“ศาลอาญาคดีทุจริตฯภาค1” สั่งจำคุก 5 ปี “นายกเทศมนตรี ชัยนาท” สั่งคนงานนำเครื่องสูบ เครื่องตัดหญ้า ไปใช้หาประโยชน์

“ศาลอาญาคดีทุจริตฯภาค1” สั่งจำคุก 5 ปี “นายกเทศมนตรี ชัยนาท” สั่งคนงานนำเครื่องสูบ เครื่องตัดหญ้า ไปใช้หาประโยชน์

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จ.สระบุรี ศาลได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท50/2568 คดีหมายเลขแดงที่ 106/2568 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 เป็นโจทก์ นายไตรศักดิ์  นายกเทศมนตรี ต.เจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาทเป็นจำเลย ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ

โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต.เจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ยินยอมให้หน่วยงานราชการ และประชาชนทั่วไปใช้สถานที่เพื่อใช้จัดการประชุม จัดสัมมนาและจัดอบรมต่าง ๆ โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ในการขอใช้สถานที่ เช่น ค่าวิทยากร ค่าบำรุงรักษาศูนย์การเรียนรู้ ค่าอาหารว่าง และค่าอาหารกลางวัน โดยปิดป้าย ไว้ที่ศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่และมีแผ่นพับที่มีข้อความแสดงค่าใช้จ่ายในการขอใช้ สถานที่ โดยจำเลยนำครุภัณฑ์ประเภทเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำซึ่งเป็นครุภัณฑ์ของเทศบาลต.เจ้าพระยา ผู้เสียหาย ไปใช้ในกิจการส่วนตัวในบริเวณพื้นที่ของปัทมรัฐจิรนนท์ฟาร์มและศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของจำเลย ทั้งได้สั่งการให้ลูกจ้างของผู้เสียหายไปทำงาน ที่ศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลย จึงเป็นการอาศัยอำนาจในตำแหน่งและ หน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเหตุให้เทศบาลต.เจ้าพระยา ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157พ.ร.ป. รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 172 จำเลยให้การปฏิเสธ

ทางไต่สวนได้ความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีต.เจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท สั่งการให้คนงานซึ่งเป็นลูกจ้างของเทศบาลต.เจ้าพระยา ผู้เสียหายไปทำงานที่ สวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยและได้นำเครื่องตัดหญ้าของผู้เสียหายไปใช้ในสถานที่ดังกล่าวด้วย จึงเห็นว่าการที่จําเลยสั่งการให้คนงานซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายไปทำงานที่สวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยและได้นำ เครื่องตัดหญ้าของผู้เสียหายไปใช้ในสถานที่ดังกล่าวเป็นการใช้ประโยชน์จากบุคลากรและทรัพย์สิน ของผู้เสียหายซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับ ตนเองหรือผู้อื่น ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าสวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยจัดตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหรือเกษตรกรในพื้นที่ให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อยและพืชทางเลือกอื่น ๆ โดยยึดตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำริขององค์พ่อหลวง ร.9 โดยมิได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เข้าไปศึกษาดูงานแต่อย่างใดนั้น ปรากฏป้ายอัตราค่าใช้จ่ายในการเข้าศึกษาดูงานซึ่งจำเลยเบิกความรับรองว่าติดอยู่ภายในสวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยมีอัตราค่าวิทยากร ค่าอาหารและราคากิ่งพันธุ์พืชที่จําเลยจัดจําหน่ายภายในสถานที่ดังกล่าวด้วย แสดงให้เห็นว่านอกจากการเข้าศึกษาดูงานภายในสถานที่ดังกล่าวแล้ว แม้หากเป็นส่วนราชการหรือประชาชนที่เข้าไปศึกษาดูงานอาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของการใช้สถานที่

แต่จําเลยย่อมได้รับประโยชน์จากการขายกิ่งพันธุ์ไม้ที่จำเลยจัดจำหน่ายภายในสถานที่ดังกล่าว นอกจากนี้จำเลย ยังเบิกความรับว่าเหตุที่สั่งการให้คนงานของผู้เสียหายเข้าไปทำงานที่สวนมะกรูดนายกใหญ่และนำเครื่องตัดหญ้า ไปใช้ในสถานที่ดังกล่าวนั้นเพียงให้เข้าไปดูแลเฉพาะแปลงสาธิตและหอประชุมที่ใช้ในการประชุมของผู้เสียหาย เท่านั้น แต่จำเลยเบิกความว่าได้สั่งการให้คนงานเข้าไปทำงานในสถานที่ดังกล่าวซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของจำเลย สัปดาห์ละ 2- 3 วัน และหากมีการประชุมบ่อยครั้งจำเลยจะสั่งการให้คนงานเข้าไปทำงานแทบทุกวัน

