บีโอไอเผยยอดลงทุนครึ่งปีแรก 2568 พุ่งทะลุ 1 ล้านล้านบาท หนุนไทยขึ้นแท่นศูนย์กลางลงทุนภูมิภาค

บีโอไอ เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งแรก ปี 2568 เติบโตต่อเนื่องท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์โลก มูลค่าสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท จาก 1,880 โครงการ นักลงทุนไทยและต่างประเทศเดินหน้าขยายลงทุน นำโดยอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ สะท้อนศักยภาพของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่แข็งแกร่งในภูมิภาค

วันที่ 24 ก.ค.68 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า แนวโน้มการลงทุนในไทยในปี 2568 ยังเติบโตสูง และได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงครึ่งปีแรก(ม.ค.-มิ.ย.68) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านจำนวนโครงการและเงินลงทุน ตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุน มีจำนวน 1,880 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 1,058,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 138 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาค

กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูง ได้แก่ ดิจิทัล 522,577 ล้านบาท (89 โครงการ) อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 125,786 ล้านบาท (268 โครงการ) ยานยนต์และชิ้นส่วน 45,195 ล้านบาท (172 โครงการ) การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน 42,238 ล้านบาท (191 โครงการ) เกษตรและแปรรูปอาหาร 30,785 ล้านบาท (184 โครงการ) ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 26,726 ล้านบาท (161 โครงการ) การแพทย์ 18,582 ล้านบาท (68 โครงการ) และการท่องเที่ยว 12,894 ล้านบาท (17 โครงการ) ตามลำดับ

โครงการที่น่าสนใจที่ขอรับการส่งเสริมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงความโดดเด่นของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคในด้านยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล มีตัวอย่าง เช่น โครงการลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ โครงการขยายการลงทุนของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และรถกระบะ การผลิต Power Control Unit (PCU) สำหรับรถยนต์ไฮบริด การผลิตเซลล์แบตเตอรี่เพื่อใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน การผลิตตัวเก็บประจุชนิดพิเศษที่ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น Notebook, Smartphone และ AI Data Center การประกอบและทดสอบชิป การผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) เป็นต้น

สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,369 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 เงินลงทุนรวม 737,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 132 โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 246,977 ล้านบาท ฮ่องกง 218,638 ล้านบาท จีน 102,263 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 93,726 ล้านบาท และญี่ปุ่น 49,819 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ เงินลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เกิดจากการลงทุนในกิจการ Data Center ขนาดใหญ่จากสิงคโปร์ ฮ่องกง สหราชอาณาจักร จีน และญี่ปุ่น การลงทุนครั้งนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค รองรับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น AI และ IoT ทั้งในประเทศและสามารถเชื่อมต่อกับตลาดในภูมิภาคอาเซียน ในด้านพื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก มีมูลค่า 660,631 ล้านบาท จาก 1,011 โครงการ รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 333,654 ล้านบาท ภาคใต้ 20,081 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19,354 ล้านบาท ภาคตะวันตก 11,342 ล้านบาท และภาคเหนือ 4,571 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ การขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart และ Sustainable Industry ซึ่งเป็นการลงทุนปรับปรุงกิจการเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีผู้ให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งแรก ปี 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 365 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 99 และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 26,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 43 ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต

สำหรับการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในช่วงครึ่งแรก ปี 2568 มีจำนวน 1,504 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 904,063 ล้านบาท โดยประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติเหล่านี้ คาดว่าจะเกิดการจ้างงานคนไทยกว่า  110,000 ตำแหน่ง มีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 3.6 แสนล้านบาท/ปี คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ของมูลค่าวัตถุดิบทั้งหมด และทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 7.8 แสนล้านบาท/ปี ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด มีจำนวน 1,310 โครงการ เงินลงทุนรวม 652,903 ล้านบาท

