“ศาลปกครองกลาง”พิพากษา ชี้สภากาชาดไทยไม่ต้องรับบริจาคโลหิตจากชายรักชาย

วันที่ 19 กันยายน 2568 ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติทางเพศโดยไม่เป็นระหว่างเพศ (คกก.วลพ.) เลขที่ 01/2565 ลงวันที่ 1 มี.ค.2565   ที่วินิจฉัยว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ปฏิเสธการรับบริจาคโลหิตจากผู้ขอบริจาคโลหิตเพศกำเนิดเป็นชาย แต่มีเพศสภาพเป็นหญิง และมีเพศสัมพันธ์กับเพศชาย โดยถือเป็นผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อถ่ายทอดผ่านทางโลหิต เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ตาม พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 จึงมีคำสั่งให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาด ไทย ดำเนินการกำหนดนโยบายในการรับบริจาคโลหิตที่อาจไม่ปลอดภัย โดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณาจากพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงของผู้บริจาคแทนระบบการคัดกรองโลหิตที่พิจารณาความเสี่ยงที่กำหนดตามเพศหรือเพศสภาพของกลุ่มบุคคล ที่สภากาชาดไทย ระบุให้เป็นกลุ่มผู้บริจาคที่มีความเสี่ยงสูงและประชาสัม พันธ์นโยบายการรับบริจาคโลหิตจากบุคคลทุกเพศในสื่อต่างๆ เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบโดยทั่วกัน โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ คกก.วลพ.มีคําวินิจฉัย

ศาลให้เหตุผลว่า ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภาพกาชาดไทยได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้เป็นแกนกลางในการให้บริการโลหิตของประเทศตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14ธ.ค.2508 มีหน้าที่รับผิดชอบต่อความปลอดภัยของทั้งผู้บริจาคโลหิตและผู้รับบริจาคโลหิต กรณีนี้จึงเห็นได้ว่า สภากาชาดไทยมีความจำเป็นที่จะต้องทำการคัดกรองโลหิตเพื่อให้ได้โลหิตที่มีความปลอดภัย เมื่อพิจารณาข้อมูลการกำหนดให้งดบริจาคโลหิตสำหรับเพศชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชายของนานาประเทศมีข้อมูลตรงกันว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง  สภากาชาดไทยย่อมไม่อาจปฏิบัติต่อผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวเป็นอย่างอื่นได้ หากให้ผู้บริจาคโลหิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวบริจาคโลหิตได้ โดยที่ยังมิได้กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้เป็นการเฉพาะ อาจจะก่อความเสียหายเกิดแก่ผู้ป่วย ผู้รับบริจาคโลหิต หรือสังคมโดยส่วนรวมที่มีโอกาสได้รับโลหิตที่ไม่ปลอดภัย

การที่ สภากาชาดไทย ไม่รับบริจาคโลหิตของผู้ขอบริจาคโลหิตเพศกำเนิดเป็นชาย แต่มีเพศสภาพเป็นหญิง และมีเพศสัมพันธ์กับเพศชายดังกล่าว จึงเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้รับบริจาคโลหิต ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ที่ขัดต่อ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 คกก.วลพ. จึงไม่มีอำนาจออกคำสั่งให้ให้สภากาชาด ไทยปฏิบัติตามได้ การที่ คกก.วลพ.มีคำวินิจฉัยดังกล่าวถือเป็นการใช้ดุลพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยดังกล่าว โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีคำวินิจฉัยดังกล่าว สำหรับคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 25ก.ค.2565 นั้น ให้มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

