ซีพีคว้า 7 รางวัล TJDA พร้อม SBTi รับรอง Net Zero ตอกย้ำวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ ฉลองวันสิ่งแวดล้อมโลก

"ซีพี" คว้า 7 รางวัล TJDA พร้อม SBTi รับรอง Net Zero ตอกย้ำวิสัยทัศน์สู่การปฏิบัติ ฉลองวันสิ่งแวดล้อมโลก

ในช่วงสัปดาห์ของวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งทั่วโลกต่างตระหนักถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ตอกย้ำจุดยืนขององค์กรไทยที่ขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ ด้วยการคว้า 7 รางวัลคุณภาพด้านการจัดการคาร์บอน จากเวที Thailand–Japan Decarbonization Awards 2025 (TJDA) และการได้รับการรับรองเป้าหมายลดคาร์บอนจากโครงการ Science Based Targets initiative (SBTi) อย่างเป็นทางการ

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า เครือฯ มุ่งมั่นเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero อย่างจริงจัง ผ่านการยกระดับระบบบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรในทุกมิติ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด "สร้างคุณค่าร่วม" กับทุกภาคส่วนในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อให้การลดคาร์บอนกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรและเกิดผลลัพธ์เชิงบวกในวงกว้าง

“เราเชื่อว่า ภาคธุรกิจต้องเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงแค่การตั้งเป้าหมาย แต่ต้องลงมือทำอย่างต่อเนื่องและวัดผลได้จริง" นายศุภชัยกล่าว พร้อมระบุว่า การจัดตั้ง CPG Carbon Council, การพัฒนา Supplier Academy และ Carbon Dashboard ล้วนเป็นกลไกที่สนับสนุนให้เป้าหมาย Net Zero ของซีพีเกิดขึ้นได้จริง

ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า รางวัลคุณภาพด้านการจัดการคาร์บอน Thailand–Japan Decarbonization Awards 2025 และการได้รับการรับรองเป้าหมายลดคาร์บอนจากโครงการ Science Based Targets initiative (SBTi) ในครั้งนี้ เป็นผลจากการดำเนินการตามนโยบายของซีอีโอ ที่ได้กำหนดให้ Net Zero เป็นเป้าหมายระยะยาวขององค์กร พร้อมเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและความร่วมมือใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

รางวัล Thailand–Japan Decarbonization Awards 2025 (TJDA)  เป็นรางวัลด้านการจัดการคาร์บอน ก่อกำเนิดขึ้นโดยสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย–ญี่ปุ่น) หรือ ส.ส.ท. ร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเชิดชูองค์กรที่มีนวัตกรรมในการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม โดยรางวัลสูงสุดมี 3 รางวัลเป็นถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1 รางวัล  ถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 1 รางวัล และถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 1 รางวัล  นอกจากนี้ยังมีรางวัล Gloden Award ที่มอบให้แก่ผลงานที่ทำสำเร็จแล้ว จำนวน 11 รางวัล และประกาศนียบัตรอีก  4 รางวัลแก่ผลงานแนวคิดที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ

ในการนี้ซีพีได้รับ “ถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม”  สำหรับโครงการ "เปลี่ยนผ่านองค์กรสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน" ซึ่งดำเนินการโดย สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาล และสื่อสารองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด โครงการนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเครือฯ ในการขับเคลื่อนเป้าหมาย สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) อย่างเป็นระบบ โดยดำเนินการครอบคลุมทั้ง 14 กลุ่มธุรกิจใน 21 ประเทศทั่วโลก เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และพร้อมเป็นต้นแบบของภาคเอกชนในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม 

ความสำเร็จของโครงการเกิดจากการลงมือปฏิบัติจริงในหลากหลายมิติ อาทิ  การติดตั้งโซลาร์รูฟมากกว่า 1,400 จุดทั่วประเทศ ช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ,การส่งเสริมการปลูกข้าวคาร์บอนต่ำ ผ่านเทคนิค นาเปียกสลับแห้ง และการใช้ปุ๋ยสั่งตัดตามค่าความต้องการของพืช ซึ่งลดการปล่อยก๊าซมีเทนและไนตรัสออกไซด์ในภาคการเกษตร ,การพัฒนาแอปพลิเคชัน “CPG Carbon Platform” สำหรับสนับสนุนเกษตรกรและคู่ค้าให้สามารถบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างแม่นยำ , การเปลี่ยนระบบขนส่งสู่พลังงานสะอาด ด้วยการนำรถขนส่งไฟฟ้า (EV) และระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการจัดจำหน่าย และการจัดเวทีความร่วมมืออย่างต่อเนื่องผ่าน Sustainability Forum กับคู่ค้ากว่า 20,000 ราย ตลอดห่วงโซ่คุณค่า เพื่อเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การดำเนินงานภายใต้โครงการนี้ตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการเป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำที่ไม่เพียงมุ่งเน้นผลประกอบการทางเศรษฐกิจ แต่ยังให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการมีส่วนร่วมในการแก้ไขวิกฤตสภาพภูมิอากาศของโลกอย่างจริงจัง

นอกจากนี้ บริษัทในเครือซีพีได้รับรางวัล TJDA อีก 6 โครงการ ได้แก่: 1.  โครงการ "ต้นแบบการจัดการพลังงานสะอาดครบวงจรเพื่อความเป็นกลางทางคาร์บอน" โดย บริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด (Altervim) ได้รับถ้วยรางวัลจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 2.  โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emission) Makro นครราชสีมา ระยะที่ 1 โดย บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ได้รับรางวัลประเภท Gloden Award 3.  โครงการระบบ Biogas ขั้นสูง โดย บริษัท ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โรงงานแปรรูปเนื้อไก่ นครราชสีมา ได้รับรางวัลประเภท Gloden Award  4.โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Makro ปิ่นเกล้า โดย บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน)ได้รับประกาศนียบัตร 5.  ศูนย์อัจฉริยะด้านพลังงาน โดย บริษัท อัลเตอร์วิม จำกัด ได้รับประกาศนียบัตร 6.  โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน Makro สาขานครราชสีมา 2 โดย บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ได้รับประกาศนียบัตร

ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เครือซีพียังได้รับการรับรองเป้าหมายลดคาร์บอนจาก Science Based Targets initiative (SBTi) ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระดับโลกขององค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ CDP, UN Global Compact, WRI และ WWF โดยการรับรองนี้ยืนยันว่า เป้าหมายของซีพีสอดคล้องกับความพยายามของโลกในการควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงเกิน 1.5°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม ครอบคลุม Scope 1, 2 และ 3 อย่างครบถ้วน ตามมาตรฐาน GHG Protocol พร้อมระบบรายงานผลที่โปร่งใสและเชื่อถือได้ ซึ่งเครือซีพีได้รับการรับรองเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ 

เป้าหมายระยะสั้น (Near-term Targets) ภาคพลังงานและอุตสาหกรรม เครือซีพีมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 และ 2 ลง 42% ภายในปี 2030 เทียบกับปีฐาน 2021 พร้อมทั้งลดการปล่อยในขอบเขตที่ 3 อีก 25% ในช่วงเวลาเดียวกัน ภาคการเกษตรและป่าไม้ ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 และ 3 สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินลง 30.3% ภายในปี 2030 จากปีฐาน 2021 

เป้าหมายระยะยาว (Long-term Targets) ภาคพลังงานและอุตสาหกรรม ตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 และ 2 ลงถึง 90% ภายในปี 2050 จากปีฐาน 2021 และลดการปล่อยในขอบเขตที่ 3 อีก 90% ในระยะเวลาเดียวกัน ภาคการเกษตรและป่าไม้ วางเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในขอบเขตที่ 1 และ 3 ลง 72% ภายในปี 2050 จากปีฐาน 2021ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ความเคลื่อนไหวของซีพีในช่วงเวลาที่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เพียงเรื่องของรางวัลหรือการรับรอง แต่คือบทพิสูจน์ว่า "องค์กรไทยก็สามารถเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อมในระดับโลกได้"

ทสจ.กาฬสินธุ์รณรงค์วันสิ่งแวดล้อมโลกช่วยกันลดขยะพลาสติก

ผอ.ทสจ.กาฬสินธุ์รณรงค์วันสิ่งแวดล้อมโลกชวนประชาชนคนกาฬสินธุ์ร่วมด้วยช่วยกันลดขยะพลาสติก ลดมลพิษ ลดโลกร้อน โดยการปรับเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้า รักษาโลกใบนี้ให้น่าอยู่ เพื่อคุณภาพอากาศที่ดี และสุขภาพที่ดีของชาวกาฬสินธุ์ พร้อมเชิญชวนปลูกต้นไม้คนละต้น เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5

ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 นายวิทยา ปัญจมาตย์ ผอ.ทสจ.กาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า เนื่องในวันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก ซึ่งปีนี้มีประเด็นสำคัญที่เน้นในการรณรงค์ร่วมกัน คือ มลพิษพลาสติกเป็นปัญหาวิกฤตที่แพร่กระจายไปทั่วโลกส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพและเศรษฐกิจ ถ้าใช้พลาสติกอย่างเข้าใจเปลี่ยนประเทศไทยให้ยั่งยืน 

ทั้งนี้หากทุกคนต้องช่วยกันพลังที่ยิ่งใหญ่เราสามารถช่วยกันซ่อมโลกใบนี้ให้น่าอยู่ไปด้วยกันโดยการงดใช้ถุงพลาสติก  เปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าทดแทน จะทำให้สามารถลดขยะพลาสติกได้เป็นจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งหากทุกท่านช่วยกันเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อสิ่งแวดล้อม ลดโลกร้อนเริ่มง่ายๆจากสิ่งใกล้ตัวเรา เพราะทุกคนคือพลังของการเปลี่ยนแปลง แค่เปลี่ยนจากซื้อใหม่เป็นการใช้ซ้ำ เราก็ช่วยลดภาระให้โลกได้ 

 

นายวิทยา กล่าวอีกว่า ดังนั้นทสจ.กาฬสินธุ์จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนคนกาฬสินธุ์ ร่วมด้วยช่วยกันลดขยะพลาสติก ลดมลพิษ ลดโลกร้อน โดยการปรับเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้า รักษาโลกใบนี้ให้น่าอยู่ เพื่อคุณภาพอากาศที่ดี และสุขภาพที่ดีของชาวกาฬสินธุ์ทุกคน นอกจากนี้อยากขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมด้วยช่วยกัน และคนกาฬสินธุ์ รักกาฬสินธุ์อย่าลืมร่วมด้วยช่วยกันปลูกต้นไม้คนละต้น เพื่อคนกาฬสินธุ์ รวมทั้งเป็นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว และลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 อีกด้วย

ทรู คิกออฟ "ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ สัญจร" สตาร์ทรถออนทัวร์รับ e-Waste วันสิ่งแวดล้อมโลก 2568

มือถือที่วางอยู่ในลิ้นชัก หูฟังที่เสียงแตกแล้ว สายชาร์จพัง พาวเวอร์แบงค์เก่าๆ รู้มั้ยว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์ (e-waste) เหล่านี้ ล้วนมีพิษ เป็นอันตราย และเติบโตเร็วที่สุดในโลก สวนทางกับการนำมารีไซเคิลถึง 5 เท่า! ความจริงที่น่าตกใจ...ในประเทศไทยมีขยะอิเล็กทรอนิกส์กว่า 680,000 ตันต่อปี แต่มีไม่ถึง 20% เท่านั้นที่ได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี

วันที่ 5 มิถุนายน 2568  ท่ามกลางความท้าทายนี้ ทรู คอร์ปอเรชั่น เทคคอมปานีไทย ที่ตระหนักถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ยังคงเดินหน้าจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยวิธีฝังกลบเป็นศูนย์ โดยปีนี้ จัดความพิเศษ “ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ” สัญจร ไปรับ e-Waste ถึงมือลูกค้า ประชาชน และองค์กรธุรกิจ พร้อมอำนวยความสะดวก เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งการจัดการขยะ e-Waste ได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ต้องออกจากบ้าน ไม่ต้องเดินทางไกล!

