สิงคโปร์ยังไม่เจอกับตัว-ออกมาชี้ไทยปะทะเขมรเป็นความถดถอยของอาเซียน

รัฐมนตรีต่างประเทศของสิงคโปร์ ชี้เหตุไทยปะทะเขมร เป็นความถดถอยด้านสันติภาพ และกระทบความน่าเชื่อของอาเซียน ระบุเหตุพิพาทไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความรุนแรงเสมอไป ก่อนซัดความเป็นผู้นำล้มเหลว

เมื่อวันที่ 6 ส.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายวิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ออกมากล่าวว่า เหตุปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาที่เกิดขึ้นครั้งล่าสุดนั้น ไม่เพียงแต่เป็นความถดถอยสำหรับสันติภาพในภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความน่าเชื่อถือของอาเซียนอีกด้วย

โดยนายวิเวียน ยังกล่าวด้วยว่า ปัญหาเรื่องพิพาทดินแดนไม่ใช่เรื่องแปลกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ความรุนแรงสามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของความเป็นผู้นำ และล้มเหลวทางการทูต ทั้งนี้ สถานการณ์อาจมีความซับซ้อนเมื่อความเป็นผู้นำมีความอ่อนแอ

พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ยังกล่าวเตือนว่า ไม่ควรปล่อยให้เรื่องต่างๆ เลวร้ายหนักขึ้นจนกลายเป็นวิกฤติร้ายแรง เพราะภูมิภาคอาเซียนแห่งนี้ กำลังเผชิญความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น และภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจโลกที่กำลังแตกแยกเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ภูมิธรรม” สายตรง“บิ๊กปู”จากสิงคโปร์ ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

“ภูมิธรรม” สายตรง“บิ๊กปู”จากสิงคโปร์ ติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างใกล้ชิดพร้อม พูดคุย เรื่อง จะปิด6ด่าน 10จุดผ่อนปรนชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมให้ ทบ. ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ

จากกรณี “สมเด็จ ฮุนเซน”โพสต์ ยึด “สามเหลี่ยมมรกต”ท้าไทยขึ้นศาลโลก ดินแดนเขมร และบล็อค เน็ตไทย ไม่ให้เข้าดูเพจ ฮุนเซน หลังโดนป่วน และ เกิดกระแสโซเชียลฯ เขมรต่อต้านสินค้าไทย

พันเอกหญิง  ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม ซึ่งติดตามคณะนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม ไปร่วมประชุมความมั่นคง IIS Shangri-La Dialogue  ที่สิงคโปร์ เปิดเผยว่า นายภูมิธรรม ได้มีการโทรศัพท์พูดคุย กับ พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกเมื่อพอจะมีเวลา ต่อจากการประชุมและการพบหารือทวิภาคี  เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย- กัมพูชาอย่างใกล้ชิดรวมถึง สอบถามถึง เรื่องการจะปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทุกด้านจริงหรือไม่  และขอให้ทางกองทัพบกชี้แจงให้ประชาชนรับทราบด้วย

ศึกเลือกตั้งสิงคโปร์-บททดสอบฝีมือ“ลอว์เรนซ์ หว่อง”

วันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ประชาชนชาวสิงคโปร์ ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งจำนวนราว 2.75 ล้านคน จากประชากรทั้งสิ้นของประเทศกว่า 6 ล้านคน จะได้เข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส.ของพวกเขา

ภายหลังจากประธานาธิบดีทาร์มาน ชานมูการัตนาม แห่งสิงคโปร์ ประกาศยุบสภา เมื่อช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ในการเลือกตั้งทั่วไปของสิงคโปร์ครั้งนี้ ก็จะเป็นการเลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติของประเทศ รวมแล้ว 97 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คือ 2020 (พ.ศ. 2563) ที่มีจำนวน 93 ที่นั่ง

ทั้งนี้ การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นนั้น ก็ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 19 นับตั้งแต่สิงคโปร์สถาปนาขึ้นเป็นประเทศอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1965 (พ.ศ. 2508) ดังนั้น จึงนับว่า มีความสำคัญ จากการที่ประเทศจะมีอายุครบ 60 ปี ในปีนี้

