สหรัฐอเมริกา

ชาร์ลี เคิร์ก เป็นชื่อที่คนในวงการการเมืองสหรัฐฯ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่มีใครไม่รู้จัก เขาคือนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ผู้ก่อตั้งองค์กร Turning Point USA (TPUSA) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจุดประกายความคิดอนุรักษ์นิยมในหมู่วัยรุ่นอเมริกัน

ชาร์ลีวัย31ปี เกิดและเติบโตในย่านชานเมืองชิคาโก เลือกเส้นทางที่แตกต่างจากนักการเมืองส่วนใหญ่ เพราะไม่ได้เรียนจบปริญญา แต่ใช้พลังของโซเชียลมีเดีย เวทีดีเบต และพอดแคสต์ สร้างอิทธิพลจนกลายเป็น “กระบอกเสียง” ของคนรุ่นใหม่สายขวาที่โด่งดังทั่วประเทศ

ในปี 2012 ชาร์ลี เคิร์ก ก่อตั้ง TPUSA ด้วยอุดมการณ์ที่ชัดเจนว่า "ปลุกคนรุ่นใหม่ให้ปกป้องค่านิยมอนุรักษ์นิยม" และไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี TPUSA เติบโตจนกลายเป็นองค์กรระดับชาติที่มีอิทธิพลสูงต่อความคิดของคนรุ่นใหม่

เขายังเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยใช้เวที TPUSA และทุกช่องทางสื่อในการขับเคลื่อนกระแส Make America Great Again (MAGA) ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับครอบครัวทรัมป์ทำให้เคิร์กมีบารมีทางการเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และถูกจับตามองในฐานะสปีกเกอร์คนสำคัญของขวาจัดที่อาจมีบทบาทใหญ่ในอนาคต

เมื่อไม่นานมานี้ มีกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการลอบสังหารนักเคลื่อนไหวการเมืองในสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงชื่อของชาร์ลี เคิร์ก แต่จากการตรวจสอบยังไม่พบหลักฐานยืนยันข่าวดังกล่าว กระทั่งวันพุธที่ 10 กันยายน 2568 ตามเวลาท้องถิ่น ชาร์ลี เคิร์ก ถูกยิงเข้าที่คอในงานที่มหาวิทยาลัยยูทาห์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดทางการเมืองในสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้น

หลังจากเกิดเหตุความพยายามลอบยิงประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2024 ระหว่างการปราศรัยกลางแจ้งที่เมืองบัตเลอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย มือปืน Thomas Matthew Crooks อายุ 20 ปี ใช้ปืนสไตล์ AR-15 ยิงจากหลังคาอาคารใกล้เวที ทำให้ทรัมป์ถูกยิงที่หูข้างขวา มีผู้เข้าร่วมงานเสียชีวิตหนึ่งคนและบาดเจ็บอีกหลายราย ก่อนที่มือปืนจะถูกเจ้าหน้าที่ Secret Service ยิงวิสามัญในที่เกิดเหตุ

ต่อมาในปีเดียวกัน เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2024 ทรัมป์ตกเป็นเป้าหมายการลอบสังหารอีกครั้งขณะเล่นกอล์ฟที่สนาม Trump International Golf Club ในรัฐฟลอริดา ผู้ต้องสงสัยชื่อ Ryan Wesley Routh ถูกจับกุมได้ก่อนลงมือ โดยพบว่าเตรียมปืนยาวสไตล์ SKS ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เพื่อรอยิงผู้นำสหรัฐฯ การสอบสวนระบุว่ามีการวางแผนและสอดส่องพื้นที่อย่างเป็นระบบ แต่เจ้าหน้าที่สามารถหยุดเหตุร้ายได้ทันโดยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ลอบสังหารบุคคลสำคัญฝ่ายขวาอย่างชาร์ลี เคิร์ก สะท้อนความตึงเครียดทางการเมืองและความขัดแย้งแบ่งขั้วที่ดำรงอยู่ในสหรัฐฯ

#ชาร์ลีเคิร์ก #โดนัลทรัมป์ #ลอบสังหาร #สหรัฐอเมริกา 

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 เพจเฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เผยแพร่ข้อความระบุว่า นายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในโอกาสที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568