ประเดิมกรุงเก่า แหล่งนิคมอุตสาหกรรม พร้อมเคลื่อนขบวนสู่กทม. ตลอดปีนี้

ทรู ยกระดับโครงการ “ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ” เพิ่มโอกาสนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มารีไซเคิล เปิด “สัญจร” เก็บขยะ e-Waste ปักหมุดแห่งแรกที่พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง และเป็นแหล่งรวมฐานการผลิตอุตสาหกรรมหลักของประเทศ โดยโครงสร้างเศรษฐกิจของจังหวัดขับเคลื่อนด้วยภาคอุตสาหกรรม คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 75.5% โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีการลงทุนมากที่สุด โดยปีนี้ ยังคงเดินหน้าจับมือกับพันธมิตรชั้นนำ อย่าง เอสเค เทส ไทยแลนด์ และ ออลล์ นาว โลจิสติกส์ นำขยะ e-Waste ที่จะขับไปรับตามแหล่งชุมชน เช่น ที่พักอาศัย ตลาด ร้านค้า รวมถึงโรงงานและแหล่งนิคมอุตสาหกรรม เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี ปลอดภัย เป็นไปตามมาตรฐานสากล ยิ่งไปกว่านั้น ยังเตรียมขยายเส้นทางตระเวนทั่วกรุงเทพมหานคร รับขยะ 
e-waste ถึงมือชาวกทม. รวมถึงร่วมกับสถาบันการศึกษา และองค์กรภาคธุรกิจจากหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ ห้างสรรพสินค้า รีเทล ระบบขนส่งมวลชน อสังหาริมทรัพย์ รับถึงที่ ดีต่อใจ ต่อเนื่องยาวถึงสิ้นปี 2568 อีกด้วย

ทิ้ง 1 เลือกรับสิทธิพิเศษจาก 8 แบรนด์ดัง

ยิ่งไปกว่านั้น อีกหนึ่งความพิเศษของโครงการ “ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ” ที่ยังคงมอบให้แก่ลูกค้าทรูและดีแทคคนสำคัญ...เพียงนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ มาทิ้งที่กล่อง e-Waste ณ ทรูช็อป ทรูแบรนด์ดิ้งช็อป ทรูสเฟียร์ ทรูสเปซ และศูนย์บริการดีแทค 155 สาขาทั่วประเทศ พร้อมสแกน QR Code เพื่อแลกรับของรางวัล “Drop for Reward” จาก 
8 แบรนด์ชั้นนำที่แอปพลิเคชันทรูไอดี และ dtac app ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2568 ได้แก่ 

1. Paul – ซื้อเซ็ต Sweet (ราคาปกติ 385 บาท) และเซ็ต Savory (ราคาปกติ 460 บาท) ในราคาเพียง 179 บาท โดยเลือกได้ 2 เมนู Viennoiserie หรือ Savory Croissant อย่างละ 1 ชิ้น

2. TrueCoffee – อัปไซส์ฟรี เมนูเครื่องดื่ม Boran (จาก ไซส์ R เป็น ไซส์ L) มูลค่า 15 บาท 

3. Dunkin Donut – รับฟรีโดนัท 1 ชิ้น 

4. Sukishi Korean Charcoal Grill – รับฟรี ยำปลาแซลมอน 1 จาน มูลค่า 230 บาท เมื่อรับประทานอาหารครบ 250 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ (ยอดก่อนหักส่วนลด) 

5. THE KLINIQUE – ฟรี Treatment Voucher รับบริการโปรแกรม Bright Skin Detox มูลค่า 4,000 บาท 

6. นายช่าง ดูโฮม – ส่วนลดค่าบริการล้างแอร์ติดผนัง ทุกรุ่น ทุก BTU เหลือเพียง 549 บาทต่อเครื่อง (จากราคาปกติ 620 บาท) 

7. Home Service by HomePro – ส่วนลดค่าบริการล้างแอร์ติดผนัง เหลือเพียง 550 บาทต่อเครื่อง (จากราคาปกติ 650 บาท) 

8. ทรูสเปซ – รับสิทธิ์เข้าใช้บริการ Day Pass เพียง 100 บาท (จากราคาปกติ 250 บาท) และรับสิทธิ์เข้าใช้บริการ Co-working space ฟรี 1 ชั่วโมง

และเนื่องในวันสิ่งแวดล้อม 5 มิถุนายน 2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอเชิญชวนทุกคนมาสร้างโลกที่ยั่งยืนไปด้วยกัน นำสมาร์ทโฟนเก่า โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เสริม และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กที่เลิกใช้งาน รวมถึง e-Waste พันธุ์ใหม่อย่างอุปกรณ์ไอโอที มาทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ เพื่อนำมารวบรวมและเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลอย่างถูกวิธี 100% ทั้งนี้ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการ “ทิ้งถูกที่ ดีต่อใจ” สัญจร และแคมเปญ “Drop for Rewards” ได้ที่ https://truesustainability.info/sustainability/tinktooktee-d-tor-jai/ 

ครั้งแรกของศูนย์ประชุมไทย!  ศูนย์ฯ สิริกิติ์ เปิดตัวแดชบอร์ดคำนวณคาร์บอนแบบเรียลไทม์ ยกระดับมาตรฐานไมซ์ไทยสู่ความยั่งยืน

ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ร่วมฉลองวันสิ่งแวดล้อมโลก เปิดตัว “Real-Time Carbon Footprint Tracking Dashboard” นำร่องใช้แดชบอร์ดคำนวณคาร์บอนแบบเรียลไทม์ในงานไมซ์ ซึ่งเป็นครั้งแรกของศูนย์ประชุมในประเทศไทย ในงาน Asia Sustainable Energy Week 2025 และ International Engineering Expo 2025 ที่จะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ หวังเป็นต้นแบบสู่การจัดงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมไมซ์ไทยให้ทัดเทียมระดับสากล

การนำ Real-Time Carbon Footprint Tracking Dashboard  จากบริษัท อัลโต้เทค โกลบอล จำกัด มาใช้นี้  อยู่ภายใต้โครงการ Winnovation ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือทีเส็บ ที่ส่งเสริมการใช้นวัตกรรมในอุตสาหกรรมไมซ์ไทย โดยเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สามารถวัด และแสดงผลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint) โดยใช้ข้อมูลจริงจากแหล่งต่าง ๆ เช่น การใช้พลังงาน การบริโภคอาหาร บรรจุภัณฑ์ และการเดินทางของผู้เข้าร่วมงาน เพื่อให้ผู้จัดงาน และผู้เข้าร่วมงานสามารถรับรู้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกิจกรรมในงานได้อย่างโปร่งใส และทันที พร้อมนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้วางแผนลด หรือชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การจัดงานแบบ Carbon Neutral อย่างแท้จริง