ซึ่งการที่จำเลยสั่งการให้คนงานเข้าไปทำงานและนำเครื่องตัดหญ้าไปใช้ในสถานที่ส่วนตัวของจำเลยนั้นย่อมเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยโดยตรง แม้หากจำเลยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการอนุญาตเข้าไปศึกษาดูงานที่สวน มะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยจริง จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากคะแนนนิยมของประชาชนในพื้นที่และย่อมส่งผลให้จำเลยได้รับเลือกตั้งหรือได้รับผลประโยชน์ในทางการเมืองอันเป็นการหาเสียงและการแถลงนโยบายของจำเลยสืบเนื่องจากการใช้ประโยชน์จากบุคลากรและทรัพย์สินของผู้เสียหายนั่นเอง

การกระทำของจำเลย เป็นการอาศัยโอกาสทางการเมืองจากตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเอง จึงเป็น การแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นซึ่งเป็นการทุจริต ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่เทศบาลต.เจ้าพระยา หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้า พนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลตำบลเจ้าพระยา ผู้เสียหาย

ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามฟ้องจริง

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 การกระทำของ จำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151ซึ่งเป็น กฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี.

ศาลสั่งจำคุก "ใบปอ ทะลุวัง" 6 ปี คดี ม.112 โพสต์วิจารณ์งบสถาบัน

ศาลอาญา สั่งจำคุก  “ใบปอ ทะลุวัง” 6 ปี คดี ม. 112 โพสต์วิจารณ์งบประมาณสถาบัน

วันที่ 29 ส.ค.68 ณ ห้องพิจารณาที่ 911 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ1691/2565 ซึ่งพนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.ณัฐนิจ ดวงมุกสิทธิ์ หรือใบปอ และ น.ส.สุพิชฌาย์ ชัยลอม หรือเมนู แกนนำกลุ่มทะลุวัง ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(5)

คดีนี้มีมูลเหตุมาจากการที่จำเลยทั้งสองได้เผยแพร่หรือส่งต่อโพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก "ทะลุวัง ThaluWang" ระหว่างวันที่ 30 - 31 มีนาคม 2565 ซึ่งมีภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบรมวงศานุวงศ์และข้อความวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณสถาบันกษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติและถูกดูหมิ่น

ทั้งนี้ จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัว แต่ระหว่างการพิจารณาคดี น.ส.สุพิชฌาย์ จำเลยที่ 2 ได้หลบหนี ซึ่งศาลได้ออกหมายจับและปรับนายประกันไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้วันนี้ น.ส.ณัฐนิจ จำเลยที่ 1 ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาเพียงลำพัง

ศาลได้พิจารณาจากพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่พบโน้ตบุ๊กในห้องพักของจำเลยทั้งสอง พร้อมประวัติการใช้งานบัญชีเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้อง ทำให้เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนรับรู้และร่วมเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นการบิดเบือนข้อมูล ใส่ร้าย และสร้างความเสื่อมเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ

ในส่วนของคำพิพากษา ศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 3 ปี รวม 2 กระทง เป็นโทษรวม 6 ปี แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี และมีเจตนาจะบริจาคอวัยวะซึ่งเป็นการบรรเทาผลร้าย ศาลจึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมเป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ภายหลังทราบผลคำพิพากษา น.ส.ณัฐนิจ มีสีหน้าเศร้าสร้อยและร้องไห้ทันที โดยมีครอบครัวและแนวร่วมกลุ่มทะลุวังที่เดินทางมาร่วมรับฟังคอยให้กำลังใจ ด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ เปิดเผยว่าได้เตรียมคำร้องและหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัว น.ส.ณัฐนิจ ในชั้นอุทธรณ์คดีต่อไป

เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม ! เหตุผลศาลยกฟ้อง "ทักษิณ" คดีม.112 ชี้ไม่ได้กล่าวถึงสถาบันเบื้องสูง

 

วันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดูหมิ่นสถาบันหมายเลขดำ อ.1860/2567 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ฟ้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 กรณีเมื่อปี 2558 นายทักษิณ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อทีวีประเทศเกาหลีใต้ พาดพิงดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง

ภายหลังองค์คณะผู้พิพากษาศาลอาญาได้ใช้เวลาอ่านคำพิพากษาประมาณ 1 ชั่วโมง พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษายกฟ้อง

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า จำเลยเป็นผู้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวตามคลิปวิดีโอ โดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้องหรือไม่

โจทก์มีพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและพยานปากนายอนันต์ เหล่าเลิศวรกุล มาเบิกความยืนยันว่าดูคลิปวิดีโอ แล้วเห็นว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำให้สัมภาษณ์จำเลยจริง แม้โจทก์ไม่มีคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยฉบับเต็มมาเป็นหลักฐาน