เรียกว่า ถ้าเป็นคน ก็ต้องเฉลิมฉลองเนื่องในงานแซยิด

นายลอว์เรนซ์ หว่อง ผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ จากนายลี เซียนลุง (Photo : AFP)

อย่างไรก็ดี ในการชิงชัยศึกเลือกตั้งทั่วไปในปีนี้ กลับปรากฏว่า มิใช่คนตระกูล “ลี” ซึ่งเป็นตระกูลผู้นำก่อร่างสร้างประเทศสิงคโปร์ จนก้าวผงาดขึ้นมาเป็นประเทศระดับชั้นนำของโลกในหลายๆ ด้าน เช่น เศรษฐกิจ และการศึกษา เป็นต้น มาถือธงนำในฐานะหัวหน้า “พรรคกิจประชาชน” หรือ “พีเอพี (PAP : People's Action Party)” เหมือนเฉกเช่นแทบทุกครั้งที่ผ่านมา

โดยที่ผ่านมา ผู้นำตระกูล “ลี” ของสิงคโปร์ ก็คือ “ลี กวนยิว” ผู้ก่อตั้งประเทศ จนได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของประเทศสิงคโปร์ ก่อนตกทอดมาถึง “ลี เซียนลุง” ผู้บุตรชาย ก็เป็นผู้นำประเทศ คือ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคกิจประชาชนข้างต้น นำทัพจนได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือตั้งทั่วไปตลอดช่วงที่ผ่านมา

ทว่า มาในการเลือกตั้งทั่วไป 2025 (พ.ศ. 2568) ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้ ก็เป็นคนตระกูลอื่น นอกตระกูลลี นั่นคือ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำประเทศต่อจาก “ลี เซียนลุง “ และยังรวมถึงการเป็นผู้นำพรรค หรือหัวหน้าพรรค ของพรรคกิจประชาชนไปโดยปริยายด้วย สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้น

การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งของพรรคกิจประชาชน หรือพีเอพี ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของสิงคโปร์ (Photo : AFP)

ทั้งนี้ นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของสิงคโปร์ ก็จะนำ “พรรคกิจประชาชน” หรือ “พีเอพี” ต่อกรสู้ศึกเลือกตั้งกับอีก 2 พรรคการเมือง นั่นคือ “พรรคแรงงาน” หรือ “ดับเบิลยูพี (WP : Worker's Party)” ซึ่งมี “นายปรีตัม สิงห์” เป็นหัวหน้าพรรค และ “พรรคสิงคโปร์ก้าวหน้า” หรือพีเอสพี (PSP : Progress Singapore Party)” ที่มี “นายลอง มันไว” เป็นผู้นำพรรค

ผู้สนับสนุนพรรคแรงงาน หรือดับเบิลยูพี ชูธงรูปค้อน สัญลักษณ์ของพรรค ออกรณรงค์หาเสียง (Photo : AFP)

โดยความไว้เนื้อเชื่อใจของเหล่าแกนนำพรรคพีเอพีที่มีต่อนายลอว์เรนซ์ หว่อง ตลอดจนคนในตระกูลลี ก็ต้องถือว่า เชื่อมั่นเป็นอย่างมาก เพราะถึงขนาดที่นายลี เซียนลุง “ส่งไม้ต่อ” ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” ให้ ซึ่งนายลอว์เรนซ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ชอย่างเป็นทางการต่อจากนายลี เซียนลุง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2024 (พ.ศ. 2567) หรือปีที่แล้วนี่เอง โดยอีกไม่กี่วันก็จะครบรอบ 1 ปี ที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศแห่งนี้

และก็ต้องยอมรับว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ที่นายลอว์เรนซ์ หว่อง ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา ก็นำพาเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ขยายตัวเติบโตอย่างน่าพึงพอใจ ด้วยฝีไม้ลายมือ ที่เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศมาก่อน จึงนับได้ว่าเขาก็เป็น “หนึ่ง” ในผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ด้านเศรษฐกิจ การคลังของสิงคโปร์เลยก็ว่าได้