อย่างไรก็ตาม ในคดีนี้องค์คณะตุลากการเจ้าของสำนวน ได้แสดงความเห็นที่ไม่เป็นการบังคับเพิ่มเติม โดยระบุว่าการที่ สภากาชาดไทย ออกบัตรประจำตัวชั่วคราวสำหรับผู้บริจาคโลหิตให้แก่ผู้ขอบริจาคโลหิต กรณีเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีเชื้อเอชไอวีในโลหิต ทำให้บุคคลดังกล่าวไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ตลอดชีวิตนั้น โดยที่สภากาชาดไทยไม่ได้มีข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้งว่า ผู้ขอบริจาคโลหิตมีเชื้อเอชไอวีในโลหิตหรือไม่ ประกอบกับเมื่อบุคคลทั่วไปที่ได้ทราบกรณีพิพาทดังกล่าวจากสื่อสาธารณะเกิดความเข้าใจว่า ผู้ขอบริจาคโลหิตดังกล่าวเป็นผู้ที่มีโลหิตไม่ปลอดภัยและเป็นบุคคลที่มีเชื้อเอชไอวี จนเกิดการดูหมิ่นหรือเยาะเย้ยผู้ขอบริจาคโลหิตรายนั้นๆอย่างร้ายแรง การกระทำของสภากาชาดไทยดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นการกระทบต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของผู้ขอบริจาคโลหิตเพศกำเนิดเป็นชาย แต่มีเพศสภาพเป็นหญิง เพื่อนำไปสู่ความเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ อันเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการปกป้องอัตลักษณ์ของมนุษย์และคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์แต่ละคนที่ คกก.วลพ.ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพต่อการแทรกแซงของสภากาชาด ไทยได้ ผ

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ฉลองครบรอบ 39 ปีจัดกิจกรรม “Lalin Share Together” ร่วมกับสภากาชาดไทย เปิดรับบริจาคโลหิตและจำหน่ายเสื้อการกุศล

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ก้าวสู่ปีที่ 39 ของการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเติบโตเคียงข้างสังคมไทยอย่างยั่งยืน ภายใต้พันธกิจขององค์กรที่เชื่อมั่นว่า “การให้คือรากฐานของความยั่งยืน” ในวาระพิเศษนี้ บริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมครั้งสำคัญภายใต้โครงการ “Lalin Share Together ส่งต่อการให้สู่ความยั่งยืน” เพื่อเชิญชวนบุคลากรและพันธมิตรเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี’ เปิดเผยว่า ตลอดเกือบสี่ทศวรรษ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เติบโตมาพร้อมกับสังคมไทย เราเชื่อมั่นว่า ‘การให้’ คือพลังที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งไม่เพียงสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้รับ แต่ยังสร้างความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างบุคลากรในองค์กรและชุมชนรอบข้าง กิจกรรมครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การบริจาคโลหิตหรือการระดมทุน แต่คือการส่งต่อความหวัง กำลังใจ และความเมตตา ที่จะช่วยสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันอย่างยั่งยืน

 
กิจกรรมในปีนี้ประกอบด้วย การบริจาคโลหิตร่วมกับสภากาชาดไทย เพื่อเชิญชวนผู้บริหาร พนักงาน และพันธมิตรในพื้นที่ใกล้เคียงมาร่วม “ให้โลหิตเท่ากับให้ชีวิต” การบริจาคโลหิตครั้งนี้ไม่เพียงช่วยเติมเต็มคลังเลือดเพื่อการรักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการส่งต่อชีวิตและความหวังจากคนในองค์กรไปสู่สังคมวงกว้าง

นอกจากนี้ บริษัทยังได้จัดทำและจำหน่าย เสื้อ Lalin Share Together เพื่อระดมทุนสนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุข รายได้จากการจำหน่ายเสื้อหลังหักค่าใช้จ่ายจะนำไปมอบให้สภากาชาดไทย เพื่อสนับสนุนศูนย์รับบริจาคโลหิต ถือเป็นการต่อยอดพลังแห่งการให้จากกิจกรรมของพนักงานไปสู่การสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนในระดับสังคม การจัดกิจกรรมเนื่องในวาระครบรอบ 39 ปี ยังสะท้อนค่านิยมหลักด้าน ความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) และการส่งเสริม วัฒนธรรมการเป็นผู้ให้ (Giving Culture) ที่ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ยึดถือมาโดยตลอด โดยเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับได้มีส่วนร่วมและภาคภูมิใจในการสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวม อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความผูกพันในองค์กรและสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนมองเห็นคุณค่าของการเป็นผู้ให้  

“ในอนาคต บริษัทฯ ตั้งเป้าที่จะต่อยอดแนวคิด “การให้” ไปสู่ โครงการเพื่อสังคมที่ครอบคลุมหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข การศึกษา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน โดยมีแผนขยายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อร่วมกันสร้างโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมในแต่ละช่วงเวลาอย่างแท้จริง พร้อมสนับสนุนให้พนักงานทุกคนมีบทบาทเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก การฉลองครบรอบ 39 ปีในครั้งนี้ จึงไม่เพียงเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ยังเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในการใช้พลังแห่งการให้เป็นรากฐานในการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันและความยั่งยืน เพื่อส่งต่อคุณค่าที่แท้จริงทั้งต่อองค์กรและสังคมไทยในระยะยาว” นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กล่าวสรุป

 

อาลัย "นพ.วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์" ผู้ก่อตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย

วันที่ 4 ส.ค.68 เพจ สภากาชาดไทย Thai Red Cross Society โพสต์ข้อความระบุว่า  สภากาชาดไทย ขอแสดงความอาลัยต่อการจากไปของนายแพทย์วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย

สภากาชาดไทยได้สูญเสียบุคลากรสำคัญ คุณหมอผู้ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มและบุกเบิกศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ท่านได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ในการทำงานมาตลอด 31 ปี กับศูนย์รับบริจาคอวัยวะฯ

คุณหมอได้เคยพูดไว้ว่า

“ได้พยายามอย่างยิ่งที่จะให้สังคมเข้าใจถึงการบริจาคอวัยวะ เมื่อยามชีวิตสิ้นสูญ ไม่ใช้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว ให้เป็นทานเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นให้มีชีวิตใหม่ ด้วยการ ปลูกถ่ายอวัยวะ


จึงเป็นเสมือนของขวัญแห่งชีวิตเมื่อสังคมอยู่รวมกันด้วยความเข้าใจเกื้อกูลซึ่งกันและกันเมื่อถึงเวลานั้น ก็จะมีอวัยวะเพียงพอที่จะใช้สำหรับการปลูกถ่าย ปราศจากการซื้อขาย ไม่ผิดศีลธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมอันดีงาม ไม่นำไปสู่การเกิดอาชญากรรมและฆาตกรรม”

ขอให้คุณความดีที่คุณหมอสร้างมา ส่งให้ดวงวิญญาณของนายแพทย์วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย ไปสู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเทอญ 

 

 

ขอบคุณ เพจ สภากาชาดไทย Thai Red Cross Society

"สภากาชาดไทย" จัดประชุมด่วน เตรียมช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ–เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา

เมื่อวันที่ 25 ก.ค.68 ที่ผ่านมา  สภากาชาดไทย โดย สำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด จัดประชุมผ่านระบบออนไลน์เพื่อสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในภาคเหนือและเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยมีหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สำนักงานยุวกาชาดและอาสาสมัครกาชาด สำนักงานจัดหารายได้ สำนักสารนิเทศและสื่อสารองค์กร เหล่ากาชาดจังหวัดต่าง ๆ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สถานีกาชาดที่ 1 สุรินทร์ สถานีกาชาดที่ 3 เชียงใหม่ และ สถานีกาชาดที่ 7 อุบลราชธานี ณ ห้องประชุมสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด สภากาชาดไทย กรุงทพฯ

นายกฤษฎา บุญราช ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย และผู้อำนวยการสำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด เป็นประธานการประชุมหน่วยงานต่าง ๆ ภายในสภากาชาดไทย เพื่อให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบทั้งจากสถานการณ์เหตุอุทกภัยในพื้นที่ทางภาคเหนือจากพายุวิภา และสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะบริเวณพื้นที่ชายแดนกับประเทศกัมพูชา โดย นายกฤษฎา บุญราช มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งสำรวจพื้นที่ที่ต้องการขอรับการสนับสนุนความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ จากสภากาชาดไทย อาทิ การจัดตั้งโรงครัวเคลื่อนที่เพื่อประกอบอาหารปรุงสุกแจกจ่ายให้กับประชาชน การมอบถุงยังชีพสภากาชาดไทยผ่านการร้องขอจากแอปพิเคชัน “พ้นภัย” ของ อสม. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ จัดอาสาสมัครสภากาชาดไทยลงพื้นที่เข้าไปให้การสนับสนุนในภารกิจต่าง ๆ รวมถึงการบริหารจัดการสิ่งของบริจาคและเงินบริจาคที่มีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ตลอดจนรับทราบสถานการณ์ ปัญหา และแนวทางการแก้ไขจากหน่วยงานต่าง ๆ ในท้องที่อีกด้วย

นายกฤษฎา บุญราช เปิดเผยว่า ประเทศไทยกำลังประสบกับสาธารณภัย 2 ประเภท คือ สาธารณภัยด้านอุทกภัยในจังหวัด แพร่ น่าน พะเยา เชียงใหม่ เชียงราย และสาธารณภัยขั้นวิกฤตด้านความรุนแรงบริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งต้องมีการอพยพคนในพื้นที่ในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สำหรับการช่วยเหลือในบทบาทของสภากาชาดไทยนั้น เหล่ากาชาดจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือได้รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยจากพายุวิภาว่าได้เริ่มคลี่คลายแล้ว แต่สถานการณ์ในจังหวัดน่านยังมีการอพยพประชาชนที่ได้รับผลกระทบเข้ามาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยประมาณ 3,000-4,000 คน โดยเหล่ากาชาดจังหวัดน่านได้ประสานความร่วมมือไปยังส่วนราชการในพื้นที่ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น มณทลทหารบก เพื่อร่วมให้ความช่วยเหลือในการจัดตั้งครัวพระราชทานเคลื่อนที่ และสภากาชาดไทยได้ส่งชุดเคลื่อนที่เร็วไปประกอบอาหารเพื่อเป็นการเสริมจากที่เหล่ากาชาดจังหวัดน่านที่ดูแลอยู่ ส่วนในจังหวัดอื่น ๆ ยังไม่มีการอพยพประชาชน แต่ได้ส่งถุงยังชีพสภากาชาดไทย ผ่านแอพลิเคชัน “พ้นภัย” ไปให้ผู้ได้รับความเดือดร้อนแล้ว

สำหรับสาธาณภัยที่มาจากผลกระทบจากเหตุความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ นั้น ได้มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่สู้รบจำนวนหลายหมื่นคน โดยเหล่ากาชาดจังหวัดที่ได้รับผลกระทบสามารถบริหารจัดการได้ดี ขณะนี้ในจุดอพยพของทั้ง 4 จังหวัด จะมีหน่วยงานทั้งภาคเอกชน หน่วยงานราชการ และสภากาชาดไทย ร่วมเข้าให้ความช่วยเหลือด้านปัจจัย 4 ในการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน โดยสภากาชาดไทยได้สนับสนุนงบประมาณผ่านสถานีกาชาด สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ เพื่อให้ความช่วยเหลือที่เพียงพอ ในขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดรับความช่วยเหลือจากพี่น้องประชาชนเพื่อส่งมอบความปราถนาดีไปยังผู้ประสบภัยด้วย

ข้อมูล ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 สภากาชาดไทย โดย สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ ร่วมกับ เหล่ากาชาดจังหวัด ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา อาทิ มอบชุดสุขอนามัย ในจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 120 ชุด จังหวัดอุบลราชธานี 380 ชุด, มอบผ้าห่ม จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 380 ชุด จังหวัดอุบลราชธานี 10 ชุด, มอบมุ้ง จังหวัดสุรินทร์ 100 ชุด, หน่วยเคลื่อนที่เร็วปฏิบัติงานสำรวจความต้องการและให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ณ ศูนย์พักพิงมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ และปฏิบัติงาน ณ อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี

​​​​​​​

การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากสถานการณ์พายุวิภา อาทิ มอบชุดอาหารพร้อมรับประทานในอำเภอเมือง จังหวัดน่าน จำนวน 300 ชุด, จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่สภากาชาดไทยปฏิบัติงาน ณ ที่ว่าการอำเภอปัว, ที่ว่าการอำเภอท่าวังผา, วัดน้ำครกใหม่ อำเภอเมืองน่าน, องค์การบริหารส่วนตำบลม่วงตึ๊ด อำเภอภูเพียง, เทศบาลกลางเวียง อำเภอเวียงสา จังหวัดน่าน หน่วยเคลื่อนที่เร็วปฏิบัติงานสำรวจความต้องการและให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้น ณ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน, หน่วยครัวเคลื่อนที่สภากาชาดไทยปฏิบัติงาน ณ เทศบาลเมืองน่าน โดยมอบอาหารปรงสุกพร้อมน้ำดื่มประมาณ 3,000 ชุดต่อวัน, หน่วยรถผลิตน้ำดื่มสภากาชาดไทยปฏิบัติงาน ณ เทศบาลเมืองน่าน อำเภอเมืองน่าน และอำเภอเวียงสา พร้อมส่งรถระนาบสูงปฏิบัติงานในจังหวัดน่านจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย

สภากาชาดไทยขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัธา ร่วมบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ดังนี้

สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดบุรีรัมย์ : รับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์สำหรับผู้ประสบภัยในการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามข้อมูลโทร 044-612-169, 085-569-8897

สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดอุบลราชธานี : รับบริจาคเครื่องอุปโภคบริโภคและเวชภัณฑ์สำหรับผู้ประสบภัยในการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา สิ่งของที่ต้องการรับบริจาค อาทิ นมผง นมกล่องสำเร็จรูปสำหรับเด็ก ผ้าอ้อมสำเร็จรูปสำหรับเด็ก สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน หมอน ผ้าห่ม สอบถามข้อมูลโทร 045-244-821, 061-296-2249

ร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย : ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา สภากาชาดไทย เลขที่บัญชี 045-3-04637-0 ชื่อบัญชี สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ ประเภทบัญชี กระแสรายวัน “ลดหย่อนภาษี 2 เท่า”

ร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา : ธนาคารกสิกรไทย สาขา สำนักสีลม เลขที่บัญชี 001-1-34567-0 ชื่อบัญชี สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ “ลดหย่อนภาษี 2 เท่า”

“วันนอร์” เชิญชวนปชช.ร่วมบริจาคช่วยเหลือทหารกล้า เตรียมลงพื้นที่ชายแดน 1 ส.ค.ให้กำลังใจ

 

วันที่ 25 ก.ค.2568 เวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมลับในญัตติด่วนด้วยวาจาเรื่องให้สภาฯ พิจารณาปัญหาขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ว่า เป็นการอภิปรายถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ทางสภาฯก็มีความห่วงใยทหารหาญ ที่ต้องไปอยู่อย่างยากลำบากเสียชีวิตแขนขาขาดซึ่งสภาฯ มีความห่วงใย และได้นำข้ออภิปรายความห่วงใยเหล่านี้และข้อเสนอแนะทั้งหมดเสนอต่อรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กองทัพภาคที่ 2 โดยในวันที่ 1 ส.ค.ทางสภาฯ

โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และประธานสภาฯจะลงพื้นที่เดินทางไปเยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและทหารที่อยู่ในพื้นที่และจะรวบรวมของบริจาคเพื่อไปดูแลพี่น้องประชาชนที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ผู้สูงวัย เด็ก ทหาร ซึ่งจะมีการลงไปเยี่ยมในนามของผู้แทนประชาชน และในช่วงเย็นจะไปแวะที่กองทัพภาคที่ 2 ซึ่งไปในนามของสภาผู้แทนราษฎรและสถาบันพระปกเกล้า

ประธานสภาฯ กล่าวว่า ทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เปิดบัญชีรับบริจาค เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมาชิกรัฐสภา รวมถึงประชาชนทั่วไปสามารถบริจาคผ่านบัญชีที่สภาฯ ได้ประกาศไว้ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประชาชนที่สนใจร่วมบริจาคกับทางรัฐสภา สามารถบริจาคได้ที่ บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขารัฐสภา ชื่อบัญชีสภาผู้แทนราษฎรเพื่อช่วยเหลือทหารกล้า เลขที่บัญชี 089-0-89889-8 

ด่วน! "สภากาชาดไทย" ประกาศสำรองเลือดคงคลัง พร้อมเปิดจุดรับบริจาคทั่วประเทศ

จากกรณีเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ เมื่อช่วงเช้าเมื่อวันที่ 24 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก สภากาชาดไทย Thai Red Cross Society โพสต์ข้อความระบุว่า...

ร่วมสำรองเลือดคงคลัง เตรียมพร้อมช่วยเหลือ #ผู้ป่วย

เช็คจุดรับบริจาคเลือดใกล้คุณ

กรุงเทพฯและปริมณฑล คลิก https://redcross.to/3Ejr6z3

ส่วนภูมิภาค

#ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ คลิก https://redcross.to/3PWxeQp

#โรงพยาบาลสาขาประจำจังหวัด คลิก https://redcross.to/4aDcxm5

#บริจาคเลือด #บริจาคโลหิต #สำรองเลือด #สำรองโลหิต #ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ #สภากาชาดไทย

 

ซัมมิท แคปปิตอล ร่วมทำความดี จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 11 สนับสนุนสภากาชาดไทย สร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน

บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด นำคณะผู้บริหารและพนักงานร่วมกิจกรรม CSR บริจาคโลหิตกับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เป็นครั้งที่ 11 พร้อมเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมบริจาคโลหิต ณ อาคารอื้อจือเหลียง ชั้น 9 เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อสนับสนุนการจัดหาโลหิตให้เพียงพอกับความต้องการในระบบสาธารณสุขของประเทศ ตลอดการดำเนินกิจกรรมทั้ง 11 ครั้งที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รวบรวมผู้ร่วมบริจาคโลหิตแล้วมากกว่า 1,600 คน คิดเป็นปริมาณโลหิตรวมกว่า 613,400 ซีซี ซึ่งสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้กว่า 3,000 ราย

คุณโยซูเกะ อูนิกาเมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานบริษัท กล่าวว่า การบริจาคโลหิตเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เราให้ความสำคัญเสมอมา โดยมีเป้าหมายให้พนักงานและประชาชนทั่วไปร่วมบริจาคโลหิตเป็นประจำทุก 3 เดือน เพราะเราเชื่อว่าการให้ล้วนมีพลังในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ให้กับสังคม กิจกรรมนี้ยังสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ตามแนวทาง ESG และค่านิยมหลักขององค์กร ‘I TRUST’ โดยเฉพาะในเรื่องของความรับผิดชอบ (Responsibility) ที่เรายึดมั่นมาตลอด เราหวังว่าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชนในประเทศไทย รวมทั้งร่วมสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันอย่างต่อเนื่อง

บริษัท ซัมมิท แคปปิตอล ลีสซิ่ง จำกัด เราพร้อมขับเคลื่อน เพื่อชีวิตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน เรามีความมุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัทสินเชื่อรายย่อยที่ได้รับความไว้วางใจอย่างสูง ภายใต้แนวคิด “I TRUST” ที่ประกอบด้วย ความซื่อสัตย์สุจริต ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ ความผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว บริการที่ยอดเยี่ยม และเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อประโยชน์ของลูกค้า พันธมิตร ดีลเลอร์ ผู้ถือหุ้น องค์กรและสังคมส่วนรวม ด้วยความตั้งใจที่จะส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมไทย พร้อมต่อยอด พัฒนา เพื่อเป็นอันดับหนึ่งในตลาดสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของไทยอย่างยั่งยืนในอนาคตด้วยแนวคิดบริการด้วยใจและรอยยิ้ม

ชวนจิตอาสาร่วมทำบุญใหญ่บริจาคโลหิต ที่เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน รับฟรีตั๋วหนัง 2 ที่นั่ง แทนคำขอบคุณ

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ร่วมกับ สภากาชาดไทย เปิดจุดรับบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน 17 กรกฎาคมนี้...ชวนจิตอาสาร่วมทำบุญใหญ่บริจาคโลหิต ที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน รับฟรี!! ตั๋วหนัง 2 ที่นั่ง แทนคำขอบคุณ

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ร่วมกับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตเพื่อช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์อย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน ส่งเสริมการทำบุญด้วยการแบ่งปันและร่วมสนับสนุนการจัดหาโลหิตสำรองให้กับ สภากาชาดไทย นำไปใช้ในทางการแพทย์ทั้งในภาวะฉุกเฉินและรักษาผู้ป่วยที่มีความต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ชวนจิตอาสาร่วมทำบุญใหญ่ด้วยการร่วมบริจาคโลหิต ณ จุดรับบริจาคโลหิตในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 11.00 - 15.00 น. ณ ห้อง M Passion ชั้น 14 อาคารอเวนิว เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน มาร่วมกันเป็น “ผู้ให้” เพื่อส่งมอบพลังและโอกาสแด่เพื่อนมนุษย์ รับฟรี!! ตั๋วหนัง 2 ที่นั่ง เป็นของที่ระลึกแทนคำขอบคุณ