แต่เมื่อพยานโจทก์ต่างยืนยันว่าคลิปวิดีโอเป็นคลิปให้สัมภาษณ์ของจำเลยบางช่วงบางตอน และพยานโจทก์เห็นว่าสามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการตัดต่อคลิปวิดีโอ ไม่ปรากฏว่าเป็นการตัดต่อในส่วนใดและส่วนไหนไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับความจริง จึงเป็นการกล่าวอ้างโดยไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้มาสนับสนุนหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ประกอบกับจำเลยยังเบิกความตอบโจทก์ถามค้านรับว่า บุคคลและเสียงในคลิปวิดีโอ เป็นจำเลย พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยให้สัมภาษณ์นักข่าวที่สาธารณรัฐเกาหลี ตามคลิปวิดีโอโดยมีเนื้อหาของข้อความตามคำฟ้อง ไม่ได้เป็นการตัดต่อหรือเสริมแต่งเพื่อใส่ความให้ร้ายจำเลย

ในส่วนของข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์ตามฟ้องนั้นเป็นการพูดหรือแสดงหรือพาดพิงหรือทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นการกล่าวถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อันมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์หรือไม่

เห็นว่า ข้อความที่จะถือว่าเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น จะต้องได้ความว่าการใส่ความนั้นระบุถึงตัวบุคคลผู้ถูกใส่ความ หรือเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่รู้ได้แน่นอนว่าบุคคลที่ถูกใส่ความเป็นใคร หรือหากไม่ระบุถึงผู้ที่ถูกใส่ความโดยตรงการใส่ความนั้นก็ต้องได้ความว่าหมายถึงบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

ส่วนการดูหมิ่นต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยาม หรือสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวถึงขนาดทำให้อับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว อีกทั้งความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นผู้อื่นด้วยการใช้ข้อความหรือคำพูด ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า เมื่อวิญญูชนโดยทั่วไปได้พบเห็น หรือได้อ่านหรือได้ยินข้อความนั้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้ถูกกระทำเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่ เมื่อพิจารณาข้อความหรือถ้อยคำให้สัมภาษณ์ของจำเลยมิได้ใช้คำว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่9” โดยตรง และไม่ได้ใช้ถ้อยคำสรรพนามที่อ้างถึงบุคคลที่สามโดยมีคำราชาศัพท์หรือถ้อยคำที่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงให้เข้าใจได้ว่าหมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด หากแต่ใช้คำสรรพนามบุรุษที่ 3 ว่า “เขา” เรียกแทนบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือบุคคลอื่นหลายคนรวมกัน และยังมีคำว่า “องคมนตรี” “ทหาร” “Palace Circle” และ “คนในวัง” ล้วนแต่อยู่ในประโยคคำให้สัมภาษณ์ของจำเลย

เห็นว่า พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาที่โจทก์นำมาเป็นพยานเพียงปากเดียว กับพยานบุคคลภายนอกที่โจทก์อ้างมา ล้วนแต่เข้าร่วมชุมนุมขับไล่จำเลยทางการเมือง อันส่อแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีอคติต่อจำเลย จึงมีข้อสงสัยถึงความเป็นกลางและต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง พยานบุคคลดังกล่าวของโจทก์จึงไม่อาจแสดงให้เชื่อได้ว่า วิญญูชนทั่วไปจะตีความข้อความที่จำเลยกล่าวไปในลักษณะที่พยานเหล่านั้นเข้าใจ ส่วนพยานที่เป็นเจ้าพนักงานตำรวจของโจทก์ก็ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากพยานเบิกความตอบคำถามค้านสอดคล้องกันว่า ในระหว่างการดำเนินคดีกับจำเลยนั้น

ความจริงพยานต่างเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสั่งฟ้องจำเลยได้ เพราะคลิปวิดีโอของกลางไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นต้นฉบับ ทั้งไม่สามารถสืบหาบุคคลที่นำคลิปลงเผยแพร่ในระบบคอมพิวเตอร์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาเพจแอปพลิเคชันเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ยูทูบ ที่นำคลิปวิดีโอให้สัมภาษณ์ของจำเลยมาเผยแพร่ลงในระบบคอมพิวเตอร์

พบว่าบุคคลที่นำมาเผยแพร่ซึ่งเป็นคนที่ได้รับฟังคลิปวิดีโอมาตั้งแต่แรก ล้วนเข้าใจตรงกันว่าจำเลยให้สัมภาษณ์โจมตีการยึดอำนาจและรัฐประหาร โดยพาดพิงถึงนายสุเทพกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และองคมนตรีเท่านั้น

ไม่ได้เข้าใจว่าถ้อยคำให้สัมภาษณ์นั้นจะพาดพิงหรือสื่อความหมายหรืออ้างว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติรัฐประหาร พยานหลักฐานทั้งหมดที่โจทก์นำสืบมา จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยกล่าวข้อความตามคำฟ้องโดยเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 หรือเมื่อวิญญูชนทั่วไปได้พบเห็นหรืออ่านข้อความที่จำเลยกล่าวแล้วจะเข้าใจได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9


ในขณะที่การสืบพยานหลักฐานของโจทก์ไม่สมกับภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาจึงไม่อาจรับฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามฟ้อง

สำหรับข้อหาร่วมกันแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องแต่มิได้นำพยานหลักฐานใดๆมานำสืบเกี่ยวกับข้อหานี้เลย จึงรับฟังไม่ได้


สำหรับความผิดฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ เห็นว่า เมื่อพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่า คำให้สัมภาษณ์ของจำเลยเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ จำเลยจึงไม่มีความผิดในข้อหานี้

 

ด่วน! ศาลอาญาฯ ออกหมายจับ “สีกากอล์ฟ” หลังพบเส้นเงินโยง “อดีตเจ้าอาวาส” วัดชูจิตฯ

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ออกหมายจับ “สีกากอล์ฟ” ใน 4 ข้อหาหนัก คือ สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ม.147, ร่วมกันฟอกเงิน , สมคบกันฟอกเงิน และรับของโจร

สืบเนื่องจากเจ้าเหน้าที่ตำรวจหลังพบเส้นทางการเงินของอดีตพระเทพพัชราภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม จ.พระนครศรีอยุธยา โอนเงินให้ 12.8 ล้านบาท โดยอ้างว่าสีกากอล์ฟต้องการนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจเซรามิก ด้วยความหลงเชื่อจึงโอนเงินให้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเงินส่วนตัวหมด จากนั้นจึงได้นำเงินของวัดอีก 3.8 แสนบาท โอนต่อไปให้สีกากอล์ฟด้วย ​แม้ภายหลังจะมีการนำเงินมาคืนให้กับวัดแล้ว

"ทักษิณ" ไปเอง ! "ทนายวิญญัติ" เผยศาลอาญานัดสืบพยานโจทก์นัดแรก 1 ก.ค.นี้ "คดีม.112" 

 

วันที่ 30 มิถุนายน 2568 นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ชินวัตร เปิดเผยว่า วันพรุ่งนี้ (1 กรกฎาคม 2568) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปศาลอาญาด้วยตนเอง ตามนัดในการตรวจพยานหลักฐานคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 8 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทักษิณ เป็นจำเลยในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 กรณีเมื่อปี 2558 นายทักษิณให้สัมภาษณ์กับสื่อเกาหลีใต้โดยมีเนื้อหาพาดพิงสถาบัน

สำหรับการสืบพยานมีทั้งหมด 7 นัด โดยฝ่ายโจทก์นัดในวันที่ 1, 2 และ 3 กรกฎาคม 2568 นัดสืบพยานฝ่ายจำเลยจะสืบพยานในวันที่ 15, 16, 22 และ 23 กรกฎาคม 2568 หลังจากนั้นศาลจะจัดทำคำพิพากษาต่อไป.

ยกฟ้อง “โรม” คดีหมิ่น “อดีต สว.อุปกิต”

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 25 มิถุนายน 2568 ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1743/66 ที่ นายอุปกิต ปาจรียางกูร อดีต สว.เป็นโจทก์ ฟ้อง นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เป็นจำเลย ความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา

กรณีเมื่อวันที่ 10 เม.ย.66 นายรังสิมันต์ โรม ได้ให้สัมภาษณ์ที่ทำการพรรคก้าวไกล โดยมีการเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กของพรรคก้าวไกล พาดพิงถึงโจทก์ว่า เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ทำให้โจทก์ เสื่อมเสียชื่อเสียง

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเมื่อพิจารณาจากเนื้อความที่จำเลยแถลงข่าว เป็นการติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดีโจทก์ รวมถึงการทำหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวมถึงตรวจสอบการทำงานของนายกรัฐมนตรี การแถลงข่าวที่ว่า "สว.อุปกิต เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดอย่างแน่นอน" ซึ่งคำว่า "เกี่ยวข้อง" ความหมายตามพจนานุกรมไม่ได้หมายถึงว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด ไม่ได้หมายถึงสมคบกันกระทำความผิด และไม่ได้หมายความถึงโจทก์เป็นคนไม่ดีแต่อย่างใด

ต่อมาอัยการได้สั่งฟ้อง นายทุน มิน หลัด ต่อศาลอาญาในคดีค้ายาเสพติด แม้ภายหลังศาลพิพากษายกฟ้อง แต่มีพยานบ่งชี้ว่า นายทุน มิน หลัด กับพวก เกี่ยวข้อง จึงมีการยื่นฟ้องต่อศาล และต่อมาได้มีการออกหมายจับโจทก์ แสดงให้เห็นว่าพยานหลักฐานมีเหตุให้ออกหมายจับว่า โจทก์น่าจะกระทำผิดอาญาร้ายแรง เบื้องต้นมีความไปเกี่ยวพันกับ นายทุน มิน หลัด ทำให้อัยการได้ยื่นฟ้องโจทก์ แม้ภายหลังศาลจะพิพากษายกฟ้องก็ตาม ซึ่งในฐานะประชาชนและจำเลยเป็น สส.ย่อมมีสิทธิ์ตรวจสอบโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะ โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติดเป็นปัญหาของประเทศ เป็นการทำหน้าที่ของจำเลยมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการติชมโดยสุจริต ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ พิพากษายกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลอาญาได้พิพากษายกฟ้องนายรังสิมันต์ หลังจากถูกนายอุปกิตยื่นฟ้อง กรณีนายรังสิมันต์อภิปรายในสภาฯ กล่าวพาดพิงทำนองว่า นายอุปกิตสนับสนุนขบวนการค้ายาเสพติด และร่วมกันฟอกเงิน พร้อมเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท และคดีของศาลแพ่งที่ศาลพิพากษายกฟ้องนายรังสิมันต์ ถูกนายอุปกิตยื่นฟ้องฐานละเมิด เรียกค่าเสียหายจำนวน 20 ล้านบาทด้วย

ศาลอาญาทุจริตฯ ยกคำร้อง "ไตรรัตน์" ซุ่มฟ้อง 4 บอร์ดกสทช. คดีปลดพ้นรักษาการเลขาฯ กสทช. กรณีบอลโลก 600 ล. ชี้ใช้อำนาจตามหน้าที่

วันที่ 30 พฤษภาคม 2578 รายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ค. 68 ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ อท 68/2568 ซึ่งเป็นคดีที่นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (โจทก์) ยื่นฟ้อง พล.อ.ท.ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 1) ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 2) , รศ.ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 3) และรศ.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ กรรมการ กสทช. (จำเลยที่ 4) ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยโจทก์กล่าวอ้างว่าการลงมติของจำเลยทั้งสี่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ใช้ดุลพินิจในการพิจารณาให้ความเห็นชอบตัวบุคคลคือโจทก์ให้เป็นเลขาธิการ กสทช. แต่กลับพิจารณาถึงกระบวนการสรรหา โดยศาลมีคำสั่ง ยกคำร้องจำเลยทั้ง 4 ราย เพราะเห็นว่า กรรมการ กสทช.ดังกล่าว ใช้อำนาจหน้าที่โดยชอบแล้ว

แหล่งข่าวจาก กสทช. กล่าวว่า การที่ รองเลขาธิการฯ ฟ้องเพื่อให้ทั้ง 4 บอร์ด กลายเป็นคู่กรณีโดยตรง เพื่อไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการพิจารณากระบวนการสรรหา เลขาฯคนใหม่ รวมถึงวาระอื่นๆที่เกี่ยวกับตน อีกทั้ง ถ้าหากศาลรับฟ้องคดีนี้ ก็จะยังคงรักษาการ เลขาฯ ต่อไปได้ ทั้งที่มิได้เป็นพนักงาน (รองเลขาฯ) แล้ว เนื่องจากต่ออายุโดยมิชอบ

“ทักษิณ”ขึ้นศาลขอออกนอกปท.

“กมธ.ป.ป.ช.” ลุยสอบปม ฮั้ว สว. จ่อเรียก “ผู้ร้อง-กกต.” ให้ข้อมูลคณะกรรมาธิการฯ 15 พ.ค. นี้ “ภูมิธรรม” ส่งคำชี้แจงให้ศาลรธน.แล้ว ปมถูกยื่นถอดถอน “คดีฮั้วสว.” ยันทำหน้าที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขณะที่ “กมธ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ สว.” เคาะตั้ง 2 อนุ กมธ. ศึกษาผลกระทบฯ พร้อมทำหนังสือถึง “นายกฯ-อดีตนายกฯ-อดีตปธ.สภา” ชี้แจงสัปดาห์หน้า ส่วน “ทักษิณ” ขึ้นศาลไต่สวนขอออกนอกประเทศอีกครั้ง ด้าน บอร์ดแพทยสภา ถกจริยธรรมแพทย์ ปมเอื้อ “ทักษิณ” รักษาตัวชั้น 14 


เมื่อวันที่ 8 พ.ค.68 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา ไม่พบว่ามี สว.คนใดเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา ภายหลังมีข่าว ว่า กกต.เตรียมลงดาบ  60  สว.ที่ทุจริตฮั้วเลือก สว. และเตรียมยื่นศาลฎีกาเพิกถอนสิทธิ์ มีเพียงนายภัทรพงศ์  ศุภักษร หรือ ทนายอั๋นบุรีรัมย์  ที่มายื่นข้อมูลเพิ่มเติม

ส่วน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องจาก สว. พิจารณาความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม และศาลได้สั่งให้ส่งคำชี้แจง ได้ชี้แจงไปอย่างไรบ้าง ว่า ตนก็พูดในสิ่งที่เป็นจริง ยืนยันตามสิ่งที่ตนได้กระทำไป ทั้งนี้ ตนเข้าไปในเรื่องนี้ในฐานะประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กพค.) ซึ่งได้มีการเรียกประชุมและมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นในที่ประชุม จึงได้ทบทวนและให้รับข้อโต้แย้งมาพิจารณา ว่าหากคดีเรื่องฮั้ว สว. มีการซ้อนกัน ก็ควรจะแยกคดี ต่างคนต่างทำ และหลังจากนั้น ตนก็ให้ปฏิบัติตามกฎหมายก็เท่านั้นเอง ตนทำในส่วนอำนาจหน้าที่ของตน

เมื่อถามว่า ขณะนี้กระบวนการของศาลถึงไหนแล้ว ได้มีการเรียกมาไต่สวนหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่มี เมื่อศาลได้พิจารณาแล้วก็ตัดสินใจ แต่หากศาลจะไต่สวน ตนก็พร้อมไป แต่ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งวันนัด


“ยืนยันว่าผมมีความบริสุทธิ์ใจ และปฏิบัติหน้าที่ตามที่มีอำนาจหน้าที่ มอบหมายก็ดำเนินการไป และผมไม่เชื่อว่า กระบวนการที่ผมดำเนินการไป จะเป็นปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ ถ้าคิดว่าเนื้อหาที่ผมทำไป มีปัญหา ศาลก็คงวินิจฉัยและพิจารณา” นายภูมิธรรม กล่าว
เมื่อถามว่า ศาลได้มีการเรียกหลักฐานเพิ่มเติมหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่มีอะไร ตนก็แสดงในสิ่งที่เป็นวาระการประชุม และพูดถึงเจตนารมณ์ รวมถึงสิทธิหน้าที่ ตนไม่ได้ทำโดยพลการ

เมื่อถามถึงกรณีที่ ส.ว.ยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบนายภูมิธรรม รวมถึงบอร์ด กพค. ได้มีการเชิญไปชี้แจงหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่มีเลย แต่ถ้ามีข้อสงสัยในทางกฎหมาย หากเรียกมาตนก็ยินดีไปเจออยู่แล้ว


ทางด้าน นายฉลาด ขามช่วง สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทยและประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกระแสข่าวการตรวจสอบการอั้วเลือก ส.ว. ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำลังตรวจสอบอยู่ว่า กระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการฮั้วเลือก ส.ว. เป็นเรื่องที่กระทบโดยตรงต่อฝ่ายนิติบัญญัติ หากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มีความพยายามที่จะยึดวุฒิสภา ด้วยการจัดตั้งให้พรรคพวกตัวเองเข้ามาเป็น ส.ว. จำนวนมาก เพื่อหวังผลประโยชน์ในทางการเมืองนั้นไม่เพียงไม่เคารพกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความเสียหายต่อฝ่ายนิติบัญญัติและประชาธิปไตย 

นายฉลาด กล่าวว่า ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ เห็นว่าการทุจริตการเลือก ส.ว.เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงเชิญผู้ร้องในพื้นที่จังหวัดต่างๆ อาทิ จังหวัดอำนาจเจริญ รวมไปถึง กกต. มาให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการฯ ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง โดยเฉพาะกระบวนการและขั้นตอนที่นำไปสู่การทุจริต รวมไปถึงช่องว่างช่องโหว่ทางกฎหมายที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่ม ซึ่งจะเป็นบทสรุปสำคัญในการที่เราจะนำไปสู่การปรับแก้ไขปิดช่องว่างเหล่านั้น เพื่อทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นได้ 

นายฉลาด กล่าวว่า สำหรับความคืบหน้าในการตรวจสอบการทุจริตการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ได้เชิญผู้ว่า สตง. และผู้บริหาร สตง. มาให้ข้อมูลมาแล้วนั้น ในสัปดาห์นี้คณะกรรมาธิการฯ จะดำเนินการต่อเนื่องด้วยการเชิญกรมบัญชีกลางมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มเติม ในวันที่ 14 พฤษภาคม อีกครั้ง

ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) วุฒิสภา วาระพิจารณาวางกรอบแนวทาง รวมถึงการตั้งคณะอนุกรรมาธิการ ซึ่งมีนายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการฯ เป็นประธานการประชุม โดยที่การประชุมได้มีการหารือถึงหัวข้อหลักในการศึกษา 3 เรื่อง คือ สังคม เศรษฐกิจ และกฎหมาย รวมถึงนิยามคำว่า "สถานบันเทิงครบวงจร" เนื่องจากมีการเสนอว่า อยากให้ใช้คำตรงๆ เพราะจะสามารถสื่อความหมายได้มากกว่า ตลอดจนการเพิ่มคำว่า "การพนัน" ที่หมายรวมถึงการพนันทุกชนิด และการพนันออนไลน์ เข้าไปด้วย เช่น เสนอให้ใช้ "สถานบันเทิงครบวงจรที่มีบ่อนกาสิโน หรือการพนันทุกรูปแบบ รวมทั้งการพนันออนไลน์", ให้ใช้ชื่อ "สถานบันเทิงครบวงจรที่มีบ่อนกาสิโน" สั้นๆ แล้วจึงเติมรายละเอียดในบทนำเพิ่มแทน, ให้เขียนเพิ่มความหมายไว้ในนิยามศัพท์ ว่าจะหมายรวมถึงการพนันทุกรูปแบบ ดังนั้น จึงใช้คำว่า "สถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนและพนันออนไลน์" ซึ่งสอดรับตามร่างกฎหมายของรัฐบาล และหากเกิดกรณีต้องมีการทำประชามติ จะได้ป้องกันการเกิดความสับสนในการตอบคำถาม

สำหรับการถกเถียงเรื่องข้อกฎหมาย ในช่วงแรกมีการเสนอให้แยกออกมา เป็นอีกหนึ่งคณะอนุกรรมาธิการ เพื่อศึกษากฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อาทิ การขายสุรานอกเวลา พระราชบัญญัติโรงแรม การจัดโซนนิ่ง รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายการพนันเดิม และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่ที่ประชุมไม่เห็นด้วยให้มีการแยก เนื่องจากกังวลว่า อาจทำให้ลดทอนความสำคัญเรื่องกาสิโนไปนอกจากนั้น ยังมีการเสนอเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมในหมวดของผลกระทบทางด้านสังคมและกฎหมาย และอาจมีฝ่ายการเมืองที่คุมเสียงในสภา สามารถล้มกฎหมายของได้ แต่ไม่สามารถล้มรัฐธรรมนูญ จึงอยากให้คำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย

สุดท้ายที่ประชุมมีมติ ตั้งคณะอนุกรรมาธิการจำนวน 2 คณะ ดังนี้ 1.คณะอนุกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาผลกระทบทางสังคมและกฎหมายของการมีสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนและพนันออนไลน์ (รวมถึงสิ่งแวดล้อม การผังเมือง ประเด็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ และการทำประชาพิจารณ์ ตามมาตรา 77 ) ซึ่งมีนายนิพนธ์ เอกวานิช สว. เป็นประธาน และ 2.คณะอนุกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาผลกระทบทางเศรฐกิจของการมีสถานบันเทิงครบวงจรที่มีกาสิโนและพนันออนไลน์ ซึ่งมีนายสรชาติ เป็นประธาน


ทั้งนี้ ระหว่างการประชุม ยังมีการยืนยันถึงเรื่องความเป็นกลาง อย่าพิจารณาโดยมีธงในใจ นำเสนอในภาพรวม เมื่อการศึกษาครบถ้วนรอบด้านแล้ว สว.ทั้งหมด จะได้นำมาชั่งตวงวัด และส่งไปยังรัฐบาล เพื่อให้เกิดการยอมรับ รวมถึงจะได้สามารถตอบกับประชาชนได้ ป้องกันการถูกถามกลับ ว่าถ้าไม่เอาแล้วจะมาศึกษากันทำไม

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตามกรอบเวลาเดิม 180 วัน ที่ประชุมมีความเห็นว่า อยากให้เร่งรัดจัดทำร่างรายงานให้เสร็จก่อนสิ้นเดือนกรกฎาคม เนื่องจากจะมีการเปิดสมัยประชุมในต้นเดือนกรกฎาคม จึงกังวลว่า ทางรัฐบาลอาจจะเสนอกฎหมายเข้ามาก่อน


ภายหลังการประชุม นายวีระพันธ์ แถลงว่า ยอมรับถึงกรณีข้อถกเถียงเรื่องการเพิ่มนิยามคำว่า "สถานบันเทิงครบวงจร" และมองว่าดี ที่มีความเห็นหลากหลาย ดังนั้น จึงต้องล้างความเห็นส่วนตัวทั้งหมด ต้องเป็นกลางที่สุด เพื่อรับฟังความเห็นทุกด้าน ตลอดจนการหารือเรื่องการทำประชาพิจารณ์ แต่ยังไม่มีการกำหนดว่า จะมีการดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร สำหรับการประชุมครั้งหน้า คณะกรรมาธิการฯ จะเชิญ คณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งตนอยากให้นายกรัฐมนตรีมาเอง ยืนยันว่า ไม่ได้บังคับ เพียงแต่เชิญไปตามระเบียบ ส่วนนายกรัฐมนตรีจะมอบหมายให้รัฐมนตรีท่านใดมาชี้แจงแทนก็ได้ รวมถึงยังมีการเสนอให้เชิญอดีตนายกรัฐมนตรี เช่น นายทักษิณ ชินวัตร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายชวน หลีกภัย นายเศรษฐา ทวีสิน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร อาทิ นายชวน หลีกภัย นายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์ ด้วย

วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา นายทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลย คดีดูหมิ่นสถาบัน ได้เดินทางมายื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยนายทักษิณเดินทางมาด้วยรถยนต์โรลส์-รอยซ์ สีดำ พร้อมกับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ และทีมทนายความ จากนั้นนายทักษิณได้เดินทางกลับ โดยใช้เวลาไม่นาน 

ส่วนที่อาคารมหิตลาธิเบศร กระทรวงสาธารณสุข แพทยสภานัดประคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ ซึ่งเป็นประชุมประจำเดือนพฤษภาคม โดยหนึ่งวาระของการประชุมวันนี้ คือการนำเสนอผลสรุปการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองของแพทยสภา กรณีการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

เปิดเบื้องลึกศาลไม่อนุญาต “ทักษิณ”ออกนอกประเทศ

จากกรณีที่ มีรายงานว่าศาลอาญายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางออกนอกประเทศ ตามที่ “สยามรัฐออนไลน์”ได้รายงานไปแล้วนั้น 

ล่าสุดมีรายงานระบุว่า ศาลได้ยกคำร้องของนายทักษิณ ไม่อนุญาตให้ออกนอกประเทศตั้งแต่ช่วงเช้า แม้จะมีหนังสือแต่งตั้งให้นายทักษิณ เป็นตัวแทนไปทำหน้าที่เจรจากับ ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ สหรัฐอเมริกาก็ตาม 

ทำให้มีการอ้างพยานเพิ่มเติม คือนายวิษณุ  เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เพื่อยืนยันถึงความจำเป็นในการเดินทางไปทำหน้าที่ของนายทักษิณ ที่จะส่งผลต่อประเทศและสายสัมพันธ์ระหว่างนายทักษิณกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

จึงให้มีการตั้งองค์คณะพิจารณาคำขออนุญาตเดินทางไปสหรัฐอเมริกาของนายทักษิณ ประกอบด้วยรองอธิบดีศาลอาญาเป็นประธาน หัวหน้าคณะผู้พิพากษาศาลอาญาในคดี 112 ที่ทักษิณเป็นจำเลย และ ผู้พิพากษาอาวุโส 

 ซึ่งที่ประชุมก็ยังคงมีมติยกคำร้องของทักษิณ ทั้งนี้ หลังมีมติดังกล่าว ได้มีการรายงานไปยังผู้มีอำนาจ ในกระบวนการยุติธรรม ทำให้มีการประสานต่อไปยังผู้มีอำนาจที่สูงกว่า แต่ปรากฏว่าไม่ได้มีการตัดสินใจลงมา แต่ได้ขอให้หัวหน้าคณะผู้พิพากษาที่จะไต่สวนนายทักษิณกรณีชั้น14  ในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ เป็นผู้ชี้ขาด  ที่สุดจึงมีคำสั่งไม่อนุญาตให้นายทักษิณเดินทางออกนอกประเทศ 

สรุปไฮไลท์การเมืองรอบวัน 8 พฤษภาคม 2568

 

# ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา  อุปนายกแพทยสภา คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่  เพื่อพิจารณาผลสรุปการสอบสวนจริยธรรมแพทย์ที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองของแพทยสภา กรณีการพักรักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

ศ.ดร.ประสิทธิ์ แถลงว่า ที่ประชุมบอร์ดแพทยสภา มีมติลงโทษแพทย์ 3 ท่าน โดยท่านที่ 1 เป็นกรณีว่ากล่าวตักเตือน ในกรณีประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่ได้มาตรฐาน และพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม 2 ท่าน ในกรณีให้ข้อมูลหรือเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยแพทยสภาจะต้องนำเสนอมติต่อสภานายกพิเศษ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต่อไป ขอความเห็นชอบก่อนถึงจะพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพและกำหนดระยะเวลาพักใช้ใบอนุญาตต่อไป

# นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยคดีดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้เดินทางมาที่ศาลอาญาเพื่อยื่นคำร้องขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร 

ต่อมา ศาลอาญาพิจารณาแล้วเห็นว่า ไม่อนุญาตให้นายทักษิณ เดินทางออกนอกประเทศ ไปประเทศกาตาร์ ตามคำเชิญของเจ้าผู้ครองนครรัฐกาตาร์ เหตุเพราะเป็นหมายนัดส่วนตัว