ท่ามกลางที่สิงคโปร์ ซึ่งก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ หลายประเทศบนโลกใบนี้ ที่ถูกพิษของวิกฤติโรคระบาด “โควิด-19” ที่เล่นงาน แม้ว่าเชื้อไวรัสร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังเดือดร้อนตามมาอีกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลกระทบทางอ้อมที่ได้รับจากสงครามความขัดแย้งต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในภูมิภาคยุโรป และสงครามฉนวนกาซา ในภูมิภาคตะวันออกกลาง แต่นายลอว์เรนซ์ หว่อง ก็ยังบริหารประเทศ นำพาจนสิงคโปร์ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2024 ที่ผ่านมาถึงร้อยละ 4.4 ด้วยกัน

ตัวเลขข้างต้น ก็นับได้ว่า มากกว่าที่หลายฝ่ายประมาณการกันไว้ก่อนหน้า

ไม่ว่าจะเป็น “กระทรวงการคลังของสิงคโปร์” ที่ประเมินก่อนหน้านั้นว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่ประมาณร้อยละ 4 เท่านั้น และตัวเลขดังกล่าว ก็เพิ่มขึ้นจากตัวเลขของเมื่อปี 2023 (พ.ศ. 2566) ถึงร้อยละ 1.8 ด้วยกัน

นอกจากนี้ นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ได้รับเสียงชื่นชมจากการที่เขารับมือกับมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งสิงคโปร์ ประเทศที่เขาเป็นนายกฯ นั้น ถูกพิษภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์เล่นงานโดยถูกจัดเก็บเพิ่มขึ้นร้อยละ 10

ทั้งนี้ นอกจากการรับมือแล้ว นายกรัฐมนตรีหว่อง ยังได้กล่าวเตือนสติทั้งต่อคนสิงคโปร์เอง และประชาคมโลกว่า โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่จะต้องเตรียมการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยเป็นการเตรียมตัวแบบกล้าที่จะยอมรับความจริงด้วย

นั่น! เป็นฝีไม้ลายมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจภายในและระหว่างประเทศของนายกรัฐมนตรีหว่อง ซึ่งต้องถือว่า นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์นอกตระกูลลีผู้นี้ผ่านฉลุย

ในส่วนทางด้านการเมืองภายในสิงคโปร์เองนั้น นายกรัฐมนตรีหว่อง ก็จะถูกทดสอบในบททดสอบของการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 3 พฤษภาคมที่จะถึงนี้

โดยบททดสอบที่ว่านั้นก็คือ เขาจะทำอย่างไรที่จะทำให้พรรคพีเอพี รักษาที่นั่ง สส. เอาไว้ให้เท่าเดิมอย่างน้อย หรือถ้าได้ สส.เพิ่มขึ้น ก็ต้องถือว่า เป็น “โบนัส” ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่แล้ว คือ 2020 ที่พรรคพีเอพี ยังอยู่ภายใต้การนำของคนตระกูลลี คือ ลี เซียนลุง ปรากฏว่า พรรคแรงงาน ฝ่ายค้าน สามารถแย่งชิงที่นั่ง สส. มาได้ถึง 10 ที่นั่ง จนถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ที่สุดของพรรคตั้งแต่ปี 1965 เลยทีเดียว

ส่วนผลการสำรวจโพลล์ในการเลือกตั้งทั่วไป 2025 นี้ ปรากฏว่า พรรคพีเอพี มีคะแนนนิยมนำหน้าที่ร้อยละ 63 ส่วนพรรคแรงงานมีคะแนนนิยมที่ร้อยละ 15

บรรยากาศบริเวณหน่วยเลือกตั้งแห่งของสิงคโปร์ ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา (Photo : AFP)

เวียตเจ็ทประกาศเปิดเส้นทางบินใหม่ ฟู้โก๊วก-สิงคโปร์ พร้อมลงนามข้อตกลงจัดหาเงินทุน 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

เวียตเจ็ท (เวียดนาม) เดินหน้าขยายเครือข่ายการบินอย่างต่อเนื่อง ประกาศเปิดเส้นทางบินปฐมฤกษ์ระหว่าง ฟู้โก๊วก และ สิงคโปร์ เนื่องในโอกาสการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการของ นาย โต เลิม เลขาธิการใหญ่ของเวียดนาม นอกจากนี้ สายการบินฯ ยังได้ลงนามข้อตกลงจัดหาเงินทุนมูลค่า 300  ล้านดอลลาร์สหรัฐ กับ Carlyle Aviation Partners บริษัทบริหารสินทรัพย์ด้านการบินระดับโลก ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้จะช่วยเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างเวียดนามและสิงคโปร์ รวมถึงสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของทั้งสองประเทศ