สุรพล อุทินทุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำด้านความยั่งยืนที่มุ่งมั่นพัฒนาในทุกมิติ จากจุดเริ่มต้นที่เราได้ดำเนินการจัดทำระบบมาตรฐาน ISO 14064-1 และCarbon Footprint for Organization (CFO) ซึ่งล้วนเป็นมาตรฐานสำหรับการวัดปริมาณ และการรายงานปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร เราจึงต่อยอดสู่การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของอิเวนต์ (Carbon Footprint of Event-CFE) อย่างเป็นระบบ การเปิดตัว Real-Time Carbon Footprint Tracking Dashboard ในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานสู่การจัดงานอิเวนต์ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนโดยเรามุ่งหวังให้งาน Asia Sustainable Energy Week 2025 และ International Engineering Expo 2025 เป็นต้นแบบสำหรับงานอื่นๆที่ต้องการยกระดับมาตรฐานด้านความยั่งยืน ซึ่งจะเป็นการช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ไทย”

ตัวอย่างการแสดงผล Real-Time Carbon Footprint Tracking Dashboard  

หมายเหตุ: ตัวเลขในภาพเป็นเพียงการสมมุติเพื่อใช้ประกอบการประชาสัมพันธ์เท่านั้น

จารุวรรณ สุวรรณศาสน์  ผู้ทรงคุณวุฒิ (Chief Information Officer: CIO) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือทีเส็บ กล่าวว่า “มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และ บริษัทอัลโต้เทค โกลบอล ได้จับคู่ธุรกิจผ่านโครงการ MICE Winnovation ของทีเส็บ ถือเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยในเรื่องผลประกอบการด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่คือ  Real-Time Carbon Footprint Tracking Dashboard ของบริษัทอัลโต้เทค โกลบอล มาใช้ติดตามวัดผลการดำเนินงานของศูนย์ฯ สิริกิติ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในเรื่องความยั่งยืนที่วัดผลได้จริง สอดรับกับยุทธศาสตร์ของทีเส็บ ที่มุ่งผลักดันเรื่องเทคโนโลยี และความยั่งยืนเพื่อทำให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยมีจุดขายและจุดแข็งในประเด็นสากล ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศต่อไป”

สรรชาย นุ่มบุญนำ ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน Asia Sustainable Energy Week 2025 กล่าวว่า “ขอขอบคุณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และทีเส็บ สำหรับการสนับสนุน และความร่วมมือที่ทำให้โครงการ  Real-Time Carbon Footprint Tracking Dashboard เกิดขึ้นจริงในงานของเรา การได้เห็นข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของงานแบบเรียลไทม์ ช่วยให้เราเข้าใจ และเห็นคุณค่าของการจัดงานอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดโอกาส ในการพัฒนาแนวทางการลด และชดเชยคาร์บอนได้อย่างมีระบบ ซึ่งสอดคล้องอย่างยิ่งกับธีมงานของเราในปีนี้  “Empowering Digital Transformation in Sustainable Energy Towards Net Zero  ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล สู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” นี่คือก้าวสำคัญสู่การจัดงาน ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง และเราหวังว่าแนวคิดนี้จะขยายไปสู่งานอื่นๆในอนาคต”

         
“ศูนย์ฯ สิริกิติ์ ยังคงมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์ก้าวสู่การจัดงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยมีการวางแผนที่จะนำ Real-Time Carbon Footprint Tracking Dashboard มาเป็นหนึ่งในบริการพิเศษในโครงการ Loyalty Program ที่ผู้เป็นสมาชิกสามารถใช้คะแนนที่สะสมแลกใช้บริการนี้ได้ ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการช่วยส่งเสริมให้เกิดการจัดงานที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และยกระดับมาตรฐานไมซ์ไทยสู่ความยั่งยืนในที่สุด” สุรพล กล่าวทิ้งท้าย              
     

BST Group กู้วิกฤติโลกเดือด ร่วมงานวันสิ่งแวดล้อมโลก 

สำนักงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.ระยอง จัดกิจกรรม ”วันสิ่งแวดล้อมโลก (World environment day)  โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จ.ระยอง  ภายใต้แนวคิด “เราเปลี่ยน โลกเปลี่ยน กู้วิกฤติโลกเดือด Ready to Change ,We Change ,World Change” เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2567  ณ โรงแรม สตาร์ คอนเวนชั่น ระยอง  โดยมี นายเฉลิม พุ่มไม้ ผอ.สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.ระยอง กล่าวรายงาน และ นายกัฬชัย เทพวรชัย รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวเปิดและปาถกฐาพิเศษ และมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหน่วยงานภาครัฐของจังหวัดระยอง กลุ่มประชาชน อสม. องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และภาคเอกชน ของจังหวัดระยอง ซึ่ง BST Group ของเราเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้โดยมีคุณวิโรจน์ เลิศสลัก ผู้จัดการโรงงาน เป็นตัวแทนเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อร่วมแสดงสัญลักษณ์ เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก “Ready to change, we change,World change เราเปลี่ยน โลกเปลี่ยน กู้วิกฤติโลกเดือด“ และความร่วมมือโครงการความร่วมมือจัดทำบัญชี ลดก๊าซเรือนกระจกจังหวัดระยอง ระยะที่1 (Reduction GHG Rayong Inventory ) 

พร้อมทั้งมีนิทรรศการ“ The possibilities for inclusive green growth “ ลดโลกเดือด เป็นไปได้ด้วย นวัตกรรมกรีน “ มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำไปด้วยกัน และกิจกรรมสานเสวนาในหัวข้อ “Ready to change, we change,World change เราเปลี่ยนโลกเปลี่ยน กู้วิกฤติโลกเดือด เพื่อร่วมกู้วิกฤติโลกเดือดไปพร้อมกัน

“บลูพอร์ต” จับมือพันธมิตร แจกนม-ต้นกล้าให้นักเรียน เนื่องในวันดื่มนมโลกและวันสิ่งแวดล้อมโลก 