ในแถลงการณ์ รัฐมนตรีรูบิโอระบุว่า สหรัฐฯ ตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีอนุทินและรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“เราตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีอนุทินและรัฐบาลของท่าน เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แนบแน่นของเราซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน” รูบิโอกล่าว

นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และไทยจะยังคงเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และเสรีภาพทั่วทั้งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

#การเมือง #สหรัฐอเมริกา #อนุทิน #นายกรัฐมนตรี 

"สุริยะ" สั่งเดินหน้านโยบายเปิดเส้นทางบินตรงไทย-สหรัฐฯ มอบหมาย กพท. เข้าเจรจาหน่วยงานสำคัญของสหรัฐอเมริกา พร้อมเตรียมพร้อมรับการตรวจ ICAO ภายในปลาย ส.ค.68 

วันที่ 12 มิถุนายน 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากนโยบายการยกระดับบทบาทของประเทศไทยสู่การเป็น ศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาล จึงได้เร่งรัดผลักดันให้ประเทศไทยเปิดเส้นทางบินตรงไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายโอกาสด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานั้นได้ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างเคร่งครัดจึงทำให้ขณะนี้ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับกลับคืนสู่ Category 1 จากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐอเมริกา  (Federal Aviation Administration - FAA) 

ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ดำเนินการตามยุทธศาสตร์เชิงรุก โดยให้ เจรจาความร่วมมือกับหน่วยงานสำคัญของสหรัฐอเมริกา ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ Transportation Security Administration (TSA) และ Federal Aviation Administration (FAA) เป็นต้น พร้อมให้สอดคล้องกับนโยบายการเปิดเส้นทางบินตรงไทย-สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นอีกส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การยกระดับอุตสาหกรรมการบินไทย หลังผ่าน FAA Category 1  เพื่อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศและสร้างความเชื่อมั่นในเวทีโลก 

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ยังได้สั่งการให้ กพท. เตรียมความพร้อมทั้งด้านมาตรฐานความปลอดภัยและการบริหารจัดการเส้นทางบิน รวมถึงศึกษาแนวทาง การจัดตั้งระบบตรวจคนเข้าเมืองล่วงหน้า (Pre-Clearance Check) ที่สนามบินในไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกและความรวดเร็วในการเดินทางเข้าสหรัฐฯ พร้อมทั้งให้เตรียมรับการตรวจสอบด้านการกำกับดูแลความปลอดภัยจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งมีกำหนดจะดำเนินการตรวจสอบในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568 ในโครงการตรวจสอบการกำกับดูแลความปลอดภัยสากล (Universal Safety Oversight Audit Programme – Continuous Monitoring Approach: USOAP CMA) โดยเป็นการประเมินว่าประเทศไทยได้นำองค์ประกอบที่สำคัญ (Critical Element: CE) ของระบบการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลการประเมินจะอยู่ในรูปแบบของค่า Effective Implementation (EI Score)

ล่าสุด กพท. ได้รายงานว่า ขณะนี้ได้หารือร่วมกับผู้บริหารท่าอากาศยานหลักของสหรัฐฯ ได้แก่ ท่าอากาศยานนานาชาติซอลต์เลกซิตี และ ท่าอากาศยานนานาชาติโลแกน บอสตัน เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดเส้นทางบินตรงระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และหารือถึงแนวทางความร่วมมือในกระบวนการอนุญาต Foreign Air Operator Permission (FAOP) สำหรับสายการบินสหรัฐฯ ที่มีแผนจะให้บริการในประเทศไทย โดยได้เปิดการเจรจาอย่างใกล้ชิดกับ สายการบิน United Airlines ซึ่งมีความสนใจเปิดเส้นทางบินตรง โดยเฉพาะเส้นทาง กรุงเทพฯ – ลอสแอนเจลิส  อีกทั้งได้รายงานอีกว่า กพท.ได้ประสานกับหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแล และภาคส่วนอุตสาหกรรมการบิน และเตรียมความพร้อมของบุคลากร เพื่อรองรับการตรวจสอบจาก ICAO ภายในช่วงปลาย ส.ค. นี้

วันที่ 17 มี.ค. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสภายุโรปมีมติประณามประเทศไทยจากกรณีส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน และกรณีสหรัฐอเมริกาจำกัดวีซ่าเจ้าหน้าที่ไทยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ว่า เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ชี้แจงแล้ว ซึ่งเป็นไปตามนั้น ขณะนี้ยังไม่มีอะไรที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย 