เวียตเจ็ทเตรียมเปิดให้บริการเส้นทางบิน ฟู้โก๊วก – สิงคโปร์ ตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ด้วยความถี่ 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ทำให้จำนวนเที่ยวบินระหว่างเวียดนามและสิงคโปร์ของเวียตเจ็ทเพิ่มขึ้นเป็น 78 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ เส้นทางใหม่นี้นับเป็นเส้นทางที่ 4 ของเวียตเจ็ทสู่สิงคโปร์ เพิ่มเติมจาก โฮจิมินห์ – สิงคโปร์ ฮานอย – สิงคโปร์ และดานัง – สิงคโปร์ โดยคาดว่าจะรองรับผู้โดยสารระหว่างสองประเทศได้มากกว่า 500,000 คนต่อปี

นับตั้งแต่เปิดให้บริการเส้นทางแรกระหว่าง โฮจิมินห์ – สิงคโปร์ ในปี 2557 เวียตเจ็ทได้ให้บริการแล้วกว่า 16,000 เที่ยวบิน และขนส่งผู้โดยสารมากกว่า 2.6 ล้านคน การเปิดเส้นทางใหม่นี้จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว เสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้า และวัฒนธรรมระหว่างเวียดนามและสิงคโปร์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ข้อตกลงจัดหาเงินทุนเพื่อขยายฝูงบินมูลค่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ

เวียตเจ็ท และ Carlyle Aviation Partners ได้ลงนามข้อตกลงจัดหาเงินทุนมูลค่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสนับสนุนการส่งมอบเครื่องบินลำใหม่ในช่วงปี 2568 – 2569 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การขยายฝูงบินให้มีความทันสมัย ปัจจุบัน เวียตเจ็ทมีคำสั่งซื้อเครื่องบินมากกว่า 400 ลำ

Alexander Rasnavad ประธาน Carlyle Aviation Partners กล่าวว่า “เราภูมิใจที่ได้เป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระยะยาวของเวียตเจ็ท เพื่อสนับสนุนการเติบโตระดับนานาชาติ และมอบทางเลือกการเดินทางที่สะดวกสบายและเข้าถึงได้”

Carlyle Aviation Partners ซึ่งเป็นแผนกการบินของ Carlyle Group ปัจจุบันบริหารจัดการเครื่องบิน 363 ลำ ใน 53 ประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของ Carlyle Group บริษัทการลงทุนระดับโลกที่มีสินทรัพย์มูลค่า 447,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

เสริมศักยภาพฝูงบินด้วยบริการวัสดุแบบบูรณาการสำหรับฝูงบินแอร์บัสที่มีความทันสมัย

เวียตเจ็ทได้ลงนามข้อตกลงระยะยาวกับ Satair บริษัทในเครือแอร์บัส เพื่อรับบริการวัสดุแบบบูรณาการ (Integrated Material Services – IMS) สำหรับฝูงบินแอร์บัส A320 และ A330 ทั้งหมดของสายการบิน บริการนี้ช่วยให้เวียตเจ็ทสามารถบริหารจัดการสต๊อกอะไหล่สำคัญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนการดำเนินงาน และเพิ่มความพร้อมในการให้บริการ

Paul Lochab ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ของ Satair กล่าวว่า “ข้อตกลง IMS นี้ช่วยให้เวียตเจ็ทมั่นใจได้ว่าเราพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ทีมบำรุงรักษาสามารถมุ่งเน้นไปที่ภารกิจหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

เวียตเจ็ทเชื่อมโยงโลกแห่งการเดินทาง

ดร.เหงียน ถิ ฟอง เถา ประธานสายการบินเวียตเจ็ท กล่าวว่า “เวียตเจ็ทไม่ได้เป็นเพียงสายการบิน แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การลงทุน การศึกษา และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม”

ปัจจุบัน เวียตเจ็ทให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์ด้วยฝูงบินกว่า 115 ลำ และรองรับผู้โดยสารมาแล้วกว่า 230 ล้านคน พร้อมมุ่งมั่นเติบโตอย่างยั่งยืนและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ สิงคโปร์เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 84,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ความร่วมมือระหว่างเวียตเจ็ทและบริษัทในสิงคโปร์ช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจนับพันล้านดอลลาร์ต่อปี และเป็นแรงผลักดันสำคัญสู่อนาคตการเดินทางที่ยั่งยืน