“ถึงแม้สถานการณ์โลกจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยง แต่โลกธุรกิจต้องเดินหน้าต่อไป และ หลายบริษัทจำเป็นต้องมองข้ามความผันผวนในช่วงนี้ แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในระยะสั้น ควบคู่ไปกับการวางยุทธศาสตร์การลงทุนในระยะยาว โดยเลือกแหล่งลงทุนที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีความพร้อมของระบบสาธารณูปโภคและ Supply Chain มีบุคลากรที่มีคุณภาพ รวมทั้งมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งนักลงทุนชั้นนำจำนวนมากให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพและตัดสินใจขยายการลงทุนในประเทศไทย ทำให้สถิติการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทั้งดิจิทัลและเทคโนโลยี AI ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ ยานยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งกลุ่มเกษตร อาหารและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ” นายนฤตม์ กล่าว

#บีโอไอ #ลงทุนไทย #ลงทุนครึ่งปี2568 #ส่งเสริมการลงทุน #เศรษฐกิจไทย #FDI #อุตสาหกรรมดิจิทัล #ยานยนต์ไฟฟ้า #พลังงานหมุนเวียน #ข่าวเศรษฐกิจ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

ธุรกิจตั้งใหม่ ม.ค.พุ่งกว่า 8.8 พันราย ด้านต่างชาติทำธุรกิจในไทย 103 ราย หอบเงินลงทุน 2.3 หมื่นล้านบาท

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า แจงผลจัดตั้งธุรกิจประจำเดือนม.ค.68 ธุรกิจตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 102% และทุนจดทะเบียนเพิ่ม 8.98% จากเดือน ธ.ค.67 ขณะที่ต่างชาติลงทุนในไทย ม.ค.68 เพิ่มขึ้นจากม.ค.67 91% มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 223% ประเทศที่เข้ามาลงทุน 7 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน และเยอรมนี 
 
เมื่อวันที่ 25 ก.พ.68 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนมกราคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 8,862 ราย เพิ่มขึ้น 4,485 ราย (102%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (4,377 ราย) และทุนจดทะเบียนรวม 24,951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,056 ล้านบาท (8.98%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (22,895 ล้านบาท) ในเดือนนี้มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนทุนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย ทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท ประกอบกิจการ ผลิต จำหน่าย ส่งออก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 691 ราย ทุน 1,423 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 612 ราย ทุน 2,039 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 336 ราย ทุน 731 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.80%, 6.91% และ 3.79% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนมกราคม 2568 ตามลำดับ
 
สำหรับการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ มีจำนวน 1,431 ราย ลดลง 4,634 ราย     (-76.41%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (6,065 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 4,601 ล้านบาท ลดลง 30,501 ล้านบาท (-86.89%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 (35,102 ล้านบาท) ในจำนวนนี้มีธุรกิจเลิกประกอบกิจการที่ทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย ทุนจดทะเบียน 1,568 ล้านบาท ประกอบกิจการนำเข้าและส่งออก ยารักษาโรค เภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ทุกชนิด สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 151 ราย ทุนเลิก 264 ล้านบาท 2) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 58 ราย ทุนเลิก 178 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 52 ราย ทุนเลิก 158 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10.55%, 4.05% และ 3.64% ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนมกราคม 2568 ตามลำดับ
 

ทั้งนี้ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,973,692 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.54 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 929,377 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.32 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัด 732,081 ราย หรือ 78.77% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.30 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 195,813 ราย หรือ 21.07% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด  1,483 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.59 ล้านล้านบาท สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 501,709 ราย ทุนจดทะเบียน 12.98 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 304,831 ราย ทุน 2.52 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 1.23 แสนราย ทุน 6.83 ล้านล้านบาท คิดเป็น 53.98%, 32.80% และ 13.22% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ คาดการณ์ในไตรมาสแรกของปี 2568 จะมีธุรกิจจดทะเบียนจัดตั้งใหม่อยู่ที่ 27,000-28,000 ราย คิดเป็น 30% ของยอดจดทะเบียนทั้งปี และตลอดปี 2568 จะอยู่ที่ราว 90,000-95,000 ราย โดยอัตราส่วนการจัดตั้งธุรกิจต่อการเลิกธุรกิจในเดือนมกราคม 2568 พบว่าอยู่ที่ 6:1 ซึ่งถือว่ามีการจัดตั้งใหม่ที่เติบโตสูง ขณะที่การเลิกยังต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนเฉลี่ย ปี 2567 อยู่ที่ 4:1 และ 5 ปี ย้อนหลัง (2562-2566) อยู่ที่ 3:1 แสดงให้ถึงแนวโน้มที่ดีของภาคธุรกิจในปี 2568