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะส่งผลกระทบกับการเดินทางไปร่วมประชุมที่สหรัฐฯหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่าเพิ่งไปคิด โดย กต.ชี้แจงทุกอย่างชัดเจนแล้ว ขอให้ยึดสาระที่ กต.ได้ชี้แจง ซึ่งตนคิดว่าเหตุผลตรงนั้นเพียงพอ คนอื่นไม่ควรจะต้องแสดงความเห็น 

เมื่อวันที่ 9 ต.ค.67 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า อัยการสูงสุด มากกว่า 10 รัฐทั่วประเทศสหรัฐ อเมริกา ได้ทำการยื่นฟ้องติ๊กต๊อก (TikTok) ในข้อหาหลอกลวงผู้ใช้ว่าเป็นแอปพลิเคชั่นที่มีความปลอดภัยสำหรับเยาวชน รวมทั้งถูกกล่าวหาว่าดำเนินธุรกิจโอนเงินโดยไม่ได้รับอนุญาต

นายไบรอัน ชวอลบ์ อัยการสูงสุดจากวอชิงตัน ดีซี กล่าวว่า "เรายื่นฟ้องเพื่อให้ TikTok รับผิดชอบต่อการทำร้ายเด็กของเรา"

นายชวอลป์ ระบุว่า เด็กและเยาวชนที่เสพติดการใช้ TikTok จะมีปัญหาทางสุขภาพจิต ซึ่งรวมถึงภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล นอนไม่หลับ และเกิดความรู้สึกไม่พึงพอใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง

นอกจากนี้ คำฟ้องระบุถึงอันตรายของฟีเจอร์ TikTok LIVE และ TikTok Coins ซึ่งผู้ใช้บริการจะซื้อ Coins เพื่อส่ง Gifts ในช่วงที่มีการ LIVE โดย TikTok สามารถทำรายได้จำนวนมากจากการขาย Coins เนื่องจากมีการเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นสูงถึง 50% สำหรับการทำธุรกรรมแต่ละรายการ

"ระบบการโอนเงินดังกล่าวได้ละเมิดกฎหมายของวอชิงตัน ดีซี เนื่องจากไม่มีการขอใบอนุญาต" คำฟ้องระบุ

#ติ๊กต๊อก #TikTok #สหรัฐอเมริกา #ข่าวต่างประเทศ
 

เมื่อวันที่ 30 ส.ค.67 อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ประกาศในระหว่างการหาเสียงว่า เขาจะให้รัฐบาลหรือบริษัทประกันจ่ายค่าทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หากเขาชนะเลือกตั้ง ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อหวังดึงคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งกลุ่มผู้หญิงและผู้ที่อยู่อาศัยในเขตชานเมือง

ทรัมป์ชูนโยบายดังกล่าวระหว่างการหาเสียงเมื่อวันพฤหัสบดี (29 ส.ค.) ในเมืองลาครอสส์ รัฐวิสคอนซิน ซึ่งจัดขึ้นในรูปแบบทาวน์ฮอลล์ โดยก่อนหน้านี้ในการลงพื้นที่หาเสียงวันเดียวกันที่รัฐมิชิแกน ทรัมป์ยังได้กล่าวด้วยว่า คณะทำงานของเขาจะผลักดันให้บรรดาพ่อแม่มือใหม่สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตรไปใช้ลดหย่อนภาษีได้

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานผลสำรวจว่า ทรัมป์ เริ่มสูญเสียคะแนนนิยมในกลุ่มผู้หญิงนับตั้งแต่ที่รองปธน.คามาลา แฮร์ริส ขึ้นแท่นแคนดิเดตปธน.จากพรรคเดโมแครต โดยแฮร์ริสมีคะแนนนำในหมู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพศหญิงเมื่อเทียบกับทรัมป์ที่ 49% ต่อ 36% หรือสูงกว่ากัน 13% และสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคะแนนนำที่ 9% ในผลสำรวจเมื่อเดือน ก.ค.