วันที่ 6 มิ.ย.67 ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน และเดอะคอลเลคชั่น พิพิธภัณฑ์รถคลาสสิค ภาพวาด และงานศิลป์ ร่วมกับอินทนิล โดย บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด พร้อมด้วยบริษัท ชบาบางกอก จำกัด ได้จัดกิจกรรมมอบเครื่องดื่มประเภทนมจากอินทนิลและผลิตภัณฑ์นมโอ๊ตกู๊ดเมทพร้อมด้วยต้นกล้าสำหรับเพราะปลูกให้กับเด็กนักเรียน โรงเรียนเทศบาลเขาพิทักษ์ อ.หัวหิน จำนวนกว่า 300 คน เนื่องในโอกาสวันดื่มนมโลก และวันสิ่งแวดล้อมโลกประจำปี 2567 เพื่อให้เด็ก ๆ เห็นถึงประโยชน์ของการดื่มนมและมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อีกทั้งยังเป็นการต่อยอดในโครงการ “แก้วเพาะกล้า ปีที่ 5” ด้วย การจัดกิจกรรมในครั้งนี้นำโดย นายเสฏฐวุฒิ นิพลเวชไพบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการปฏิบัติการและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางธุรกิจ บริษัท บางจาก รีเทล จำกัด, นางสาวสรวรรณ กิตติอมรรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท ชบาบางกอก จำกัด, นายโชคชัย วงศ์จักรภัชร์ กรรมการผู้จัดการ บลูพอร์ต หัวหิน และนายวีระชัย ฮั้วประเสริฐ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายงานพิพิธภัณฑ์และศูนย์จัดประชุมบลูพอร์ตฮอลล์ ในนามตัวแทนผู้บริหารบลูพอร์ต หัวหิน พร้อมคณะมาร่วมกิจกรรม โดยมี นางกาญจนรัตน์ ทวีศักดิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาลเขาพิทักษ์ คณะครู นักเรียน เป็นผู้ต้อนรับคณะจัดงาน 

โดยทางอินทนิลได้นำรถ Inthanin Mobile รถโมบายสำหรับส่งมอบเครื่องดื่ม มามอบเครื่องดื่มแสนอร่อย พร้อมให้ความรู้เกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ย่อยสลาย ทั้งแก้ว ฝายกดื่ม และหลอดจากอินทนิลล้วนเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ มีการออกแบบแก้วให้ยกดื่มได้ง่ายเพื่อลดปริมาณการใช้หลอด ซึ่งมีการใช้ในร้านอินทนิลมากกว่า 1,000 สาขา และในปีนี้ได้นำอีกหนึ่งพาร์ทเนอร์ที่มีเป้าหมายเดียวกันในด้านการรักษ์โลกและรักษาสิ่งแวดล้อม บริษัท ชบาบางกอก จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโอ๊ต ตรา Goodmate ที่ใช้ข้าวโอ๊ต 100% จากประเทศออสเตรเลียที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ผลิตโอ๊ตคุณภาพดีชั้นแนวหน้าของโลก ฟาร์มข้าวโอ๊ตในออสเตรเลียยังคำนึงถึงการปลูกอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นมที่ดีต่อโลก ดีต่อคุณ และดีต่อคนรอบข้าง ได้นำผลิตภัณฑ์ Inthanin x Goodmate เครื่องดื่มอินทนิลเมนูนมสดเย็นและนมชมพูเย็น ที่ใช้นมโอ๊ตกู๊ดเมด มาแจกให้กับนักเรียนและนอกจากนี้ยังนำนมโอ๊ตกู้ดเมท แบบกล่องขนาด 180 มล. มามอบให้เด็กนักเรียนไว้นำไปส่งมอบสิ่งดีๆให้กับคนรอบข้าง จากนั้นได้นำต้นกล้าที่ใส่บรรจุในแก้วอินทนิล ให้น้อง ๆ นักเรียนนำไปเพาะปลูกในแปลงปลูกเพื่อพื้นที่สีเขียวให้กับโรงเรียนและ ปลูกฝังให้ความรู้ในเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติ ต่อยอดตามโครงการ “แก้วเพาะกล้า ปีที่ 5 ” โดยต้นกล้าที่นำมามอบให้กับน้อง ๆ นักเรียน ได้แก่ ต้นอินทนิล และต้นกล้าพันธุ์อื่นๆ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์ต้นกล้าจาก สถานีเพาะชำกล้าไม้จังหวัดเพชรบุรี อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี โดยแก้วเครื่องดื่มของอินทนิลทุกใบ เป็นแก้วพลาสติกชีวภาพ ผลิตจากพืช 100% สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติภายใน 180 วันภายใต้สภาวะที่เหมาะสม เพื่อลดใช้ถุงพลาสติกในการเพาะกล้าไม้ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมโดยครูผู้ฝึกสอน จากเดอะ เลเจนด์ อารีน่า ที่ร่วมเป็นผู้สนับสนุนจัดกิจกรรมในครั้งนี้โดยบรรยากาศในงานนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และความสนุกสนานของน้อง ๆ นักเรียน ที่ได้เข้าร่วม 

ทั้งนี้ทางอินทนิลได้มีนโยบายกระตุ้นและรณรงค์การลดใช้พลาสติกแบบครั้งเดียวทิ้งอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การสนับสนุนให้ลูกค้าใช้แก้วส่วนตัว การใช้พลาสติกย่อยสลายสำหรับภาชนะ ทั้งแก้ว ฝา หลอด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของทางบลูพอร์ต หัวหินที่มีนโยบายต่างๆ ที่ถือเป็นไฮไลท์ อาทิ การรณรงค์งดใช้ถุงพลาสติกและการคัดแยกขยะ การใช้หลอดกระดาษ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ จึงถือเป็นการจับมือกันในการส่งเสริมนโยบายเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

นายเสฏฐวุฒิ นิพลเวชไพบูลย์ กล่าวว่า “นอกจากการส่งเสริมสุขภาพด้วยการดื่มนมเนื่องในโอกาสวันดื่มนมโลกประจำปี 2567แล้ว อินทนิลอยากถือโอกาสนี้ส่งเสริมความรู้แก่เด็กๆในเรื่องสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ธรรมชาติ ด้วยการให้ความรู้เรื่องแก้วพลาสติกชีวภาพของอินทนิล ว่าสามารถย่อยสลายได้ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้อีกด้วย อินทนิลยังมีโครงการชวนลูกค้าส่งมอบแก้วย่อยสลาย ให้กรมป่าไม้นำไปเพาะกล้า กับโครงการ  “แก้วเพาะกล้า” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่  5 แล้วสำหรับโครงการดีๆแบบนี้ เพราะ 1 แก้วของอินทนิล ไม่ใช่แค่การดื่มเครื่องดื่มที่มีคุณภาพแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นการบริโภคด้วยจิตสำนึกที่ดี และร่วมรับผิดชอบโลกใบนี้ไปพร้อมกัน”

