"วิทยุการบินฯ" คว้าอันดับ 1  รัฐวิสาหกิจ ประเมิน ITA 2025 คะแนน 97.65 ระดับ “ดีเยี่ยม” 

บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ได้รับคะแนน 97.65 ผ่านระดับ “ดีเยี่ยม” จากการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ (ITA) ประจำปีงบประมาณ 2568 จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งได้รับคะแนนสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เข้าร่วมการประเมินตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา โดยคว้าอันดับ 1 ในกลุ่มรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงคมนาคม และอันดับ 3 ในกลุ่มหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม 

วันที่ 27 สิงหาคม 2568 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ได้กำชับให้หน่วยงานในกำกับดูแลดำเนินงานด้วยความโปร่งใส และตรวจสอบได้ วิทยุการบินฯ ได้นำนโยบายดังกล่าวไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โดยยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Governance) เป็นมาตรฐานและค่านิยมร่วมขององค์กร จึงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ สร้างความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน อันสะท้อนถึงความเป็น “องค์กรธรรมาภิบาล” อย่างแท้จริง

นายสุรชัย หนูพรหม รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ วิทยุการบินฯ เปิดเผยว่า วิทยุการบินฯ ได้รับคะแนน 97.65 ผ่านระดับ “ดีเยี่ยม” มีผลคะแนนทุกเครื่องมือ 95 คะแนนขึ้นไปประกอบด้วย แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (Internal Integrity and Transparency Assessment : IIT) 95.45 คะแนน แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (External Integrity and Transparency Assessment : EIT) (EIT ส่วนที่ 1 : 98.45/ EIT ส่วนที่ 2 : 95 คะแนน) แบบตรวจการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data Integrity and Transparency Assessment : OIT) 100 คะแนน

สำหรับความสำเร็จครั้งนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจของบุคลากรทุกคน วิทยุการบินฯ จะยึดมั่นเจตจำนงสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตามหลัก ธรรมาภิบาล สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีอย่างยั่งยืน พร้อมมุ่งยกระดับการกำกับดูแลสู่มาตรฐานสากล เพื่อสร้างคุณค่าในการให้บริการการเดินอากาศและกิจการบินของประเทศ ควบคู่กับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงและความต้องการของผู้ใช้บริการ อันจะนำไปสู่การเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีและการสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาวต่อไป

 

ลงนาม “ความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ มุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ระหว่าง ธ.ก.ส. และ SME D Bank

วันที่ 22 สิงหาคม 2568 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วยนายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และ นายเดชา จาตุธนานันท์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว. หรือ SME D Bank)พร้อมด้วยนายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank ร่วมพิธีลงนาม “โครงการคู่ความร่วมมือของรัฐวิสาหกิจ ด้านการมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย” ระหว่าง ธ.ก.ส. และ SME D Bank

 

ปณทคว้า 3 สุดยอด รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ปี 67ตอกย้ำภารกิจสื่อสารและขนส่งของชาติ

บ.ไปรษณีย์ไทย คว้า 3 รางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2567 จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการตอกย้ำและยืนยันความสำเร็จองค์กรที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมบริการสื่อสารและโลจิสติกส์ที่มีคุณภาพ และบทบาทการสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืน 

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ไปรษณีย์ไทยในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ภายใต้สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาองค์กรภายใต้วิสัยทัศน์ส่งมอบการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านเครือข่ายไปรษณีย์ หรือ Delivering Sustainable Growth through Postal Network โดยกว่า 141 ปี ที่ผ่านมามีความมุ่งมั่นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การสร้างสรรค์สังคม และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายไปรษณีย์ในการเชื่อมโยงและสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการดำเนินธุรกิจของประเทศ โดยรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2567 นี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของไปรษณีย์ไทยในการพัฒนาบริการที่ทันสมัย โปร่งใส และมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งปีนี้ไปรษณีย์ไทยได้รับ 3 รางวัลได้แก่

1. รางวัลพัฒนาองค์กรดีเด่น ซึ่งมอบให้แก่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่มีการพัฒนาระบบบริหารจัดการองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมในทุกมิติตามเกณฑ์การบริหารจัดการองค์กรที่ สคร. กำหนด