รายงานข่าวแจ้งว่า แฮร์ริสได้กล่าวโจมตีจุดยืนของทรัมป์เกี่ยวกับการทำแท้ง พร้อมทั้งโจมตีพรรครีพับลิกันว่าเป็นภัยคุกคามต่อสิทธิสตรี รวมถึงการเข้าถึงการคุมกำเนิด ยาทำแท้ง และการรักษาภาวะมีบุตรยาก

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทรัมป์ได้โพสต์บนทรูธโซเชียล (Truth Social) ของเขาว่า คณะบริหารของเขาพร้อมสนับสนุนผู้หญิงและสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นความพยายามของทรัมป์ในการลดท่าทีแข็งกร้าวลง ขณะที่ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้สนับสนุนที่เป็นคริสเตียน

#โดนัลด์ทรัมป์ #เลือกตั้ง #สหรัฐอเมริกา

ไม่นานมานี้ รัฐมนตรีกลาโหมสิงคโปร์ อึ้ง เอ็ง เฮ็น (Ng Eng Hen) ได้แสดงความเห็นบน Aspen Security Forum ในโคโลราโด สหรัฐอเมริกาว่า สหรัฐอเมริกากำลังค่อยๆ สูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุหลักมาจากการปฏิบัติการทางการทูตและการทหารที่วุ่นวาย กลุ่มมุสลิมในสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซียไม่พอใจอย่างยิ่งต่อจุดยืนของสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกอื่นๆ ในการส่งเสริมสงครามฉนวนกาซา คนหนุ่มสาวในสิงคโปร์และประเทศอื่นๆก็ไม่พอใจกับสหรัฐฯ และประเทศตะวันตกเป็นพิเศษเช่นกัน
 
    
คำพูดดังกล่าวก่อให้เกิดเป็นกระแสไม่น้อย อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้ว สิงคโปร์เป็น "พันธมิตร" หลักของสหรัฐอเมริกาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาโดยตลอด ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2548 สิงคโปร์ได้ลงนามใน "ข้อตกลงร่วมมือกรอบยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัย" กับสหรัฐอเมริกา ได้กลายเป็น "พันธมิตรด้านความมั่นคงรายใหญ่" เพียงแห่งเดียวของสหรัฐอเมริกาในโลก เรียกได้ว่าสิงคโปร์เป็นแกนหลักของกลุ่มเพื่อนของสหรัฐอเมริกา แต่คำกล่าวของ อี้ง เอ็ง เฮ็ง ต่อสาธารณชนก็สะท้อนให้เห็นในระดับหนึ่งว่าเกิดปัญหาสำคัญในนโยบายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา
    
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ ได้ช่วยเหลือฟิลิปปินส์และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากฟาสซิสต์ญี่ปุ่น นี่เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมภูมิภาคนี้โดยทั่วไปจึงสนับสนุนอเมริกา อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ระหว่างประเทศ สหรัฐฯ ได้ทำการเคลื่อนไหวต่างๆเพื่อรักษาอำนาจนำระดับโลกของตนไว้ โดยบังคับให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องเลือกข้างระหว่างจีน รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา วิธีใช้อำนาจทางการเมืองนี้ถูกคัดค้านโดยประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สหรัฐอเมริกาก็อาจสูญเสียการสนับสนุนและความเคารพที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ 

จากการสำรวจ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเข้าใกล้กับจีนมากขึ้นเนื่องจากพวกเขามองเห็นคุณค่าของผลประโยชน์ของการค้าขายกับจีน นโยบายที่สหรัฐฯ ดำเนินมาเป็นเวลานานนั้น แท้จริงแล้วไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์พื้นฐานของประชาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากนัก สหรัฐอเมริกาและทางตะวันตกไม่ได้ถือว่าประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นคู่ค้าที่เท่าเทียมกัน พวกเขากำหนดกฎเกณฑ์ทางการค้าที่ไม่เท่าเทียมกันโดยการควบคุมตลาดสกุลเงินระหว่างประเทศและตลาดพลังงานและเชื้อเพลิง กลับกันที่จีนให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมและผลประโยชน์ร่วมกันมากขึ้นในการร่วมมือค้าขายกัน ในปี 2566 ข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ที่นำโดยจีนจะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ โดยปริมาณการค้าระหว่างอาเซียนและจีนจะสูงถึง 6.41 ล้านล้านต่อปี ซึ่งมากกว่าปริมาณการค้าระหว่างอาเซียนและสหรัฐอเมริกาถึง 6 เท่า