"การบินไทย" แจงเที่ยวบินกรุงเทพ-สิงคโปร์ บินกลับสุวรรณภูมิ หลังพบกระจกห้องนักบินร้าว

"การบินไทย" แจงเที่ยวบินกรุงเทพ-สิงคโปร์ บินกลับสุวรรณภูมิ หลังพบกระจกห้องนักบินร้าว

เมื่อวันที่ 17 ก.พ.68 ตามที่สื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอข้อความที่มีเนื้อหากรณีเที่ยวบินที่ TG401 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังสิงคโปร์ ต้องบินกลับมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจากกระจกเครื่องบินแตก

บมจ.การบินไทย [THAI] ชี้แจงว่า เที่ยวบินที่ TG401 วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 เส้นทางกรุงเทพฯ - สิงคโปร์ ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เวลา 19.00 น. นักบินตรวจพบว่ากระจกในห้องนักบินบานหลังซ้าย มีรอยร้าวที่ชั้นนอกสุดจากทั้งหมด 3 ชั้น จึงตัดสินใจทำการบินกลับสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

โดยบริษัทฯ ได้เปลี่ยนเครื่องบินลำใหม่และออกเดินทางเป็นเที่ยวบิน TG401D วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 เส้นทางกรุงเทพฯ - สิงคโปร์ ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ เวลา 09.00 น. ถึงสิงคโปร์ เวลา 12.25 น. (เวลาท้องถิ่น)

ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการปฏิบัติการบินที่มุ่งเน้นความปลอดภัยของผู้โดยสารทุกท่านในทุกๆ เที่ยวบินตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด และขออภัยผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกท่านมา ณ โอกาสนี้

#การบินไทย #ข่าววันนี้ #กระจกร้าว #สิงคโปร์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

‘เบทาโกร’ รุกตลาดอาหารสิงคโปร์ เข้าซื้อกิจการ Eggriculture มูลค่ากว่า 1,900 ล้านบาท มุ่งขับเคลื่อนกลยุทธ์ “Regional Player”

บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” เดินหน้ากลยุทธ์ “Regional Player” เข้าซื้อกิจการ Eggriculture ผู้ผลิตไข่ไก่ครบวงจรรายใหญ่ในสิงคโปร์ ด้วยมูลค่ากว่า 1,900 ล้านบาท เปิดแผนสร้าง Synergy มุ่งเสริมความแข็งแกร่งแบรนด์เบทาโกรในตลาดสิงคโปร์ทั้งในช่องทางร้านค้าปลีกและขยายฐานลูกค้ากลุ่ม HORECA พร้อมยกระดับประสิทธิภาพและผลผลิตของห่วงโซ่คุณค่า เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต วางเป้าหมายรายได้เบทาโกรในประเทศสิงคโปร์ปี 2568 โต 400% เมื่อเทียบกับปี 2567  

เมื่อวันที่ 27 ม.ค.68 นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” เปิดเผยว่า บริษัทฯ มุ่งสร้างการเติบโตระยะยาว ก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารในระดับภูมิภาคอาเซียนด้วยการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพสูง โดยประเทศสิงคโปร์ถือเป็นตลาดยุทธศาสตร์สำคัญ เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคให้ความสำคัญกับอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูง นอกจากนี้นโยบายด้านความมั่นคงทางอาหารของรัฐบาลสิงคโปร์ที่ตั้งเป้าผลิตอาหารภายในประเทศให้ได้ 30% ของความต้องการภายในปี 2573 ยังสนับสนุนการเติบโตของผู้ผลิตในประเทศ เบทาโกร จึงเห็นโอกาสสำคัญในการเข้าซื้อกิจการบริษัท Eggriculture Foods Limited หรือ Eggriculture ผู้ผลิตไข่ไก่ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ด้วยงบลงทุนกว่า 1,900 ล้านบาท

