สมาคมนักข่าวฯ แถลงเตือนรัฐบาล ปมถ่ายภาพสื่อถามพิพาทไทย-กัมพูชา ชี้เข้าข่ายคุกคามเสรีภาพสื่อ

สมาคมนักข่าวฯ แถลงเตือนรัฐบาล ปมถ่ายภาพสื่อถามพิพาทไทย-กัมพูชา ชี้เข้าข่ายคุกคามเสรีภาพสื่อ

วันที่ 11 มิถุนายน 2568 แถลงการณ์สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เรื่องการกระทำที่เข้าข่ายคุกคามสื่อมวลชน ประจำทำเนียบรัฐบาล

สมาคมนักข่าวฯ แถลงการณ์ เตือนทีมงานนายกฯ กรณีถ่ายภาพและเผยแพร่ใบหน้าสื่อมวลชนที่ตั้งคำถามปมพิพาท ‘ไทย-กัมพูชา’ อาจเข้าข่ายคุกคาม สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว หวังให้รัฐบาล เคารพเสรีภาพสื่อ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำหน้าที่อย่างปลอดภัย

สืบเนื่องจากกรณีที่มีข่าวว่า ทีมงานด้านภาพลักษณ์และสื่อสังคมออนไลน์ของนายกรัฐมนตรีได้บันทึกภาพสื่อมวลชนขณะปฏิบัติหน้าที่ตั้งคำถามต่อน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา เมื่อวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน 2568 ภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยต่อมา ภาพใบหน้าของผู้สื่อข่าวดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ และปรากฏว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากกลุ่มผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่นายกรัฐมนตรีแสดงปฏิกิริยาไม่พึงพอใจต่อคำถามของสื่อมวลชนเกี่ยวกับประเด็นเดียวกัน ณ ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดนี้ก่อให้เกิดความกังวลใจต่อบรรยากาศในการทำหน้าที่ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล

สมาคมนักข่าวฯ ขอแสดงความไม่สบายใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงผลกระทบของการกระทำที่อาจเป็นการคุกคามต่อเสรีภาพของสื่อมวลชน โดยมีข้อสังเกต ดังนี้

1. การบันทึกภาพสื่อมวลชนเฉพาะเจาะจงระหว่างการตั้งคำถามต่อผู้บริหารประเทศ และการเผยแพร่ภาพดังกล่าวต่อสาธารณะ อาจถูกมองว่าเป็นการกดดันหรือข่มขู่ ซึ่งกระทบต่อบรรยากาศการทำงานของสื่อมวลชน และบั่นทอนหลักเสรีภาพในการนำเสนอข่าวสารและการตั้งคำถามอันเป็นหัวใจของวิชาชีพในระบอบประชาธิปไตย

2. พฤติกรรมดังกล่าวก่อให้เกิดบรรยากาศความหวาดกลัวในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อ โดยเฉพาะในการสอบถามประเด็นอ่อนไหวที่ประชาชนให้ความสนใจและต้องการคำชี้แจงจากรัฐบาล

3. สมาคมฯ ขอเรียกร้องให้ทีมงานนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หยุดพฤติกรรมที่อาจถูกตีความว่าเป็นการคุกคามสื่อมวลชน และขอให้รัฐบาลส่งเสริมเสรีภาพสื่อโดยสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเป็นอิสระในการปฏิบัติงานของสื่อมวลชน

สมาคมนักข่าวฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญกับบทบาทของสื่อในฐานะกลไกตรวจสอบและกระบอกเสียงของประชาชน พร้อมทั้งขอให้ทุกฝ่ายเคารพเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และร่วมกันสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำงานของสื่อมวลชนอย่างมีคุณภาพและเป็นอิสระ

AI ไม่ปลอดภัย 100% เสวนาเสรีภาพสื่อยุค AI เตือนภัยเงียบหลอกให้เชื่อทั้งภาพ-เสียง หนุนสื่อฯสร้างกลไกตรวจสอบให้ ปชช.

AI ไม่ปลอดภัย 100% เสวนาเสรีภาพสื่อยุค AI เตือนภัยเงียบหลอกให้เชื่อ ทั้งภาพ-เสียง หนุนสื่อฯสร้างกลไกตรวจสอบให้ ปชช.

วันที่ 3 พ.ค.67 ที่ห้องบอลรูมชั้น 7 อาคารบางชื่อจังชั่น ถ.กำแพงเพชร 2 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ UNESCO และสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาที่กรุงเทพ จัดงานเสวนา หัวข้อ “เสรีภาพสื่อในยุค AI”เนื่องในวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก” (World Press Freedom Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปี เพื่อให้เป็นวันที่กระตุ้นให้ประชาชนและรัฐบาลทั่วโลกเล็งเห็นความสำคัญของเสรีภาพสื่อมวลชน

สำหรับวิทยากรผู้บรรยายในครั้งนี้ ประกอบด้วย พล.อ.ต.อมร ชมเชย เลขาธิการคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ นายชัชวาล สังคีตตระการ นักวิจัยศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กกรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดร.สิขเรศ ศิรากานต์ ประธานอนุกรรมการฝ่ายวิชาการ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และนางสาวกนกวรรณ เกิดผลานันท์ หัวหน้าข่าวต่างประเทศหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ChatGPT เติบโตรวดเร็ว

เริ่มที่ ดร.สิขเรศ กล่าวว่า เมื่อเราพูดถึงสิทธิเสรีภาพ เราจะพูดถึงการสื่อสารโดยปราศจากการแทรกแซงใดๆ ทั้งการเมือง และเศรษฐกิจ แต่หัวข้อเรื่องเทคโนโลยีในวันนี้จะสามารถเข้ามาแทรกแซงเสรีภาพของสื่อมวลชนได้อย่างไร เพราะทุกวันนี้เราอยู่ภายใต้ระบบนิเวศน์ใหม่ของสื่อที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ทำให้โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับบริษัทต่างชาติทั้งนั้น ทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตก อย่าง อย่าง ChatGPT ที่เติบโตอย่างรวดเร็วกว่าโซเชียลมีเดีย ทำให้วิถีการทำงานของสื่อจะเปลี่ยนแปลง โดยมีตัวแปลสำคัญอย่าง AI หรืออัลกอริทึมที่เข้ามา ก็เป็นโครงสร้างพื้นที่แบบใหม่เข้ามาในระบบนิเวศน์ของสื่อ

ดร.สิขเรศ กล่าวต่อว่า โดยเฉพาะในปี 2022-2024 AI เข้ามามีบทบาทอย่างไร ซึ่งตนจะใช้คำว่า AI Journalist 101 หรือเรียกว่า วารสารศาสตร์ปัญหาประดิษฐ์ 101 เข้ามามีบทบาทใน 7 บริบท ประกอบด้วย 1.Data Gathering หรือการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร 2.News - Script Writing หรือการเขียนสคริปต์ข่าว 3.Fact-checking หรือการตรวจสอบข้อเท็จจริง 4.Audience Engagement หรือการมีส่วนร่วมของผู้ชมมากยิ่งขึ้นทุกวัย 5.Automated Translation หรือการแปลอัตโนมัติ 6.Personalized News - Content - Ads Delivery หรือข่าวส่วนบุคคล เนื้อหา การแสดงโฆษณา และ 7.Automated Video - Audio Production & Editing หรือวิดีโออัตโนมัติ การผลิตและการตัดต่อเสียง

ใช้ AI เข้ามาทำงานมากขึ้น

ดร.สิขเรศ กล่าวว่า เราคงตื่นเต้นกับข่าวของสำนักข่าวต่างประเทศที่มีการประกาศเลย์ออฟพนักงานลง เพื่อทดแทนด้วยระบบ AI นอกจากนี้ AI ยังเข้ามามีบทบาทในการพากษ์เสียงไฮไลท์ในการแข่งขันเทนนิสวิมเบิลดัน หรือการจัดรายการวิทยุก็มีการใช้ AI เข้ามาร่วม ไม่ใช่แค่นั้นแต่ในฝั่งฮอลลีวูดพบว่ามีการประท้วงมาแล้ว เพราะจะมีการใช้ AI มาสร้างเป็นนักแสดงหรือตัวประกอบอันใกล้นี้

“แม้กระทั่ง Deep Fake ก็มี AI มีส่วนเข้ามา และมีคนที่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจริงและนำไปแชร์ต่อไป ที่ผ่านมาผมเคยไปดูงานที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ มีการใช้ AI เข้ามาตัดต่อ หรือจำลองภาพวงเกิร์ลกรุ๊ปเข้ามาได้สบาย รวมถึงในสตูดิโอก็มีการสั่งการทำงานของกล้องด้วย AI หรือในวงการผู้ประกาศข่าวมีพัฒนาการมาตั้งแต่ปี 2018-2019 แล้ว แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ผู้ประกาศยุคนี้ไม่ใช่แค่ตัวอวตารที่อยู่ในจอเท่านั้น แต่สามารถสร้าง AI อวตารที่มนุษย์สามารถตอบโต้กับ AI ตัวนั้นได้” ดร.สิขเรศ กล่าว