โลกกำลังก้าวหน้าต่อไป และในปัจจุบันสหรัฐอเมริกาไม่ได้เป็นมหาอำนาจที่ได้รับความนิยมและเป็นที่เคารพอย่างที่เคยในประวัติศาสตร์อีกต่อไป หากสหรัฐฯยังคงยืนกรานในแนวทางของตนเอง โดยผูกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้ากับการ "ต่อต้านจีน" และลิดรอนพวกเขาจากสิทธิทางการฑูตและการพัฒนาที่เป็นอิสระ เมื่อนั้น เพื่อนสนิทของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็จะมีน้อยลงเรื่อยๆอย่างแน่นอน

ผู้เขียน : Old tr

Ref. 
Minister for Defence Speaks at ASF (Aspen Security Forum)
https://www.youtube.com/watch?v=sU2pr-w7PnY
https://www.mindef.gov.sg/news-and-events/latest-releases/17jul24_nr

วันที่ 6 ส.ค. 67 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา กำลังมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาล ได้มีการติดตามอย่างไรบ้างว่าก็ดูอยู่เมื่อเช้าก็เช็คตลาดหุ้นก็เด้งขึ้นมาแล้ว ตนเชื่อว่าน่าจะดูแลได้ ส่วนของตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ตกมากเป็นประวัติศาสตร์วันนี้ก็ขึ้นมาแล้ว 10% เป็น “แพนิคเซลล์”หรือ ความกังวลมากกว่าตนเชื่อว่าสหรัฐเองก็มีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แล้ว

วันที่ 1 ส.ค. 67 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขปัญหายาเสพติดว่า เมื่อวันที่ 31 ก.ค.ได้มีการพูดคุยเรื่องปัญหายาเสพติดกับ นายรอเบิร์ต เอฟ. โกเด็ก (Robert F. Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจําประเทศไทย ซึ่งทางเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ได้มาพบตน ตนเข้าใจว่าหน่วยงานที่ดูแลด้านยาเสพติดของสหรัฐอเมริกา เขาได้มีการประสานงานกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ของเราอยู่แล้ว แต่อาจยังไม่ได้ลงไปในพื้นที่มากนัก เพราะฉะนั้นถ้าตนมีโอกาสลงพื้นที่ในภาคเหนืออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าจะลงไปในปลายเดือน ส.ค.นี้ ก็จะเชิญเขาไปด้วย เพราะอย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องแค่ยาบ้าอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นมา แต่มีจำนวนเฮโรอีนที่เพิ่มขึ้นมา 4 เท่าตัวด้วย โดยมีปลายทางอยู่ที่ออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกา 

ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องยาเสพติดจะมีมาตรการอะไรเด็ดขาดที่จะทำให้ยาเสพติดหมดไปได้โดยเร็ว นายกฯ กล่าวว่า ปัจจุบันนี้ก็ทำกันอยู่ อย่างที่บอกไปว่าเรามี 25 จังหวัดหลัก โดยโฟกัสที่จังหวัดน่านและร้อยเอ็ด ที่จะต้องให้เป็นจังหวัดสีขาวให้ได้ภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ จุดหลักเลยคือการเอ็กซเรย์ทุกคน มีการตรวจปัสสาวะ และจับเข้ากระบวนการ

เมื่อถามว่า ทางกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้มีการรายงานว่าจากการตรวจปัสสาวะของกลุ่มอาชีวะพบปัสสาวะสีม่วงเยอะหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่ได้รายงานอะไร แต่ถ้าเจอต้องเข้าสู่ระบบ ซึ่งในวันประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตนได้คุยกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ว่ากระทรวงมหาดไทยจะต้องช่วยกันเยอะขึ้น เพราะ 25 จังหวัดนี้บางจังหวัดทำได้ดีเกินคาด แต่บางจังหวัดยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ควรจะเป็น ซึ่งก็ได้กำชับให้ นายอนุทิน ให้สั่งการจังหวัดต่างๆ ซึ่งนายอนุทินได้รับปากจะกำชับในเรื่องนี้ 

“สยามรัฐ” ยืนหยัดอยู่บนบรรณพิภพ และสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม ด้วยปณิธาน “นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเหปคฺคหารหํ” แปลว่า “พึงชมคนที่ควรชม พึงข่มคนที่ควรข่ม” ...*...