นายโชคชัย วงศ์จักรภัชร์ กล่าวว่า “บลูพอร์ต หัวหิน และเดอะคอลเลคชั่น พิพิธภัณฑ์รถคลาสสิค ภาพวาด และงานศิลป์ รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับอินทนิลและนมโอ๊ตกู๊ดเมด เพื่อให้เด็ก ๆ ได้มีกิจกรรมร่วมกันที่มีคุณภาพ สนุกสนาน และอีกทั้งยังได้ส่งเสริมการให้ความรู้ ที่มีคุณภาพ สร้างเสริมสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และเรียนรู้การจัดการขยะที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพอย่างเหมาะสมจากการลงมือปฏิบัติจริง โดยในการทำกิจกรรมกับทางโรงเรียนเทศบาลเขาพิทักษ์ อ.หัวหินในครั้งนี้ เพราะต้องการสร้างกิจกรรมที่ดีกับโรงเรียนในพื้นที่ใกล้เคียงและ ส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับชุมชน โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ถือว่าจะเป็นกำลังที่สำคัญต่อไปในอนาคต”

ทั้งนี้ ทางบลูพอร์ต หัวหิน และเดอะคอลเลคชั่น พิพิธภัณฑ์รถคลาสสิค ภาพวาด และงานศิลป์ ยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่วางแผนจะจัดขึ้นร่วมกับพันธมิตร เพื่อตอบแทนและคืนกำไรให้แก่สังคมอย่างต่อเนื่องในอนาคต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ โทร. 032-905111, Facebook : BluportHuaHinOfficial และ Line official @bluport

นายกเมืองพัทยา เปิดงานวันสิ่งแวดล้อมโลก World Environment Day 

วันที่ 5 มิ.ย.67 นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา เป็นประธานเปิดงานวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day ) เป็นหนึ่งในกิจกรรมเด็กไทยใส่ใจประหยัด รักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “Our Land Our Future” แผ่นดินของเรา อนาคตของเรา โดยมี นายวิเชษฐ หนองใหญ่ รองประธานสภาเมืองพัทยา คณะครู นักเรียนโรงเรียนเมืองพัทยา 11 มัธยมสาธิตพัทยา เข้าร่วมในพิธี

งานวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day ) เป็นหนึ่งในกิจกรรมเด็กไทยใส่ใจประหยัด รักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “Our Land Our Future” แผ่นดินของเรา อนาคตของเรา จัดขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อให้นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียน  เพื่อให้นักเรียนตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้นักเรียน ครู บุคลากรที่ปฏิบัติงานภายในโรงเรียนและชุมชนได้มีส่วนร่วม ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียน โดยใช้หลักการและวิธีปฏิบัติแบบ 5 ส. คือ สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ สร้างนิสัย เป็นปัจจัยพื้นฐานของการเสริมสร้าง สภาพแวดล้อมที่ดีภายในโรงเรียน ทำให้เกิดความสะอาดเรียบร้อยสวยงาม ถูกสุขลักษณะมีความปลอดภัย เพื่อให้นักเรียนได้นำความรู้จากวิธีปฏิบัติแบบ 5 ส.ไปใช้กับบ้านเรือนและชุมชนต่อไป

กมธ.อากาศสะอาด สานพลังสสส.หนุนแก้ฝุ่น PM 2.5 ปกป้องสุขภาพคนไทยปลอดภัยจากมลพิษ เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก

วันสิ่งแวดล้อมโลก! กมธ.อากาศสะอาดสานพลัง สสส.หนุน แก้ฝุ่น PM 2.5 ปกป้องสุขภาพคนไทยปลอดภัยจากมลพิษ มั่นใจกฎหมายเสร็จบังคับใช้ภายในปีนี้แน่นอน หวังให้คนไทยมีอากาศบริสุทธิ์เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

วันที่ 5 มิ.ย.2567 ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... สภาฯ ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา “พ.ร.บ.อากาศสะอาด วาระประเทศไทย..วาระโลก : แก้ฝุ่นพิษ PM 2.5 ลดโลกเดือด” เนื่องจากตรงกับวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิ.ย.2567 ทั้งนี้มี นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ร่วมชมบูธนิทรรศการของภาคีเครือข่ายด้านการรณรงค์รักษาสิ่งแวดล้อม

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ...กล่าวว่า อากาศสะอาดเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงได้รับตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา รัฐบาลกำหนดให้การแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะเรื่อง ฝุ่น PM 2.5 ที่นับวันทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน เศรษฐกิจและสังคมโดยรวมโดยตั้งคณะกรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศเพื่อความยั่งยืนหรือคณะกรรมการ PM 2.5 แห่งชาติเป็นกลไกเร่งรัดการจัดทำแผนและการดำเนินมาตรการเพื่อลดฝุ่นควัน PM 2.5 ทั้งระบบ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ถอดบทเรียนเพื่อหาทางป้องกันในฤดูฝุ่นที่จะมาถึงระหว่างที่กำลังรอ พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาดซึ่งคณะกรรมาธิการกำลังเร่งพิจารณา

“พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะกำหนดกลไกบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศในทุกมิติ มีคณะกรรมการแก้ไขปัญหาในทุกระดับ บริหารจัดการเชิงพื้นที่กำหนดมาตรการควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดครอบคลุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษทุกรูปแบบ ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร ภาคคมนาคมขนส่ง ภาคการเผาในที่โล่ง ภาคป่าไม้ และหมอกควันข้ามแดนมีการกำหนดมาตรการเร่งด่วน เครื่องมือหรือมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ รวมถึงการมีส่วนร่วมรับผิดชอบทุกภาคส่วนขณะนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการ เพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ... อยู่ระหว่างพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งกลับสภาผู้แทนราษฎรในสมัยประชุมที่จะถึงนี้ ให้ทันบังคับใช้ ในไตรมาส 4 ปีนี้เพื่อคืนอากาศบริสุทธิ์เป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย” นายจักรพล กล่าว


ด้านนพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่าจากข้อมูลล่าสุดของระบบคลังข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ หรือ Health Data Center (HDC) กระทรวงสาธารณสุขเก็บข้อมูลจากเขตสุขภาพทั้ง 13 เขตทั่วประเทศ พบว่า เฉพาะปี2567 มีผู้ป่วยด้วยโรคจากมลพิษทางอากาศ รวมกว่า 4,400,000 คน โดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ 8 จังหวัดภาคตะวันตก และ 4 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือโซนใต้ มีผู้ป่วยฯ มากกว่า 400,000 คน สะท้อนความรุนแรงของฝุ่นพิษPM2.5สสส. ตระหนักถึงอันตรายต่อสุขภาพในทุกกลุ่มประชากร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ปฏิบัติงานกลางแจ้ง ผู้มีความเสี่ยงและป่วยด้วยโรคทางเดินหายใจ โรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ และโรคไม่ติดต่อ(NCDs) จึงยกระดับการดำเนินงานด้านปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เรื่อง “การลดผลกระทบต่อสุขภาพจากปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อม” เป็น 1 ใน 7 ยุทธศาสตร์หลัก 10 ปี (2565-2574)