สื่อไทยใช้ AI ต่อเนื่อง

ดร.สิขเรศ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันในวงการข่าวของไทยในส่วนของ ”ไทยพีบีเอส“ ก็มีการประกาศวิสัยทัศน์ไปแล้วในการทดลองใช้ AI รวมถึงสถานี mono29 หรือ Nation tv ที่ใช้ AI เป็นผู้ประกาศ แต่สิ่งสำคัญเชื่อว่าอาจมีการใช้ AI ในภาคการเมืองเกิดขึ้นในการเลือก สว.เพื่อผลิตผลงานในการหาเสียง

ดร.สิขเรศ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีกรณีศึกษาที่จะเห็นว่า ทั่วโลกจะมีแนวโน้ม 2 ปนะการ 1.สื่อมวลชนมีการร่วมมือกับบริษัท AI อย่างเปิดเผย เช่น AP หรือ 2.ตั้งหน่วยงานของตัวเองขึ้นมาเพื่อพัฒนาระบบ AI เช่น นิวยอร์กไทม์ ทำให้โจทย์สำคัญหลังจากนี้ จะทำให้การกำกับดูแลมีความสำคัญอย่างไร เพราะมีการใช้ AI สร้างภาพปลอมขึ้นมา และมีคนที่พร้อมจะเชื่อข้อมูลส่วนนี้เช่นกัน

ยก 5 กรณีศึกษานานาชาติ

ดร.สิขเรศ กล่าวว่า หลังจากนี้ต้องมีการศึกษา 5 กรณีศึกษานานาชาติ ต่อแนวปฏิบัติการใช้นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ในงานข่าวและสื่อสร้างสรรค์ ประกอบด้วย

1.กรณีศึกษา สำนักข่าว AP - Associated Press (1846): "Standards Around Generative AI" (16 สิงหาคม 2023)

2.กรณีศึกษาหลักการเบื้องต้น 3 ประการในการนำนวัดกรรม Generative Al มาใช้ในงานข่าวและการนำเสนอ ข้อมูลรายการของ BBC "Generative Al at the BBC" (ตุลาคม 2023)

3.กรณีศึกษา "Paris Charter on Al in Journalism" ธรรมนูญว่าด้วยการใช้นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ในงานวารสารศาสตร์และงานข่าว โดย Reporters Without Borders ร่วมกับ 17 องค์กร-สำนักข่าว คณะทำงานผู้ทรง คุณวุฒิด้านสื่อสารและผู้สื่อข่าวทั่วโลก (ธันวาคม 2023)

4.กรณีศึกษา AI @ Thomson Reuters (2023) "Data and Al Ethics Principles" จริยธรรมปัญญาประดิษฐ์แนวปฏิบัติการใช้นวัดกรรมปัญญาประดิษฐ์ของบริษัทหรือสำนักข่าวในเครือ Thomson Reuters

5.กรณีศึกษา นโยบายของ WIRED ในการนำนวัตกรรม Generative AI มาใช้ในการรายงานข่าว บทความ ภาพประกอบ (22 พฤษภาคม 2023) "How WIRED Will Use Generative Al Tools

หนุนออกแนวปฏิบัติตรวจสอบ AI

“เรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่ออยู่ภายใต้ระบบนิเวศน์ใหม่ที่เทคโนโลยี AI เข้ามา ทำให้ผู้ควบคุมก็มีส่วนสำคัญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่สุดท้ายเราจะมีวิธีการควบคุมอย่างไรเท่านั้น”ดร.สิขเรศ กล่าว

ดร.สิขเรศ กล่าวด้วยว่า ในแวดวงสื่อมวลชนยังเชื่อมั่นในสมาคมสื่อฯ ที่ต้องออกแนวปฏิบัติของตัวเองขึ้น อาจจะเริ่มต้นแนวปฏิบัติ 4-5 ข้อเพื่อตรวจสอบข้อมูลหรือการใช้ AI รวมถึงการเขียนที่มาของงานชิ้นนั้นว่ามาจาก AI หรือไม่ นอกจากนี้อาจจะมีร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิต AI ในการพัฒนา AI ไปด้วยกัน

จับตา AI ปัญหาใหญ่ของโลก

พล.อ.ต.อมร กล่าวว่า ปัญหาเรื่องข้อมูลข่าวสารที่ไม่จริงถือเป็นปัญหาใหญ่ของโลกนี้ โดย The World Economic Forum มองว่าอีก 2 ปีปัญหานี้จะขึ้นเป็นเป็นอันต้นของโลก นอกจากปัญหาภาวะโลกร้อนหรือโรคอุบัติใหม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มี AI ควบคุมมานานแล้วในระบบไซเบอร์ แต่ในปีนี้มีกระบวนการพัฒนามากกว่าเดิม อาทิ Deepfake ที่มีภาพและเสียงแบบเรียลไทม์ แต่ต่อไปเชื่อว่าจะมี AI เป็นหน้า เสียง และสามารถคุยกับเราได้ด้วย

“เมื่อมีปัญหาขึ้นมาทำให้คนจะมองได้ 2 แบบ 1.เป็นพัฒนาการโดยให้คนตัดสินใจเอง หรือ 2.ต้องเข้าไปกำกับดูแลหรือไม่ ก็อยู่ที่ว่าจะมองฝั่งไหนทั้งในเรื่องเสรีภาพการนำเสนอ หรือเสรีภาพในการเลือกจะเชื่อสื่งเหล่านี้ ส่วนอีกด้านก็สนับสนุนให้ต้องมีการรควบคุมเทคโนโลยีเหล่านี้”พล.อ.ต.อมร กล่าว

หนุนสื่อฯช่วยตรวจสอบข้อมูล

พล.อ.ต.อมร กล่าวอีกว่า ส่วนบทบาทของสื่อมวลชนถือว่ามีความสำคัญจะบอกว่าสิ่งไหนจริงหรือไม่จริง แต่ที่น่ากลัวคือการนำความจริงมาปะปน หรือการเล่าไม่หมดที่จะมาในแนวทางของ Clickbait ซึ่งอัลกอริทึมจะชอบที่มีคนมาคอมเม้นต์หรือกดไลค์เยอะๆ ซึ่งเป็นใครที่สามารถทำแบบนี้ได้เพื่อล่อให้คนมาคอมเม้นต์ ซึ่งในเรื่องนี้สื่อมวลชนต้องคอยตรวจสอบข้อมูลให้ประชาชนว่า สิ่งไหนจริงหรือไม่

“อยากให้มีเสรีภาพในการเชื่อให้เหมาะสม และอยากให้มีเสรีภาพทางความคิดว่าสิ่งนั้นใช่หรือไม่ นอกจากนี้ AI เอไอเหมือนจะมาเปลี่ยนแปลงโลก จากเดิมที่มีหนังสือพิมพ์น้อยลงตั้งแต่มีอินเตอร์เนตเข้ามาเมื่อ 20 ปีก่อน ตอนนั้นสื่อไทยเตรียมตัวแค่ไหนก็คลื่นของความเปลี่ยนแปลงที่เข้ามา เพราะต้องรู้อย่างสนิทไม่ใช่ผิวเผิน เพื่อให้เรารู้จัก AI อย่างเข้าใจ” พล.อ.ต.อมร กล่าว

พล.อ.ต.อมร กล่าวอีกว่า มนุษย์ต้องตรวจสอบ AI ในฐานะเครื่องมือ เมื่อนำ AI ไปใช่ก็ต้องมีความรับผิดชอบตามไปสื่อด้วย เพราะต่อไปจะพบปัญหาถูกหลอกจากเนื้อหา ภาพเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้ประกาศจะตกงานก็คิดว่าไม่มีทาง เนื่องจากไม่มีอะไรทดแทนมนุษย์ได้ในการอ่านข่าวได้อารมณ์ เพราะ AI คาดจินตนาการ

AI ไม่ปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์

ด้านนายชัชวาล กล่าวว่า ทุกวันนี้สื่อมวลชนมีบมบาทสำคัญมากในการให้ความรู้กับประชาชน เพราะยังมีประชาชนบางกลุ่มแยกแยะข้อมูลไม่ออกว่า สิ่งไหนจริงหรือไม่จริง ทำให้สื่อมวลชนจะเป็นกลไกสำคัญในการตรวจสอบ เพราะทุกวันนี้ใครก็เป็นสื่อฯได้ หรือทุกฝ่ายต้องเข้ามาช่วยกันให้ความรู้ประชาชนตรงนี้ เพราะการที่ AI สร้างข้อมูลออกมาได้ ก็ต้องให้สื่อมวลชนเพิ่มกลไกในการตรวจสอบความถูกต้องตามไปด้วย นอกจากนี้จะต้องมีการขอความร่วมมือหรือไม่กับคนที่สร้าง AI หรือนำ AI ไปใช้ โดยศึกษาจากกรณีในต่างประเทศอย่างยุโรป เพราะอย่างไร AI ก็ไม่ปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์

