BDI ผนึก สปสช. รุกขยายเครือข่าย Health Link สู่ภาคเหนือ หนุนระบบสาธารณสุขไร้รอยต่อ

BDI ผนึกกำลัง สปสช. เดินหน้าขยายเครือข่ายโครงการ Health Link ต่อเนื่อง เพื่อยกระดับศักยภาพการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ สามารถเชื่อมโยงหน่วยบริการสุขภาพได้แล้วกว่า 2,237 แห่ง ล่าสุดได้ขยายพื้นที่การดำเนินงานสู่ภาคเหนือ โดยนำร่องพื้นที่ สปสช. เขต 3  ครอบคลุมหน่วยนวัตกรรมกว่า 550 แห่ง พร้อมเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มตามยุทธศาสตร์ “3 Healths” ได้แก่ บริการด้านสุขภาพ (Health Service), การเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Financing) และการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพและปัญญาประดิษฐ์ (Health Analytics & AI) เพื่อมุ่งสู่การวางรากฐานระบบสุขภาพดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Health System) ตั้งเป้าขยายเครือข่ายครอบคลุมหน่วยบริการในพื้นที่จังหวัดอื่น ๆ อีกกว่า 15,000 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2569

วันที่ 8 กันยายน 2568 นพ.ธนกฤต จินตวร รองผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ด้านบริหารกิจการพิเศษ กล่าวว่า BDI ให้ความสำคัญกับการขยายเครือข่ายบริการด้านสุขภาพสู่ระดับภูมิภาค โดยการลงพื้นที่ ที่ชาตรีคลินิก การพยาบาลและการผดุงครรภ์ จังหวัดนครสวรรค์ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของโครงการ Health Link ในการกระจายเครือข่ายการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งนี้เป็นการต่อยอดจากการดำเนินงานในพื้นที่นำร่องก่อนหน้านี้ เริ่มจากกรุงเทพมหานคร และจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากการใช้งานแพลตฟอร์ม Health Link ในการยกระดับคุณภาพการดูแลรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เนื่องจากระบบสามารถลดความซ้ำซ้อนในการตรวจวินิจฉัย เพิ่มความแม่นยำในการรักษา และสนับสนุนการประสานงานระหว่างหน่วยบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่มีการย้ายถิ่นฐานหรือเปลี่ยนสถานพยาบาลบ่อยครั้ง ทำให้สามารถได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน มีสถานพยาบาลและหน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบ Health Link แล้วรวมกว่า 2,237 แห่ง แบ่งเป็นในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 1,592 แห่ง และในต่างจังหวัดจำนวน 645 แห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างไร้รอยต่อ ครอบคลุมตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ จนถึงตติยภูมิ เพื่อให้การรักษามีความปลอดภัย ครบถ้วน และลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบาย “30 บาทรักษาทุกที่” ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้ารับบริการจากหน่วยบริการที่เชื่อมโยงข้อมูลได้ทุกแห่ง โดยไม่จำกัดเฉพาะโรงพยาบาลตามสิทธิ

พร้อมกันนี้ BDI ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการ Health Link อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการและครอบคลุมทุกมิติของระบบสุขภาพ ภายใต้กลยุทธ์หลัก 3 Healths ได้แก่

- บริการด้านสุขภาพ (Health Service) มุ่งเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยบริการสาธารณสุขทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าบูรณาการข้อมูลสำคัญ อาทิ ข้อมูลสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (Prevention and Promotion-PP), ระบบที่ใช้ในการจัดเก็บรูปภาพทางการแพทย์ (PACS), ข้อมูลการระบาดของโรค (Epidemic) และข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง ควบคู่กับการพัฒนาแพลตฟอร์มเสริม เช่น PHR (Personal Health Record), บริการตรวจทางห้องปฏิบัติการนอกหน่วยบริการ (Lab Anywhere) และบริการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างสะดวก ทั่วถึง และมีประสิทธิภาพในทุกพื้นที่ โดยตั้งเป้าขยายการเชื่อมต่อครอบคลุมกว่า 15,000 หน่วยบริการทั่วประเทศภายในปี 2569

- การเงินการคลังด้านสุขภาพ (Health Financing) ดำเนินการบูรณาการข้อมูลจาก 3 กองทุนสุขภาพหลักของภาครัฐ เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนของสิทธิการรักษา และสร้างความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการ พร้อมนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อสนับสนุนการกำหนดนโยบายที่ตรงจุด สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน และช่วยให้ผู้มีสิทธิสามารถเข้าถึงและใช้บริการสาธารณสุขได้อย่างเต็มที่ ครอบคลุม และทั่วถึง

- การวิเคราะห์สุขภาพด้วยข้อมูลและ AI (Health Analytics & AI) มุ่งสนับสนุนการวางแผนบริการและกำหนดนโยบายด้านสาธารณสุขบนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง ครอบคลุม และเชื่อถือได้ จากทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำมาประมวลผลเชิงลึกและสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Health Link ยังพัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพที่สามารถเชื่อมโยงและประมวลผลจากหลากหลายแหล่งข้อมูล (Data Source) เพื่อสร้างภาพรวมด้านสุขภาพของประชาชนที่แม่นยำ ครอบคลุม และสามารถใช้วางแผนเชิงรุกได้ในระยะยาว

“การเดินหน้าขยายการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพให้ครอบคลุมหน่วยบริการทั่วประเทศ สะท้อนบทบาทเชิงรุกของ BDI ในการวางรากฐานสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Nation) โดยบูรณาการข้อมูลจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อรองรับการวางแผน จัดสรรทรัพยากร และกำหนดนโยบายได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง” นพ.ธนกฤต กล่าวสรุป           

ด้าน นพ.ปฏิภาคย์ นมะหุต ผู้แทนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 3 จังหวัดนครสวรรค์ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สปสช. และ BDI ในครั้งนี้ ถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับระบบสาธารณสุขของประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขต 3 ซึ่งครอบคลุมหน่วยบริการสุขภาพใน 5 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร นครสวรรค์ ชัยนาท พิจิตร และอุทัยธานี โดยปัจจุบันมีหน่วยบริการกว่า 550 แห่ง คาดว่าในอนาคตจะเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพผ่านระบบ Health Link ให้มากที่สุด เพื่อใช้เป็นเครื่องมือหลักในการส่งต่อข้อมูลระหว่างสถานพยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