โดยโครงสร้างของผู้ถือหุ้น เบทาโกรอยู่ที่ 75% และ Radiant Grand International Limited (RGI) อยู่ที่ 25%  ทั้งนี้ Eggriculture มีส่วนแบ่งตลาด 20% ณ สิ้นปีงบประมาณ 2567 อีกทั้งยังมีผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปี (2564-2566) อย่างแข็งแกร่ง  โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้ 27.1% ต่อปี (CAGR) ในปีงบประมาณล่าสุด จึงคาดว่าจะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผลประกอบการรวม (P&L) ในทันที และส่งผลดีต่อการเพิ่มความสามารถทำกำไรโดยรวมของกลุ่มบริษัทเบทาโกรอย่างมีนัยสำคัญ

นายชยธร แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่ กลุ่มงานกลยุทธ์และนวัตกรรม บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” กล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการ Eggriculture ครั้งนี้ เป็นการนำศักยภาพของทั้งสองบริษัทฯ มาผนึกกำลังสร้าง Synergy ในหลายมิติ โดยเบทาโกรจะนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์กว่า 57 ปี ในฐานะผู้นำธุรกิจอาหารและเกษตรอุตสาหกรรมครบวงจรชั้นนำระดับสากล มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของ Eggriculture ในด้านการจัดการฟาร์ม การพัฒนาสายพันธุ์สัตว์ สูตรอาหารสัตว์ และการใช้เทคโนโลยีทันสมัยเพื่อเพิ่มผลผลิต

นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารให้หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการและรูปแบบการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างความมั่นใจในผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัยสูงตามมาตรฐานสากลให้กับผู้บริโภคทุกคน ขณะที่ Eggriculture ผู้ผลิตไข่ไก่ครบวงจรรายใหญ่ในสิงคโปร์ ซึ่งมีเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ทั้งในช่องทางการขายปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และช่องทางการบริการอาหาร (HORECA) ครอบคลุมทั้งโรงแรม ร้านอาหาร และบริการจัดเลี้ยง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์สินค้าของเบทาโกรเป็นที่รู้จักและขยายฐานลูกค้าในวงกว้างมากขึ้น

“เบทาโกรเชื่อว่าการสร้าง Synergy กับ Eggriculture ครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารในระดับภูมิภาคอาเซียน ผ่านการส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุดให้ผู้บริโภคในประเทศสิงคโปร์ โดยบริษัทฯ คาดการณ์รายได้ในประเทศสิงคโปร์ปี 2568 จะเติบโต 400% เมื่อเทียบกับปี 2567 พร้อมตั้งเป้าก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับภูมิภาคอาเซียน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน” นายชยธรกล่าว

มิสเตอร์หม่า ชิน ชิว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Eggriculture  กล่าวว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเบทาโกร และเป็นโอกาสสำคัญสำหรับ Eggriculture ในการเพิ่มศักยภาพการผลิตไข่ไก่ที่มีคุณภาพสูง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคสิงคโปร์ที่ต้องการอาหารคุณภาพและความปลอดภัย  การที่เบทาโกรมีความรู้เชิงลึกและประสบการณ์ที่หลากหลายในอุตสาหกรรมอาหาร จะช่วยให้เราสามารถเสริมสร้างโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และตอบสนองต่อนโยบายด้านความมั่นคงทางอาหารของรัฐบาลสิงคโปร์ได้อย่างเต็มรูปแบบ

“สิงคโปร์-มาเลเซีย”จับมือผุด “เขตศก.พิเศษ” ใหญ่กว่า “เซินเจิ้น” 2 เท่า

สองผู้นำสิงคโปร์และมาเลเซีย จรดปากกาลงนาม จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ ครอบคลุมพื้นที่พรมแดนสองประเทศ หรือใหญ่กว่าเซินเจิ้น 2 เท่า ตั้งเป้าส่งอานิสงส์สร้างงานนับแสนตำแหน่ง พร้อมเพิ่มมูลค่าเม็ดเงินกว่าปีละ 2.6 หมื่นล้านดอลล์

เมื่อวันที่ 7 ม.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายลอว์เรนซ์ หว่อง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ พร้อมด้วยนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมกันเป็นประธานในพิธีลงนามในข้อตกลงว่าด้วยการจัดตั้ง “เขตเศรษฐกิจพิเศษยะโฮร์-สิงคโปร์” หรือ “เจเอส-เอสอีซี” เมื่อวันอังคารนี้ ที่เมืองปุตราจายา ซึ่งเป็นเมืองใหญ่และศูนย์กลางการปกครองของประเทศมาเลเซีย