ในปี 2568 เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ได้เปิดจุดรับบริจาคโลหิตไปแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ วันที่ 16 มกราคม 2568 และ วันที่ 24 เมษายน 2568 ซึ่งมีคณะผู้บริหาร พนักงาน ร้านค้า ลูกค้า และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมบริจาคโลหิตไปแล้วกว่า 102,400 ซีซี ถูกนำไปสำรองให้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศให้มีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ สำหรับกิจกรรมนี้เป็นหนึ่งในความตั้งใจที่ทาง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ให้ความสำคัญและดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่สนใจสามารถร่วมทำบุญบริจาคโลหิตได้ในวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 11.00 - 15.00 น. ณ ห้อง M Passion ชั้น 14 อาคารอเวนิว เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน สำหรับจิตอาสาที่มาร่วมบริจาคโลหิต...รับฟรี!! ตั๋วหนัง 2 ที่นั่ง เป็นของที่ระลึกแทนคำขอบคุณ

คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต...เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว อายุ 18-60 ปี น้ำหนักตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป, ไม่อยู่ในระหว่างรับประทานยาปฏิชีวนะ ยาป้องกันเลือดแข็งตัว ฮอร์โมนเพศ, ไม่มีประวัติเป็นโรคมาลาเรียในระยะเวลา 3 ปี, ไม่ได้รับการถอนฟันหรือขูดหินปูน ภายใน 72 ชั่วโมงก่อนบริจาคเลือด, ไม่มีบาดแผลสดหรือแผลติดเชื้อใด ๆ ตามร่างกาย, ผู้หญิงที่ไม่อยู่ในระยะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

การเตรียมตัวให้พร้อมก่อนบริจาคโลหิต...นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนวันที่จะบริจาคโลหิตอย่างน้อย 6 ชั่วโมงขึ้นไป, สุขภาพต้องแข็งแรงสมบูรณ์ ไม่เป็นไข้หวัด หรืออยู่ระหว่างรับประทานยาปฏิชีวนะใดๆ, งดรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงอย่างน้อย 6 ชั่วโมง, งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24 ชั่วโมง, งดสูบบุหรี่ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี, ไม่ควรเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมาก ก่อนบริจาคโลหิต 1 วัน และผู้บริจาคโลหิตควรดื่มน้ำก่อนบริจาคโลหิต 30 นาที ประมาณ 3-4 แก้ว ซึ่งเท่ากับปริมาณโลหิตที่เสียไปในการบริจาค         

คปภ. ผนึกกำลังธุรกิจประกันภัย ร่วมบริจาคโลหิต ตั้งเป้า 10 ล้านซีซี เสริมกำลังเลือดสำรองสภากาขาดฯ ปิติบุญใหญ่ยิ่ง บริจาคโลหิตเพียง 1 ครั้ง สามารถช่วยชีวิตได้ถึง 3 คน


สำนักงาน คปภ. - ภาคธุรกิจประกันภัย ผนึกกำลังบริจาคโลหิต เพื่อเป็นเลือดสำรองช่วยชีวิตผู้ป่วยทั่วประเทศแก่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ตั้งเป้าหมายสิ้นปี 2568 จัดหาปริมาณโลหิตจำนวน 10 ล้านซีซี


นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.)   เป็นประธานเปิดงาน “บริจาคโลหิตเนื่องในวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24” โดยมีรองศาสตราจารย์แพทย์หญิงดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิต สภากาชาดไทย คุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย คุณโทมัส ชาร์ลส วิลสัน ประธานคณะกรรมการจัดงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 24 คุณประภาพร ลิขสิทธิ์ นายกสมาคมตัวแทนประกันชีวิตและที่ปรึกษาการเงิน คุณนพพล เบี้ยวไข่มุก ผู้จัดการกองทุนประกันชีวิต และผู้บริหารบริษัทประกันชีวิต เข้าร่วมงานเมื่อวันที่  7 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวว่า พลังความร่วมมือของภาคธุรกิจประกันชีวิตในการดำเนินกิจกรรมบริจาคโลหิต ซึ่งดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 24 ติดต่อกัน ถือเป็นบทพิสูจน์ว่า “หัวใจของคนประกัน” มาพร้อมกับคุณค่าของการให้ ในส่วนของ สำนักงาน คปภ. ได้ร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมนี้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยในปี 2568 ได้ดำเนินโครงการ “รวมพลังประกันภัย ให้โลหิต ปีที่ 2” ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ โดยสิ้นปีนี้ตั้งเป้าหมายในการจัดหาปริมาณโลหิตให้ได้ถึง 10 ล้านซีซี เพื่อเสริมกำลังโลหิตสำรองของสภากาชาดไทย ให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยทั่วประเทศ กิจกรรมในปีนี้จะจัดขึ้นทั้งหมด    4 ครั้ง หรือเป็นประจำทุกไตรมาส โดยปีนี้ยังเหลืออีก 2 ครั้ง ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 22 กันยายน 2568 และวันที่ 22 ธันวาคม 2568 จึงขอเชิญชวนบุคลากรในวงการประกันภัย และประชาชนทุกท่าน ที่มีสุขภาพแข็งแรง มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมดี ๆ ในการช่วยเหลือสังคมร่วมกัน


ทั้งนี้ หลายคนอาจไม่ทราบว่า “โลหิต” ยังไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ ดังนั้นการบริจาคโลหิต จึงถือเป็นการต่อชีวิตอย่างแท้จริง เพราะการบริจาคโลหิตเพียง 1 ครั้ง สามารถช่วยชีวิตได้ถึง 3 คน และยังส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริจาคเอง เพราะร่างกายจะถูกกระตุ้นให้สร้างเม็ดเลือดใหม่ ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น อีกทั้งยังได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยทุกคนที่มีสุขภาพดีสามารถบริจาคโลหิตได้ถึงอายุ 70 ปี “ความสุขใจจากการได้เป็น “ผู้ให้” นั้น เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ การได้ช่วยให้อีกหลายชีวิตยังคงมีลมหายใจได้อยู่กับคนที่เขารัก ถือเป็นของขวัญที่ล้ำค่าอย่างที่สุด การได้เห็นคนอื่นมีความสุขจากสิ่งที่เรามอบให้    นั่นคือ ความสุขที่กลับคืนมาสู่ใจเราอย่างแท้จริง” เลขาธิการ คปภ. กล่าว

คปภ. ผนึกภาคอุตสาหกรรมประกันภัยบริจาคโลหิตใกล้ถึงฝั่ง อีกสองครั้งแตะเป้าปี 68 จำนวน 10 ล้านซีซี

คปภ. ผนึกภาคอุตสาหกรรมประกันภัย บริจาคโลหิตครั้งที่ 2 ปี 2568เพื่อเป็นโลหิตสำรองช่วยชีวิตผู้ป่วยทั่วประเทศ แก่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

 

  เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2568 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ร่วมกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัย จัดกิจกรรม “รวมพลังประกันภัย ให้โลหิต ปีที่ 2 ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568” ณ ห้องประชุมชั้น 1      สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงาน คปภ. เพื่อสนับสนุนศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ในการจัดหา  โลหิตสำรองสำหรับผู้ป่วยในโรงพยาบาลทั่วประเทศ

โดยกิจกรรมครั้งนี้ ได้รับความร่วมมืออย่างอบอุ่นจากคณะผู้บริหารและพนักงานสำนักงาน คปภ. ภาคธุรกิจประกันภัย รวมถึงประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง ร่วมกันบริจาคโลหิตเป็นจำนวนถึง 5,300,200 ซีซี ซึ่งจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทั่วประเทศ ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัย ได้ตั้งเป้ารวมพลังบริจาคโลหิตให้ครบ 10,000,000 ซีซี ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งสอดรับกับการดำเนินงานด้าน ESG  ในด้านสังคม (S:Social) สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคอุตสาหกรรมประกันภัย การบริจาคโลหิตไม่เพียงช่วยต่อชีวิตให้กับผู้ป่วย แต่ยังสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการแบ่งปัน        เอื้อเฟื้อ และตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างยั่งยืน 

สำหรับผู้ที่สนใจยังสามารถร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิตได้อีก 2 ครั้งในปีนี้ คือ ครั้งที่ 3 วันที่ 22 กันยายน 2568 และครั้งที่ 4 วันที่ 22 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุมชั้น 1 สถาบันวิทยาการประกันภัยระดับสูง สำนักงาน คปภ. ตั้งแต่เวลา 09.00 - 15.00 น. ดังนั้น สำนักงาน คปภ. จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกท่านมาร่วมเป็น “ผู้ให้” เพื่อสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันและความมั่นคงทางสุขภาพร่วมกัน