อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ เซ็นสัญญามิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย.เสริมแกร่งศักยภาพนิคม-พัฒนาศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร

อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ เซ็นสัญญา มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) เสริมแกร่งศักยภาพนิคม พร้อมพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าครบวงจร

บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด ผู้พัฒนาระบบนิเวศเมืองอุตสาหกรรมและนวัตกรรมครบวงจรของไทย ภายใต้โครงการอารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์ (ARAYA – The Eastern Gateway) ประกาศความสำเร็จในการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (LOI) สำหรับการขายที่ดินให้แก่ บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ผู้นำธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ โดยที่ดินแปลงดังกล่าวมีแผนในการพัฒนาเป็น ศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า พร้อมติดตั้งระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ แห่งใหม่ของมิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ภายในนิคมอุตสาหกรรมอารยะ บนพื้นที่รวม 158 ไร่ หรือ 252,800 ตารางเมตร

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ตัดสินใจลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมอารยะ คือทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายระบบคมนาคมได้อย่างสะดวก ครอบคลุมทั้งถนนสายหลัก ทางด่วน ท่าเรือ และสนามบิน ประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครันและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ธุรกิจสมัยใหม่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรองรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและตลาดอาเซียน

โดยการเข้ามาลงทุนของ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. จะช่วยเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ (Business Ecosystem) โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก (Retail Business) ที่ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพด้านของโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ การกระจายสินค้า และเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ การจัดตั้งฐานปฏิบัติการในนิคมแห่งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต

นางสาวกมลกาญจน์ คงคาทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด กล่าวว่า “การเซ็นสัญญากับ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างการจ้างงานให้กับชุมชนท้องถิ่น และเป็นแรงผลักดันสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศอีกด้วย"

โครงการนิคมอุตสาหกรรมอารยะแห่งนี้ เป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับมาตรฐานภาคอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องของอารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์  ในการพัฒนาโครงการและบริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อรองรับความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ ควบคู่กับการดึงดูดนักลงทุนศักยภาพสูงเข้าสู่พื้นที่อย่างต่อเนื่อง สำหรับโครงการของ มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. คาดว่าจะเริ่มการพัฒนาในไตรมาสที่ 2 ของปี 2569 และเปิดดำเนินการภายในปี 2570

 

DKSH เดินหน้าขยายโมเดลศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค ยกระดับการเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ทั่วประเทศไทย

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด สานต่อพันธกิจในการส่งมอบการดูแลสุขภาพที่ครอบคลุม ผ่านการขยายโมเดลศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค (Satellite Distribution Center) เพื่อเพิ่มอัตราการเข้าถึงเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นการรองรับความต้องการด้านสาธารณสุขในปัจจุบัน จากปัจจัยต่างๆ อาทิ สังคมผู้สูงอายุ ภาวะโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนนโยบายภาครัฐที่มุ่งผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและนวัตกรรมทางการแพทย์ระดับภูมิภาค 

หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพและผู้นำด้านการขยายตลาด สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา บริษัทผู้ผลิตยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และเครื่องมือแพทย์ ขยายโมเดลศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคทั่วประเทศไทย โดยได้ปรับเปลี่ยนจุดรับส่งสินค้าทั้ง 9 แห่งทั่วประเทศตามโมเดล “ศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค” โดยเริ่มจากที่แรกในภาคเหนือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งเครื่องมือแพทย์ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ได้รับอุปกรณ์สำหรับดูแลรักษาผู้ป่วยได้ทันท่วงที

ขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าทั่วประเทศ
การขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าของ DKSH สอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย ซึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นของบริการสุขภาพในภาคเอกชน การฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ  และจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ต้องรับมือกับโรคเรื้อรังและส่งเสริมให้มีการป้องกันโรคมากขึ้น  นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ Medical & Wellness Hub ของภาครัฐ ซึ่งจะส่งเสริมการพัฒนาและการผลิตนวัตกรรมเครื่องมือแพทย์ภายในประเทศ

ปัจจุบัน เครื่องมือแพทย์ในประเทศไทย ยังคงพึ่งพาการนำเข้าถึงกว่า 70%   การสร้างศักยภาพด้านการกระจายสินค้าในประเทศจึงเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูประบบสาธารณสุข DKSH ได้ผนึกความร่วมมือกับโรงพยาบาล คลินิก และผู้ให้บริการทางการแพทย์ทั่วประเทศ ผ่านเครือข่ายศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาคของบริษัทฯ ซึ่งนับเป็นบทบาทและกลยุทธ์สำคัญในการตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ให้เข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล 