“การดำเนินงานดังกล่าว ไม่เพียงช่วยยกระดับการให้บริการเชิงปฏิบัติในระดับพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบสุขภาพที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Health System) ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐสามารถวิเคราะห์แนวโน้มด้านสุขภาพของประชาชนในแต่ละพื้นที่ วางแผนการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างตรงจุด และยกระดับคุณภาพบริการให้ครอบคลุมทั้งการป้องกันและการรักษาได้อย่างยั่งยืน” นพ.ปฏิภาคย์ กล่าว

สำหรับประชาชนที่สนใจสมัคร Health Link ฟรีผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือ “ThaID” ศึกษารายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่: https://healthlink.go.th และสามารถติดตามอัปเดตข้อมูลและกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้ทางเว็บไซต์ https://bdi.or.th/ และ Facebook: BDI - Big Data Institute

"Trans" ฟังทางนี้! ฮอร์โมนข้ามเพศเข้าบัตรทองแล้ว สปสช. สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ

วันที่ 15 ก.ค.68 เพจเฟซบุ๊ก พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความระบุว่า...

บอร์ด สปสช. ไฟเขียว ‘บริการฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ’ เป็นสิทธิประโยชน์สร้างเสริมสุขภาพฯ ระบบบัตรทอง พร้อมอนุมัติงบปี 2568 กว่า 145 ล้านบาท หนุนบริการและจัดหายาจำเป็น 6 รายการ มุ่งสร้างความเท่าเทียมและเสมอภาคทางเพศ ตั้งเป้าดูแลกลุ่มคนข้ามเพศและผู้มีความหลากหลายทางเพศคนไทยทุกสิทธิ 2 หมื่นคน มอบ สปสช. ประสานภาคประชาสังคมที่ให้บริการยาฮอร์โมนข้ามเพศร่วมเป็นหน่วยบริการมาตรา 3 เพื่อให้บริการ

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมีวาระพิจารณา “ข้อเสนอบริการฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพ” ซึ่งที่ประชุมบอร์ด สปสช. ได้เห็นชอบให้เป็นสิทธิประโยชน์ด้านการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท)

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การอนุมัติสิทธิประโยชน์นี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐบาล เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ว่ารัฐบาลจะส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ และทำให้ทุกคนในสังคมไทยสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นได้อย่างทั่วถึงและมีศักดิ์ศรี โดยเร่งแก้ไขปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศเข้าถึงสิทธิที่พึงมี นอกจากนี้ยังเป็นไปตามมติบอร์ด สปสช. ครั้งที่ 7/2566 ที่เห็นชอบให้บริการสุขภาพสำหรับกลุ่มคนข้ามเพศ เป็นสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง โดยใช้งบประมาณบริการสร้างเสริมสุขภาพฯ ปีงบประมาณ 2568 ดำเนินการ

ทั้งนี้ การตัดสินใจของบอร์ด สปสช. ในวันนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยให้กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถเข้าถึงบริการฮอร์โมนเพื่อการยืนยันเพศสภาพได้อย่างปลอดภัยภายใต้การดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งสอดคล้องกับข้อบังคับของแพทยสภา พ.ศ. 2567 และลดความเสี่ยงจากการใช้ฮอร์โมนอย่างผิดวิธี

“มติของบอร์ด สปสช. ในครั้งนี้ เป็นผลสำเร็จจากการผลักดันของหลายภาคส่วน และเป็นการตอบสนองต่อนโยบายระดับประเทศที่มุ่งเน้นการสร้างสังคมที่เท่าเทียม เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเป็นไปตามเจตนารมณ์ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ในการครอบคลุมการดูแลสุขภาพที่จำเป็นให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง” รมว.สาธารณสุข กล่าว

#พรรคเพื่อไทย #LGBTQ+ #ฮอร์โมนยืนยันเพศ #ฮอร์โมนข้ามเพศ

BDI จับมือ สปสช.เขต 9 ลุย 4 จ. เชื่อมระบบ Health Link ยกระดับสุขภาพแบบไร้รอยต่อ ตั้งเป้าหมื่นแห่งทั่วปท. ภายในปี 68

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 9 นครราชสีมา ลงพื้นที่หน่วยบริการสุขภาพโฮมคลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ และอรพินท์คลินิกทันตกรรม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เพื่อติดตามผลการดำเนินงานโครงการระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ (Health Information Exchange: Health Link) และเยี่ยมชมการสาธิตการใช้ระบบ Health Link โดยมี นพ.ธนกฤต จินตวร ผู้บริหารกิจการพิเศษ BDI ภก.สายชล พิมพ์เกาะ รักษาการผู้อำนวยการ สปสช. เขต 9 นครราชสีมา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมแถลงความร่วมมือขยายการเชื่อมโยงข้อมูลหน่วยนวัตกรรม ในพื้นที่ สปสช. เขต 9 ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราช

นพ.ธนกฤต จินตวร ผู้บริหารกิจการพิเศษ BDI กล่าวว่า Health Link เป็นโครงการสำคัญที่ช่วยยกระดับบริการสาธารณสุขโดยเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ ทำให้แพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลประวัติการรักษาของผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็ว ลดภาระการตรวจซ้ำซ้อน และช่วยให้การรักษามีความต่อเนื่องแม้เปลี่ยนสถานพยาบาล พร้อมมีระบบการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยกลไกการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น โดยยืนยันตัวตนของประชาชน และแพทย์ การเข้ารหัสข้อมูลและระหว่างจัดส่งข้อมูล รวมถึงมีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบัน Health Link มีสถานพยาบาลทั้งภาครัฐนอกกระทรวงสาธารณสุขและเอกชนภายใต้การขึ้นทะเบียนกับ สปสช. เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,500 แห่งในพื้นที่ กทม. พร้อมตั้งเป้าขยายให้ครอบคลุมหน่วยบริการกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศภายในปี 2568 ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์อย่างทั่วถึงและสะดวกขึ้นกว่าเดิม

