามารถเข้าถึงสื่อต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยควรพิจารณานำเสนอสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น และการใช้ภาษาท้องถิ่นในการสื่อสารจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายได้เป็นอย่างดี

"ETDA–สภาองค์กรผู้บริโภค" ผนึกกำลัง จัดแคมเปญ "DPS Trust Every Click" อุดช่องโหว่สินค้าออนไลน์ผิดกม.-ไร้มาตรฐาน

ETDA จับมือ TCC พร้อมด้วย ธุรกิจผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ และภาคประชาสังคม ประเดิมแคมเปญ “DPS Trust Every Click ใต้แนวคิด ‘รวมพลังต้านภัยสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมาย-ไร้มาตรฐาน’ เปิดพื้นที่ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ข้อเสนอแนะ สร้างกลไกความร่วมมือ สกัดสินค้าผิดกฎหมาย ไร้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม  พร้อมเผยสถานการณ์ปัญหาสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ที่เพิ่มขึ้นในหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า ยา และเวชภัณฑ์ พร้อมเสนอทางออกเชิงรุก ‘ยกระดับมาตรฐานแพลตฟอร์ม-บังคับใช้กฎหมายจริงจัง-เสริมความรู้ผู้บริโภค-ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนกลาง เพื่อจัดการปัญหาอย่างมีระบบ’ 

วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ETDA เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ETDA พร้อมด้วย สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC) ประเดิมแคมเปญ ‘DPS Trust Every Click’ ไปกับกิจกรรมภายใต้แนวคิด ‘รวมพลังต้านภัยสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมาย–ไร้มาตรฐาน’ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมระดมความคิดเห็น วิเคราะห์ปัญหาเชิงระบบ และเสนอแนวทางป้องกัน–แก้ไขปัญหาการจำหน่ายสินค้าผิดกฎหมายและไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นบทบาทสำคัญของ 3 กลไกหลัก ได้แก่ ภาครัฐในฐานะผู้กำกับดูแล ภาคประชาสังคมในฐานะผู้เฝ้าระวัง และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มในฐานะผู้ควบคุมช่องทางซื้อขาย นอกจากนี้ ยังเป็นโอกาสสำคัญในการแลกเปลี่ยนนโยบาย แนวปฏิบัติ และการจัดทำมาตรฐานกลาง เพื่อผลักดันให้เกิด “ระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย” ลดช่องโหว่จากสินค้าหลอกลวง และสร้างความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจบนโลกออนไลน์ พร้อมร่วมสร้างกลไกการกำกับดูแลตนเอง (Self-Regulation) ผ่านเครื่องมือสำคัญอย่าง 4 คู่มือภายใต้กฎหมาย DPS (Digital Platform Services) ที่วันนี้พร้อมให้ทุกภาคส่วนได้นำไปประยุกต์ใช้งานแล้ว ไม่ว่าจะเป็น คู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของผู้ใช้บริการ คู่มือการดูแลโฆษณาออนไลน์บนแพลตฟอร์มดิจิทัล คู่มือการดูแลการจำหน่ายสินค้าที่ต้องมีมาตรฐานบนแพลตฟอร์ม และ ขมธอ. 32-2565 ว่าด้วยการรวบรวม กลั่นกรอง และเผยแพร่รีวิวของผู้บริโภคบนช่องทางออนไลน์ เป็นต้น

งานนี้นอกจากกิจกรรมระดมความคิดเห็นสุดเข้มข้นจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้มาร่วมสะท้อนปัญหา แนวทางการการป้องกันและการแก้ไขปัญหาสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมาย ไร้มาตรฐานแล้ว อีกหนึ่งกิจกรรมที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานเป็นจำนวนมากนั่นก็คือ การเสวนาในหัวข้อ “พื้นที่ออนไลน์ปลอดภัย ภูมิคุ้มกันใหญ่ที่ต้องร่วมสร้าง” จากเหล่าผู้แทนของหน่วยงานสำคัญที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาองค์กรของผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งในวงเสวนาได้ร่วมแสดงมุมมองถึงประเด็นสินค้าออนไลน์ผิดกฎหมาย ไร้มาตรฐานว่า ปัญหาหลัก คือ “ช่องว่าง” ของระบบคัดกรองสินค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ที่ทำให้สินค้าผิดกฎหมายสามารถกลับเข้ามาจำหน่ายซ้ำได้ แม้จะเคยถูกแจ้งเตือนหรือระงับบัญชีไปแล้ว

ขณะเดียวกันยังพบแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของสินค้าที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนหรือขาดมาตรฐาน โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ยา อาหารเสริม และเครื่องสำอาง ซึ่งแพร่กระจายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในลักษณะที่เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายและรวดเร็ว จึงมีข้อเสนอให้แพลตฟอร์มทำงานเชิงรุกมากขึ้น ด้วยการใช้เทคโนโลยี AI ร่วมกับการเชื่อมโยงข้อมูลทะเบียนสินค้ากับหน่วยงานรัฐแบบอัตโนมัติ (API/Database Integration) เพื่อลดภาระการตรวจสอบซ้ำ และป้องกันการนำสินค้าหรือบัญชีที่มีประวัติปัญหากลับมาใช้งานซ้ำ ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค Quick Commerce ที่นิยมสั่งซื้อผ่านบริการจัดส่งด่วน ได้สร้างความท้าทายในการกำกับดูแล ทั้งเรื่องความเร็วของธุรกรรมและความซับซ้อนของห่วงโซ่อุปทาน จึงจำเป็นต้องมีแนวทางดูแลที่อิงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและแพลตฟอร์มอย่างใกล้ชิด พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการมี “แนวทางกลาง” ที่ใช้ได้จริงในทุกภาคส่วน ทั้งกฎหมาย แนวปฏิบัติ คู่มือ และเครื่องมือเทคโนโลยี โดยเฉพาะการสร้างระบบแจ้งเตือน การจัดการผู้กระทำผิดอย่างต่อเนื่อง และกลไกร้องเรียนที่เข้าถึงง่าย โปร่งใส และนำไปสู่การดำเนินการจริง