“สสส.มุ่งขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษPM2.5 ด้วยการเสนอนโยบาย สร้างสรรค์งานวิชาการ เสริมหนุนประชาสังคม และสื่อสารสังคมมีผลงานที่สำคัญ อาทิ การจัดตั้งศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศวอ.), เสริมหนุนเครือข่ายสภาลมหายใจ 15จังหวัดสานพลังภาครัฐ ท้องถิ่นเอกชน ประชาสังคม ร่วมแก้ปัญหาฝุ่นระดับพื้นที่อย่างยั่งยืน, สร้างโมเดลต้นแบบ Low Emission Zoneใน 5 เขตของกรุงเทพฯ, จัดทำห้องเรียนสู้ฝุ่นที่ก้าวกระโดดไปมากกว่า 600 โรงเรียน,จัดทำต้นแบบห้องปลอดฝุ่น1,000 ห้องทั่วประเทศ, จัดเวทีวิชาการระดับชาติ เรื่อง มลพิษทางอากาศ PM2.5 เพื่อระดมความคิดเห็นจากเครือข่ายนักวิชาการและภาคประชาสังคมด้านสิ่งแวดล้อมทั่วประเทศ สรุปข้อเสนอและนำไปสู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และร่าง พ.ร.บ.กำกับดูแลการจัดการอากาศสะอาดเพื่อสุขภาพแบบบูรณาการ พ.ศ. ... 1 ใน 7 ร่างที่เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการนับเป็นข่าวดีที่สภาผู้แทนราษฎรมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบร่างกฎหมายทั้ง 7 ฉบับ ที่มีสาระสำคัญในการกำหนดกลไกบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่างๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษทางอากาศที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในทุกมิติ”นพ.พงศ์เทพ กล่าว

ขณะที่นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สว. และประธานคณะทำงานพิจารณาศึกษาร่างพ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .วุฒิสภา กล่าวว่า เมื่อ พ.ร.บ.บริหารจัดการ เพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ...ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่มีผลบังคับใช้ จะนำไปสู่การออกกฎหมายลูก ระเบียบ มาตรการต่างๆ ซึ่งจะเป็น 1 ในเครื่องมือสำคัญป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ โดยปัจจุบันพื้นที่ที่มีการเผาใหญ่ที่สุด อยู่ในเขตป่า 64%โดยเฉพาะป่าอนุรักษ์ รองลงมาคือพื้นที่การเกษตร 26.8% โดยเฉพาะนาข้าว ที่มีการเผาฟางช่วงหลังฤดูเก็บเกี่ยวทั้งที่สามารถใช้ปรุงดิน เลี้ยงสัตว์ แปลงเป็นชีวมวลได้จึงต้องส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าฟางข้าวทั้งระบบ ตั้งแต่การแปรรูป การขนส่ง และการตลาด ซึ่งจะช่วยลดการเผาได้


ด้านดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กรรมการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน และผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การแก้ปัญหาฝุ่นควันมีความซับซ้อนเกินกำลังกรมควบคุมมลพิษหน่วยงานเดียว ต้องอาศัยหลายหน่วยงาน หลายเครื่องมือ ไม่สามารถจัดการได้เฉพาะในช่วงฤดูฝุ่น 3 เดือนแต่ต้องดำเนินการต่อเนื่องทั้งปี ด้วยสูตร8-3-1คือ 8เดือนช่วงดำเนินมาตรการป้องกันและแก้ไขออกแบบกลไก วิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง ลดการเผา 3 เดือนช่วงเผชิญเหตุ การเฝ้าระวังจุดความร้อน การบังคับใช้กฎหมาย และ 1 เดือนช่วงฟื้นฟู เยียวยา พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ เชื่อว่า พ.ร.บ.บริหารจัดการ เพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. ...จะช่วยอุดช่องวางการทำงานป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะเรื่องกลไกการทำงาน ระบบงบประมาณ ลดปัญหาความล่าช้า โดยหวังว่าวันที่7 ก.ย. “วันอากาศสะอาดสากล”  พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้แล้ว

“พัชรวาท” ปลุกคนไทยแสดงพลัง “วันสิ่งแวดล้อมโลก" ขอร่วมกัน “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง”

“พัชรวาท” ปลุกคนไทยแสดงพลัง “วันสิ่งแวดล้อมโลก" ขอร่วมกัน “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง”เพื่อส่งต่อความอุดมสมบูรณ์ให้ลูกหลานในอนาคต

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2567 ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมเนื่องใน “วันสิ่งแวดล้อมโลก” ประจำปี 2567 จัดโดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยมีนายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ให้การต้อนรับ

พล.ต.อ. พัชรวาท กล่าวตอนหนึ่งว่า ทุกคนคงจะได้รับทราบถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทั้งอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมถึงสภาพอากาศมีความแห้งแล้ง เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดไฟป่า ที่ทำลายพื้นที่ป่าและแหล่งอาศัยของสัตว์ป่า อีกทั้ง ปัญหาการขาดแคลนน้ำในการอุปโภคบริโภค ผลผลิตทางการเกษตรลดลงและมีคุณภาพต่ำ เหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในลำดับต้น และจากวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นนี้ ทุกประเทศได้พยายามผลักดันให้ทุกคนร่วมมือกันปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เพื่อตั้งรับปรับตัวให้เท่าทันกับปัญหา โดยในทุกปี โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ได้มีการกำหนดแนวคิดหลักในการดำเนินกิจกรรมในเนื่องวันสิ่งแวดล้อมโลก เพื่อสื่อสารสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก ซึ่งในปีนี้ มีแนวคิดหลักในการรณรงค์ คือ LAND RESTORATION, DESERTIFICATION & DROUGHT RESILIENCE โดยมุ่งเน้นในเรื่องการฟื้นฟูดิน การแปรสภาพของทะเลทรายให้กลับมาสมบูรณ์ และการฟื้นตัวจากภัยแล้ง ภายใต้คำขวัญ “Our land. Our future. We are #GenerationRestoration.” “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญที่เราจะได้แสดงพลังและใช้ศักยภาพที่มี ร่วมมือกันฟื้นฟูและปกป้องผืนดินของเรา เพื่อรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งเป็นรากฐานในการพัฒนาประเทศ ที่จะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี อีกทั้ง ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่มุ่งมั่นในการรักษา ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันทำงานอย่างบูรณาการในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการฟื้นฟูผืนดิน ฟื้นฟูป่า และการป้องกันภัยแล้ง  สุดท้าย เนื่องในโอกาสวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ จึงขอเชิญชวนประชาชนคนไทยทุกคน ร่วมมือกันแสดงพลัง “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” ดูแล รักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลกใบนี้ให้มีความยั่งยืน เพื่อส่งต่อผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ให้แก่ลูกหลานในอนาคตต่อไป