วิกฤติการเมืองสหรัฐฯ เกิดเหตุช็อกโลก เมื่อมีความพยายามลอบสังหาร คู่ชิงประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเลือกตั้งที่จะมาถึง …*…

 ยิ่งภาพที่ “ทรัมป์” พยายามชูปกำปั้น ถือว่ามีนัยสำคัญต่อการเลือกตั้ง ที่อาจจะมีผลให้เขาได้รับคะแนนสงสารมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้ สถานการณ์ของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ลงเลือกตั้งป้องกันแชมป์อีกสมัย ต้องเตรียมตั้งรับจากผลพวงของเหตุการณ์ลอบสังหา ร…*…

แต่หากย้อนกลับไปดู ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในการเมืองสหรัฐนั้น มีมาเป็นระยะ โดยที่ผ่านมา มีประธานาธิบดีสหรัฐที่ถูกลอบสังหารสำเร็จไปแล้ว 4 คน อับราฮัม ลินคอล์น  เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์ วิลเลียม แม็กคินลีย์ และ จอห์น เอฟ เคนเนดี  รวมทั้งโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี ที่ถูกยิงขณะเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ…*…

ส่วนเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา โรเบิร์ต ฟิโก นายกรัฐมาตรีของสโลวาเกีย ก็รอดตายอย่างหวุดหวิดจากเหตุลอบสังหาร แม้แต่ในเอเชีย ญี่ปุ่นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ชินโซ อาเบะ อดีตนายกฯญี่ปุ่น ก็ถูกลอบยิง ระหว่างขึ้นปราศรัยหาเสียง และเสียชีวิตในเวลาต่อมา…*…

ส่วนไทยเราก็เคยมีผู้นำที่ตกเป็นเป้าลอบสังหารแม้จะไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น จอมพล ป.วิบูลสงคราม “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ทักษิณ ชินวัตร อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา …*…

 นักข่าวไปถาม “ทักษิณ” กรณีที่ “ทรัมป์” ถูกลอบยิง ก็ได้แสดงความห่วงใย และบอกว่า การแสดงออกด้วยความไม่พอใจ แบบนี้ไม่ดี ส่วนบุคคลสำคัญในประเทศไทยนั้น ก็ต้องระวังตัว แต่บ้านเราคงไม่อะไรขนาดนั้น บ้านเราเป็นเมืองพุทธ ปัญหาความรุนแรงไม่ค่อยมีเท่าไหร่…*…

“แต่ว่าผมก็โดนหลายรอบ ตอนสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องระวังอยู่ดี ซึ่งประเทศไทยก็ไม่น่าจะถึงขนาดนั้น ซึ่งในอเมริกกา คนที่เจ็บป่วยทางจิตเยอะ บางทีก็มีบ้างก็เป็นห่วงอยู่”…*…

หันมาดูการเมืองไทย อยู่ในจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญอีกเช่นกัน โดยในเดือนสิงหาคมนี้ “ทักษิณ” จะครบกำหนดการพักโทษและ กรมราชทัณฑ์จะดำเนินการออกใบบริสุทธิ์ให้ จากนั้นก็จะได้รับการปล่อยตัว…*…

ในจังหวะรุกเหยียบถิ่นอีสานใต้ ของ เนวิน ชิดชอบ ที่จ.สุรินทร์ พร้อมประกาศ  “ผมเชื่อว่ารัฐบาลหลังจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นไปเนี่ย  คงจะทำงาน มีรูปธรรมออกมา เพื่อให้เป็นผลประโยชน์ต่อพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ”…*…

กระนั้น หากถอดบทเรียนจากการเมืองในสหรัฐฯ ที่บ่มเพาะความเกลียดชังกัน จนปะทุออกมาด้วยการใช้ความรุนแรง น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกฝ่าย ต้องเร่งตระหนัก โดยเฉพาะพวกที่พยายามให้ร้ายสถาบัน สร้างปีศาจหลอกลวงประชาชน เพื่อถีบตัวเองเข้าสู่การเมือง ...*...

ที่มา:ศรพระราม (16/7/67)