2. รางวัลด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น (ด้านความคิดสร้างสรรค์) จากโครงการ Digital Post ID (D/ID) นวัตกรรมการจ่าหน้าแบบใช้รหัส ช่วยปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลระหว่างการจัดส่งสิ่งของโดยแปลงเป็น QR Code แปะลงบนหน้ากล่องพัสดุ ซึ่งเป็นผลงานที่มีความคิดสร้างสรรค์โดดเด่น ชัดเจน สามารถต่อยอดสู่การสร้างสิ่งใหม่ได้ทั้งในระดับองค์กร และระดับอุตสาหกรรม ซึ่งนวัตกรรมนี้ถือเป็นการ พลิกโฉมด้านความปลอดภัยทางการขนส่ง ความสะดวก รวดเร็ว และทันสมัยที่กำลังจะเกิดขึ้นกับคนไทยทั้งประเทศในอนาคต 

3. รางวัลชมเชยด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น (ด้านนวัตกรรม) จากโครงการให้บริการไปรษณีย์ตอบรับในประเทศทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Acknowledgement of Receipt: E-AR) โซลูชันที่ช่วยให้ผู้ฝากส่งเอกสารสำคัญสามารถยืนยันว่าผู้รับได้ลงนามรับเอกสารแล้ว โดยมีการจัดส่งข้อมูลให้ผู้ฝากส่งรับทราบและเก็บไว้เป็นหลักฐานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

"ไปรษณีย์ไทยขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เป็นแรงผลักดันการทำงานให้เพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จนทำให้ประสบความสำเร็จและได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในปีนี้ โดยในฐานะหน่วยงานสื่อสารและขนส่งของชาติ ยังคงมุ่งมั่นเป็นองค์กรต้นแบบ พร้อมขับเคลื่อนสิ่งใหม่ ๆ เพื่อสร้างเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนผลักดันเครือข่ายบริการไปรษณีย์ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศให้รองรับทุกการเติบโต และไม่หยุดยั้งพัฒนาคุณภาพบริการที่เป็นเลิศ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับประชาชนทุกคนที่ใช้บริการ พร้อมกันนี้ ยังให้ความสำคัญต่อการนำเอาเทคโนโลยี AI และ Big Data มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดส่งพัสดุและเอกสาร รวมถึงโครงการ Green Logistics ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม"

สำหรับการมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น  จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนและสังคมได้รับทราบถึงผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่ดีเด่นในด้านต่าง ๆ อันจะเป็นการสร้างความภาคภูมิใจ สร้างขวัญและกำลังใจให้รัฐวิสาหกิจในการปฏิบัติงาน รวมทั้ง ช่วยส่งเสริมให้รัฐวิสาหกิจมีความมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและนำองค์กรสู่ความเป็นเลิศ

PIS หุ้น Growth Stock เข้าเทรด mai 20 ม.ค.นี้ พื้นฐานแน่น โฟกัสลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ-รัฐวิสาหกิจ มี Recurring income สัดส่วน 40% หนุนรายได้โต

PIS หุ้นน้องใหม่ไอพีโอในหมวดธุรกิจเทคโนโลยี (TECH) ลงสนามเทรดตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก 20 ม.ค.นี้ มั่นใจกระแสตอบรับคึกคัก ในฐานะหุ้น Growth Stock ชูจุดเด่นปัจจัยพื้นฐานแน่น โฟกัสกลุ่มลูกค้าหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ หนุนรายได้เติบโตมั่นคง เนื่องจากมี Recurring income จากงานบริการสูงกว่า 40% ของรายได้รวม พร้อมเดินหน้าเข้าร่วมประมูลโปรเจคภาครัฐที่มีมูลค่าสูงขึ้นตามแผน

เมื่อวันที่ 17 ม.ค.68 นางสาวเบญญาภา เฉลิมวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) เปิดเผยว่า ในวันที่ 20 มกราคม 2568 หุ้น PIS จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรกในหมวดธุรกิจเทคโนโลยี (TECH) มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากพื้นฐานธุรกิจมีความแข็งแกร่ง รายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องตามงานประมูลด้านไอซีทีของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งในแต่ละปีมีการประมูลงานใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และด้วยประสบการณ์ของทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอทีโซลูชั่นครบวงจร และเป็นคู่ค้ากับภาครัฐและรัฐวิสาหกิจมายาวนาน ทำให้เพิ่มโอกาสในการได้รับงาน