โดยเขตเศรษฐกิจพิเศษดังกล่าว ครอบคลุมพื้นที่ของทั้งสองประเทศ โดยเชื่อมระหว่างรัฐยะโฮร์ทางตอนใต้ของมาเลเซียกับประเทศสิงคโปร์ ส่งผลให้เขตเศรษฐกิจพิเศษข้างต้น มีขนาดใหญ่กว่าประเทศสิงคโปร์ 4 เท่า และใหญ่กว่านครเซินเจิ้น เมืองสำคัญทางเศรษฐกิจของจีนถึง 2 เท่า

พร้อมกันนี้ ทางการทั้งสองประเทศ ยังตั้งเป้าหมายว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ จะช่วยสร้างงานใหม่ได้มากกว่า 100,000 ตำแหน่ง และเพิ่มมูลค่าเม็ดเงินให้สะพัดมากกว่า 26,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) หรืออีก 5 ปีข้างหน้า

“ไฮไลฟ์ โกลบอล ฟู้ดส์” คว้ารางวัล “ESG Initiative of the Year – Thailand” จากงาน FMCG Asia Awards 2024 ประเทศสิงคโปร์

กลุ่มบริษัทไฮไลฟ์ นำโดย นายชูโบดีป ดัส  (Mr. Shubhodeep Das) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ไฮไลฟ์ และ ดร.บัณฑิต จำรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฮไลฟ์ โกลบอล ฟู้ดส์ จำกัด ขึ้นรับรางวัล ในโอกาส บริษัท ไฮไลฟ์ โกลบอล ฟู้ดส์ จำกัด คว้ารางวัล ESG Initiative of the Year - Thailand สำหรับความมุ่งมั่นด้าน ESG ในงาน FMCG Asia Awards 2024 ณ ประเทศสิงคโปร์ งานประกาศผลรางวัลสุดยิ่งใหญ่ จัดโดย Retail Asia ที่พิจารณามอบรางวัลให้แก่ผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมและยกย่องความเป็นเลิศของผู้ที่ส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ขับเคลื่อนความคิดริเริ่มที่สร้างสรรค์ และดำเนินโครงการที่โดดเด่นอย่างสม่ำเสมอ

นายชูโบดีป ดัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ไฮไลฟ์ กล่าวว่า เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ บริษัท ไฮไลฟ์ โกลบอล ฟู้ดส์ ภายใต้กลุ่มบริษัทไฮไลฟ์ ได้รับรางวัล ESG Initiative of the Year - Thailand ในฐานะองค์กรที่ได้รับการยอมรับในด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีเยี่ยม และมีระบบ Enterprise Resource Planning (ERP) ที่ทันสมัย ทั้งเป็นต้นแบบของการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สนับสนุนชุมชน และส่งเสริมความโปร่งใสและจริยธรรม รางวัลอันทรงเกียรติที่ได้รับนี้ ถือเป็นกำลังใจและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเรา ที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และให้ความสนับสนุนชุมชน ด้วยความโปร่งใส ยึดมั่นบนหลักธรรมาภิบาลอย่างจริงจัง

ด้าน ดร.บัณฑิต จำรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ไฮไลฟ์ โกลบอล ฟู้ดส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้อุทิศตนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน เราได้นำระบบโซลาร์รูฟท็อปที่ทันสมัยมาใช้ ซึ่งคาดว่าจะสร้างพลังงานเทียบเท่ากับ 30 ล้านบาทในสัญญา 20 ปี กับซัพพลายเออร์ โครงการริเริ่มด้านพลังงานทดแทนนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน แต่ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของบริษัทอีกด้วย นอกจากนี้ระบบย่อยก๊าซชีวภาพสำหรับการบำบัดน้ำเสียของบริษัทยังรองรับปริมาณความต้องการออกซิเจนทางชีวภาพ (BOD) ในระดับสูง และสร้างพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย บริษัทคาดว่าจะได้รับคาร์บอนเครดิต 1,000 ถึง 1,200 เมตริกตัน (MT) ต่อปีผ่านโครงการริเริ่มนี้