 สำหรับกิจกรรมในวันนี้ ยังได้รับเกียรติจาก Ms. Marlene Nilsson  รองผู้อำนวยการและรักษาการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ประจำภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค กล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิด อีกทั้งมีการบรรยายพิเศษภายใต้หัวข้อ “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” ประกอบด้วย ประเด็น “เตือนภัยล่วงหน้า: ช่วยวิกฤตภัยแล้ง-น้ำท่วม “การบริหารจัดการน้ำด้วยความร่วมมือ: เส้นทางสู่ความยั่งยืน” “ภาวะวิกฤตภัยแล้ง: ภัยเงียบกระทบต่อ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม” “ภูมิสถาปัตย์กับการออกแบบพื้นที่เพื่อเชื่อมโยงสู่ความยั่งยืน” และยังมีเวทีเสวนา พื้นที่ต้นแบบ Success Model ของประเทศไทย โดยคณะวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในสาขาต่าง ๆ  ที่มาร่วมถ่ายทอดแนวคิดไปสู่การปฏิบัติอย่างยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ การจัดงานครั้งนี้เป็นการจัดงานแบบคาร์บอนนิวทรัลอีเว้นท์ โดยได้ประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการจัดงาน (เบื้องต้น) พบว่า มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 4 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และได้มีการชดเชยคาร์บอนเครดิตจากโครงการ: BSE-BPI Grid Connected Solar PV Project จาก บริษัท บีซีพีจี จำกัด เพื่อให้การจัดงานครั้งนี้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

5 มิ.ย. วันสิ่งแวดล้อมโลก "ทรู-ดีแทค" เปิดแนวทางรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ รอบเสาสัญญาณครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วไทย

หนึ่งในภารกิจหลักหลังการควบรวมทรู-ดีแทค คือ การส่งมอบเครือข่ายสัญญาณที่ดียิ่งกว่า ครอบคลุมยิ่งขึ้นทั่วไทย โดยที่ผ่านมา การติดตั้งเสาสัญญาณ นอกเหนือจากจะต้องเป็นไปตามกฎระเบียบที่กสทช.กำหนดไว้แล้ว ทุกพื้นที่ที่ทรูและดีแทคติดตั้งเสาสัญญาณจะมีการนำปัจจัยเรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือ Biodiversity มาใช้ในการวางแผน โดยทีมปฏิบัติการจะทำการสำรวจสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์ในระบบนิเวศรอบพื้นที่เสาสัญญาณ ควบคู่กับการปลูกต้นไม้เพื่อให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยสมบูรณ์ของสัตว์และพันธุ์พืช เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียคุณค่าด้านความหลากหลายทางชีวภาพสุทธิ และไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้สุทธิ ภายในปี 2573 สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ หรือ SDGs "เป้าหมายที่ 15 ปกป้อง ฟื้นฟู และส่งเสริมการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน" โดยมีกระบวนการที่ชัดเจน ตั้งแต่

1. คัดกรองและคัดเลือกพื้นที่ตั้งเสาสัญญาณ หากพิจารณาว่าพื้นที่โดยรอบที่ตั้งเสาสัญญาณนั้นมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็น สัตว์สายพันธุ์เล็ก สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ความหลากหลายของพันธุ์พืช ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ ก็จะส่งประเมินความเสี่ยงต่อไป

2. ประเมินและจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่เสี่ยง โดยนำไปประเมินเชิงลึกผ่านโปรแกรมมาตรฐานระดับโลก คือ Biodiversity and Ecosystem Services Trends and Conditions Assessment Tool (BESTCAT) เพื่อทำการคัดกรองพื้นที่อ่อนไหว ซึ่งมีมาตรกำหนดวัดระดับความรุนแรงของผลกระทบตั้งแต่ต่ำสุดถึงสูงสุดที่ 0 – 100  อาทิ มีชนิดพันธุ์ถูกคุกคามมากน้อยแค่ไหนในพื้นที่รัศมี 10 ตารางกิโลเมตรจากเสาสัญญาณที่ติดตั้ง

3. ดำเนินตามแผนแก้ไข ป้องกัน เพื่อลดผลกระทบ โดยยึดหลักบรรเทาผลกระทบตามลำดับชั้น ตั้งแต่ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบ ลดผลกระทบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  ฟื้นฟูสภาพพื้นที่ด้วยการปลูกพรรณไม้ท้องถิ่น และชดเชยด้วยการปลูกต้นไม้นอกพื้นที่โครงการ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทั้งทรูและดีแทคได้ดำเนินการในพื้นที่ที่ใกล้ชิดแหล่งธรรมชาติ คือการจัดทำเสาสัญญาณที่ออกแบบเป็นเสาต้นไม้ เพื่อให้กลมกลืนกับทัศนียภาพ เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้างและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้อยใหญ่

4. สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชนโดยรอบ โดยชักชวนผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วมอนุรักษ์ ฟื้นฟูระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมการปลูกต้นไม้ในสังคมยุคดิจิทัลเพื่อสร้างแหล่งที่อยู่อันอุดมสมบูรณ์ให้แก่สิ่งมีชีวิตผ่านแอป We Grow โดยในปี 2564 ได้สร้างพื้นที่สีเขียวได้ถึง 165 ไร่ และคาดว่าจะดูดซับก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์ถึง 2,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2573

จากผลการศึกษาในปี 2564 พบว่ามีพื้นที่เสาสัญญาณที่อาจอยู่ในระดับเสี่ยงด้านความหลากหลายทางชีวภาพ คิดเป็นสัดส่วนที่ 0.38% ซึ่งจะต้องนำไปประเมินเพิ่มเติม พร้อมหารือผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนดำเนินการแก้ไข ป้องกัน และลดผลกระทบอย่างเคร่งครัด