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้  บริษัทฯมีแผนนำไปวางเป็นหลักค้ำประกันกับสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการออกหนังสือค้ำประกัน ให้กับงานโครงการ ในจำนวน 84 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในงานโครงการแก่ลูกค้าหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ จำนวน 336 ล้านบาท

“การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ของ PIS ถือเป็นก้าวสำคัญในการ สร้างโอกาสเติบโตให้กับบริษัทฯ เพิ่มศักยภาพการประมูลงานเพิ่มมากขึ้น มากกว่า 2,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่เข้าประมูลงานโครงการมูลค่ามากกว่า 200 – 1,000 ล้านบาท ซึ่งเรามองว่าแนวโน้มอุตสาหกรรมไอซีทียังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก สอดคล้องนโยบายรัฐที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล” นางสาวเบญญาภากล่าว

นายโชษิต เดชวนิชยนุมัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยาม อัลฟา แคปปิตอล จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (มหาชน) (PIS) กล่าวว่า PIS ถือเป็นหุ้น Growth Stock ที่มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง ตามการขยายการลงทุนของหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล สอดรับแผนและยุทธศาสตร์ 20 ปี และการยกระดับพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ทำให้มีความจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณสำหรับ Upgrade หน่วยงานรัฐสู่ดิจิทัล ซึ่งเป็นโอกาสคว้าประมูลงานใหม่ของบริษัทฯ หนุนรายได้เติบโตอย่างมั่นคง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีจุดเด่นและความแข็งแกร่งที่สำคัญจากการที่โฟกัสกลุ่มลูกค้าหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ทำให้แหล่งที่มาของรายได้มีความมั่นคง อีกทั้งกำไรยังมีความผันผวนน้อย เนื่องจากกว่า 40% ของรายได้ เป็นรายได้ประจำ (Recurring income)

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในงวด 9 เดือนปี 2567 มีรายได้รวม 988.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.38% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า และมีกำไรสุทธิ 67.88 ล้านบาท

ทั้งนี้ PIS เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 140 ล้านหุ้น ราคา 3.00 บาท/หุ้น มูลคาที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯในครั้งนี้

 

 

"สคร." กำชับรัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 67 

สคร.กำชับรัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 67 

เมื่อวันที่ 28 พ.ย.67 นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในกำกับของ สคร. จำนวน 43 แห่ง ได้แก่ รัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีบัญชีตามปีงบประมาณ (รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ) จำนวน 34 แห่ง และรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีบัญชีตามปีปฏิทิน (รัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน) จำนวน 9 แห่ง มีการเบิกจ่ายงบลงทุนจนถึงเดือนตุลาคม 2567 แล้วจำนวน 229,812 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 97 ของแผนการเบิกจ่าย แยกเป็นการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 - เดือนกันยายน 2567) ซึ่งได้สิ้นสุดการเบิกจ่ายงบลงทุนประจำปี 2567 แล้วจำนวน 109,342 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 90 ของแผนการเบิกจ่าย และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน (เดือนมกราคม 2567 - เดือนตุลาคม 2567) จำนวน 120,470 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 103 ของแผนการเบิกจ่าย ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณที่เบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของแผนการเบิกจ่ายและมีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการประปานครหลวง (กปน.) และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินที่เบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของแผนการเบิกจ่ายและมีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  

นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวว่า ณ เดือนตุลาคม 2567 รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณได้เริ่มการเบิกจ่ายงบลงทุนเป็นเดือนแรกของปี 2568 โดยมีผลการเบิกจ่ายจำนวน 9,726 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 117 ของแผนการเบิกจ่าย ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณที่เบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของแผนการเบิกจ่ายและมีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ รฟม. การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ กปน.

นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการ สคร. กล่าวสรุปว่า ในปี 2567 รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายงบลงทุนได้จำนวน 229,812 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่จำนวน 219,103 ล้านบาท และคิดเป็นร้อยละ 82 เมื่อเทียบกับกรอบงบลงทุนทั้งปีจำนวน 278,602 ล้านบาท ซึ่งรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณได้สิ้นสุดการเบิกจ่ายแล้วเมื่อเดือนกันยายน 2567 และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินอยู่ระหว่างการเบิกจ่ายในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่ง สคร. ได้กำชับให้กระทรวงเจ้าสังกัดและผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินกำกับดูแลและเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุน เพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 95

สำหรับปี 2568 คณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2568 ซึ่ง สคร. ได้แจ้งให้รัฐวิสาหกิจดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวโดยเคร่งครัด และให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับติดตามการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการลงนาม
ในสัญญาเพื่อเร่งรัดการเบิกจ่ายในช่วงไตรมาสที่ 1 - 2 เพื่อให้การลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไป

#สคร #รัฐวิสาหกิจ #ข่าววันนี้ #งบลงทุน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

"พิชัย" นั่งหัวโต๊ะติดตามงบเบิกจ่ายภาครัฐ 6 เดือนแรก 1.31 แสนล. ร้อยละ 51 งบลงทุน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ (คณะกรรมการฯ) ครั้งที่ 3/2567 ในวันที่ 12 มิถุนายน 2567 โดยมีนายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ เป็นกรรมการ และนายพิทย อุทัยสาง เป็นกรรมการและเลขานุการ

ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐตามมติที่ประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2567 และครั้งที่ 2/2567 ที่ผ่านมา รวมถึงรับทราบการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยในปี 2567 รัฐวิสาหกิจมีกรอบงบลงทุน จำนวน 257,455 ล้านบาท และมีผลการเบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 131,511 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 51 ของกรอบงบลงทุน ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ในระดับร้อยละ 39

นอกจากนี้ที่ประชุมได้มอบหมายกระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2567 เป็นไปตามเป้าหมายที่ระดับไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95

"อีสปอร์ต" จับคู่ "IRPC" 1 กีฬา1 รัฐวิสาหกิจ ร่วมพัฒนาสู่สากล  4 ปี 8 ล้าน

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 ณ Thailand Esports​ Stadium​ มีการแถลงข่าวความร่วมมือ การสนับสนุนโครงการ 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ ตามที่รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต้องการให้หน่วยรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนเข้ามาสนับสนุนกีฬา โดยวันนี้เป็นการแถลงข่าวความร่วมมือระหว่าง บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) กับ สมาคมกีฬาอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย โดยภายในงานได้รับเกียรติจากนาย สันติ โหลทอง นายกสมาคมกีฬาอีสปอร์ตแห่งประเทศไทย ,คุณอาริสรา  สุธาสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ /สำนักกิจการองค์กร /บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ที่เข้ามาสนับสนุนสมาคมกีฬาอีสปอร์ต โดยมีนายสิทธิชัย เทพไพฑูรย์ ผู้อำนวยการ บริษัท​ เกมอินดี้ จำกัด และ ประธานคณะอนุกรรมการพัฒนา​ซอฟต์พาวเวอร์​แห่งชาติขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านเกม ร่วมเป็นสักขีพยานความร่วมมือ พร้อมนักกีฬา และสื่อมวลชนจำนวนมาก

นายสันติ โหลทอง นายกสมาคมกีฬาอีสปอร์ตฯ เปิดเผยว่า กีฬาอีสปอร์ตถือเป็นกีฬาใหม่ที่เกิดขึ้นในไทยประมาณกว่า  10 ปี ที่ผ่านมา มีการจัดแข่งขันในระดับต่างๆ ทั้งกีฬาระดับชาติ ระดับนานาชาติ ระดับโลก นักกีฬาอีสปอร์ตของประเทศไทยสร้างชื่อเสียงมากมาย แต่ในช่วง 3 - 4 ปี ที่ผ่านมาก็สะดุดบ้าง เหตุจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด 19  ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณภาครัฐบาล โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่เอาโครงการนี้กลับมาใช้อีกครั้ง สมาคมกีฬาอีสปอร์ตฯ ต้องขอขอบคุณบมจ.ไออาร์พีซี ที่เข้ามาสนับสนุนสมาคมฯ ตามโครงการ 1 กีฬา 1 รัฐวิสาหกิจ เป็นระยะเวลา 4 ปี จำนวนเงินทั้งสิ้น 8,000,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ ทางสมาคมฯจะนำไปใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์ ทั้งพัฒนาฝีมือนักกีฬา และการส่งนักกีฬาเข้าร่วมรายการต่างๆ 