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา DKSH ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าเครื่องมือแพทย์ระดับภูมิภาคแห่งแรกในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งสามารถลดเวลาการจัดส่งในพื้นที่เหลือเพียง 2 ชั่วโมง สร้างมาตรฐานใหม่ในการให้บริการที่รวดเร็ว และเป็นก้าวสำคัญของการสร้างเครือข่ายการจัดส่งแบบกระจายศูนย์ที่คล่องตัว ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์จัดสรรเวลาในการดูแลผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ DKSH ยังมีศูนย์กระจายสินค้าทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ทันสมัยทั่วประเทศ ได้แก่ ศูนย์กระจายสินค้าคลังศรีเพชร ศูนย์กระจายสินค้าเครื่องมือแพทย์ และศูนย์กระจายสินค้าศรีวรินทร์ ซึ่งให้บริการส่งมอบสินค้าด้านสุขภาพไปยังปลายทางกว่า 40,000 แห่งทั่วประเทศ พร้อมระบบจัดการสินค้าแบบดิจิทัลเรียลไทม์และระบบอัตโนมัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและได้รับการรับรองมาตรฐาน

นายแพทริค แกรนเด หัวหน้าฝ่าย Commercial Outsourcing ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และ Cluster Head DKSH Healthcare กล่าวว่า “การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้ช่วยให้สามารถรักษาผู้ป่วยได้อย่างทันท่วงที การขยายโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะเพื่อยกระดับศักยภาพการกระจายสินค้าในระดับภูมิภาค ช่วยให้โรงพยาบาลทั่วประเทศไทยได้รับเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็นในการรักษาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ภาครัฐที่ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพ (Medical & Wellness Hub) ของประเทศไทย อีกทั้งสะท้อนถึงพันธกิจของเราในการส่งมอบการดูแลสุขภาพให้แก่ประชาชนไทยทุกคน”  


เดินหน้ายกระดับการรักษาเฉพาะทางอย่างยั่งยืน
ด้วยพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมกลุ่มโรคต่างๆ ได้แก่ โรคหัวใจ จักษุวิทยา และภาวะเบาหวาน DKSH ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับโรงพยาบาลและผู้ให้บริการทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาที่ทั่วถึงและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล

ด้วยประสบการณ์ในประเทศไทยเกือบ 120 ปี และการดำเนินธุรกิจธุรกิจใน 16 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิกและสวิตเซอร์แลนด์ DKSH คือพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา เครื่องมือแพทย์ และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ที่ต้องการสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ปัจจุบันประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมทางการแพทย์และสุขภาพ บริษัทฯ พร้อมสนับสนุนวิสัยทัศน์ดังกล่าวด้วยความรู้ ความเชี่ยวชาญ และแนวทางการดำเนินงานที่เน้นคุณค่า เพื่อเสริมสร้างระบบสาธารณสุขไทยให้แข็งแกร่งและยั่งยืนอย่างแท้จริง   

“แอลฟา” จับมือ “SCG HOME” เปิดศูนย์กระจายสินค้าหลัก “แอลฟา รังสิต” เพิ่มประสิทธิภาพส่งมอบสินค้าทั่วประเทศ

“แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น” ต่อยอดแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี เปิดดำเนินการคลังสินค้าบนทำเลทอง “แอลฟา รังสิต” ชูจุดเด่นทำเลยุทธศาสตร์หลักขนส่งสินค้าสู่ในเมือง-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน ตอบโจทย์ความต้องการขนส่งสินค้าอุปโภค-บริโภค ตอกย้ำวิสัยทัศน์ Complete Your Solutions ในทำเลศักยภาพ ด้าน “SCG HOME” ร่วมปักหมุดตั้งศูนย์กระจายสินค้าระดับประเทศ พร้อมการวางระบบคลังสินค้าที่มีโซลูชั่นครบวงจร จัดเก็บและกระจายส่งสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่ง เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าหลัก (National Distribution Center) เพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบสินค้าที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ร้าน SCG HOME 33 สาขาและลูกค้าทั่วประเทศ

นายปธาน สมบูรณสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด หรือ ALPHA ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร ภายใต้การร่วมทุนระหว่างบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI และบริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGJWD เปิดเผยว่า จากแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ที่เดินหน้าพัฒนาคลังสินค้าในทำเลยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ทั่วประเทศ พื้นที่รวม 1 ล้าน ตร.ม. โครงการคลังสินค้าของบริษัททยอยก่อสร้างแล้วเสร็จอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด โครงการคลังสินค้าแอลฟา รังสิต (Alpha Rangsit) หนึ่งในโครงการร่วมทุนพัฒนากับ บริษัท โตคิว แลนด์ เอเชีย จำกัด พันธมิตรยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่นก็ก่อสร้างแล้วเสร็จ เริ่มเปิดดำเนินการสำหรับกลุ่มคลังสินค้าที่พัฒนาตามความต้องการของผู้เช่า (Built-to-Suit Warehouse) แล้วและจะเริ่มรับรู้รายได้เป็นครั้งแรกในช่วงไตรมาส 3/2566

“รังสิต คือทำเลยุทธศาสตร์สำหรับการขนส่งสินค้าของหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตทั่วไป อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อีคอมเมิร์ซ ชิ้นส่วนยานยนต์ วัสดุก่อสร้างและตกแต่งบ้าน ค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์สุขภาพ เชื่อมโยงไปสู่พื้นที่ตัวเมือง ตลอดจนภาคเหนือและภาคอีสาน เราจึงเลือกพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพนี้ พร้อมทั้งออกแบบให้ แอลฟา รังสิต มีโซลูชั่นและฟังก์ชันครบวงจร ตอบโจทย์กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว รองรับทุกกิจกรรมในการบริหารจัดการคลังสินค้า เพื่อกระจายสินค้าสู่ End user หรือผู้บริโภคได้อย่างสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ดูแลความเป็นอยู่ของพนักงานในคลังสินค้าให้มีความปลอดภัยและสะดวกสบาย ตามวิสัยทัศน์ของเรา Complete Your Solutions เติมเต็มโซลูชั่นคลังสินค้าของลูกค้าให้สมบูรณ์ในทุกทำเลศักยภาพ” นายปธาน กล่าว

นายแทน จิตะพันธุ์กุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด หรือ ALPHA กล่าวว่า โครงการแอลฟา รังสิต ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ บนถนนพหลโยธิน กม.33 มีพื้นที่รวมกว่า 87,000 ตร.ม. คิดเป็นพื้นที่ให้เช่าประมาณ 56,000 ตร.ม. แบ่งเป็นคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit Warehouse) 62% และคลังสินค้าสำเร็จรูปพร้อมใช้งาน (Ready-Built Warehouse) 38% โดยมีนวัตกรรมการออกแบบที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ของลูกค้า อาทิ การออกแบบให้มีประตูเปิด 3 ด้าน การออกแบบ Floor Loaded ให้รองรับน้ำหนักได้ถึง 5 ตันต่อ ตร.ม. การออกแบบฟังก์ชันและตกแต่งพื้นที่ออฟฟิศให้มีบรรยากาศน่าทำงาน และเป็นออฟฟิศ 3 ชั้น ปัจจุบัน มียอดผู้เช่าส่วน Built-to-Suit ครบ 100% แล้ว และพร้อมให้เช่าสำหรับธุรกิจและอุตสาหกรรม    ที่ต้องการคลังสินค้าสำเร็จรูปพร้อมใช้งาน (Ready-Built Warehouse)

“นอกเหนือจากโซลูชั่นพื้นฐานแล้ว เรายังทำงานใกล้ชิดกับลูกค้าที่ต้องการสร้างคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ด้วย เพื่อให้ได้โซลูชั่นที่ตอบโจทย์การปฏิบัติงานด้านโลจิสติกส์ของลูกค้าอย่างสมบูรณ์ เช่น ที่โครงการแอลฟา รังสิต เราได้ทำงานใกล้ชิดกับทาง SCG HOME ที่เข้ามาเช่าพื้นที่คลังสินค้า Built-to-Suit ถึง 22,000 ตร.ม. ภายในโครงการออกแบบโซลูชั่นให้เป็นไปตามต้องการ เช่น การวางระบบจัดเก็บสินค้าแบบวีเอ็นเอ หรือ Very Narrow Aisle Racking System เพื่อให้สามารถวางของแนวสูงได้อย่างเต็มประสิทธิภาพโดยยังสามารถเข้าถึงชั้นวางได้ง่าย” นายแทน กล่าว

ด้าน นายปรเมศวร์ นิสากรเสน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี และกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจีโฮม รีเทล จำกัด กล่าวว่า SCG HOME ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีกจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าฮาร์ดแวร์ และ DIY ที่ครอบคลุมทุกความต้องการในการทำบ้าน ปัจจุบันมีสาขารวมกัน 33 สาขา เพื่อรองรับความต้องการด้านการก่อสร้าง ปรับปรุงและตกแต่งบ้านที่มีแนวโน้มเติบโต SCG HOME จึงมองหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเป็นคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าที่พร้อมรองรับการกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

“เมื่อจำนวนสาขาเพิ่มขึ้น กุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้ คือคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ อยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เพราะจะช่วยให้สินค้าไปถึงมือผู้บริโภคในทุกภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญต้องมีโซลูชั่นสามารถรองรับการจัดเก็บสินค้าที่มีน้ำหนัก และมีขนาดหลากหลายของเราได้อย่างครบถ้วน แอลฟา รังสิต เป็นสถานที่ที่มีความเหมาะสมและสามารถพัฒนาโซลูชั่นตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ เราจึงตัดสินใจเลือกปักหมุดศูนย์กระจายสินค้าหลัก หรือ National Distribution Center ของเราที่นี่”นายปรเมศวร์กล่าว

นายสิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์ กรรมการ บริษัท เอสซีจีโฮม รีเทล จำกัดกล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ทำงานใกล้ชิดกับทีมงานแอลฟา เพื่อพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ ซึ่งต้องรองรับการวางระบบที่ทาง SCG HOME ได้นำเข้ามาเพิ่มเติม เช่น ระบบการจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage/Retrieval System หรือ AS/RS) โดยทีมงานแอลฟา สามารถเตรียมโซลูชั่นและฟังก์ชันพื้นฐานได้เป็นอย่างดี สามารถใช้จัดเก็บสินค้าได้มากกว่า 32,000 พาเลท พร้อมสนับสนุนการขนส่งสินค้าให้กับสาขาต่างๆ ตลอดจนรองรับการขยายสาขาเพิ่มเติมในอนาคต

“สินค้าที่จะจัดส่งออกจากศูนย์นี้ ได้แก่ หลังคาและวัสดุก่อสร้าง กระเบื้อง สุขภัณฑ์ ห้องน้ำ ห้องครัว และสินค้าฮาร์ดแวร์และเครื่องใช้ในบ้าน โดยจะมีการกระจายขนส่งไปสู่ร้านค้าสาขา ตลอดจนเป็นทำเลขนส่งสินค้าระยะสุดท้ายสู่มือผู้บริโภค หรือ Last Mile Transportation นอกจากนั้นยังเป็นจุดบริการรับสินค้าด้วยตนเอง (Click&Collect) จากการสั่งซื้้อสินค้าผ่าน www.scghome.com หรือ SCG Home Application” นายสิทธิศักดิ์กล่าว

บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด หรือ ALPHA เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร ภายใต้การร่วมทุนจาก 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ ได้แก่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) มุ่งดำเนินงานใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.อสังหาริมทรัพย์ภาคอุตสาหกรรม (Industrial Property)อาทิ คลังสินค้าและโรงงานให้เช่า ศูนย์โลจิสติกส์ สวนอุตสาหกรรม นิคมอุตสาหกรรม ระบบการจัดการคลังสินค้าออนไลน์ (Order Fulfillment) คลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone Warehouse) 2.อสังหาริมทรัพย์เพื่อชุมชนเมือง (Urbanized Property) อาทิ บริการเช่าห้องเก็บของและทรัพย์สิน (Self-Storage) ในคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร บริการคลังสินค้าออนไลน์ย่อย (Micro-fulfillment Center) 3.การบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ (Property Services) อาทิ กลุ่มพลังงาน กลุ่มการบำบัดน้ำเสีย กลุ่มก่อสร้าง ปัจจุบัน มีการก่อสร้างโครงการคลังสินค้าแล้วประมาณ 330,000 ตร.ม. ในทำเลยุทธศาสตร์ 7 ทำเล ได้แก่ รังสิต บางนา กม.19 บางนา กม.23 บางพลี แหลมฉบัง พานทอง และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)