การลงทุนของชาวต่างชาติ ประจำเดือนมกราคม 2568
การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ประจำเดือนมกราคม 2568 มีจำนวน 103 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 21 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 82 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 23,160 ล้านบาท โดยการอนุญาตฯ ในเดือนมกราคม 2568 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากมกราคม 2567 จำนวน 49 ราย (91%) และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 15,990 ล้านบาท (223%) อย่างไรก็ดี ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 7 อันดับแรก ได้แก่ 

1.ญี่ปุ่น 21 ราย คิดเป็น 20% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 8,880 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ การเปลี่ยนและทำการเชื่อมต่อท่อส่งใต้ทะเลระหว่างแท่นหลุมผลิตในโครงการขุดเจาะน้ำมัน ธุรกิจบริการตรวจสอบและสอบเทียบอุปกรณ์การตรวจจับการรั่วไหลของแก๊ส และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

2.สหรัฐอเมริกา 14 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 971 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการสนับสนุนข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิต 

3.จีน 10 ราย คิดเป็น 10% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,925 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการอาคารโรงงานพร้อมสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า 

4.สิงคโปร์ 10 ราย คิดเป็น 10% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 2,178 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจ บริการติดตั้ง บำรุงรักษา ซ่อมแซม และการปรับ (Calibration) เกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องกล ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตภาพยนตร์ ละคร แอนิเมชัน และรายการบันเทิง และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

5.ฮ่องกง 9 ราย คิดเป็น 9% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 1,251 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า 

6.ไต้หวัน 8 ราย คิดเป็น 8% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 681 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการออกแบบ ก่อสร้าง และติดตั้งโครงสร้างเหล็กของอาคารคลังสินค้า ธุรกิจบริการออกแบบระบบสถาปัตยกรรมทางด้านดิจิทัล (Digital Architecture Design Service) และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า 

7.เยอรมนี 7 ราย คิดเป็น 7% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 3,048 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการวิจัยและพัฒนาเครื่องปั๊มความร้อน (Heat pump) ธุรกิจบริการทำการตลาดและส่งเสริมการขายสิ่งทอเทคนิค และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

#กระทรวงพาณิชย์ #ธุรกิจตั้งใหม่ #ลงทุนไทย #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

พณ.เปิดตัวเลขปี 67 ธุรกิจตั้งใหม่ 87,596 ราย ทุบสถิตินิวไฮ คาดปี 68 แตะ 9 หมื่นราย ต่างชาติหอบเงินลงทุน 2.28 แสนล้านบาท

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผยยอดจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ส่งสัญญาณบวกชัดเจน เดือนธันวาคม 2567 มียอดจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 9.18% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ตลอดปี 2567 จัดตั้งใหม่สูงสุดในประวัติศาสตร์ 87,596 ราย และมีธุรกิจทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1 พันล้านบาท จำนวน 15 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 4.55 หมื่นล้านบาท คาดการณ์ปี 2568 ธุรกิจจัดตั้งใหม่เพิ่ม 2-4% หรือประมาณ 9-9.5 หมื่นราย ขณะเดียวกัน ต่างชาติหอบเงินลงทุนเข้าไทยทั้งปี 2.28 แสนล้านบาท ญี่ปุ่นครองแชมป์ลงทุนอันดับ 1 ส่วนธุรกิจดาวเด่นปี ’68 ยกให้กลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ นวัตกรรม และจัดการธุรกิจ รวม 10 ธุรกิจ สุดท้าย กรมฯ ได้เปิดเผยแผนพัฒนาธุรกิจปี 2568 ด้วยการพัฒนาระบบบริการจดทะเบียน/ข้อมูลธุรกิจให้ครบทุกบริการ 100% การส่งเสริมพัฒนาธุรกิจให้มีความพร้อมสู่ตลาดโลก และสร้างธรรมาภิบาลธุรกิจให้เป็นธุรกิจสีขาว ซึ่งทั้งหมดจะช่วยทำให้ธุรกิจไทยเดินหน้าด้วยความยั่งยืน
 
เมื่อวันที่ 27 ม.ค.68 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนธันวาคม 2567 และภาพรวมตลอดปี 2567 พบว่า เดือนธันวาคม 2567 มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 4,377 ราย เพิ่มขึ้น 368 ราย (9.18%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2566 (4,009 ราย) และทุนจดทะเบียน 22,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,281 ล้านบาท (46.63%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2566 (15,614 ล้านบาท) ในเดือนนี้มีนิติบุคคลที่จดทะเบียนทุนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย คือ บริษัท แอ็กซ์ตร้า โกรท พลัส จำกัด ทุนจดทะเบียน 8,390 ล้านบาท ประกอบกิจการโฮลดิ้ง ทั้งนี้ ธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 329 ราย ทุนจดทะเบียน 1,349 ล้านบาท 2) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 309 ราย ทุนจดทะเบียน 650 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจการออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียง (ยกเว้นออนไลน์) จำนวน 226 ราย ทุนจดทะเบียน 108 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.52% 7.06% และ 5.16% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนธันวาคม 2567 ตามลำดับ
 
โดยการจัดตั้งธุรกิจใหม่ทั้งปี 2567 มีจำนวน 87,596 ราย เพิ่มขึ้น 2,296 ราย (2.69%) เมื่อเทียบกับปี 2566 (85,300 ราย) ทุนจดทะเบียน 285,745 ล้านบาท ลดลง 276,724 ล้านบาท (49.20%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 (562,470 ล้านบาท) สำหรับธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 6,636 ราย ทุนจดทะเบียน 14,881ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 6,542 ราย ทุนจดทะเบียน 30,323 ล้านบาทและ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 4,025 ราย ทุนจดทะเบียน 8,120 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.58% 7.47% และ 4.59% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในปี 2567 ตามลำดับ ตลอดทั้งปี 2567 มีนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ที่มีทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 15 ราย ทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 45,558 ล้านบาท เช่น ธุรกิจ Data Center, รับเหมาก่อสร้างอาคาร, ค้าส่งและค้าปลีก และโรงพยาบาล เป็นต้น

สำหรับการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนธันวาคม 2567 มีจำนวน 6,065 ราย เพิ่มขึ้น 543 ราย (9.83%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2566 (5,522 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 35,102 ล้านบาท ลดลง 17,226 ล้านบาท (32.92%) เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2566 (52,328 ล้านบาท) ในจำนวนนี้มีธุรกิจเลิกประกอบกิจการที่ทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 3 ราย คิดเป็นทุนจดทะเบียน 15,571 ล้านบาท สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 536 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 925 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 300 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 2,175 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 205 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 468 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.84% 4.94% และ 3.38% ของจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนธันวาคม 2567 ตามลำดับ
 
ส่วนการจดทะเบียนเลิกทั้งปี 2567 มีจำนวน 23,679 ราย เพิ่มขึ้น 299 ราย (1.28%) เมื่อเทียบกับปี 2566 (23,380 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 171,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11,124 ล้านบาท (6.95%) เมื่อเทียบกับปี 2566 (160,056 ล้านบาท) ทั้งนี้ ธุรกิจที่มีการจดทะเบียนเลิกสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 2,146 ราย ทุนจดทะเบียน 4,761 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,238 ราย ทุนจดทะเบียน 16,885 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 805 ราย ทุนจดทะเบียน 1,994 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.06% 5.23% และ 3.40% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนปี 2567 ตามลำดับ
 
ขณะที่การจดทะเบียนเลิกของนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนสูงเกิน 1,000 ล้านบาท ในปี 2567 มีจำนวน 13 ราย ทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 85,839 ล้านบาท เช่น ธุรกิจโทรคมนาคม, ขายสิทธิการเช่าห้องชุดพักอาศัย/ให้เช่าห้องชุดพักอาศัย, โรงงานผลิต ซื้อ และจำหน่าย ให้เช่าเทปคาสเซ็ท แผ่นเสียง แถบบันทึกเสียงฯ, และบริการเงินอิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการ เป็นต้น
 
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,964,829 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.56 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่จำนวน 928,290 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.40 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัดจำนวน 730,542 ราย หรือ 78.70% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 16.29 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 196,266 ราย หรือ 21.14% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.44 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,482 ราย หรือ 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.67 ล้านล้านบาท 
 

โดยภาพรวมของสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งและจดเลิกในปี 2567 ยังอยู่ในทิศทางที่ดี ส่งผลบวกมาจากปัจจัยการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวในช่วง high season นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น สร้างการจ้างงานมากขึ้น สำหรับจำนวนธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ในปี 2567 (87,596 ราย) ถือเป็นตัวเลขสูงสุดตั้งแต่มีการเปิดให้บริการจดทะเบียน โดยกรมฯ ได้คาดการณ์ตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 2-4% จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 90,000-95,000 ราย ในขณะที่ยังคงต้องจับตาสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโดยรวมโลก สงครามทางการค้าและผลที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายภายใต้ทรัมป์ 2.0 ที่อาจสร้างความวิตกกังวลให้กับผู้ลงทุนและผู้เริ่มต้นธุรกิจได้

สำหรับการลงทุนของชาวต่างชาติ ปี 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 954 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 227 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 727 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 228,106 ล้านบาท โดยปี 2567 จ้างงานคนไทย 5,040 คน ชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น 254 ราย คิดเป็น 27% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 121,190 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบริการพัฒนาดิจิทัลคอนเทนต์ / พัฒนาซอฟต์แวร์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

2.สิงคโปร์ 137 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 22,485 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิคด้านต่างๆ ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

3.จีน 123 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 19,547 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการติดตั้ง ทดสอบ ซ่อมแซม บำรุงรักษาระบบสายพานที่ใช้สำหรับโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ธุรกิจบริการทำเทคนิคด้านภาพสำหรับภาพยนตร์ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

4.สหรัฐอเมริกา 121 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 24,675 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค ธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจขายอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

5.ฮ่องกง 69 ราย คิดเป็น 7% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 15,281 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น 

ทั้งนี้เมื่อเทียบกับปี 2566 พบว่า ปี 2567 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในไทยเพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 287 ราย (43%) มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 100,574 ล้านบาท (79%)
 
สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าลงทุน 301 ราย คิดเป็น 32% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปี 2567 เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 167 ราย (124%) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 56,490 ล้านบาท คิดเป็น 25% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 17,877 ล้านบาท (46%) โดยเป็นนักลงทุนจาก *ญี่ปุ่น 103 ราย ลงทุน 20,593 ล้านบาท *จีน 72 ราย ลงทุน 12,107 ล้านบาท *ฮ่องกง 20 ราย ลงทุน 5,698 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 106 ราย ลงทุน 18,092 ล้านบาท ธุรกิจที่ลงทุนในพื้นที่ EEC เช่น ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม (อุตสาหกรรมยานยนต์) ธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบส่วนประกอบและชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อค้าส่งในประเทศ ธุรกิจบริการระบบซอฟต์แวร์ฐาน ธุรกิจบริการชุบแข็ง และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เป็นต้น

#กระทรวงพาณิชย์ #ธุรกิจตั้งใหม่ #ลงทุนไทย #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์