อย่างไรก็ตาม ภายในวงเสวนายังได้ร่วมเสนอ 4 กลไกสำคัญ ได้แก่ มาตรฐานแพลตฟอร์ม  ซึ่งเสนอให้มีการลงทะเบียนแพลตฟอร์มและผู้ขาย พร้อมสร้างระบบตรวจสอบแหล่งที่มาและความถูกต้องของข้อมูลบนแพลตฟอร์มอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการควบคุมการแสดงข้อมูลเท็จ การละเมิดลิขสิทธิ์ และการแสดงสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานสินค้าเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค การบังคับใช้กฎหมาย โดยเน้นความจำเป็นในการดำเนินมาตรการเชิงรุกกับแพลตฟอร์มต่างชาติที่ไม่มีสำนักงานในไทย การลงทะเบียนระบบขนส่งที่เกี่ยวข้องกับการส่งสินค้าต้องห้าม การเข้มงวดกับการโฆษณาเกินจริง และการจัดให้มีระบบยืนยันตัวตนของผู้ค้าอย่างโปร่งใส การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและความรู้เท่าทัน “Consumer Literacy” ให้สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของผู้ขาย รายละเอียดและราคาสินค้าอย่างมีวิจารณญาณ ลดโอกาสในการถูกหลอกลวงและสื่อสารเชิงรุกให้ผู้บริโภคทราบช่องทางร้องเรียนที่ชัดเจน เช่น สายด่วน อย.โทร 1556, ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ 1212 ETDA และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมส่งเสริมให้การร้องเรียนของผู้บริโภคถูกนำไปใช้ในการกำหนดมาตรการป้องกันเชิงระบบ และ เพิ่มกลไกความมั่นใจหลังการขาย ที่แพลตฟอร์มดิจิทัลให้ผู้บริโภคสามารถคืนสินค้าได้ภายใน 7–14 วัน พร้อมเสริมด้วยระบบรีวิว และระบบรายงานปัญหา ตลอดจนการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ผลิตในประเทศ และ SME ที่ปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและสมดุลระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภคและไม่เพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการ

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นภายใต้แคมเปญ “DPS Trust Every Click” ที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี 2568 นี้  โดย ETDA หวังว่าเวทีนี้จะเป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนมาร่วมสร้างมาตรฐานการให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ภายใต้ Ecosystem ที่ทุกคนมั่นใจและปลอดภัย ที่สำคัญวางใจได้ในทุก ‘คลิก’ ของการทำธุกรรรมออนไลน์ - ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวแคมเปญนี้ได้ที่ เพจ ETDA Thailand

รัฐบาลเข้ม สั่งสรรพสามิตเดินหน้าจับของเถื่อน ปิดจ๊อบปี 67 ยอดจับกุมพุ่งกว่า 33% เหล้าหนีภาษีอันดับ 1

รัฐบาลเข้ม สั่งสรรพสามิตเดินหน้าจับของเถื่อน ปิดจ๊อบปี 67 เห็นผล ยอดจับกุมสูงขึ้นกว่า 33% เหล้าหนีภาษียังติดอันดับ1พร้อมเดินหน้ายกระดับขยายศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 14 ม.ค.68 นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง รายงานผลการดำเนินงานปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย หรือสินค้าเถื่อน ประจำปี พ.ศ.2567 พบว่ามีจำนวนกว่า3.4หมื่น คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน (2566) จำนวน 33.62% นำเงินส่งคลัง สูงขึ้นกว่าปีก่อน จำนวน 45.79% คิดเป็นเงินทั้งสิ้น กว่า445ล้านบาท โดยจำแนก ดังนี้

1.สุรา 16,085 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 16.11% เป็นสุราในประเทศกว่า 1.4 แสนลิตร สูงขึ้นกว่าปีก่อน 2.41% และสุราต่างประเทศ 3.2หมื่นลิตร สูงขึ้นกว่าปีก่อน 161.62%
2.ยาสูบ 1.4หมื่นคดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 62.23% เป็นยาสูบในประเทศ กว่า3.79แสนซอง สูงขึ้นกว่าปีก่อน 168.91% และยาสูบต่างประเทศ สูงถึงว่า3ล้านซอง สูงขึ้นกว่าปีก่อน 64.33 %
3.ไพ่ จำนวน 582 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 59.45% จำนวน 7.8หมื่นสำรับ สูงขึ้นกว่าปีก่อน 214.60 %
4.รถยนต์ จำนวน 302 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 51% จำนวน 389 คัน สูงขึ้นกว่าปีก่อน 100.52%
5.รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,283 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 63.44% จำนวน 2,856 คัน สูงขึ้นกว่าปีก่อน 197.19%
6.เครื่องหอมและเครื่องสำอาง จำนวน 267 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 90.71% จำนวน 2.34 แสนขวด สูงขึ้นกว่าปีก่อน 244.31%

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิต ได้เตรียมขยายศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ไปทั่วประเทศ และเร่งรัดการทำงานปราบปรามเชิงรุกมากยิ่งขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อสืบค้นการกระทำผิดในช่องทางออนไลน์ เพื่อยกระดับการสืบสวนและการติดตามสินค้าเถื่อน 

“ภาพรวมของผลการดำเนินการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย มีสัดส่วนสูงขึ้น ในสินค้าหลายรายการ และมีแนวโน้มจับกุมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการบูรณาการความร่วมมือกับทุกหน่วยงานอย่างเคร่งครัด ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนอย่างเข้มแข็ง สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายภาษี เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บรายได้ของรัฐและปกป้องผู้บริโภคจากสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเป็นอันตราย หากประชาชนพบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต สามารถแจ้ง Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th” นายอนุกูล กล่าว

#เหล้าหนีภาษี #ข่าววันนี้ #สรรพสามิต #สินค้าออนไลน์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

   

"พิชัย" ปลื้ม 5 วัน โกยเงินกว่า 1,510 ล้านบาท เข้าประเทศ ผ่านงาน International Live Commerce Expo 2024

วันที่ 29 ก.ย. 2567 "รมว.พาณิชย์ พิชัย" แถลงผลการจัด มหกรรมไลฟ์คอมเมิร์ส International Live Commerce Expo 2024 ที่นำกลุ่ม KOLs ชื่อดังจากประเทศจีน เข้ามาไลฟ์ขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นสินค้าไทยทั้งสิ้น จำนวน 5 วัน (25-29 ก.ย.67) โดยมีคำสั่งซื้อและยอดส่งออกไปจีนกว่า 4,300,000 ออเดอร์ มูลค่ารวม 1,510,000,000 บาท หรือ 1,510 ล้านบาท และยังมีกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่กดติดตามร้านค้าของผู้ประกอบการไทย ถือว่าได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น เห็นได้จากมียอดผู้เข้าชมไลฟ์สดถึง 115 ล้านครั้งจากผู้บริโภคทั่วประเทศจีน หลังจากนี้จะสานต่อการจัดกิจกรรม เพื่อเพิ่มยอดส่งออกของสินค้าไทย

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการนำกลุ่ม KOLs จากประเทศจีนเข้าร่วมงาน "International Live Commerce Expo 2024" ซึ่งจัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ งานนี้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยยอดขายสะสมรวมกว่า 1,500 ล้านบาท และการส่งออกสินค้าไทยมากกว่า 4.3 ล้านคำสั่งซื้อสินค้าไทยสู่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีน ทั้งนี้การถ่ายทอดสดผ่านไลฟ์สตรีมได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น มียอดผู้เข้าชมไลฟ์สดถึง 115 ล้านครั้งจากผู้บริโภคทั่วประเทศจีน

งานดังกล่าวจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-29 กันยายน 2567 ณ สามย่านมิตรทาวน์ กรุงเทพฯ โดยได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นตั้งแต่วันแรก กลุ่ม KOLs จากจีนได้เริ่มไลฟ์สดแนะนำและจำหน่ายสินค้าไทยตั้งแต่เวลา 9.00 น. ถึง 17.00 น. ทุกวัน ตลอดระยะเวลา 5 วันของงานมีการไลฟ์สดมากกว่า 60 ครั้ง โดยมีมูลค่าการขายเฉลี่ยต่อไลฟ์ในระดับที่น่าประทับใจ

นายพิชัย กล่าวถึงความสำคัญของงานนี้ว่า การร่วมมือกับ KOLs ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายการค้าของไทยในเวทีโลก โดยเฉพาะในตลาด Live Commerce ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศจีน ความสำเร็จของงานในครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ในการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ของไทยและการโปรโมทสินค้าไทยสู่ตลาดต่างประเทศ

ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ยังคงมีแผนที่จะขยายความร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลทางการตลาดระดับ นานาชาติและ ขยายโครงการ Live Commerce อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่อย่างจีน ความสำเร็จของงาน International Live Commerce Expo 2024 ในครั้งนี้ ได้กำหนดมาตรฐานใหม่สำหรับงานแสดงสินค้าในอนาคต และช่วยเสริมสร้างการรับรู้ระดับโลกให้กับสินค้าไทยอย่างยั่งยืน

"DITP" จับมือ Letstango.com ดันสินค้าไทยบุกตลาดออนไลน์ตะวันออกกลาง

 

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จับมือ Letstango.com แพลตฟอร์มชั้นนำอันดับต้นๆ ของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และภูมิภาคตะวันออกกลาง ผลักดันสินค้าไทยขยายไปตลาดตะวันออกกลางผ่านโครงการร้าน TOPTHAI บนแพลตฟอร์ม Letstango.com ตั้งเป้าสร้างยอดขายกว่า 50 ล้านบาทต่อปี

วันที่ 27 ก.ย.2567 นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ทำพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับบริษัท Newtek Al Hadeesa Gen Trd LLC ผู้บริหารแพลตฟอร์ม Letstango.com รวมทั้งจัดกิจกรรมให้ความรู้เจาะตลาดออนไลน์ในตะวันออกกลาง และคัดเลือกสินค้าไทยเข้าร้าน TOPTHAI บนแพลตฟอร์ม Letstango.com ภายในงานมหกรรม International Live Commerce Expo 2024 “มหกรรมไลฟ์คอมเมิร์ซนานาชาติ 2567” สามย่านมิตรทาวน์ พร้อมเปิดเผยว่า “กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายในการสร้างโอกาสและช่องทางการตลาดใหม่ๆ ให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทางการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดนซึ่งมีการเติบโตขึ้นอย่างมากทั่วโลก โดยที่ผ่านมากรมฯ ได้ดำเนินการเปิดร้าน TOPTHAI ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายสินค้าไทยของกรมฯ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศแล้ว ผ่าน 9 แพลตฟอร์ม ใน 10 ประเทศ

นายภูสิต กล่าวว่า สำหรับภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นตลาดที่สำคัญ โดยเฉพาะตลาด UAE ซึ่งปัจจุบันมีสินค้าไทยจำหน่ายอยู่ทั้งในห้างสรรพสินค้าและเริ่มมีการขายในแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มีมูลค่าการซื้อขายสินค้าออนไลน์อยู่ที่ประมาณ 5,980 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นที่ประมาณ 10,560 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2572 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การขายสินค้าทางช่องทางออนไลน์ในภูมิภาคนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับกรมฯ มีแผนจะขยายความร่วมมือในการเปิดร้าน TOPTHAI กับแพลตฟอร์มชั้นนำเพิ่มมากขึ้น และ Letstango.com ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายเนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มชั้นนำที่มีผู้นิยมมากติดอันดับ TOP 10 ในตลาด UAE รวมถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง

“การจับมือกับแพลตฟอร์ม Letstango.com ในครั้งนี้ จึงเชื่อมั่นได้ว่าจะเป็นอีกช่องทางที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถขยายตลาดสินค้าและเข้าถึงผู้บริโภคในตลาดศักยภาพอย่าง UAE และตะวันออกกลางได้อย่างแน่นอน” และเพื่อเป็นการยกระดับความร่วมมืออย่างเป็นทางการในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยผ่านช่องทางออนไลน์ไปตลาด UAE และตะวันออกกลาง ร้าน TOPTHAI บนแพลตฟอร์ม Letstango.com นี้ ถือเป็นร้าน TOPTHAI ลำดับที่ 10 บนแพลตฟอร์มชั้นนำทั่วโลกที่กรมฯ ได้มีความร่วมมือ ซึ่งผู้บริโภคใน UAE และตะวันออกกลาง จะสามารถเข้าถึงสินค้าไทยในร้าน “TOPTHAI” บนแพลตฟอร์ม Letstango.com ได้อย่างเป็นทางการภายในปี 2568 โดยกรมฯ ตั้งเป้าให้ร้านนี้เป็นช่องทางการส่งออกและสร้างยอดขายสินค้าไทยในตลาด UAE และตะวันออกกลางได้ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อปี”นายภูสิต กล่าว และว่าสำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการกับ TOPTHAI สามารถติดตามความคืบหน้าได้ที่เวปไซต์ www.ditp.go.th หรือ www.thaitrade.com/topthai หรือโทร 1169

ETDA ประกาศคู่มือใหม่! คุมเข้ม "มาตรฐานสินค้า" บนแพลตฟอร์มดิจิทัล เพิ่มความมั่นใจผู้ซื้อ ลดปัญหาสินค้าออนไลน์ ไร้ "มอก.-อย."

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เดินหน้าเสริมกลไกกำกับธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ประกาศคู่มือใหม่! “การดูแลเกี่ยวกับการขายสินค้าที่ต้องมีมาตรฐาน ของสินค้าบนบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล” แนวทางสำหรับผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล เร่งปิดช่องโหว่! สินค้าไม่มีมาตรฐาน เช่น มอก. และ อย. บนแพลตฟอร์มดิจิทัล เพิ่มความเชื่อมั่นในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ลดความเสี่ยง และผลกระทบจากสินค้าออนไลน์ที่ไม่ปลอดภัย! ดาวน์โหลดคู่มือที่ https://bit.ly/3MPl3TO

วันที่ 19 ก.ย. 2567 ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการ ETDA กล่าวว่า ปัญหาการซื้อขายสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้า หม้อหุงข้าว ปลั๊กไฟ ที่ไม่ผ่านตามมาตรฐานหรือคุณภาพของสินค้า ตามที่ต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ มอก. รวมไปถึง สินค้าผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย่าง ยา เครื่องสำอาง ที่ไม่ได้รับการอนุญาตจากมาตรฐานอาหารและยา หรือ อย. เป็นต้น กลายเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยจากสถิติการรับเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ ของ ศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ หรือ 1212 ETDA พบว่า เพียงครึ่งปี 2567 (มกราคม-พฤษภาคม) มีเรื่องร้องเรียนปัญหาออนไลน์ถึง 11,629 เรื่อง โดยเรื่องที่ร้องเรียนมากที่สุดคือ ปัญหาซื้อขายออนไลน์ เช่น อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ถึง 45.67% ส่วนใหญ่เป็นปัญหาสินค้าไม่ตรงปก โอนเงินแล้วได้ของที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยสิ่งเหล่านี้สร้างความเสียหายให้กับผู้บริโภคทั้งทางร่างกาย สุขภาพ ทรัพย์สิน ความเชื่อมั่นต่อการซื้อขายสินค้าออนไลน์และยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจไทยที่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ต้องเสียเปรียบในการแข่งขัน เพราะสินค้าลอกเลียนแบบที่ไม่ได้มาตรฐาน ราคาถูก แต่แฝงไปด้วยความเสี่ยง จนกระทบต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวมของประเทศ จากปัญหาข้างต้น ETDA ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ภายใต้กฎหมาย DPS (Digital Platform Services) จึงได้ออกประกาศ "คู่มือการดูแลเกี่ยวกับการขายสินค้าที่ต้องมีมาตรฐานของสินค้าบนบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล" ที่ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ได้มีแนวปฏิบัติที่ดีในการดูแลเกี่ยวกับการขายหรือโฆษณาสินค้าบนบริการแพลตฟอร์มของตนเอง ที่ต้องมีมาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด อย่าง มาตรฐาน มอก. หรือ อย. เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการซื้อสินค้ารวมถึงการช่วยคุ้มครองสิทธิ์ของผู้บริโภคและป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงกรณีไม่สามารถระบุตัวผู้ที่ทำความผิดเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายได้

โดยสาระสำคัญของคู่มือนี้ จะครอบคลุม ตั้งแต่ การกำหนดนโยบายการขายหรือโฆษณาสินค้าตามชนิดหรือประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีมาตรฐาน ที่ต้องประกาศให้ผู้ใช้บริการทราบอย่างชัดเจน อย่างน้อยๆ ต้องกำหนดคุณลักษณะของสินค้าที่ต้องมีมาตรฐาน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ หม้อหุงข้าว ปลั๊กไฟ ต้องแสดงภาพสินค้าที่โชว์เครื่องหมายมาตรฐาน มอก. และรหัสคิวอาร์ (QR Code) สำหรับในส่วนของ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ยาสามัญประจำบ้าน เครื่องสำอาง ต้องมีฉลากที่แสดงภาพสินค้า ชื่อ ที่อยู่ของผู้ผลิตหรือนำเข้า เลขที่อนุญาตการผลิต เลขที่อนุญาตโฆษณา และต้องมีการกำหนดข้อจำกัดในการขายหรือโฆษณาสินค้า เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาทิ อาหาร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ ให้เป็นสินค้าที่ถูกจำกัดการขายหรือโฆษณา ที่ผู้ประกอบการในฐานะผู้ขาย ต้องส่งเอกสารประกอบการขายหรือโฆษณาให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนขาย หรือ การกำหนดให้ สินค้าจำพวก ยา (ยกเว้นยาสามัญประจำบ้าน) วัตถุเสพติด เป็นสินค้าห้ามขาย

นอกจากนี้ มีข้อกำหนดในการตรวจสอบข้อมูลสินค้าและความเป็นผู้ประกอบการก่อนเผยแพร่ (Screening) เช่น สินค้าจะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับใบรับรองหรือหลักฐานที่แสดงได้ว่าผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว พร้อมนำส่งข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่เก็บสินค้า ในส่วนของการสมัครใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลของผู้ขาย จะต้องมีการพิสูจน์และยืนยันตัวตน เช่น การใช้ Digital ID (การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล) สำหรับผู้ประกอบการที่สมัครเพื่อขายหรือโฆษณาสินค้าบนแพลตฟอร์ม เช่น กรณีเคยตรวจสอบมาแล้วโดยผู้ให้บริการผ่าน แอปพลิเคชัน ThaID กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หรือ IdP  (Identify Provider) อื่น รวมถึงการที่ผู้ประกอบธุรกิจจัดให้มีเองตอนสมัครใช้งาน คู่มือฉบับนี้ได้มุ่งเน้นที่ระดับความน่าเชื่อถือของการพิสูจน์ตัวตนที่ระดับ IAL2 (Identity Assurance Level) เป็นอย่างน้อย

สำหรับผู้ประกอบการคนไทยหรือในระดับที่เหมาะสมสำหรับชาวต่างชาติ หรือ วิธีอื่นๆ ตามที่คู่มือกำหนด การดำเนินการขณะเผยแพร่สินค้า (Ongoing Monitoring) ควรจัดให้มีการแสดงข้อมูลสินค้าเป็นภาษาไทยอย่างชัดเจนบนหน้าแสดงผลของแพลตฟอร์ม เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถอ่านและเข้าใจข้อมูลได้ง่าย เช่น สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่แสดงว่าผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว ข้อมูลของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า สถานที่ผลิตหรือนำเข้า รายละเอียดของสินค้า ใบรับรองหรือหลักฐานการผ่าน มอก. หรือ อย. ข้อมูลเครื่องหมายการค้า สิทธิบัตร หรือทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น และต้องช่วยให้ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าสามารถแสดงภาพสินค้าและสัญลักษณ์มาตรฐาน บนหน้าแสดงผลของแพลตฟอร์มได้อย่างชัดเจน เข้าใจง่าย และมีลิงก์หรือช่องทางให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ และสุดท้ายคือ มาตรการภายหลังการเผยแพร่ (Post-Publication) ทั้งการตรวจสอบคุณภาพของผู้ประกอบการ ผ่านจำนวนและประเภท Report, การปฏิบัติตามข้อตกลงและเงื่อนไข นโยบาย หรือมาตรฐานชุมชน และการจัดทำทะเบียนประวัติของผู้ประกอบการที่ควรพึงระวัง (Watchlist) และผู้ประกอบการที่เคยกระทำความผิดตามกฎหมายเกี่ยวกับการขายหรือโฆษณาสินค้าที่ต้องมีมาตรฐาน (Blacklist) นอกจากนี้ ยังควรมีการตรวจสอบการเสนอหรือการโฆษณาสินค้า ด้วยระบบอัตโนมัติหรือเจ้าหน้าที่ และต้องระบุเกณฑ์ (criteria) ในการรีวิวสินค้าไว้ในข้อตกลงและเงื่อนไขการใช้งาน การมีีกระบวนการจัดการเรื่องร้องเรียน พร้อมกำหนดวิธีการในการตรวจสอบและแจ้งผลให้ผู้ร้องเรียนทราบโดยเร็ว เป็นต้น

ผู้ประกอบธุรกิจและประชาชนที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดและดาวน์โหลด "คู่มือการดูแลเกี่ยวกับการขายสินค้าที่ต้องมีมาตรฐาน ของสินค้าบนบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล" ได้ที่ https://bit.ly/3MPl3TO  หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ที่อีเมล sv-dps@etda.or.th ติดตามทุกความเคลื่อนไหวที่ เพจเฟซบุ๊ก ETDA Thailand

"พาณิชย์" ทำดัชนีใหม่ ความพึงพอใจการซื้อสินค้าออนไลน์ เผยอยู่ในระดับพึงพอใจมาก

"พาณิชย์" ทำดัชนีใหม่ ความพึงพอใจการซื้อสินค้าออนไลน์ เผยดัชนีอยู่ในระดับพึงพอใจมาก

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้พัฒนาดัชนีเศรษฐกิจการค้าตัวใหม่ คือ ดัชนีความพึงพอใจผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ (รายไตรมาส) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น และใช้ติดตาม
และประเมินศักยภาพของผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม/ภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งช่วยให้การพิจารณาหามาตรการหรือนโยบายที่สนับสนุนธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในวงกว้าง และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้มากขึ้น 

โดยดัชนีความพึงพอใจการซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นการสะท้อนคุณค่าของแพลตฟอร์มผ่านมุมมองของลูกค้าโดยตรง (Customer perception) จากการใช้บริการบน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ E-Commerce โซเชียลมีเดีย และแอปพลิเคชั่นสั่งอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่ง สนค. เริ่มจัดทำดัชนีตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2566 โดยมีการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 4,700 คน ครอบคลุมทุกอำเภอทั่วประเทศ (884 อำเภอ/เขต) โดยพิจารณาจาก 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) ด้านราคาสินค้า ค่าขนส่ง และมาตรการส่งเสริมการขาย (2) ด้านคุณภาพของสินค้าและการขนส่ง (3) ด้านบริการก่อน/หลังการขาย การให้รายละเอียดข้อมูลสินค้า และความสะดวกในการใช้งาน และ (4) ด้านความน่าเชื่อถือ 

สำหรับข้อมูลล่าสุด ดัชนีความพึงพอใจการซื้อสินค้าออนไลน์โดยรวม ในไตรมาส 2 ปี 2567 อยู่ในระดับพอใจมาก (ในช่วง 60 - 79.99) ที่ระดับ 68.49 สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 64.61 เป็นการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีจากทั้ง 3 แพลตฟอร์ม โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันสั่งอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 4.36 จุด อยู่ที่ระดับ 70.82 รองลงมา อีคอมเมิร์ซ เพิ่มขึ้น 3.94 จุด อยู่ที่ระดับ 68.96 และตามด้วย โซเชียลมีเดีย เพิ่มขึ้น 3.33 จุด อยู่ที่ระดับ 65.68 อีกทั้ง ยังเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีในทุกองค์ประกอบ นำโดยด้านบริการก่อนการขาย/หลังการขายฯ เป็นที่น่าสังเกตว่า ในไตรมาส 2 ทั้งในปี 2567 ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากไตรมาสก่อนหน้า อาจสะท้อนมาตรการส่งเสริมการขายจากแพลตฟอร์มที่มีจำนวนมากในช่วงเทศกาลจำหน่ายสินค้ากลางปี รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมใช้เงินโบนัสซื้อสินค้าและบริการเพื่อให้รางวัลกับตนเองและครอบครัวในช่วงสงกรานต์

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเป็นรายแพลตฟอร์ม พบว่า แอปพลิเคชั่นสั่งอาหารและเครื่องดื่ม ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด รองลงมาได้แก่ อีคอมเมิร์ช และโซเซียลมีเดีย ตามลำดับดังนี้

-แอปพลิเคชันสั่งอาหารและเครื่องดื่ม ดัชนีความพึงพอใจฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าในทุกองค์ประกอบ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุดในด้านคุณภาพของสินค้าและการขนส่ง อยู่ที่ระดับ 71.01 รองลงมาคือ การบริการก่อน/หลังการขายฯ (ระดับ 69.82) ด้านราคาสินค้าและค่าขนส่งฯ (ระดับ 70.75) และด้านความน่าเชื่อถือ 
(ระดับ 71.71) ตามลำดับ

-อีคอมเมิร์ซ ดัชนีความพึงพอใจฯ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนในทุกองค์ประกอบ โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุดในด้านการบริการก่อน/หลังการขายฯ อยู่ที่ระดับ 67.87 แม้ว่าระดับดัชนีที่ยังต่ำกว่าด้านอื่นๆ รองลงมา คือ ด้านราคาสินค้า ค่าขนส่งฯ (ระดับ 70.62) ด้านคุณภาพของสินค้าและการขนส่ง (ระดับ 68.88) และด้านความน่าเชื่อถือ (ระดับ 68.47) ตามลำดับ เมื่อพิจารณารายแพลตฟอร์มย่อย พบว่า Shopee มีดัชนีความพึงพอใจฯ เพิ่มขึ้น 4.45 จุด อยู่ที่ระดับ 70.79 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในด้านการบริการก่อนและหลังการขาย ขณะที่ Lazada มีดัชนีความพึงพอใจ เพิ่มขึ้น 3.43 จุด อยู่ที่ระดับ 67.13 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในด้านคุณภาพของสินค้าและการขนส่งที่เพิ่มขึ้นถึง 68.53 ทั้งนี้ Shopee มีดัชนีความพึงพอใจฯ สูงกว่า Lazada ในทุกองค์ประกอบ

-โซเชียลมีเดีย ดัชนีความพึงพอใจฯ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าในทุกองค์ประกอบเช่นกัน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุดในด้านคุณภาพสินค้าและการขนส่ง อยู่ที่ระดับ 66.14 รองลงมา คือ ด้านการบริการก่อน/หลังการขายฯ (ระดับ 65.21) ด้านความน่าเชื่อถือ (ระดับ 64.30) และด้านราคาสินค้าและค่าขนส่งฯ (ระดับ 67.06) เมื่อพิจารณา
รายแพลตฟอร์มย่อย พบว่า TikTok ได้คะแนนความพึงพอใจฯ เพิ่มขึ้น 4.47 จุด อยู่ที่ระดับ 71.00 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุด ในด้านราคาสินค้าและค่าขนส่ง ส่วน Facebook ดัชนีความพึงพอใจฯ เพิ่มขึ้น 2.19 จุด อยู่ที่ระดับ 60.36 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นมากสุดในด้านความน่าเชื่อถือ ซึ่งอยู่ในระดับพอใจปานกลางที่ระดับ 58.41 ทั้งนี้ TikTok มีดัชนีความพึงพอใจฯ สูงกว่า Facebook ในทุกองค์ประกอบ

ผอ.สนค. กล่าวเพิ่มเติมว่า ในภาพรวมความพึงพอใจด้านบริการก่อนการขาย/หลังการขายฯ ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด สะท้อนให้เห็นว่า การค้าออนไลน์ในประเทศไทยนอกจากจะมียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วแล้วยังมีพัฒนาการไปในทิศทางบวกทั้งด้านการบริการและด้านราคาสินค้า/ค่าขนส่ง เพื่อดึงดูดผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมทั้งกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อราคาสูงและกลุ่มที่มีความต้องการซับซ้อน ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่ผู้ประกอบการเน้นมาตรการส่งเสริมการขายด้านราคาเป็นหลักเพื่อดึงดูดลูกค้า เช่น ปัจจุบัน Lazada มีนโยบาย Try&Buy รับสินค้าขนาดทดลองได้ฟรีหรือในราคาสุดคุ้ม ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า ขณะที่ Shopee เสนอแผนการผ่อนชำระโดยไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย เป็นเวลานานถึง 10 เดือน สำหรับ TikTok เน้นการสนับสนุนเครื่องมือและฟีเจอร์ต่างๆ ให้ร้านค้าสามารถสร้างประสบการณ์และความบันเทิงในการซื้อสินค้า (Shoppertainment) ได้ง่าย เป็นต้น 

ขณะเดียวกันภาครัฐให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ (Ecosystem) เพื่อรองรับการเติบโตการค้าออนไลน์ที่ยั่งยืนผ่านเครื่องมือต่าง ๆ โดยเฉพาะมาตรการด้านกฎหมาย ซึ่งมีประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ.2567 หรือ "มาตรการส่งดี" (Dee-Delivery) มีสาระสำคัญคือ ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าที่เรียกเก็บเงินปลายทาง (COD) ต้องจัดทำหลักฐานการรับเงิน อาทิ รายละเอียดผู้ส่งสินค้าและรายละเอียดเกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้า (เช่น รายละเอียดสินค้า ทั้งประเภทสินค้า ขนาด น้ำหนัก และสี รวมถึงจำนวนเงินที่จัดเก็บ เป็นต้น) โดยผู้ให้บริการขนส่งต้องถือเงินค่าสินค้าเป็นระยะเวลา 5 วัน ก่อนนำส่งเงินให้ผู้ส่งสินค้า ส่วนผู้บริโภคสามารถเปิดดูสินค้าก่อนชำระเงินได้โดยบันทึกภาพถ่ายหรือวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน หากสินค้าไม่ตรงตามที่สั่งซื้อ ผู้บริโภคสามารถปฏิเสธการชำระเงินและไม่รับสินค้าได้ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 ตุลาคม 2567 คาดว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ดัชนีความพึงพอใจสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านความน่าเชื่อถือ คุณภาพสินค้าและการขนส่ง อย่างไรก็ตาม อาจมีปัจจัยทอนจากราคาขนส่งที่มีโอกาสปรับสูงขึ้น เนื่องจากผู้ให้บริการขนส่งสินค้ามีต้นทุนในการบริหารจัดการสูงขึ้น เพื่อให้มีการบริการตามที่มาตรการกำหนด และอาจส่งผ่านต้นทุนดังกล่าวมายังผู้บริโภคในระยะถัดไป

ผอ.สนค. กล่าวสรุปว่า ผลของดัชนีความพึงพอใจการซื้อสินค้าออนไลน์ ไตรมาส 2 ปี 2567 ชี้ว่า ผู้บริโภคมีระดับความพึงพอใจมากในการซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และผู้ให้บริการแพลตฟอร์มและร้านค้ามีการปรับตัวจากเดิมที่ให้ความสำคัญกับด้านราคาสินค้าและบริการ ไปสู่การยกระดับคุณภาพด้านบริการมากขึ้น ทั้งนี้ ในส่วนของภาครัฐควรมีการกำหนดมาตรฐานการดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ให้มากขึ้น