“ปัจจุบันจังหวัดนครราชสีมา ได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลแล้ว ได้แก่ โรงพยาบาลค่ายสุรนารี สังกัดกองทัพบก กระทรวงกลาโหม ร้านยา 6 แห่ง พร้อมตั้งเป้าขยายการเชื่อมต่อระบบ Health Link ในพื้นที่ ให้ครอบคลุม 7 หน่วยนวัตกรรม (คลินิกเวชกรรม ทันตกรรม กายภาพ ร้านยา เทคนิคการแพทย์ แพทย์แผนไทย พยาบาลและการผดุงครรภ์) ที่ขึ้นทะเบียนในระบบ สปสช. ซึ่งมีมากกว่า 300 แห่ง เพื่อรองรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ช่วยให้ชาวโคราชเข้าสู่ระบบสาธารณสุขได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงข้อมูล โดยต้องได้รับการอนุญาตจากผู้ป่วยเท่านั้น ข้อมูลดังกล่าวจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ทำให้แพทย์สามารถดูประวัติการรักษาข้ามสถานพยาบาลนอกสังกัด ลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยในการตรวจวินิจฉัยซ้ำซ้อน และสามารถได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ทันท่วงที” นพ.ธนกฤต กล่าวเพิ่มเติม

ภก.สายชล พิมพ์เกาะ รักษาการผู้อำนวยการ สปสช. เขต 9 นครราชสีมา กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่าง สปสช. และ BDI ในครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการบริการทางการแพทย์ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวกยิ่งขึ้น ผ่านการใช้งานแพลตฟอร์ม Health Link เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพแบบไร้รอยต่อ โดยในอนาคตจะขยายการเชื่อมต่อระบบ Health Link ไปยังสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ ที่มีมากกว่า 900 แห่ง ในพื้นที่ สปสช. เขต 9 ประกอบด้วย 4 จังหวัด คือ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ เชื่อว่า จะช่วยลดภาระของโรงพยาบาลหลักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การรักษาและการส่งตัวผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลเป็นไปอย่างราบรื่น สอดรับตามนโยบายบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่อีกด้วย

สำหรับโครงการ Health Link คือ แพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ ช่วยให้แพทย์ สามารถดูประวัติการรักษาได้ทันที สะดวก ง่าย ปลอดภัย พร้อมมีระบบการเชื่อมโยงข้อมูลด้วยกลไกการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มข้น โดยยืนยันตัวตนของประชาชน และแพทย์ การเข้ารหัสข้อมูลและระหว่างจัดส่งข้อมูล รวมถึงมีการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ป่วยอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจสามารถสมัคร Health Link ฟรีผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือ “ThaID” ศึกษารายละเอียดโครงการเพิ่มเติมได้ที่: https://healthlink.go.th/

"บางจากฯ" จับมือ สปสช.เปิด ‘คลินิกปันรักษ์’ ให้บริการสุขภาพพื้นฐาน ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  และบริษัท All Healthy จำกัด เปิดคลินิกปันรักษ์ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขพื้นฐานได้สะดวกและง่ายขึ้น ต่อยอดธุรกิจเสริมด้าน Health & Wellbeing  ตามแผนยุทธศาสตร์การตลาดของบริษัทฯ เดินหน้าการสร้างสรรค์สถานีบริการน้ำมันบางจากให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนทุกช่วงวัย นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ ประธานกรรมาธิการสาธารณสุขสภาผู้แทนราษฏร ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และผู้บริหารจากบริษัท All Healthy จำกัด ร่วมเปิด ‘คลินิกปันรักษ์’ สาขาแรกในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ที่ถนนอ่อนนุช ซอยอ่อนนุช 55 

เมื่อวันที่ 21 ก.พ.68 นายเสรี อนุพันธนันท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจการตลาด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หนึ่งในยุทธศาสตร์การตลาดของบางจากฯ คือการพัฒนาสถานีบริการน้ำมันให้เป็นจุดหมายปลายทางที่ตอบโจทย์คนทุกช่วงวัย ทั้งพลังงานคุณภาพสูง พร้อมเป็นจุดนัดพบและศูนย์กลางของชุมชน ตลอดจนการดูแลสุขภาพ ตามแนวคิด Greenovative Destination ของสถานีบริการน้ำมันบางจาก โดยแนวทางหนึ่งคือการดำเนินธุรกิจเสริมด้าน Health & Wellbeing ที่ครอบคลุมสุขภาพกาย ใจ และโภชนาการ ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าให้บริการด้านสุขภาพกว่า 200 แห่ง และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 300 แห่งในปีนี้ ล่าสุดนี้ได้ต่อยอดเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพพื้นฐาน ด้วยการร่วมมือกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และบริษัท All Healthy เปิด “คลินิกปันรักษ์” ภายในสถานีบริการน้ำมันบางจาก ให้บริการรักษาพยาบาลเบื้องต้น เช่น การตรวจรักษาโรคทั่วไป เย็บแผล อุบัติเหตุฉุกเฉิน ฉีดวัคซีน และตรวจสุขภาพประจำปี รองรับทั้งผู้ใช้สิทธิบัตรทองและผู้ชำระเงินเอง โดยในระยะแรก บริษัทฯ ตั้งเป้าเปิดคลินิกปันรักษ์ในสถานีบริการน้ำมันบางจาก  5 สาขาภายในปี 2568  

นอกจากนี้ บางจากฯ ยังมีโครงการให้บริการด้านสาธารณสุขด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัยในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาและดูแลสุขภาพได้ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน ได้แก่ Health-Screening Kiosk ที่สามารถวัดค่าพื้นฐานด้านสุขภาพ ได้แก่ ส่วนสูง น้ำหนัก อุณหภูมิ ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ระดับออกซิเจนในเลือด รวมถึงตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) เพื่อคัดกรองโรคหัวใจเบื้องต้น นอกจากนี้ ยังคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI) และเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน พร้อมให้คำแนะนำด้านสุขภาพ และอีกหนึ่งนวัตกรรมคือ เครื่องบำบัดด้วยออกซิเจนแรงดันสูง (Hyperbaric Oxygen Therapy) ที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย บรรเทาอาการอ่อนล้าและบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับและระบบไหลเวียนโลหิต อีกทั้งยังช่วยเร่งการฟื้นตัวหลังผ่าตัด เสริมการเผาผลาญ และเพิ่มภูมิต้านทาน โดยผู้ใช้บริการจะได้รับความผ่อนคลายไปด้วยในระหว่างการบำบัด   