โดยไม่เพียงเท่านั้น บริษัทฯ ยังสนับสนุนชุมชนท้องถิ่นอย่างแข็งขันด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรและจัดจำหน่ายไปยังตลาดโลก แนวทางนี้สามารถช่วยเปลี่ยนความเป็นอยู่ของเกษตรกรในท้องถิ่น ให้มีรายได้ที่มั่นคงจากความต้องการผลผลิตที่สม่ำเสมอ นอกจากนี้เรายังมอบโอกาสในการทำงานให้กับพนักงาน ในพื้นที่มากกว่า 600 คน ซึ่งมีส่วนในการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตภายในชุมชน ขณะเดียวกันกรอบการกำกับดูแลของ Hylife Global Food สร้างขึ้นจากความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้ และสิ่งนี้เห็นได้ชัดเจนในการใช้ระบบอัจฉริยะ ช่วยให้สามารถติดตามกระบวนการผลิตแบบเรียลไทม์ เพิ่มความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับในห่วงโซ่อุปทาน และรับประกันความโปร่งใสในทุกกระบวนการทางธุรกิจ

“แนวทางที่ครอบคลุมทุกมิตินี้ จะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนท้องถิ่น และตัวธุรกิจเอง โดยสร้างมาตรฐานสำหรับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหารอย่างยั่งยืน” ดร.บัณฑิต กล่าวทิ้งท้าย

“ลี เซียนหยาง” ลูกชาย “ลี กวนยู” ลี้ภัยในอังกฤษ

“ลี เซียนหยาง” บุตรชายผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ ลี้ภัยทางการเมืองในอังกฤษ โอดถูกข่มเหงคุกคามจนอยู่สิงคโปร์ไม่ได้

เมื่อวันที่ 23 ต.ค.67 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการประเทศอังกฤษได้อนุมัติให้นายลี เซียนหยาง บุตรชายของนายลี กวนยู ผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ และเป็นน้องชายของนายลี เซียนลุง อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ อยู่ในสถานภาพผู้ลี้ภัยทางการเมืองแล้ว ภายหลังจากลงความเห็นว่า นายลี เซียนหยาง กำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกข่มเหงรังแกและการคุกคามต่างๆ หากเดินทางกลับสิงคโปร์

รายงานข่าวแจ้งว่า การอนุมัติข้างต้นได้มีขึ้นตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจากที่นายลี เซียนหยาง ขอลี้ภัยมาตั้งแต่ปี 2022 (พ.ศ. 2565) โดยเขาอ้างเหตุผลว่า รัฐบาลสิงคโปร์รังแกเขาและครอบครัว จนเขาไม่สามารถเดินทางกลับสิงคโปร์ เพื่อร่วมพิธีศพพี่สาวของเขาได้

ทางด้าน รัฐบาลสิงคโปร์ ออกมาปฏิเสธว่า ข้อกล่าวอ้างของนายลี เซียนหยางไม่มีมูลความจริงแต่ประการใด

ทั้งนี้ รายงานข่าวเผยว่า นายลี เซียนหยาง ได้บาดหมางกับสมาชิกในครอบครัว เมื่อปี 2015 (พ.ศ. 2558) จนทำให้เขาไปเข้าร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2020 (พ.ศ. 2563) และการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

“ทวี สอดส่อง” เดินทางถึงสิงคโปร์ เตรียมการเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยชุมชนแห่งความสำเร็จ

วันที่ 14 ต.ค.67 พ.ต.อ.ทวี​ สอดส่อง​ รมว.ยุติธรรม  โพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชัน X ระบุว่า...เดินทางถึงสิงคโปร์แล้วครับ 

ท่านอุรีรัชต์ เจริญโต เอกอัครราชทูตฯประจำสาธารณรัฐสิงคโปร์ ให้การต้อนรับ หารือเตรียมการเข้าร่วมประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยชุมชนแห่งความสำเร็จ (International Conference on Communities of Success : ICCOS) ครั้งที่ 2 จัดโดยรัฐบาลสิงคโปร์ ร่วมกับสภาศาสนาอิสลามแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Islamic Religious Council of Singapore : MUIS) ครับ

คณะผู้แทนไทย ประกอบด้วย ผู้แทนจากกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า, ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.), สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.), กรมสอบสวนคดีพิเศษ ฯลฯ 

#ทวีสอดส่อง