#กระทรวงพาณิชย์ #ข่าววันนี้ #สินค้าออนไลน์ #Shopee #TikTok

 

 

รอลุ้น! สินค้าออนไลน์ร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

รอลุ้น! สินค้าออนไลน์ร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยความคืบหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาความเหมาะสมว่าสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆจะสามารถเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้หรือไม่ โดยยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวมีทั้งข้อดี และข้อเสียที่จะต้องมาพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยข้อดี คือสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์มีกลไกในการการันตีชัดเจนว่า จะมีการส่งสินค้าให้กับผู้ซื้ออย่างแน่นอน ส่วนรายละเอียดต่างๆคงต้องหารือกันเพิ่มเติม

"ตอนนี้สินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ยังไม่สามารถเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตได้ ส่วนหนึ่งยังติดเรื่องการควบคุมพื้นที่ที่จะต้องไปพิจารณาตามเงื่อนไขของโครงการ แม้ว่าที่ผ่านมาแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆจะแสดงความต้องการอยากเข้าร่วมด้วย และยืนยันว่าสามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไขของโครงการได้ก็ตาม ดังนั้น ตอนนี้โครงสร้างของดิจิทัลวอลเล็ตทุกอย่างจึงยังเหมือนเดิม" นายจุลพันธ์ กล่าว

ขณะเดเียวกันในส่วนที่ได้สั่งให้มีการทบทวนการกำหนดสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ (Negative List) โดยเฉพาะสินค้า Import Content อาทิ สมาร์ทโฟน และเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น ส่วนหนึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับประเด็นนี้ค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังเห็นว่าควรจะให้มีการพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบอีกครั้ง เนื่องจากวัตถุประสงค์ของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต มี 3 มิติคือ 1.มิติของการผลิตและการจ้างงานในประเทศชะลอตัว 2.มิติของความง่ายสำหรับประชาชนในการใช้งาน ที่มองว่ายิ่งเปิดกว้างเท่าไหร่ ประชาชนก็จะยิ่งใช้งานง่ายมากขึ้นเท่านั้น 3.มิติของการกำกับดูแลว่าจะสามารถควบคุมการใช้จ่ายให้เป็นไปตามเงื่อนไขของโครงการฯ ได้จริงหรือไม่ โดยทั้งหมดต้องมาชั่งน้ำหนักกันใหม่ จึงสั่งให้ส่วนงานกลับไปทบทวน และกลับมาหารือกันอีกครั้งในสัปดาห์หน้า

"ในที่ประชุมคณะอนุกรรมการกำกับการดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตได้สั่งให้ส่วนงานกลับไปพิจารณาประเด็นเรื่อง Import Content ใหม่ โดยเฉพาะเรื่องสมาร์ทโฟนที่บางหน่วยงานก็มองว่ามันเป็นปัจจัยที่ 5 เพราะปัจจุบันคนใช้ทำมาหากิน แต่อีกมุมมองว่าคนที่จะใช้เงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต้องมีสมาร์ทโฟน ตรงนี้ต้องไปพิจารณาเรื่องนี้กันใหม่ให้รอบคอบอีกครั้ง"นายจุลพันธ์กล่าว

สำหรับประเด็นเรื่องการส่งเรื่องให้สำนักงานกฤษฎีกาพิจารณาเรื่องการนำเงินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 1.75 แสนล้านบาท มาใช้รองรับการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลา โดยระยะเวลาการดำเนินการในแต่ละขั้นตอนมีการพิจารณาและติดตามอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งอยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจว่า กลไกความเป็นรัฐมีตัวเลือกเกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงินมากมาย ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องความเหมาะสมและเป็นไปได้ทุกอย่างแล้ว

"ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับสหภาพ ธ.ก.ส. ก็เป็นไปด้วยดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร โดยทุกคนต้องเข้าใจว่า ธ.ก.ส. เป็นหน่วยงานของรัฐ ดังนั้น กลไกในการขับเคลื่อนนโยบายที่จะลงไป ถ้าอยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ก็เป็นภาระหน้าปกติที่ ธ.ก.ส. จะต้องดำเนินการช่วยเหลือประชาชน และยืนยันว่าสภาพคล่องของ ธ.ก.ส. ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน" นายจุลพันธ์กล่าว

#ข่าววันนี้ #สินค้าออนไลน์ #ดิจิทัลวอลเล็ต #สมาร์ทโฟน 

 

“​ก.อุตฯ”​เอาจริง​วาง8กฏเหล็กคุม​-ปราบปราม​“สินค้าทางออนไลน์”ไร้มาตรฐาน

รองโฆษกฯ รัดเกล้า เผย รัฐบาล​ โดย​ ก.อุตฯ​ เอาจริง​ 8 มาตรการเร่งด่วน ควบคุม​ ปราบปราม​ สินค้าทางออนไลน์ไม่ได้มาตรฐาน​

วันที่ 28 ตุลาคม 2566 นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม เพื่อเป็นกลไกหลักในการยกระดับเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน โดยได้วางนโยบายในระยะเริ่มต้นเร่งด่วน 3 เดือนแรก ที่สามารถทำได้ทันที ภายใต้ภารกิจ “Quick Win”

รองโฆษกฯ รัดเกล้า กล่าวว่า หนึ่งในภารกิจเร่งด่วนภายใต้ “Quick Win” คือการปราบปรามสินค้าออนไลน์ ไร้มาตรฐาน ซึ่งสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้เร่งดำเนินการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน พร้อมกับได้ออก 8 มาตรการเร่งด่วนเพื่อกำกับดูแล ควบคุม และส่งเสริมให้ความรู้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ถูกหลอกจากการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์

8 มาตรการเร่งด่วน ได้แก่ 1.) มาตรการ 3 ร. (เร่งตรวจ เร่งกำกับ เร่งปราบ) 2.) มาตรการจับจริง-ปรับจริง (จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5 3.) มาตรการเชื่อมโยงข้อมูล 4.) มาตรการให้ความรู้ 5.) มาตรการขยายผลอย่างยั่งยืน 6.) มาตรการสร้างความตระหนัก 7.) มาตรการใกล้ชิดประชาชน และ 8.) มาตรการเพิ่มอาวุธ  ซึ่งคาดว่าทั้ง 8 มาตรการจะสามารถกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพที่จำหน่ายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ให้หมดไปภายใน 6 เดือน

นางรัดเกล้าฯ ยังกล่าวต่อว่า ในลำดับต่อๆไป สมอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันเร่งเดินหน้าผลักดัน 8 มาตรการเข้าสู่กระบวนการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สมอ. ได้ทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสนองภารกิจ Quick win อย่างเร่งด้วย โดยลงพื้นที่ เพื่อตรวจติดตามร้านจำหน่ายทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง กวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปจากท้องตลาดภายใน 6 เดือน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้สินค้าได้อย่างปลอดภัย

“การออก 8 มาตรการเร่งด่วน ภายใต้ภารกิจ Quick Win รวมถึงถึงการลงพื้นที่ตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาด และทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการดำเนินการและบรรลุเป้าหมายตามนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งกวาดล้างสินค้าออนไลน์ไร้คุณภาพให้หมดสิ้นไปภายใน 6 เดือน” นางรัดเกล้าฯ กล่าว

เอาจริง! “พิมพ์ภัทรา” ออก 8 มาตรการปราบสินค้าออนไลน์ไร้มาตรฐาน ขีดเส้น 6 เดือนต้องหมดไป

เอาจริง!  “พิมพ์ภัทรา” ออก 8 มาตรการปราบสินค้าออนไลน์ไร้มาตรฐาน ขีดเส้น 6 เดือนต้องหมดไป

น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังจากการลงพื้นที่ดูแลประชาชน มักจะได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนเรื่องการซื้อสินค้าออนไลน์ที่ไม่มีมาตรฐานอยู่เป็นระยะ ตนจึงสั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เข้มงวดในการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ต้องกวาดล้างให้หมดไปจากท้องตลาดภายใน 6 เดือน ทั้งนี้ ภายใต้ภารกิจ “Quick Win” ได้ออก 8 มาตรการเร่งด่วน เพื่อกำกับดูแล ควบคุม และส่งเสริมให้ความรู้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ถูกหลอกจากการสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ ได้แก่ 1) มาตรการ 3 ร. (เร่งตรวจ เร่งกำกับ เร่งปราบ)  2) มาตรการจับจริง-ปรับจริง 3) มาตรการเชื่อมโยงข้อมูล 4) มาตรการให้ความรู้  5) มาตรการขยายผลอย่างยั่งยืน 6) มาตรการสร้างความตระหนัก 7) มาตรการใกล้ชิดประชาชน 8) มาตรการเพิ่มอาวุธ โดยคาดว่าทั้ง 8 มาตรการจะสามารถกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพที่จำหน่ายทางแพลตฟอร์มออนไลน์ให้หมดไปจากท้องตลาด

นายวันชัย พนมชัย รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้ลงพื้นที่ตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาด และทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ตามนโยบาย รมว.อุตสาหกรรม เพื่อกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปภายใน 6 เดือน รวมทั้ง ได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าวได้แก่ 1) มาตรการ 3 ร. (เร่งตรวจ เร่งกำกับ เร่งปราบ) โดยเพิ่มความถี่ในการตรวจสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ และนำข้อมูลที่ได้มาขยายผล เพื่อให้รู้ถึงพิกัดโกดังเก็บสินค้า พิกัดการโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์ และให้ทราบถึงแหล่งที่มาทั้งโรงงานที่ผลิตและช่องทางการนำเข้าของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อดำเนินการกับผู้กระทำความผิดอย่างสูงสุด  2) มาตรการจับจริง-ปรับจริง หากพบสินค้าไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. สมอ.จะออกหนังสือแจ้งผู้ประกอบการให้มาให้ข้อมูลร้านค้า และรายละเอียดของสินค้า หากพบว่ามีความผิดจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินห้าแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3) มาตรการเชื่อมโยงข้อมูล โดยการชี้แจงให้ทุกแฟลตฟอร์มทราบมาตรการในการดำเนินคดีกับสินค้าที่มีการโฆษณาโดยไม่แสดงเครื่องหมาย มอก. และให้ทุกแพลตฟอร์มจัดทำระบบที่บังคับให้ผู้จำหน่ายสินค้าควบคุมต้องแสดง QR Code ข้อมูลใบอนุญาต และภาพในการโฆษณาต้องแสดงเครื่องหมาย มอก. ด้วย 4) มาตรการให้ความรู้ สมอ.จะเชิญร้านค้าออนไลน์ และแพลตฟอร์ม หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการป้องกันการโฆษณา การจำหน่าย และการลักลอบขายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และให้ทราบถึงการกระทำความผิดฐานเป็นผู้ให้พื้นที่ในการโฆษณาและเป็นผู้มีส่วนได้ผลประโยชน์จากการขายสินค้าดังกล่าว 5) มาตรการขยายผลอย่างยั่งยืน โดย สมอ. จะขยายผลให้ทราบถึงแหล่งที่มาของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเพื่อให้ควบคุมได้อย่างมีประสิทธิผลสูงสุด และจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ประกอบการ หรือผู้เกี่ยวข้อง ที่แจ้งข้อมูลเท็จเกี่ยวกับแหล่งที่มาของสินค้า

6) มาตรการสร้างความตระหนัก โดยขอความร่วมมือแพลตฟอร์มให้แสดงอินโฟกราฟิกแจ้งเตือนผู้บริโภคให้รู้วิธีการสังเกตสินค้าที่มีมาตรฐานทุกครั้งที่มีการค้นหา Keyword (คีย์เวิร์ด) เช่น คำว่า “ปลั๊กพ่วง” “พาวเวอร์แบงค์” หรือ“หลอดไฟ” ฯลฯ 7) มาตรการใกล้ชิดประชาชน สมอ. จะทำคอนเท็นต์ออนไลน์ให้ความรู้แก่ประชาชนในการเลือกซื้อสินค้าที่มีมาตรฐาน 8) มาตรการเพิ่มอาวุธ  มีการจัดตั้งทีมเฉพาะกิจศึกษาข้อกฎหมาย ข้อจำกัด และแนวทางการแก้ปัญหาในการลงโทษร้านค้าออนไลน์ที่กระทำความผิด รวมทั้งผู้มีส่วนได้ผลประโยชน์จากการขายสินค้าด้วย ทั้งนี้ เป็นการดำเนินงานภายใต้ภารกิจ “Quick Win” เพื่อกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปภายใน 6 เดือน 

#พิมพ์ภัทราวิชัยกุล #สินค้าออนไลน์ #ไร้มาตรฐาน #สมอ #กระทรวงอุตสาหกรรม