ด้าน ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  กล่าวถึงที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้ว่า รัฐบาลมีนโยบายที่มุ่งพัฒนา “30 บาทรักษาทุกที่” ในการขยายบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ช่วยลดความแออัดของผู้ป่วยและภาระงานบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล จึงได้ขยาย “หน่วยบริการนวัตกรรมสาธารณสุข” ในระบบฯ ที่ดำเนินการอยู่นี้ โดยมี “คลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น” เป็นหนึ่งในหน่วยบริการฯ 
 
อย่างไรก็ดีแม้ว่า สปสช.จะดำเนินการทั้งในส่วนของสิทธิประโยชน์บริการ และเตรียมความพร้อมของระบบต่างๆ เพื่อรองรับการให้บริการ แต่การจะบรรลุตามเป้าหมายได้นั้น จุดที่ตั้งของหน่วยบริการถือเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้ประชาชนใช้สิทธิเข้ารับบริการตามนโยบายได้ และ “สถานีบริการน้ำมันบางจาก” ก็เป็นพื้นที่ตอบโจทย์ ซึ่งด้วยความตระหนักอันดีของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่นฯ ในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยรวมถึงคำนึงถึงสุขภาพของลูกค้า โดยในจำนวนนี้เป็นผู้มีสิทธิบัตรทองฯ จึงนำมาสู่ความร่วมมือนี้ 
 
ทั้งนี้ คลินิกปันรักษ์ เป็นหน่วยบริการนวัตกรรมฯ แห่งแรกที่ได้จัดตั้งขึ้นในสถานีบริการน้ำมันบางจากภายใต้ความร่วมมือกับ สปสช.ที่มีบริการครบครัน พร้อมให้บริการสุขภาพปฐมภูมิ ทั้งบริการตรวจสุขภาพเบื้องต้น บริการการแพทย์ทางไกลในลักษณะผู้ป่วยนอกทั่วไป (OP Telemedicine) ที่ครอบคลุมรักษา 42 กลุ่มโรคและอาการสำหรับผู้มีสิทธิบัตรทองฯ และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 7 รายการ สำหรับประชาชนทั่วไป 

“เชื่อมั่นว่าคลินิกปันรักษ์จะเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่ขยายหน่วยบริการนวัตกรรมในสถานีบริการน้ำมันบางจากพื้นที่ต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่นของสองหน่วยงานในการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนไทยต่อไป” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าว

กรุงไทยจับมือ สปสช.ให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ

กรุงไทยจับมือ สปสช.ให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชนใน 7 กลุ่มเสี่ยงฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ

ธนาคารกรุงไทยจับมือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดบูธฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แก่ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮอลล์ 11-12 ระหว่างวันที่ 3 -7 กรกฎาคม 2567 ผู้สนใจสามารถจองสิทธิผ่าน "กระเป๋าสุขภาพ" บนแอปพลิเคชัน "เป๋าตัง"

ธนาคารกรุงไทยให้ความสำคัญและมุ่งมั่นในการให้บริการด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสิทธิสุขภาพดีและป้องกันโรคได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม และสะดวกรวดเร็ว ผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปพลิเคชันเป๋าตัง ภายในงานจะมีกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพและการจองสิทธิเข้ารับบริการที่หน่วยบริการใกล้บ้านแบบไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ A และ B เป็นต้น นอกจากนี้ ธนาคารกรุงไทยได้ร่วมกับ สปสช. และมิตรไมตรีคลินิก จัดให้บริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สำหรับประชาชนใน 7 กลุ่มเสี่ยงตามเงื่อนไขของ สปสช. โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ประชาชนใน 7 กลุ่มเสี่ยงประกอบด้วย:

1.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป

2.เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี

3.ผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน

4.บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป

5.โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง (รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ)

6.โรคอ้วน (น้ำหนัก > 100 กิโลกรัม หรือ BMI > 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร)

7.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้

ขอเชิญประชาชนมาร่วมกิจกรรมต่างๆ และรับบริการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ที่บูธธนาคารกรุงไทยใน งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 21 ณ ฮอลล์ 11-12 อิมแพ็ค เมืองทองธานี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111

#กรุงไทย #ข่าววันนี้ #สปสช #ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 

 

 

 

 

 

 

 

 

“สมศักดิ์” ลุยจัดงาน”มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ” 3-7 ก.ค.67 เตรียมให้ สปสช. ใช้ยาสมุนไพรไทยมากขึ้น

“สมศักดิ์” ลุยจัดงาน”มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ” 3-7 ก.ค.67 เตรียมให้ สปสช. ใช้ยาสมุนไพรไทยมากขึ้น หลังยอมรับแล้ว 28 รายการ

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ และการประชุมวิชาการประจำปี การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 21 The 21th Thailand Herbal Expo 2024 ภายใต้รูปแบบการจัดงาน“นวดไทย สปาไทย สมุนไพรไทยสู่เวทีโลก” ระหว่างวันที่ 3-7 กรกฎาคม 2567 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมี นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายโฆสิต สุวินิจจิต คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นายจิรพงษ์​ ทร​งวัชราภรณ์​ รอง​โฆษก​กระทรวง​สาธารณสุข​ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายที่ร่วมจัดงาน เข้าร่วม ที่กระทรวงสาธารณสุข

โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า การประกาศวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ให้ประเทศไทย เป็นศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ Medical and Wellness Hub ที่มุ่งยกระดับ ไม่เพียงแต่การให้บริการทางการแพทย์ทั่วไป แต่ยังหมายรวมถึงการแพทย์แผนไทย และผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้มีศักยภาพ ในการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพในระดับประเทศ และระดับนานาชาติ โดยปัจจุบัน สมุนไพรเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลจาก ยูโร มอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศไทย มีมูลค่าค้าปลีกสูงที่สุด เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน อันดับที่ 4 ของเอเชีย และอันดับ 8 ของโลก

“แผนปฏิบัติการด้านสมุนไพรแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2566 – 2570 คาดการณ์ว่า ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรของประเทศไทย จะมีมูลค่าเติบโตขึ้นกว่า 2 เท่า จากที่มีมูลค่าราว 52,000 ล้านบาท จะเติบโตเป็น 104,000 ล้านบาท ในปี 2570 เพราะทัศนคติและค่านิยมของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนแปลงไป มีแนวโน้มเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และสมุนไพรเพิ่มมากขึ้น โดยที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร สามารถสร้างรายได้กว่า 2,467 ล้านบาท มีผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ผ่านการรับรอง จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จำนวนกว่า 17,300 รายการ และได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ กว่า 2,000 รายการ รวมถึงมีการขยายผลการปลูกสมุนไพรต้นน้ำ จาก 18,000 ไร่ เป็น 1,059,818 ไร่ ส่งผลให้เกษตรกร เข้าถึงการปลูกสมุนไพรได้มากขึ้น จากเดิม 5,400 ราย เป็นกว่า 360,000 ราย” รมว.สาธารณสุข กล่าว

      

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ยังมีโรงงานภาคเอกชน ที่ผลิตยาสมุนไพร 1,000 แห่ง มีโรงงานสกัด 11 แห่ง และมีโรงพยาบาลที่สามารถผลิตสมุนไพร ที่ได้รับมาตรฐาน GMP 46 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้มูลค่าการใช้ยาสมุนไพร ในหน่วยบริการสุขภาพทั่วประเทศ มีมูลค่าเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 1.5 พันล้านบาท และสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์สมุนไพรภายในประเทศ รวมกว่า 56,944 ล้านบาท ในปี 2566 ที่ผ่านมา ส่วนการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ก็มีการพัฒนาต่อยอดสมุนไพรแชมเปี้ยน จำนวน 12 รายการ มีผลงานวิจัยมากกว่า 141 โครงการ เพิ่มมูลค่าการส่งออก กว่า 6,604 ล้านบาท มีการลงทุน เพื่อการวิจัยและนวัตกรรม พัฒนาสมุนไพรอย่างครบวงจร เพิ่มขึ้นเป็น 3,631 ล้านบาท จำนวน กว่า 1,295 โครงการ โดยการจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 21 จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสมุนไพร ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ตนคาดว่า จะมีเงินสะพัดตลอดทั้ง 5 วัน กว่า 300 ล้านบาท

นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรมวันนี้ ทำให้ได้เห็นว่า เรามีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยา และสมุนไพรใหม่จำนวนมาก โดยมีการขึ้นทะเบียนกับ อย. 17,300 รายการ และขณะนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ยอมรับการใช้ยาสมุนไพรไทย 28 รายการ แต่ตนได้หารือกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข จะผลักดันให้มีการใช้มากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากขณะนี้ สปสช. มีการใช้ยาเคมี กว่า 7 หมื่นล้านบาท ดังนั้น ถ้าแบ่งตลาดมาใช้ยาสมุนไพรไทย ตนก็มองว่า โอกาสสมุนไพรไทย จะโตได้มากกว่าที่ประเมิน 5 หมื่นล้านบาท รวมถึงวันนี้ ตนรู้สึกดีใจ ที่ได้เห็นผลิตภัณฑ์กระท่อม เป็นหมากฝรั่งแล้ว โดยหมากฝรั่งกระท่อม 5 เม็ด เท่ากับ สารไมทราไจนีน 0.2 มิลลิกรัม แต่ถ้ามาตรฐานกลางเปลี่ยน ก็สามารถเพิ่มสารไมทราไจนีน ให้มีความเข้มข้นได้อีก โดยตนเห็นผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร ก็รู้สึกดีใจ ที่สามารถพัฒนาไปอย่างหลากหลาย และเหมาะกับการส่งออกต่างประเทศด้วย

30 บาทรักษาทุกที่ ปลดล๊อก!! “ผู้ป่วย 4 กลุ่มโรค” รับบริการที่ “คลินิกกายภาพบำบัด” เริ่ม 28 มิ.ย.นี้

สปสช. เดินหน้า 30 บาทรักษาทุกที่ ปลดล็อก “คลินิกกายภาพบำบัดเอกชน” ที่เข้าร่วมให้บริการตามนโยบายฯ ตั้งแต่ 28 มิ.ย. นี้เป็นต้นไป ผู้ป่วย 4 กลุ่มโรค ไม่ต้องรอให้แพทย์ส่งตัวผู้ป่วย เข้ารับกายภาพบำบัดที่คลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น ได้เลย

วันที่ 26 มิ.ย.67 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) พร้อมด้วย นพ.สาธิต ทิมขำ ผู้อำนวยการ สปสช. เขต 4 สระบุรี และ ศ.ดร.กภ.ประวิตร เจนวรรธนะกุล นายกสภากายภาพบำบัด ลงพื้นที่เพื่อติดตามการดำเนินงานของหน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่  “คลินิกกายภาพบำบัดเมอรี่มูฟ” ที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2567

นพ.จเด็จ กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินการและรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้น จากการรับฟังพบว่ามี 3 ประเด็นที่ต้องแก้ไข คือ 1. การขึ้นทะเบียนของคลินิกกายภาพบำบัดในระบบของ สปสช. ยังใช้เวลานานเกินไป ซึ่ง สปสช.จะปรับปรุงให้เป็น One stop service ที่ขึ้นทะเบียนได้ใน 1 วัน ลดขั้นตอนการรับรอง คาดว่าจะทำให้คลินิกกายภาพบำบัดที่รอขึ้นทะเบียนเข้าสู่ระบบได้มากขึ้น

อย่างพื้นที่ จ. ปทุมธานี มีคลินิกกายภาพบำบัดร่วมลงทะเบียน 10% ของจำนวนคลินิกกายภาพฯ ทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป โดยควรที่อยู่ที่ 50% ของจำนวนคลินิกในพื้นที่นั้น ดังนั้น สปสช. ตั้งเป้าว่าเมื่อปรับระบบการลงทะเบียนแล้วจะมีคลินิกกายภาพฯ ในระบบเพิ่มขึ้นที่จำนวน 50% ของจำนวนคลินิกกายภาพฯ ในพื้นที่ โดยในพื้นที่ สปสช.เขต 4 สระบุรี มีคลินิกกายภาพฯ จำนวน 150 แห่ง ตั้งเป้าว่าจะมีสมัครเข้าร่วมเป็นหน่วยนวัตกรรมของ สปสช. ที่จำนวน 75 แห่ง เป็นต้น

2. ผู้ป่วยที่อยู่ในข่ายที่ต้องรับบริการกายภาพบำบัด 4 กลุ่มโรค ได้แก่ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ผู้ป่วยสมองได้รับบาดเจ็บ (Traumatic brain injury) ผู้ป่วยไขสันหลังได้รับบาดเจ็บที่ได้รับการรักษาจนเข้าสู่ภาวะคงที่ และผู้ป่วยภาวะกระดูกสะโพกหักจากภยันตรายชนิดไม่รุนแรง (Fragility fracture hip ) ซึ่งมีจำนวนกว่า 100,000 รายทั่วประเทศ แต่เข้ารับบริการได้เพียงแค่ 19,000 ราย สาเหตุเพราะต้องรอให้แพทย์ทำการส่งตัวมารับบริการที่คลินิก ด้วยเหตุนี้ สปสช. จึงจะเปลี่ยนระบบใหม่ให้ผู้ป่วยมาแจ้งความประสงค์เข้ารับบริการที่คลินิกกายภาพชุมชนอบอุ่นได้ คลินิกฯ สามารถลงทะเบียนตัวผู้ป่วยเพื่อให้บริการได้เลย

"ช่วงเวลาฟื้นฟูสมรรถภาพที่ดีที่สุด คือ 6 เดือนหลังจากได้รับการรักษา ถ้าไม่ได้ทำการฟื้นฟูภายในช่วง golden period นี้ ก็อาจพิการเป็นอัมพฤกษ์/อัมพาตถาวร ซึ่งปกติผู้ป่วยไปรับบริการโรงพยาบาลก่อนอยู่แล้ว แต่ด้วยผู้ป่วยจำนวนมาก ทำให้เป็นอุปสรรค ดังนั้น สปสช. จึงปรับเปลี่ยนขั้นตอนใหม่ โดยผู้ป่วยเป็นตัวตั้ง ให้ผู้ป่วยมาติดต่อรับบริการที่คลินิกกายภาพฯ เลย ไม่ต้องรอให้แพทย์ส่งตัว โดยคลินิกกายภาพฯ จะประสานข้อมูลกับโรงพยาบาลเพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ป่วย ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วย ตามนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่” เลขาธิการ สปสช. กล่าว

ส่วนเรื่องที่ 3. นพ.จเด็จ กล่าวว่า ในระยะต่อไปอาจมีการขยายกลุ่มโรคให้คลินิกกายภาพบำบัดเบิกค่าใช้จ่ายจาก สปสช.ได้ให้มากขึ้น เช่น กลุ่มผู้ป่วยที่ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า หรือผู้ป่วยบางรายอาจต้องรับการกายภาพบำบัดในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น เป็นต้น

ทั้งนี้ 2 ประเด็นแรกที่กล่าวมา สปสช. จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 28 มิ.ย. 2567 เพื่อเพิ่มจำนวนหน่วยบริการรองรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่โดยเร็วที่สุด ดังนั้นขอประชาสัมพันธ์ไปยังคลินิกกายภาพบำบัดทั่วประเทศให้สมัครเข้ามาเป็นหน่วยบริการกับ สปสช. และจะได้รับการขึ้นทะเบียนอย่างรวดเร็ว

ในส่วนผู้ป่วยหรือประชาชน สปสช. ขอแจ้งว่าหลังจากวันที่ 28 มิ.ย. 2567  ท่านสามารถมาติดต่อที่คลินิกกายภาพชุมชนอบอุ่นใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ได้เลย แล้วคลินิกกายภาพฯ จะทำการจัดการเรื่องหลังบ้านเพื่อลงทะเบียนให้ หรือถ้าไปโรงพยาบาลก่อนแล้วแพทย์ส่งตัวมารับบริการที่คลินิกกายภาพฯ ก็สามารถทำได้เช่นกัน

ศ.ดร.กภ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องขอบคุณ สปสช. ที่เปิดโอกาสให้คลินิกกายภาพบำบัดในชุมชนได้ให้บริการผู้ป่วย 4 กลุ่มโรคนี้ ซึ่งเป็นกลุ่มติดบ้านติดเตียงและขาดโอกาสเข้าถึงบริการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างมาก ผลกระทบที่ตามมาคือความพิการถาวรหากได้รับบริการล่าช้า ดังนั้นโครงการนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง และสภากายภาพบำบัดยินดีให้การสนับสนุนโครงการนี้เต็มที่

“หลังจากนี้สภากายภาพบำบัดจะผลักดันให้เกิดการจัดบริการให้ถึงบ้านคนไข้ เราไม่อยากใช้คำว่า walk in แต่อยากให้นักกายภาพ walk out ไปที่บ้านคนไข้ เพราะคนไข้กลุ่มนี้เดินทางมารับบริการลำบาก ปัจจุบันคลินิกกายภาพฯ ยังเข้าร่วมโครงการไม่มากนัก ทางสภาฯ จะส่งเสริมและสร้างความเข้าใจแก่คลินิก เข้าใจว่าในช่วงแรกอาจมีความกังวลในหลายๆ เรื่อง เช่น จะยุ่งยากหรือไม่ จะถูกตรวจสอบหรือไม่ ซึ่งสภากายภาพบำบัดจะทำงานร่วมกับ สปสช. เพื่อให้ข้อมูลสร้างความสบายใจแก่คลินิก และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนว่าคลินิกกายภาพบำบัดที่อยู่ในชุมชน มีคุณภาพมาตรฐานการให้บริการ สามารถรับบริการได้อย่างสบายใจ” นายกสภากายภาพบำบัด กล่าว

“สมศักดิ์”ถกบอร์ด สปสช.พร้อมอนุมัติขยายสิทธิประโยชน์บัตรทอง

“สมศักดิ์” นั่งหัวโต๊ะ ถกบอร์ด สปสช. สั่งตั้ง คณะที่ปรึกษา ติดตามงาน-งบประมาณ หวังทำงานแบบไม่ติดขัด พร้อมอนุมัติขยายสิทธิประโยชน์บัตรทอง ตรวจคัดกรองซิฟิลิส ปลื้ม ประชาชน พอใจโครงการบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ 98.7%

วันที่ 5 มิถุนายน 2567 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยมี นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. คณะกรรมการ สปสช. เข้าร่วมประชุม ที่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

โดยนายสมศักดิ์ กล่าวว่า การประชุม สปสช.ในวันนี้ ตนขอตั้งคณะที่ปรึกษา โดยให้นายกิตติกร โล่ห์สุนทร เป็นประธาน เพราะตนมารับตำแหน่งใหม่ จึงมีความเป็นห่วงเรื่องตัวเลขงบประมาณ ซึ่งตนเกรงว่า ตัวเลขงบประมาณจะมีปัญหา ถ้าเราไม่สามารถทำให้เกิดความพอดีขึ้นได้ จึงตั้งคณะที่ปรึกษาชุดนี้ มาติดตามการดำเนินการ รวมถึงการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเหมือนเป็นที่ปรึกษาของตน ในฐานะประธาน สปสช. เพราะต้องยอมรับว่า หากรู้น้อยจะทำให้งานส่วนใหญ่เสียหาย จึงตั้งมาให้ช่วยดูอย่างใกล้ชิด ในช่วงระยะเวลาสั้นๆเพียงเท่านั้น โดยจะได้ขับเคลื่อนงานแบบไม่ติดขัด

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุม สปสช. ยังได้เห็นชอบการขยายสิทธิประโยชน์ การตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคซิฟิลิส ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท โดยให้ครอบคลุมเยาวชน วัยรุ่น และประชาชน ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ไม่เกินปีละ 2 ครั้ง เพราะสถานการณ์โรคซิฟิลิสในประเทศไทย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกกลุ่มอายุ ซึ่งปี 2565 พบผู้ป่วย 18.6 ต่อประชากรแสนคน ที่ประชุม สปสช.จึงให้ความสำคัญอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน ที่ประชุม ยังได้เห็นชอบความร่วมมือระหว่าง สปสช. และ สภากาชาดไทย โดยสนับสนุนการจัดหายาและผลิตภัณฑ์พลาสมาโดยตรงจากสภากาชาดไทย เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางยา และประโยชน์ในการรักษา พร้อมเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วย รวมทั้งประหยัดงบประมาณในการจัดหายา เพราะจากข้อมูลปีงบประมาณ 2567 หากจัดซื้อโดยตรงจากสภากาชาดไทย จะสามารถลดค่าภาษีมูลค่าเพิ่มได้ ประมาณ 20 ล้านบาท

“ที่ประชุม สปสช.ยังได้รับทราบการประเมินผลโครงการบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ จากคณะทำงานกำกับและติดตามว่า ภายหลังการดำเนินการของนโยบาย ระยะที่ 1 พบว่า ประชาชนรับรู้นโยบายร้อยละ 75-82 และมีความพึงพอใจในภาพรวม ร้อยละ 98.7 นอกจากนี้ ยังพบการดูแลสุขภาพผู้ป่วยที่บ้าน ซ้ำซ้อนกับบริการดูแลระยะยาว (Long Term Care) รวมถึงการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการ ไม่เป็นปัจจุบัน จึงมอบให้ สปสช.พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การจ่ายชดเชยค่าบริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยที่บ้าน เพื่อลดการจ่ายซ้ำซ้อนและบูรณาการการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม ทั้งนี้ ยังให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อปรับปรุงนโยบาย และแก้ปัญหาในภาพรวมด้วย“รมว.สาธารณสุข กล่าว

นายกฯ สั่ง "สปสช.- สปส." บูรณาการทำงาน ยกระดับหลักประกันสุขภาพ

นายกฯ สั่งการเดินหน้าบูรณาการการทำงาน สปสช. และ สปส. ร่วมมือการทำงาน เริ่ม 1 เมษายน 2567 ยกระดับหลักประกันสุขภาพ ตรวจสุขภาพเพิ่มเติมตามกลุ่มช่วงอายุ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษา

วันที่ 4 เม.ย.67 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความสำคัญกับสุขภาพ การเข้าถึงระบบดูแลสุขภาพประชาชน มุ่งมั่นพัฒนาสิทธิและหลักประกันสุขภาพของไทย ลดความเหลื่อมล้ำ โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการตรวจสุขภาพเชิงรุก พร้อมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนที่ใช้สิทธิของผู้ประกันตน สามารถตรวจสุขภาพตามรายการสุขภาพพื้นฐานและเพิ่มเติม ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการรักษา ลดอัตราการเจ็บป่วย เพิ่มคุณภาพชีวิต

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน บูรณาการความร่วมมือของทั้ง 2 หน่วยงานในการดำเนินการ เพิ่มสิทธิการตรวจสุขภาพของผู้ประกันตน เพื่อสร้างกลไกสำคัญ ส่งเสริมให้ผู้ประกันตนมาใช้สิทธิตรวจสุขภาพตามรายการสุขภาพพื้นฐานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ รวมถึงการสามารถใช้สิทธิตรวจสุขภาพเพิ่มเติมของสำนักงานประกันสังคม 14 รายการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย (เริ่ม 1 เมษายน 2567) มุ่งสร้างเสริมสุขภาพที่ดีให้กับคนไทยทุกคน ทุกสิทธิอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม ลดการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้ ด้วยการตรวจคัดกรองสุขภาพ ค้นหาความผิดปกติ และนำเข้าสู่กระบวนการรักษาตั้งแต่ระยะแรก รวมถึง ลดความซ้ำซ้อนของชุดบริการตรวจสุขภาพประจำปี (สปส.) และชุดสิทธิประโยชน์สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (สปสช). และ อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกันตนให้สามารถเข้ารับบริการในหน่วยบริการเพียงแห่งเดียวแต่ได้รับบริการครอบคลุมตามรายสิทธิประโยชน์ทุกรายการที่ทั้งสองหน่วยงานกำหนด

โดยการบรูณาการร่วมกันในครั้งนี้ เป็นการยกระดับความร่วมมือของหน่วยงานในการบริการตรวจสุขภาพ เพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการบริการการตรวจสุขภาพประจำปี ของสำนักงานประกันสังคม จำนวน 14 รายการ และการบริการสร้างเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคตามรายการบริการ (Fee Schedule) ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่จำแนกตามกลุ่มอายุ จำนวน 24 หมวดรายการ โดยการบรูณาการเน้นไปที่การขยายรายการตรวจสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงอายุมากขึ้น เช่น ช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป ได้ตรวจสุขภาพประจำปีฟรี 1 ครั้งทุกปี เช่น ตรวจไขมันในเส้นเลือด(Total cholesterol & HDL cholesterol) น้ำตาลในเลือด(Fasting Blood Sugar) การทำงานของไต(Cr และ eGFR) ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด(CBC) ตรวจปัสสาวะ(UA) ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง(FiT TEST) การตรวจวัดความดันของเหลวภายในลูกตา(Tonometer) รวมถึงเพิ่มความถี่การถ่ายภาพรังสีทรวงอก(Chest X-ray) เป็นต้น 

ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นดูแลประชาชน เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยเรื้อรัง และเสียชีวิต รวมถึงลดค่าใช้จ่ายที่จะสูญเสียไปกับค่ารักษาพยาบาล โดยในปัจจุบันมีสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าว รวม 213 แห่ง แบ่งเป็น สถานพยาบาลรัฐ 165 แห่ง เอกชน 48 แห่ง สามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้ที่ www.sso.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

“นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญ ต้องการพัฒนา บูรณาการทำงานในส่วนของหลักประกันสุขภาพเพื่อประชาชน ยกระดับการตรวจสุขภาพ ลดอัตราการเจ็บป่วย และเพิ่มการรักษาได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง อย่างครอบคลุม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรง สามารถเป็นกำลังหลักในการพัฒนาประเทศต่อไป” นายชัย กล่าว

#ข่าววันนี้ #ระบบหลักประกันสุขภาพ #สปสช #สปส #ประกันสุขภาพ

 

"ประกันสังคม" รุกตรวจสุขภาพฟรีเพิ่ม 14 รายการจากสิทธิพื้นฐาน จับมือ สปสช.-สถานพยาบาล-ผู้ประกอบการทั่วประเทศ

ประกันสังคมรุกตรวจสุขภาพฟรีเพิ่ม 14 รายการจากสิทธิพื้นฐาน จับมือ สปสช.-สถานพยาบาล-ผู้ประกอบการทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ 1 เม.ย.67 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโครงการการตรวจสุขภาพเชิงรุกในสถานประกอบการ (KICK OFF) ระหว่าง สำนักงานประกันสังคมและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ณ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) ตำบลบางพูน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี โดยมีนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม นายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารสำนักงานประกันสังคม ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา ประธานบริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) นายผยง ศรีพาณิช์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) คณะผู้บริหารโรงพยาบาลปทุมธานี คณะผู้บริหารดูโฮมฯ สื่อมวลชน และผู้เข้าร่วมงานให้การต้อนรับ

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า การร่วมมือกันของ สปส. และ สปสช. เป็นกลไกสำคัญที่ส่งเสริมให้ผู้ประกันตนมาใช้สิทธิตรวจสุขภาพตามรายการสุขภาพพื้นฐานของ สปสช. และสนับสนุนการใช้สิทธิตรวจสุขภาพเพิ่มเติมของ สปส. “ฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” ซึ่ง สปส. ได้ปรับปรุงประกาศคณะกรรมการการแพทย์ของสำนักงานประกันสังคม และเพิ่มสิทธิการตรวจสุขภาพของผู้ประกันตน (มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2567) คือ เพิ่มรายการตรวจสุขภาพ 14 รายการ ให้ได้รับการตรวจสุขภาพที่ถี่ขึ้นตามช่วงอายุที่เหมาะสม เช่น ช่วงอายุ 35 ปีขึ้นไป ได้ตรวจสุขภาพประจำปีฟรี 1 ครั้งทุกปี (ตรวจไขมันในเส้นเลือด น้ำตาลในเลือด การทำงานของไต ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด ตรวจปัสสาวะ) เพิ่มรายการตรวจ คัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง FiT TEST การตรวจวัดความดันของเหลวภายในลูกตา รวมถึงเพิ่มความถี่การถ่ายภาพรังสีทรวงอก ซึ่งการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฯ ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการค้นหาโรคและเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคของผู้ประกันตน เพื่อให้ผู้ประกันตนมีสุขภาพที่ดี พร้อมทั้ง ลดค่าใช้จ่ายที่อาจสูญเสียไปกับค่ารักษาพยาบาล ลดอัตราการลางาน ลดอัตราการเจ็บป่วยเรื้อรังที่อาจทำให้เกิดอันตราย พิการ หรือเสียชีวิตได้

ผมขอขอบคุณ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่เล็งเห็นความสำคัญของสุขภาพแรงงานในสถานประกอบการ ขอขอบคุณโรงพยาบาลปทุมธานี และบริษัท ดูโฮมฯ ที่จัดบริการตรวจสุขภาพให้แก่ผู้ประกันตน จำนวน 500 คน ในวันนี้ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่ 2 กระทรวงของภาครัฐร่วมผลักดันด้านสุขภาพกับภาคเอกชน ลดความซ้ำซ้อนของงบประมาณ วางเป้า ตรวจสุขภาพเชิงรุกในสถานประกอบการเพิ่มขึ้น 100% พร้อมทั้งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
  
         

ด้าน นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า KICK OFF เป็นก้าวสำคัญที่ตอกย้ำว่าผู้ประกันตนจะได้รับการดูแลด้านสุขภาพที่ครอบคลุม โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทุก รพ. ทั่วประเทศ สถานประกอบการที่สนใจ สามารถดำเนินการประสานสถานพยาบาลที่มีความพร้อมในการให้บริการตรวจสุขภาพ ที่ขึ้นทะเบียนเรื่องส่งเสริมสุขภาพของสำนักงานประกันสังคม และสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ ณ ปัจจุบันมีสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการฯ รวม 213 แห่ง แบ่งเป็น สถานพยาบาลรัฐ 165 แห่ง เอกชน 48 แห่ง สามารถตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการได้ที่ www.sso.go.th หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง

#ประกันสังคม #กระทรวงแรงงาน #ตรวจสุขภาพฟรี #สปสช #ข่าววันนี้ #ผู้ประกันตน