คุณอาริสรา  สุธาสิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ /สำนักกิจการองค์กร /บมจ.ไออาร์พีซี กล่าวว่า เป็นเกียรติที่บมจ.ไออาร์พีซี ได้เข้ามาสนับสนุนสมาคมกีฬาอีสปอร์ต กีฬาสมัยใหม่ ของคนรุ่นใหม่ ที่จัดแข่งขันได้แบบไร้พรมแดน  ความสำเร็จและการเติบโตของกีฬาอีสปอร์ต นอกจากเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาขึ้นทุกวันแล้ว เรื่องของความเข้าใจ การเปิดใจยอมรับ และการสนับสนุนจากภาครัฐบาลและเอกชน รวมทั้งผู้ปกครอง ล้วนแล้วแต่เป็นตัวขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จของกีฬาอีสปอร์ตทั้งสิ้น

"ในส่วนของไออาร์พีซี ก็เป็นหน่วยงานที่มุ่งสร้างนวัตกรรม และเทคโนโลยีต่างๆ มาร่วมสร้างความเติบโตขององค์กร โดยได้รับการยอมรับให้เป็นองค์กรนวัตกรรม จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติในปีที่ผ่านมา และการเข้ามามีส่วนร่วมในความสำเร็จของนักกีฬา,สมาคมกีฬาฯร่วมกันให้ก้าวสู่เวทีระดับโลก เป็นหนึ่งในการสร้างSoft Powerของประเทศไทย และสามารถขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอีสปอร์ตของไทย สู่ระดับสากลได้อย่างเต็มภาคภูมิ"

สคร. แจ้ง "รัฐวิสาหกิจ" ผลงานเด่น เร่งลงทุนแล้วกว่าหนึ่งแสนล้านบาท

นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า รัฐวิสาหกิจที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรงและมีการเบิกจ่ายงบลงทุนมีจำนวน 43 แห่ง โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ รัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีบัญชีตามปีงบประมาณ (รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ) และรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีบัญชีตามปีปฏิทิน (รัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน) โดยในปี 2567 รัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายงบลงทุนจนถึงเดือนเมษายน 2567 จำนวน 111,847 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 126 ของแผนการเบิกจ่าย ประกอบด้วยการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 - เดือนเมษายน 2567) 34 แห่ง จำนวน 62,978 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 105 ของแผนการเบิกจ่าย และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน (เดือนมกราคม 2567 - เดือนเมษายน 2567) 9 แห่ง จำนวน 48,869 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 170 ของแผนการเบิกจ่าย ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณที่เบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของแผนการเบิกจ่าย และมีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการประปานครหลวง และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินที่เบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของแผนการเบิกจ่ายและมีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

"การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2567 เป็นผลการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ 7 เดือน คิดเป็นร้อยละ 53 ของกรอบงบลงทุนทั้งปี และผลการเบิกจ่ายของรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน 4 เดือน คิดเป็นร้อยละ 34 ของกรอบงบลงทุนทั้งปี โดยรัฐวิสาหกิจส่วนใหญ่ได้เร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุน ส่งผลให้ในภาพรวม
มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนกว่าหนึ่งแสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43 ของกรอบงบลงทุน ทั้งนี้ สคร. จะกำกับติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การลงทุนของรัฐวิสาหกิจเป็นไปตามเป้าหมาย และเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ"

นางสาวปิยวรรณ ล่ามกิจจา ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่สำคัญสามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าแผน อาทิ แผนร่วมทุนในบริษัท LNG Receiving Terminal (แห่งที่ 2) บ้านหนองแฟบ ของ กฟผ. โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงเตาปูน - ราษฎร์บูรณะของ รฟม.และโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน ระยะที่ 1 (ช่วงกรุงเทพมหานคร - นครราชสีมา) ของ รฟท.