นายชัชวาล กล่าวอีกว่า ทุกวงการจะมี AI เข้ามามีบทบาทด้านใดด้านหนึ่ง ทุกวงการจะต้องมีการพูดคุยว่าจะมีท่าทีอย่างไรต่อการใช้งาน AI เพราะถือว่า AI มีผลกระทบทางบวกและทางลบมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอย่าไปไว้ใจหรือวางใจ AI 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะมันจะเขียนร้อยเรียงข้อความให้เราประทับใจ แต่มันอาจจะใช้ข้อมูลไม่ถูกต้องไปด้วยได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าจะใช้งานก็ต้องตรวจสอบเรื่องพวกนี้ด้วย

เทคโนโลยีทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

ด้านนางสาวกนกวรรณ กล่าวว่า คิดว่าเรื่อง AI คนรุ่นใหม่จะเข้าใจได้อย่างดี เพราะสามารถใช้ AI ช่วยได้อย่างเช่น เขียน resume ใน Gemini นอกจากนี้ในหลายสื่อต่างประเทศก็มีการใช้ AI สรุปบทความเป็น bullet point รวมถึงการใช้ AI เปลี่ยนเสียงเป็นข้อความ ซึ่งนักข่าวจะใช้เวลานานในการแปล ซึ่งได้รับคำแนะนำจากเพื่อนสื่อต่างชาติชาวมาเลเซียเขาก็บอกว่าเทคโนโลยีทำให้ชีวิตง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมี AI ที่ชื่อว่า Foiabot ซึ่งจะช่วยเขียนคำฟ้องและสามารถเข้าใจกฎหมายได้อย่างดี แต่อย่างไรก็ต้องมีการตรวจสอบอีกครั้ง และ AI ยังสามารถเปลี่ยน Text เป็น Data ได้ซึ่งเหมาะกับการทำข่าวสืบสวนสอบสวน

AI ก้าวหน้าต้องยิ่งตรวจสอบ

ขณะที่นางสาวกนกวรรณ กล่าวด้วยว่า ในอนาคตสื่อมวลจะใช้ AI อย่างไร อย่างเนชั่นกรุ๊ปก็มีผู้ประกาศ AI ผู้หญิงออกมาแล้วชื่อว่า “ณัชชา” และต่อไปจะมีผู้ประกาศผู้ชายออกมา รวมถึงในเว็ปไซต์กรุงเทพธุรกิจก็สามารถแปลข่าว 3 ภาษาแล้ว (ภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ) ถึงอาจจะมีการแปลภาษาไม่ตรงบ้างแต่เรื่องเทคโนโลยียังต้องใช้เวลา อย่างไรก็ตามในฐานะการมีกองบรรณาธิการยังเชื่อว่ายิ่ง AI ก้าวหน้ามากเท่าไหร่ ต้องเน้นความเป็นมนุษย์ในการตรวจสอบความถูกต้องมากขึ้นเท่านั้น

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ ยื่นหนังสือนายกสภาทนายความตรวจสอบเพิ่ม กรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว

นางสาวน.รินี เรืองหนู นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เข้ายื่นหนังสือถึง ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่เกิดคดีที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และปรากฎข้อมูลว่ามีนักข่าวบางส่วนรับเงินจากแหล่งข่าว โดยการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีนั้นยังไม่แล้วเสร็จ และล่าสุดจากการแถลงข่าวของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ก็มีการเผยแพร่ข้อมูลว่ามีนักข่าวและสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย รับเงินจากแหล่งข่าวและเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ โดยเฉพาะอุปนายก ตัวย่อ ว. จึงจะขอให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงรับไปตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย

นอกจากนี้นายจีรพงษ์ ยังบอกอีกว่า เมื่อวานนี้ตนเองได้พบกับทนายตั้มและได้พูดคุยกันเล็กน้อยและสอบถามถึงข้อเท็จจริง โดยชี้แจงว่าอุปนายกของสมาคมฯ ตัวย่อ ว. ในอดีตมีหลายคน ซึ่งทนายตั้มก็ยืนยันว่าข้อมูลการรับเงินเป็นไปตามที่เผยแพร่ และเป็นเรื่องของบุคคล ไม่ได้พาดพิงถึงตัวองค์กร ส่วนจะเป็นอุปนายกท่านใดนั้น ให้ทางสมาคมฯ ไปตรวจสอบกันเอง อย่างไรก็ตามนายจีรพงษ์ยอมรับว่าการที่ทนายตั้มออกมาเปิดเผยแค่ตัวย่อ ทำให้ยากที่องค์กรจะตรวจสอบ เพราะไม่อยากพุ่งเป้าไปที่คนใดคนหนึ่ง เพียงเพราะมีตัว ย่อ ว. เหมือนกัน จะกลายเป็นการกล่าวหาบุคคลนั้น ทั้งที่ตัวย่อดังกล่าวมีหลายคน แต่ทั้งนี้ทางสมาคมฯ ยินดีที่จะถูกตรวจสอบหรือถูกคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรียกมาให้ข้อมูล

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่ากรณีนี้จะสามารถตรวจสอบมรรยาททนายความของทนายตั้มได้หรือไม่ นายจีรพงษ์บอกว่า จะมีการหารือในประเด็นนี้กับสภาทนายความด้วย แต่ก็เป็นเพียงประเด็นรอง 

ด้าน ดร.วิเชียร นายกสภาทนายความ เปิดเผยว่า การตรวจสอบนักข่าวที่รับเงินจากแหล่งข่าวในคดีแรกนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบข้อเท็จจริงพยานไปเกือบเสร็จแล้ว เหลือสอบอีกแค่บางปากก็จะเสร็จสมบูรณ์ และเมื่อมีการยื่นขอให้ตรวจสอบกรณีที่ทนายตั้มแฉเพิ่มเติม ตนเองก็จะรับเรื่องไว้ และคาดว่าน่าจะสอบพยานเพิ่มเติมอีกไม่มาก จากเดิมที่ตั้งกรอบระยะเวลาไว้ 90 วัน ตอนนี้ใกล้ครบกำหนดแล้ว แต่เมื่อมีเรื่องใหม่เข้ามาก็จะขยายเวลาออกไปอีกประมาณ 1 เดือน ก็น่าจะเพียงพอในการตรวจสอบทั้ง 2 กรณี ก่อนจะมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบในคราวเดียวกัน

ส่วนกรณีที่ทนายตั้มออกมาแถลงข่าวพาดพิงถึงบุคคลอื่นในที่สาธารณะ จนทำให้เกิดความเสียหายนั้น เป็นเรื่องที่ผิดมรรยาททนายความหรือไม่ ดร.วิเชียร บอกว่ายังไม่ได้ดูการแถลงข่าวอย่างละเอียด แต่โดยหลักการสภาทนายความมีข้อบังคับอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำหน้าที่ในศาลหรือสถานที่ใด หากพิจารณาแล้วหมิ่นเหม่หรือฝ่าฝืนข้อบังคับ ก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นตอนการร้องเป็นคดีมรรยาททนายความได้ ซึ่งการตรวจสอบมรรยาททนายความนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของนายกสภาทนายความ แต่เป็นอำนาจของประธานคณะกรรมการมรรยาททนายความจะพิจารณาหากเห็นว่าพฤติกรรมของทนายความท่านใดเข้าข่ายผิดข้อบังคับของทนายความ หรือมีผู้ร้องเรียนมรรยาททนายความคนดังกล่าว ก็สามารถตั้งเรื่องตรวจสอบได้ จากนั้นเมื่อคณะกรรมการตรวจสอบแล้วก็จะผลความเห็นกลับมาที่นายกสภาทนายความ ให้พิจารณาถึงบทลงโทษหากพบว่าฝ่าฝืนข้อบังคับทนายต่อไป

ส่วนที่ทนายความของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่จะยื่นฟ้องเอาผิดทนายตั้มนั้น ก็เป็นสิทธิ์ของคู่กรณีที่สามารถกระทำได้ ซึ่งก็ต้องรอผลตัดสินของศาลถึงที่สุด อย่างไรก็ตามสภาทนายความมีข้อบังคับข้อหนึ่งว่า หากศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกในคดีที่ไม่ใช่ข้อหาประมาท หรือความผิดลหุโทษ และจำเลยเป็นทนายความ ก็จะมีการส่งเรื่องมาที่สภาทนายความเพื่อให้ถอดถอนรายชื่อจากการเป็นทนายความอยู่แล้ว และคู่กรณียังสามารถร้องเรียนต่อสภาทนายความควบคู่กันได้ด้วย

ทั้งนี้ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ ฝากถึงทนายความ ว่าทนายทุกคนสามารถที่จะแถลงข่าวในประเด็นต่างๆ ได้ แต่จะต้องมีเหตุผลและหลักฐานที่เพียงพอ รวมถึงต้องไม่ฝ่าฝืนข้อบังคับของมรรยาททนายความ

อย่างไรก็ตามยังมีรายงานว่า สาเหตุที่ทำให้การตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าวในคดีแรกล่าช้า ทั้งที่สอบข้อเท็จจริงพยานไปเกือบเสร็จแล้ว เนื่องจากยังรอพยานปากสำคัญอย่าง พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าให้ปากคำอยู่ ซึ่งมีรายงานอีกว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์เพิ่งจะประสานสภาทนายความมาเมื่อคืนนี้ ว่าอาจจะเข้าให้ข้อมูลในสัปดาห์หน้า

ขณะที่ให้หน้าเพจเฟซบุ๊กของทนายตั้ม ยังเปิดเผยข้อมูลว่า อุปนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ อักษรย่อ ว. ได้รับเงินจากบัญชีม้าส่วยตั้งแต่ปี 2020 เป็นรายเดือน เดือนละ 15,000 บาท / ต่อมาปี 2021-2022 ก็ได้เพิ่มเป็นเดือนละ 30,000-50,000 บาทด้วย

แถลงการณ์กรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด แถลงเส้นทางเงินจากเว็บพนันเชื่อมโยงนายตำรวจระดับสูง พาดพิง “นักข่าว” และองค์กรวิชาชีพ

แถลงการณ์กรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด แถลงเส้นทางเงินจากเว็บพนันเชื่อมโยงนายตำรวจระดับสูง พาดพิง “นักข่าว” และองค์กรวิชาชีพ

กรณีที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด แถลงเส้นทางเงินจากเว็บพนันเชื่อมโยงนายตำรวจระดับสูง ตอนหนึ่งมีการพาดพิงถึง “นักข่าว” และ “สมาคมนักข่าว นสพ. แห่งประเทศไทย” เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2567 นั้น  

ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพสื่อสารมวลชน ไม่นิ่งนอนใจ ได้เร่งตรวจสอบข้อมูลกับ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด อย่างเร่งด่วนภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น  โดยได้รับการยืนยันจากทีมงาน นายษิทราว่า ข้อมูลที่นำมาแถลงไม่ได้เกี่ยวข้องกับ "สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" แต่อย่างใด  องค์กรที่ถูกอ้างถึงคือ  “สมาคมนักข่าว นสพ. แห่งประเทศไทย”  

ทั้งนี้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ตรวจสอบเบื้องต้น ในระบบการจดทะเบียนของสื่อมวลชนไม่พบชื่อองค์กรที่ทีมงานนายษิทรา กล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงขอเรียกร้องให้นายษิทรา ออกมาระบุยืนยันให้ชัดว่า เป็นสมาคมใดกันแน่ เพราะถ้าแถลงด้วยข้อมูลคลุมเครือเช่นนี้จะสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชน ทำให้สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเสียหาย ทั้งที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้ออกแถลงการณ์ไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยยืนยันไม่เคยได้รับการบริจาค หรือสนับสนุนเงินจากองค์กรหรือบุคคลที่มีการกล่าวอ้างในการแถลงข่าวของทีมทนายความแต่อย่างใด ไม่เช่นนั้น ทางสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จะปกป้องเกียรติยศและชื่อเสียงของสมาคมที่ได้ก่อตั้งมายาวนานถึง 69 ปี ด้วยการดำเนินการทางกฎหมายต่อไป

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  ขอยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อมวลชน อย่างเคร่งครัด พร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคมต่อไป

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

26 มีนาคม 2567

#สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย #ทนายตั้ม #ษิทราเบี้ยบังเกิด #ข่าววันนี้

 

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยขอรวบรวมข้อมูลทุกฝ่ายรอบด้านก่อนมีท่าทีกรณีนักข่าวโดนจับ 

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยขอรวบรวมข้อมูลทุกฝ่ายรอบด้านก่อนมีท่าทีกรณีนักข่าวโดนจับ 

นายจีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ผู้สื่อข่าวเว็บไซต์ประชาไท และช่างภาพอิสระ ถูกตำรวจนอกเครื่องแบบแสดงหมายจับเข้าจับกุม ในข้อหาเป็นผู้สนับสนุนทำให้โบราณสถานเสียหายจากการขีดเขียนข้อความ จากการไปทำข่าวของนักกิจกรรมเมื่อมีนาคมปี 2566 นั้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย รับทราบสถานการณ์ รับฟังความคิดเห็นและเข้าใจถึงข้อกังวลของเพื่อนร่วมวิชาชีพ และได้ติดตามสถานการณ์เพื่อรวบรวมข้อมูลจากทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน เพื่อมีท่าทีในเรื่องดังกล่าวต่อไป 

 

 

#นักข่าวโดนจับ #สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย #ประชาไท 

คณะสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เยือนสมาคมนักข่าว สปป.ลาว เชื่อมความสัมพันธ์ 2 ประเทศ

คณะสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เยือนสมาคมนักข่าวสปป.ลาว เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับสื่อมวลชน 2 ประเทศ

เมื่อวันที่ 10 พ.ย.66 นายมงคล บางประภา นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติและที่ปรึกษาสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ นายวัศยศ งามขำ ผู้สื่อข่าวอาวุโสหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ และอุปนายกฝ่ายกิจกรรมพิเศษ พร้อมคณะผู้บริหารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เดินทางเยือนสปป.ลาว เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์กับสื่อมวลชน สปป.ลาว ตามคำเชิญของสมาคมนักข่าว สปป.ลาว ในระหว่างวันที่ 5-9  พ.ย.66 เป็นเวลา 5 วัน โดยมีนายสะวันคอน ราชมนตรี ประธานสมาคมนักข่าวสื่อมวลชน สปป.ลาว นายวรศักดิ์ ประวงเวียงคำ รองผู้อำนวยการวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ และนายขุนทอง กองมณี เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์และกิจกรรม สมาคมนักข่าว สปป.ลาวได้ร่วมให้ต้อนรับคณะสื่อมวลชนไทย ก่อนเดินทางเข้าพบนางมรกต  ศรีสวัสดิ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำนครเวียงจันทน์ สปป.ลาว กล่าวให้การตอนรับว่า ยินดีต้อนรับที่สื่อมวลชนไทยได้เดินทางมาเชื่อมความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนลาว เพื่อยกระดับองค์ความรู้ แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับราชอาณาจักรสปป.ลาว นำไปใช้ในการรายงานข่าวอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องตามหลักวิชาชีพ เพื่อประโยชน์สาธารณะ

 

สำหรับ สปป.ลาว และประเทศไทยมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับประเทศไทย ทำให้ประชาชน 2 ประเทศไปมาหาสู่กันอย่างต่อเนื่อง และมีความร่วมมือในหลายด้าน โดยเฉพาะการค้าการลงทุนดำเนินร่วมกันมาเป็นเวลานาน ทำให้ประเทศไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 2 รองจากประเทศจีน แต่ในช่วงหลังมานี้นักลงทุนจากเวียดนามได้เข้ามาบุกตลาด สปป.ลาวเป็นจำนวนมาก ทำให้การลงทุนประเทศไทยเสี่ยงอาจล่วงอยู่อันดับ 3  ดังนั้นการเดินทางมาของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้เพื่อประชุมหารือทวิภาคีจะสามารถช่วยยกความสัมพันธ์ระหว่าง2 ประเทศในหลายมิติได้เป็นอย่างดี ในส่วนสถานทูตไทยก็มีโครงการยกระดับด้านกระบวนการยุติธรรมด้วยการเชิญตัวแทน ปปส. อัยการ และกองพิสูจน์หลักฐานของประเทศไทย เพื่อมาถ่ายทอดความรู้ในกระบวนการสอบสวน และแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนในคดีอาญาร่วมกันให้เป็นไปตามหลักสากล

จากนั้นคณะเดินทางเข้าพบหารือกับท่านโพสี  แก้วมณีวงศ์ รมช. สารสนเทศวัฒนธรรม และการท่องเที่ยว สปป.ลาว เพื่อแลกเปลี่ยนความร่วมมือ ข้อมูลข่าวสารระหว่างสื่อมวลชนไทย-ลาว โดยท่านโพสี  กล่าวว่า  ยินดีที่สื่อมวลชนระหว่าง 2 ประเทศมีความร่วมมือกัน และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านสื่อสารมวลชนมาเป็นเวลานานที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้ง 2 ประเทศ  เพราะประเทศไทยเป็นผู้มีประสบการณ์ทางด้านการทำข่าวมากกว่าสื่อมวลชนลาว 
 แต่เนื่องด้วยต้องเจอกับสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้สะดวก ทำให้ความร่วมมือต้องหยุดชงักขาดหายไปชั่วคราว แต่เมื่อสถานการณ์คลี่คลายดีขึ้นความร่วมมือของสื่อมวลชน 2 ประเทศก็ได้กลับคืนมาเชื่อมความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันอีกครั้ง โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจัดกิจกรรม Training  to Trainer มีการเชิญสื่อมวลชนจากสปป. ลาว 12 ท่าน เข้าร่วมอบรมในครั้งนี้ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ทางเราจะนำความรู้ที่ได้รับมาถ่ายทอดพัฒนาให้กับสื่อมวลชนต่อไป โดยเฉพาะการสกัดกั้นเข้าเฟสนิวบนโซเชียลมีเดียอันจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ด้านนายมงคล และนายชวรงค์  ได้แลกเปลี่ยนประเด็นปัญหาข้อมูลปลอมการหลอกลวงบนสื่อสังคมออนไลน์  ซึ่งเป็นปัญหาที่ประสบกับสังคมในประเทศ สปป. ลาวเช่นเดียวกับประเทศไทย  โดยนายชวรงค์ได้แลกเปลี่ยนว่า ในประเทศไทยมีพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งมีโทษที่ค่อนข้างหนักสำหรับการนำเข้าข้อมูลเท็จ  และหากพบว่ามีการเปิดบัญชีเพื่อ การรับโฆษณาหรือรับเงินที่หลอกลวง  ก็จะมีช่องทางสำหรับการติดตามเพื่อนำตัวมาลงโทษ 

ขณะที่นายมงคลแนะนำว่า การต่อสู้กับข้อมูลปลอมที่ดีที่สุดก็คือการนำเสนอข้อมูลจริง  จากแหล่งที่เชื่อถือได้เป็นการตอบโต้  เพื่อให้สังคมได้เรียนรู้ว่าข้อมูลข่าวสารจากสื่อใดที่มักจะปล่อยข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือ  และสอนให้ประชาชนเรียนรู้ภัยจากการได้รับข้อมูลปลอม นอกจากนี้นายมงคลยังได้ฝากผ่านไปยังรัฐบาล สปป.ลาว  ขอให้ช่วยดูแลหลักเกณฑ์กฎระเบียบสำหรับนักลงทุนไทยให้มีมาตรฐานความเท่าเทียม กับนักลงทุนชาติอื่นๆ  ซึ่งการรักษามาตรฐานจะเป็นประโยชน์ต่อ สปป.ลาวเอง  เพราะจะเกิดการแข่งขันเสรีทางการค้าไม่ถูกนักลงทุนกลุ่มใดผูกขาดได้ง่าย

ต่อจากนั้นผู้บริหารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยและ สมาคมนักข่าว สปป.ลาว ได้ประชุมหารือร่วมกัน หรือภายใต้กรอบของ MOU ที่ได้ลงนามไปเมื่อปีที่ผ่านมาและยังมีผลบังคับอยู่  โดยลงรายละเอียดถึงกิจกรรมที่จัดขึ้นตาม MOU เช่นการแลกเปลี่ยนเหย้าเยือน  การสนับสนุนการจัดอบรมแก่สื่อมวลชน สปป. ลาว  การติดตามความคืบหน้าของคู่มือสื่อไทย-ลาวฉบับ E-book  โดยมีข้อเสนอให้ตั้งผู้รับผิดชอบและกำหนด Timeline ในการทำให้สำเร็จก่อนการมาเยือนไทยของผู้แทนสมาคมนักข่าวลาวในปีหน้า  เพื่อจะได้จัดแถลงข่าวรับรู้ร่วมกันระหว่างสื่อมวลชนของไทยและ สปป.ลาว อกจากนี้ยังได้พูดถึงการร่วมมือในระดับหน่วยงานรัญ  ได้แก่กรมประชาสัมพันธ์กับกรมแถลงข่าวของ สปป. ลาว  หรือในระดับขององค์กรสื่อมวลชนด้วยกันระหว่างไทยและ สปป.ลาว  เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อความร่วมมือระหว่างกันในอนาคต

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯจัดราชดำเนินเสวนา “การบ้าน ครม.เศรษฐา 1 เร่งอัดฉีดกระตุ้น ศก.ให้เห็นผลใน 3 เดือน-เร่งแก้หนี้ครัวเรือน

ทีดีอาร์ไอ แนะให้สร้างสมดุล แกนการเมือง 3รูปแบบ“เสรีนิยม –รัฐสวัสดิการ-อนุรักษ์นิยม”พัฒนาประเทศ ขณะที่ “ธนิต”เสนอนโยบายเร่งด่วนที่ควรทำให้เห็นผล 3 เดือนคืออัดฉีดเงินในรูปแบบต่างๆ เพื่อพยุงการจ้างงาน แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ธุรกิจ และมีก้อนใหม่มาให้มีเงินหมุนเวียน ด้านดร.เกียรติอนันต์ ชี้ต้องระวังเรื่องการศึกษา ทำให้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ความเหลื่อมล้ำ ระบุหน้าตารัฐบาลนี้ มีความเสี่ยงทุกแต่ประชาชนมีความหวังกับนโยบาย ดังนั้นต้องช่วยกันจับตาตรวจสอบส่งเสียงออกมา อย่าหวังว่า เขาจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด

เมื่อวันที่ 3 ก.ย.66 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 1/2566 หัวข้อ "การบ้าน ครม.เศรษฐา 1 แก้วิกฤตประเทศ" โดยมี ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ดร.นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และนายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair ร่วมเสวนา

ดร.นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)กล่าวว่า แกนการเมืองจะมี 3 มุมคือ เสรีนิยม รัฐสวัสดิการ และอนุรักษ์นิยม ซึ่งผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาจะเป็นการเปลี่ยนผ่านจากอนุรักษ์นิยมมาเป็นเสรีนิยม และเกินโยบายใหม่ ๆ ที่ต้องมาตกผลึกว่าจะเหมาะสม เกิดผลดีหรือผลเสียกับประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลเศรษฐา 1 รวมกับ 2 ลุง ก็จะมีทั้งฝ่ายของเสรีนิยม สวัสดิการ และอนุรักษ์นิยมด้วย ในแง่วิชาการไม่มีถูกผิด แต่ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหนก็ตาม จะขึ้นอยู่กับว่าเรามีรัฐบาลที่ดีหรือไม่ เช่น เสรีนิยม หากเป็นการเมืองที่ดีก็อยากจะเห็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีนวัตกรรม ผลักดันประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม  แต่ไม่อยากเห็นทุนผูกขาด กระจุกตัว ขณะที่รัฐสวัสดิการ อยากให้ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาส มีสวัสดิการที่เป็นธรรม มีนโยบายช่วยกลุ่มเปราะบาง แต่ไม่อยากเห็นการแจกเงินโดยไร้ความรับผิดชอบ ไร้จำเป็น และเป็นภาระการคลัง ส่วนสุดท้ายคือสมดุลอนุรักษ์นิยม ซึ่งไทยมีวัฒนธรรมที่ดี แต่ก็อยากเติบโตแบบโลกยุคใหม่ จึงอยากที่จะอยู่ร่วมกันได้ของสังคม ไม่อยากเห็นการเกรงกลัวต่างชาติเกินไป ปกป้องไม่ลืมหูลืมตา ดังนั้น นับว่าเป็นความท้าทายใหม่ขอรัฐบางที่จะสร้างสมดุลทั้ง 3 รูปแบบนี้ให้อยู่ในรูปแบบการเมืองที่ดี 

ทั้งนี้เมื่อพูดถึงเศรษฐกิจย้อนหลังปี 1997 เศรษฐกิจเราโตเฉลี่ย 7.27% หลังจากนั้นก็ตกลงมา 4.8% และตกลงมาเรื่อยๆ กระทั่งหลังโรคโควิด เหลืออยู่ที่ 3% สะท้อนว่า หลังวิกฤต เศรษฐกิจไทยต่ำลงแปลว่าเราไม่สามารถปรับโครงสร้างเพื่อรับกับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้เลย นั่นแปลว่าการทำอะไรแบบเดิมไม่สามารถไปได้ไกล จึงเป็นความท้าทายของรัฐบาลใหม่ที่ต้องมีมาตรการเสริมเข้ามา มองไปข้างข้า โดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ วางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นประเทศพัฒนาแล้ว เป็นประเทศร่ำรวยประมาณปี 2035 แต่เมื่อดูตัวเลขหลังพ้นวิกฤติ จะกลายเป็นปี 2043-2048 เรียกว่าดี เข้าใกล้กับการวางเป้าหมายของเวียดนาม ดังนั้นนี่เป็นเรื่องสำคัญที่ท้าทายที่ภาครัฐต้องหาช่องทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ จะทำแบบเดิมไม่ได้ เช่นภาคการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยว 2019 มี 40ล้านคน ตอนนี้ยังดันกลับมาไม่ได้ ส่วนหนึ่งคือการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาเพียง 30-40%อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามีทรัพยากรเท่าเดิมจึงต้องพัฒนาในส่วนของเราเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ  ดังนั้นต้องเปลี่ยนแปลงที่อุตสาหกรรมอาหาร ถ้าเป็นครัวโลก

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายระยะสั้นคือต่อสู้ระหว่างแรงกดดันที่อยากให้รัฐบาลทำตามที่หาเสียง แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน จึงควรคัดนโยบายที่สำคัญ เหมาะสมกับช่วงระยะเวลา บางนโยบายอาจจะไม่จำเป็นต้องทำแล้ว บางนโยบายอาจจะปรับขนาด เช่น เงินดิจิตอล 10,000  บาท ที่เป็นเรือธงของพรรคเพื่อไทย แต่ต้องดูว่าในปัจจุบันว่าเราจะเป็นต้องกระตุ้นระดับไหน โดยเปรียบเทียบกับการเติมโตของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจไทยที่ควรจะเป็น  ซึ่งหากประมาณการณ์ว่าควรโต 3.7-3.8 % แต่แบงค์ชาติระบุว่า เศรษฐกิจไทยโตเพียง 2.8% เท่านั้น แปลว่าหายไป 1% หรือราวๆ 1-2 แสนล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นการให้งบ 5.6 แสนล้าน อาจจะเยอะเกินไป เสี่ยงเกิดภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้นหากตัดบางส่วนมาใช้สำหรับรัฐสวัสดิการก็เป็นทางออกได้ 

ส่วนอีกเรื่องคือแก้ปัญหาหนี้สิน ที่ไม่ใช่การยกหนี้ แต่ต้องมีการจัดกลุ่มหนี้หนี้ แล้วแก้ปัญหาหนี้นั้นให้ตรงจุด โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีข้อมูลมาร่วมวางแผนแก้ไขปัญหา ยกตัวอย่าง ครัวเรือนของไทยที่สูงถึง 90% ต่อจีดีพี คนที่มีปัญหามากที่สุด คือ คนที่ไม่มีเงินออมเลย ขณะที่ในทางเศรษฐศาสตร์บอกว่าคนเราควรมีเงินออมอย่างน้อย 3 -6 เดือน  แต่คนรุ่นใหม่อาจจะน้อยกว่านี้อีก ดังนั้นเป็นโจทย์ที่จะต้องปลูกฝังการออม ลดการเติบโตผ่านการจับจ่ายใช้ นอกจากนี้ต้องพูดถึงการกระจายอำนาจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจการกระจายทรัพยากรเพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง ตลอดจนการต่อยอดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เข้าถึงคนจนจริง  แต่เพิ่มให้มีการเข้าถึงมากขึ้น ที่สำคัญคือเนื่องจากเรามีการแจกมาระยะหนึ่งแล้ว จากนี้ต้องเป็นการเสริมให้ประชาชนสามารถดูแลตัวเองได้  

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นตัวเลือกที่เราไม่มีทางเลือก แต่ดีที่สุดในแคนดิเดตทั้งหลาย แต่นายเศรษฐา คงไม่ต้องเรียนรู้งานมากเพราะมาจากภาคเศรษฐกิจอยู่แล้ว ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาพที่บอบช้ำต่อเนื่องมาหลายปี จากรัฐประหาร ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้การลงทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง วันนี้ก็ยังไม่ฟื้น จากนั้นก็มีรัฐบาลเดิมมานาน 9 ปี ที่เน้นความมั่นคง จากนั้นก็มาเจอวิกฤติโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นทั้งโลก พอกำลังจะฟื้นก็เจอเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่พุ่งกระฉูด แล้วดึงราคาพลังงาน และสินค้าต่างๆ ให้เพิ่มตามไปด้วย เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง 8% วันนี้ไม่ลดลงเลย แม้จะขึ้นมาก 0.38% ปีนี้จะทำให้ได้ 1% แต่ก็ไม่ถือว่าลดลง กลับมาเจอวิกฤติโลกที่มีแนวโน้มว่าปี้หน้าจะยิ่งหนัก ดังนั้นเศรษฐกิจบอบช้ำมากถึงจะบอกว่ากลับมาได้แต่ก็ไม่มาก ส่งผลให้สภาพคล่องทั้งธุรกิจและครัวเรือนแรงมาก หนี้สินต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งหนี้ NPL หนี้ระยะยาว ต่างๆ เกือบ 9 แสนล้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไข หนี้ NPL รายไหนปล่อยเงินได้ก็ต้องปล่อย  และที่แทรกซ้อนเข้ามา คือกาส่งออกซึ่งหดตัว 6.2% ในเดือนกรกฎาคม เพราะเป็นภาคส่วนที่มีการอุ้มแรงงานถึง 3 ใน 4 ของประเทศ จากนี้ต้องส่งออก 9% จากที่ติดลบเฉลี่ยทุกเดือน 5% แต่เป็นไปไม่ได้ พยากรณ์ว่าปีนี้พยากรณ์ว่าจะติดลบมากกว่า 3%  ทั้งหมดทำให้กำลังซื้ออ่อน กำลังการผลิตต่ำ ข้อสุดท้ายคือความเชื่อมั่นของการค้า การลงทุน ดัชนีชี้วัดต่างๆ ติดลบหมดทุกเรื่อง

สำหรับนโยบายเร่งด่วนที่ควรทำให้เห็นผล 3 เดือน ไม่ใช่ออกมานโยบายมา 24-25ข้อ แต่เป็นเรื่องไกลตัว ดังนั้น ที่ต้องเร่งสุดคืออัดฉีดเงินในรูปแบบต่างๆ เพื่อพยุงการจ้างงาน เพราะขณะนี้เริ่มมีการเลิกจ้าง แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ธุรกิจ และมีก้อนใหม่มา ส่วนกระเป๋าเงินดิจิตอล แค่อยากถามว่าจะให้ครั้งเดียวหรือตลอดไป เพราะประชาชนหวังว่าจะได้ทุกปี ต้องตอบให้ชัด ส่วนแรงงาน โดยเฉพาะค่าแรง 600 บาทนั้น ถือว่าหนักแม้จะใช้กรอบ 4 ปี ถ้าเป็นโรงงานใหญ่ไม่สะเทือน แต่เอสเอ็มอีเจ๊งหมด ดังนั้นควรพิจารณาอย่างพอเหมาะ ส่วนเงินเดือนปริญญาตรี ที่เพิ่มขึ้นมาอีก 10,000 บาท ซึ่งกลุ่มปริญญาตรี รวมเกษตรกร 30% แล้วจะทำให้เด็กตกงาน แล้วดันเด็กอาชีวะเข้าเรียนปริญญาตรีหมด สุดท้ายเรื่องพลังงาน  ดีเซลลต้องลด หรือตรึงราคาไม่เกิน 32 บาท เพราะราคาน้ำมันเพิ่ม ราคาสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นด้วย อนาคตถ้าน้ำมันลง ราคาของก็ไม่ลง  แล้วถ้ายาวกว่านั้นน้ำมันขึ้น 3 -4 บาทราคาของก็ขึ้นอีก อย่างก็ได้ตาม ตนเข้าใจ “รัฐบาลเศรษฐา” ซึ่งเข้ามากับความท้าทาย และมาภายใต้ความคาดหวัง แต่อย่างน้อยที่เห็นขั้วทั้งหลายมีการจับมือกันแล้ว

"เข้าใจว่าทุกคนอยากมีรายได้สูง แต่ก็จะตามมาด้วยค้าครองชีพที่สูงขึ้น เหมือนที่ญี่ปุ่นเงินเดือน 5 หมื่นบาท แต่น้ำเปล่าขวดละ 100 บาท ราเมงชามละ 300 บาท ค่าเช่าบ้านเดือนละ 30,000-40,000 บาท อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาตัวอย่างรัฐที่ล้มเหลว อย่างฟิลิปปินส์ และอาร์เจนตินา ซึ่งเราเองก็เดินตามเขาเป๊ะๆ คือ การเอาใจรากหญ้า ค่าจ้างเท่าสหรัฐอเมริกา แต่อุตสาหกรรมอยู่ไม่ได้ ย้ายฐานการผลิต เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งๆ ที่ประเทศเราไม่ได้ร่ำรวย มีคนเสียภาษี 4 ล้านคน เพื่อเลียงคน 66.5 ล้านคน ดังนั้นเรื่องค่าจ้างต้องเหมาะสม อยู่ได้ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง  ส่วนเรื่องของฝีมือแรงงานนั้นประเทศไทยมีความไม่สมดุลในเรื่องของจำนวนการพัฒนาแรงงานมีฝีมือ ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ดังนั้นเรื่องนี้ตนเตรียมที่จะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาที่การ กระทรวงแรงงานในเรื่องหลักสูตรพัฒนาฝีมือแรงงานที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเชิญนายจ้างมาช่วยสะท้อนปัญหาและความต้องการ และสิ่งที่ต้องทำด้วยกันคือการพัฒนาเจ้าของธุรกิจ ส่งเสริมเทคโนโลยีในการทำงาน มีกองทุนเรื่องนี้ชัดเจนสำหรับกลุ่มเอสเอ็มอี กระทรวงแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงานก็ต้องหลุดจากกรอบ 2.0"

ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า วิกฤติที่เข้ามาจะมี 3 แบบคือ วิกฤติที่มาจากอดีต วิกฤติในอนาคต  และที่รัฐบาลจะสร้างเอง  เมื่อดูการศึกษากับแรงางาน ต้องทำทั้งกลุ่มวัยเรียน และกลุ่มวัยทำงานที่ต้องทำไปพร้อมๆ กันโดยเฉพาะคนที่ทำงานแล้ว 12 ล้านคน ต้องมีการอัพสกิลให้สูงขึ้น ทันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ไม่อย่างนั้นคนจะตกงานเยอะ แต่ยังไม่เห็นนโยบายพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนที่ชัดเจนในการเพิ่มสกิลให้คนทำงาน ที่ตนมองว่าต้องทำในกลุ่มนี้ก่อนเพราะเป็นกลุ่มที่จะทำให้เกิดการขยายจีดีพี ทำให้รัฐบาลมีงบฯ ในการสร้างคน ใช้ในด้านต่างๆ  ถ้า 1 ปียังไม่เป็นรูปธรรมเกรงว่าจะไม่ทัน ส่วนกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งโลกหลังจากนี้ทุกๆ 3-5 ปี จะไม่เหมือนเดิม เทรนด์ทักษะการทำงานจะเปลี่ยนไป จึงต้องระวังเรื่องการศึกษา นอกจากนี้ยังต้องระวังเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะเวลาคนลำบาก พ่อแม่ต้อทำงานเยอะ ไม่มีเวลาดูแลลูก  ค่าใช้จ่ายไม่พอ ทุพโภชนาการ ( กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ความเหลื่อมล้ำ) ในขณะที่ตลาดแรงานที่ต้องการคนเก่ง คนที่ได้เปรียบคือคนมีฐานะดี ดังนั้นหากไม่ได้แก้เรื่องการศึกษาที่ดี อีก 6-7 ปีจะกลายเป็นความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างใหม่ มีคน 20 % ไปต่อได้ แต่จะมีกำลังไม่พออุ้มคน 80% ดังนั้น หากไม่แก้ด้วยอัพสกิล รีสกิลแรงงาน ช่วยเหลือผู้ประกอบการ อีก 2 ปีได้เรื่อง 4 ปีเลือกตั้งใหม่ได้เรื่อง  อย่างไรก็ตามก็ต้องรอดูการแถลงนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นทางการอีกครั้ง 

ทั้งนี้ส่วนตัวถ้าให้ตั้ง เคพีไอของรัฐบาลแบบผ่านโปร คือ เพิ่มจีดีพีโตอย่างน้อย 5% ยากมาก ปีต่อไป 7-8% และถ้าตั้งเคพีไอตัวที่ 2 คือการเติบโตในปีต่อๆ ไป ขอให้เติบโตแบบที่คนตัวเล็กตัวน้อยได้มากขึ้น เพราะเข้าใจว่าถ้าจะเอาปีแรกแล้วทุกคนได้ทันทีนั้นเป็นเรื่องยากมาก แต่หากเลือกแก้แบบนี้ปีแรกๆ อาจจะโดนด่าไมสนใจคนรากหญ้า แต่เราต้องประคองโครงสร้าง เป็นการถางทางเพื่ออนาคต ทั้งนี้เมื่อมองเรื่องการศึกษาซึ่งเป็นสายพานในการพัฒนาคนตลอดชีวิต โดยกระทรวงอว. ที่ผ่านมามีการใช้นวัตกรรมแบบหัวแตก ดังนั้นต้องกำหนดทิศทางของประเทศว่า จะไปสายไหน เอาให้ชัดเจน 1-2 เรื่อง แล้วขับเคลื่อนจริงจัง

ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวมองว่า การทำเรื่องอาหารอย่างจริงจัง ไปให้สุด เป็นการกินเพื่อชาติ ซึ่งจะไปส่งเสริมเรื่องของการท่องเที่ยวด้วย ขณะที่มหาวิทยาลัยต้องกลับไปเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อคนทั้งมวล ปรับตัวและสื่อสารเป็นหลักสูตรระยะสั้น พอดีสำหรับการทำงาน เพื่อสะสมความรู้แล้วค่อยรับใบปริญญาในภายหลังก็ได้ เพราะถ้ารอจบ 4 ปีนั้นนานเกินไป ควรดึงคนเก่งมาสร้างคลังสมอง สร้างแพลตฟอร์มการเรียนกลาง กระทรวงศึกษาตรึงเด็กกลุ้มเปราะบางให้อยู่ในระบบการศึกษาให้ได้ ในส่วนของอาชีวะศึกษา ต้องถูกอัพเกรดให้มีความรู้ความสามารถที่ทันกับโลกอนาคต เรียนต้นแบบเครื่องจักรยุคใหม่ สภาพการทำงานใหม่ เพราะมองว่าหลังจากนี้หลังเด็กจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จะไม่ได้เรียนต่อเยอะ หากไม่เตรียมพร้อมคนไทยจะวนอยู่กับการเป็นแรงงานไร้ฝีมือ ลูกหลานก็จนต่อเนื่อง และพยายามอย่าใช้คำว่า “10 อาชีพดาวรุ่ง” เพราะทำให้คนแห่เรียนเยอะ กลายเป็นตกงานแทน ทั้งนี้การศึกษาจะช่วยได้มากในการแก้ไขความยากจนซึ่งความจนนี้หากอยู่กับคนแล้วจะอยู่ไป 3 รุ่น หาดแก้ความจนคน 1 รุ่นก็จะแก้ไปได้ 100-200 ปี 

“ถ้าพูดถึงแผนการปฏิรูปการศึกษา ผมยกมือไหว้เลย ทุกกระทรวงอย่าทำ เพราะที่ผ่านมาเรามีแผนที่ดีอยู่ กรุณาทำงาน อย่าทำแผน ถ้าทุกวันทำแผน คือ การไม่ทำงาน ดังนั้นทุกกระทรวงมีของดีอยู่แล้ว วางทุกอย่างไว้ เราต้องการคนทำงาน วันแรก ก็ต้องทำงานเลย เวลาของประเทศไม่มีแล้ว ช่วงฮันนิมูนจบไปตั้งแต่เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว”  ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว และมองว่า ตนมองหน้าตารัฐบาลนี้แล้วเห็นว่า มีความเสี่ยง ซึ่งหลายคนก็ตั้งคำถาม แต่เมื่อคัดสรรกันมาแล้วก็ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด นโยบายที่ดี ซึ่งภาคประชาชน วิชาการ สื่อ ต้องร่วมกันตั้งคำถาม ตรวจสอบ ส่งเสียง อย่าหวังว่าเขาจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ไม่ดีก็เตือน ขาดก็เสริม สื่อช่วยส่งเสียง และขอย้ำด้วยว่า เรื่องการตรวจสอบต่างๆ นั้นควรใช้ไม้บรรทัดอันเดียวกันสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน  นักการเมืองทุกคนแบบเดียวกัน ไม่เลือกปฏิบัติหรือให้เอกสิทธิ์กับนักการเมืองคนไหน หากเราใช้ไม้บรรทัดเดียวกัน จะส่งผลให้คนมีอำนาจเกิดการละอายใจ และเปลี่ยนมาใช้ไม้บรรทัดเดียวกันได้ เราต้องโลกสวย ต้องมีความหวังและกล้าที่จะเปลี่ยน


นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair กล่าวว่า หากเอางบประมาณ 5.6 แสนล้านบาทมาเป็นตัวตั้ง เดิมเราเดินสายคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ มี9 เรื่อง ประกอบด้วยเงินอุดหนุนเด็ก การศึกษาฟรี ระบบสุขภาพ 3 กองทุน ที่อยู่อาศัย แรงงานมีคุณค่า ประกันสังคมครอบคลุม บำนาญถ้วนหน้า สวัสดิการเสมอหน้าเท่าเทียมและการปฏิรูปภาษี อย่างไรก็ตามแม้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยซึ่งตอนนี้เป็นอดีตไปแล้ว จะบอกว่าเป็นเทคนิคหาเสียง แต่ก็เป็นที่จดจำแน่นอน ซึ่งเรายื่นกกต.แล้ว เพราะการทำตามที่หาเสียงไว้เป็นเรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือถ้ามองรัฐมนตรีที่นั่งคุมกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการแล้วกลับไม่มีนโยบายด้านนี้เลย  แต่โดยภาพรวมสวัสดิการที่มีนั้นมุ่งไปสู่รัฐสวัสดิการแน่นอน อย่างเช่นตอนหาเสียงไม่มีพรรคการเมืองไหนจะตัดเบี้ยยังชีพ แต่กระทรวงมหาดไทยกลับจะตัดให้เฉพาะคนจนเท่านั้น 

โดยเส้นความยากจนคือ มีรายได้เดือนละ 2,803 บาท ซึ่งมีราวๆ 4.4 ล้านคน เกือบคน 4.8 ล้านคน ดังนั้นรวมแล้ว 9.2 ล้านคน หนี้สินครัวเรือนแตะ 90% ของจีดีพี ประเทศไทยมีคนจนมากในอันดับ 55 ของโลก แต่อันดับความคุ้มครองทางสังคมอยู่ที่ 69 การศึกษา 62 จาก 82 ประเทศ เรียกว่าอยู่อันดับเกือบท้าย ลูกคนรวบมีโอกาสร่ำรวยต่อ คนจนก็มีโอกาสจนต่อ เรียกว่าเราตกอยู่ในสถานการณ์ส่งต่อความจน ขณะที่สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยติด 1 ใน 5 ของโลก ปี 2564 ครัวเรือน มีทรัพย์สินรวม 31% ของจีดีพีประเทศ ส่วนสถานการณ์ความเปราะบาง เด็กเยาวชน ว่างงาน เข้าไม่ถึงสวัสดิการประกันสังคม ผู้สูงอายุ พิการ ขณะที่ILO ระบุว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการคุ้มครองทางสังคมของไทยต่ำมากเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยในเอเชีย และระดับโลก   

ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบรัฐมนตรี เรื่องการพัฒนาเด็ก และศูนย์เด็กเล็ก เงินอุดหนุนเดก ข้อเสนอของเราไม่ปรากฏนโยบายหาเสียงของชาติไทยพัฒนา และพรรคเพื่อไทย ส่วนเรื่องการศึกษา ในช่วงท้ายของพรรคภูมิใจไทยที่ดูลกระทรวงศึกษา และกระทรวงอุดมศึกษา ช่วงท้ายมาพูดถึงการฟรีปริญญาตรี แต่ไม่มีในเอกสารที่ส่ง กกต. มีการสร้างระบบการเรียนออนไลน์ ไม่มีนโยบายหลักที่พูดถึงการพัฒนาเรียนฟรี เงินอุดหนุนการเรียนรู้ในทุกช่วงวัย ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังมีพูด ขณะที่เรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งพรรคเพื่อไทยเข้ามาดูก็บอกว่าจะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพ แต่ประเทศไทยมีมี 3 กองทุน  ซึ่งบัตรทอง และประกันสังคมมีงบรายหัวอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท แต่สิทธิข้าราชการอยู่ที่ 15,000 บาท ดังนั้นจะทำอย่างไรให้มีสิทธิเท่ากัน รวมถึงเรื่องที่อยู่อาศัยของพม. ก็ไม่มีนโยบายด้านนี้ แต่เราเสนอให้ปรับลดดอกเบี้ย ให้มีบ้านเช้าที่มีมาตรฐาน ราคาถูก สำหรับคนทั้งสังคม ด้านการทำงานและรายได้ ตรวจสอบแล้วไม่พบว่าพรรคภูมิใจไทยไม่มีนโยบายด้านแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างพื้นฐาน ลดชั่วโมงการทำงาน สิทธิลาคลอด 180 วัน การรับรองอนุสัญญา ILO เป็นต้น 

ทั้งนี้ขอย้ำว่า สวัสดิการของประชาชนไม่ควรจะตัดไปมากกว่านี้ แล้วถ้าเอางบ  5.6 แสนล้านบาท สำหรับนโยบายเงินดิจิทัลนั้น คิดว่าสามารถนำมาใช้ขับเคลื่อนนโยบายรัฐสวัสดิการด้านต่างๆ ได้ 20 % และควรพูดถึงการปฏิรูปภาษีต่างๆ การปฏิรูปกองทัพ ซึ่งมีงบฯ กว่าแสนล้านล้านบาท หากลดลง 20% เท่ากับว่าจะได้เงินงบฯกว่า 4  หมื่นล้านบาท ถ้าลดเงินซื้อเรือดำน้ำอีก 3 หมื่นล้านบาทก็จะมีเงินในเป็นสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุได้นานถึง 1 ปี ทันที แล้วถ้ามองว่านโยบายเงินดิจิทัล เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว แต่ถ้ามองใหม่เงินสำหรับผู้สูงอายุ 3,000 บาท แต่ปรับการให้ปีแรกเป็น 1 พันบาท จากเดิม 600 บาท เท่ากับว่าปรับเพิ่ม 400 บาท แล้วธรรมชาติของผู้สูงอายุเมื่อได้รับเงินแล้วก็มีการใช้จ่ายเลย จึงสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เช่นกัน ที่สำคัญตนมองส่า เรื่องสวัสดิการประชาชนนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจริงๆ ทะลายกำแพงระหว่างคนรวย คนจนลงได้  

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสำคัญคือกู้วิกฤติข้ามขั้ว ครม.หน้าเดิมบวกเพื่อไทย เรื่องเร่งด่วนเลยคือ เราไปโฟกัสนโญบายนโยบายรัฐบางว่าจะดูดีกว่า MOU 8 พรรคเดิมหรือไม่ก็ต้องดูต่อไป ตนให้โอกาสเพื่อไทยได้ แต่รัฐมนตรีที่อยู่มา 4 ปี แล้วเราคงไม่ได้โอกาสนั้น แต่จะเร่งในการตรวจสอบมากกว่า สุดท้ายเวลาพูดเรื่องรัฐสวัสดิการ คงแยกไม่ได้ขาด กับการแก้โครงสร้าง คือรัฐธรรมนูญ เรื่องกระจายอำนาจ การรวมตัวอย่างๆ ดังนั้น เรื่องเร่งด่วนเหมือนกันคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายเศรษฐาบอกว่าเป็น 1  เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ และในมาตรา 12 ของรัฐธรรมนูญ 2489 ระบุว่า บุคคลย่อมมีสถานะเสมอกัน ตามกฎหมายฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือโดยประการอื่นใดก็ดี ไม่ทำให้เกิดเอกสิทธิ์อย่างใดเลย ซึ่งพออ่านแล้วนึกถึงโรงพยาบาลชั้น 14 

 

แถลงการณ์วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 3 องค์กรสื่อแถลงการณ์ชูประเด็นเสรีภาพในการแสดงออก คือบ่อเกิดสิทธิทั้งปวง

วันที่ 3 พ.ค.66 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์ วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก 2566 ‘เสรีภาพในการแสดงออกคือ บ่อเกิดสิทธิทั้งปวง’

ทั้งนี้องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศให้วันที่ 3 พฤษภาคมของทุกปี เป็น “วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก” เพื่อกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนในสังคมตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพสื่อมวลชน ปีนี้ ยูเนสโก้ได้กำหนดหัวข้อการรณรงค์ไว้ว่า “Freedom of expression as a driver for all other human rights” หรือแปลเป็นภาษาไทยได้ใจความว่า “เสรีภาพในการแสดงออก คือ บ่อเกิดแห่งสิทธิมนุษยชนทั้งปวง” หมายความว่า เสรีภาพในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นสื่อหรือประชาชน ล้วนเป็นสิทธิพื้นฐานที่สมควรได้รับการปกป้องคุ้มครอง สอดคล้องกับหลักการ “เสรีภาพสื่อคือเสรีภาพประชาชน” ที่องค์กรวิชาชีพสื่อได้ยึดเป็นหลักปฏิบัติมาโดยตลอดเช่นกัน

เนื่องจาก “วันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก” ประจำปี 2566 อยู่ในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทย ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. องค์กรวิชาชีพสื่อตามรายนามในแถลงการณ์ จึงขอใช้โอกาสนี้ เรียกร้องไปยังพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะเข้าทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรในอนาคตอันใกล้นี้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน จึงขอเรียกร้องดังต่อไปนี้:

1.คุ้มครองและพิทักษ์ไว้ซึ่งเสรีภาพการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพสื่อ เสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ตลอดจนการชุมนุมหรือแสดงออกทางการเมืองที่สงบ สันติ และปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

2.ปฏิรูปการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออก เพื่อไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมือลิดรอนเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน และแก้ไขปัญหาการใช้กฎหมายปิดปากสื่อและประชาชน หรือที่เรียกว่า SLAPP (สแลป)

3.สร้างกลไกตรวจสอบและเอาผิดผู้ที่คุกคามสื่อหรือใช้ความรุนแรงต่อคนทำงานสื่อได้อย่างแท้จริง เพื่อขจัดวัฒนธรรมการพ้นผิดลอยนวล (culture of impunity)

4.ไม่นำเอา “ร่างพ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน” ฉบับที่ตกไปแล้วในรัฐสภาชุดก่อน ขึ้นมาพิจารณาอีกในอนาคต

5.สนับสนุนกลไกการกำกับดูแลกันเองในวงการสื่อมวลชน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นอิสระ เพื่อยกระดับมาตรฐานวิชาชีพ และส่งเสริมจริยธรรมสื่อควบคู่ไปกับเสรีภาพสื่อพร้อมๆกัน

ท้ายสุดนี้ เราขอเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆ สื่อมวลชนทุกแขนง ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจริยธรรมและคุ้มครองผลประโยชน์ของประชาชน ร่วมต่อสู้เพื่อส่งเสริมเสรีภาพ และคัดค้านการลิดรอนเสรีภาพ ไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นใครหรือฝ่ายใดก็ตาม