"เผ่าภูมิ" มอบ สคร. ลุยแก้รัฐวิสาหกิจขาดทุน-ปรับพอร์ตหุ้น-เร่งรัดลงทุน PPP

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า ได้มอบนโยบายแก่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) โดยให้ทบทวนบทบาทรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน ปรับเกณฑ์ประเมินรัฐวิสาหกิจเพื่อคำนวณโบนัส ทบทวนหลักทรัพย์ของรัฐที่กระทรวงการคลังถือครอง เร่งรัด ผลักดันโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) และเน้นกระจายไปยังภูมิภาค โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. ทบทวนบทบาทรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุน มีภารกิจทับซ้อน และไม่มีประสิทธิภาพ โดยให้ สคร. ร่วมกับกระทรวงเจ้าสังกัด ปรับบทบาทของรัฐวิสาหกิจ 8 แห่ง ได้แก่ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร, องค์การคลังสินค้า, องค์การตลาด, องค์การสุรา, โรงงานไพ่, โรงพิมพ์ตำรวจ, อู่กรุงเทพ, สหโรงแรมและการท่องเที่ยว เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.)

2. ปรับเกณฑ์ประเมินรัฐวิสาหกิจเพื่อคำนวณโบนัส ให้จ่ายตามสัดส่วนของช่วงระดับคะแนน (Prorate) และลดน้ำหนักปัจจัยผลกำไร แต่เพิ่มน้ำหนักปัจจัยการสนับสนุนนโยบายรัฐในการช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะแบงก์รัฐ และเร่งปรับกลุ่มประเมินรัฐวิสาหกิจ

3. เร่งเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจให้ตามเป้า ให้ตัวเลขการเบิกจ่าย 95% เป็นตัวชี้วัดของผู้บริหารสูงสุด และติดตามให้นำส่งเงินให้คลังตามเป้า

4. ทบทวนหลักทรัพย์ของรัฐที่กระทรวงการคลังถือครอง ทั้งที่ควรถือครองไว้ เช่น หุ้นที่มีศักยภาพ หุ้นที่ภาครัฐมีนโยบายต้องถือครอง และที่ไม่มีความจำเป็นต้องถือครอง และควรจำหน่ายออก เช่น หุ้นที่ได้รับจากการยึดทรัพย์ หรือนิติเหตุ เร่งทำแนวทางการบริหารหลักทรัพย์ของรัฐ และแผนการลงทุนที่สร้างผลกำไรให้แก่รัฐ

5. ผลักดัน ติดตาม เร่งรัด โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) เป้าหมาย 47,000 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกแหล่งเงินทุน นอกจากงบประมาณ

6. กระจายโครงการ PPP ไปยังภูมิภาค และขยาย PPP ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะด้านอื่นๆ เช่น ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านที่อยู่อาศัยหรือสิ่งอำนวยความสะดวกผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงวัย ผู้ด้อยโอกาส

สคร. แจงครึ่งปีงบฯ 67 รัฐวิสาหกิจเบิกจ่ายลงทุนกว่า 7 หมื่นล้าน

นายธิบดี วัฒนกุล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า รัฐวิสาหกิจที่ สคร. กำกับดูแลโดยตรงและมีการเบิกจ่ายงบลงทุนมีจำนวน 43 แห่ง โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ รัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีบัญชีตามปีงบประมาณ (รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ) และรัฐวิสาหกิจที่ใช้ปีบัญชีตามปีปฏิทิน (รัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน) โดยในปี 2567 รัฐวิสาหกิจมีการเบิกจ่ายงบลงทุนจนถึงเดือนมีนาคม 2567 จำนวน 77,289 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 113 ของแผนการเบิกจ่าย ประกอบด้วยการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณ (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 - เดือนมีนาคม 2567) 34 แห่ง จำนวน 52,794 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 107 ของแผนการเบิกจ่าย และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทิน(เดือนมกราคม 2567 - เดือนมีนาคม 2567) 9 แห่ง จำนวน 24,495 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 131 ของแผนการเบิกจ่าย

ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจปีงบประมาณที่เบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของแผนการเบิกจ่ายและมีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการประปานครหลวง และรัฐวิสาหกิจปีปฏิทินที่เบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 95 ของแผนการเบิกจ่ายและมีมูลค่าสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค