ส่องชัดๆ! 22 วรรณกรรมไทย "เขมร" เคลมขึ้นทะเบียนยูเนสโก

วันที่ 14 ก.ค.68 เพจ  JanJao K. Sisprakaew โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า  นี่คือวรรณกรรมไทย ที่เขมรนำไปสอดไส้ขึ้นทะเบียนต่อ Unesco และได้รับการขึ้นทะเบียนไปเรียบร้อย

รายชื่อวรรณกรรมเหล่านี้ถูกแต่งขึ้นโดยชาวไทย แต่ถูกเขมรนำไปขึ้นทะเบียนต่อ Unesco ในหัวข้อ 'มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ Cultural heritage of Cambodia'

วรรณกรรมไทยเหล่านี้ถูกเขมรเคลมเป็นของตนเองเพืี่อใช้ในการแสดง Royal Ballet of Cambodia

โดยเขมรอ้างว่ารายชื่อวรรณกรรมเหล่านี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522-2545 จากละครเรื่อง "พระทอง นางนาค" (ละครพื้นบ้าน ที่ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี 2473)ในสมัยของ สมเด็จพระสีสุวัถติ์ มุณีวงศ์

รายชื่อวรรณกรรม ตามหัวข้อต่างๆ ที่มีผู้แต่งเป็นคนไทย มีดังนี้ ➤

1. ไกรทอง - พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 2 นิทานพื้นบ้าน

2. พระสมุท - พระนิพนธ์ของกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ

3. อุณรุท - พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 1 มาจากบทละครในเรื่องอุณรุทสมัยอยุธยาตอนปลาย

4. พระสังข์ - พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 2 บทละครนอก

5. พระทิณวงศ์ - นิทานพื้นบ้านภาคกลาง จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2458

6. จันทโครพ - ผู้แต่ง สุนทรภู่

7. พระเวสสันดร - ผู้แต่ง เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

8. อิเหนา - พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลทีี่ 2 บทละครรำ

9. อนิรุทธกินรี - พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 1 มาจากบทละครเรื่องอุณรุทสมัยอยุธยาตอนปลาย

10. ศุภลักษณ์ - มาจากตอนศุภลักษณ์อุ้มสม เรื่องอุณรุท พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 1

11. รามเกียรติ์ - พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 1 และ ในหลวงรัชกาลที่ 2

14. พระสุธน-มโนราห์ - บทละครสมัยอยุธยา มาจากพระสุธนชาดก แต่งเป็นคำฉันท์ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระยาอิศรานุภาพ

15. กากี - คำกลอนวรรณคดี เจ้าพระยาพระคลัง(หน) บทเห่กล่อมพระบรรทม แต่งโดยสุนทรภู่

16. สีดาลุยเพลิง - จากรามเกียรติ์ตอนสีดาลุยไฟ พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 1

17. จองถนน - จากรามเกียรติ์ตอนจองถนน พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 1

20. ทิพสังวาล - หนังสืออ่านเล่นในสมัยรัชกาลที่ 5

22. ลักษณวงศ์ - แต่งโดยสุนทรภู่

 

 

ขอบคุณ เพจ JanJao K. Sisprakaew

เขมรลิ้น2แฉก! โร่ฟ้องยูเนสโกวัดไทยลอกนครวัด-แม้กระทรวงวัฒนฯกัมพูชาเคยปฏิเสธไม่ได้เลียนแบบก่อนหน้า

เขมรพลิกลิ้น วิ่งแจ้นฟ้องยูเนสโก กล่าวหาวัดไทยในบุรีรัมย์ สร้างเลียนแบบนครวัด แม้ก่อหน้าทางกระทรวงวัฒนธรรมฯของกัมพูชาเองเคยแถลงเมื่อ 4 ปีก่อนว่า ไม่ได้ลอกเลียนแบบ

เมื่อวันที่ 11 ก.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลปะแห่งกัมพูชา ได้ฟ้องต่อองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น โดยระบุว่า วัดภูม่านฟ้า ต.บ้านสิงห์ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ประเทศไทย ที่กำลังมีการก่อสร้างนั้น ได้สร้างเลียนแบบปราสาทนครวัดของกัมพูชา

โดยนางเผือง สกุณา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลปะแห่งกัมพูชา กล่าวในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโก ครั้งที่ 47 ระบุว่า กัมพูชามีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างปราสาทนครวัดจำลองของวัดไทยใน จ.บุรีรัมย์ โดยที่ไม่เคยมีการปรึกษาหารือล่วงหน้า หรือพิจารณาเรื่องมาตรฐานทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับมรดกทางวัฒนธรรมของกัมพูชา

นางเผือง ยังกล่าวด้วยว่า โครงการก่อสร้างปรสาทนครวัดจำลองดังกล่าว ทำลายความสมบูรณ์ถูกต้อง ความเป็นของแท้ และคุณค่าความโดดเด่นในความเป็นสากลของปราสาทนครวัด และเป็นภัยคุกคามความซื่อสัตย์ทางวัฒนธรรม ซึ่งแม้ว่ากัมพูชาคัดค้านอย่างเต็มที่ แต่โครงการก่อสร้างวัดดังกล่าว ก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป และอาจจะกลายเป็นบรรทัดฐานที่น่ากังวลอย่างยิ่งสำหรับสถานที่ที่เป็นมรดกโลกทั้งหมด

รายงานข่าวแจ้งว่า เกี่ยวกับการก่อสร้างวัดภูม่านฟ้าใน จ.บุรีรัมย์ ก่อนหน้านี้ทางกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลปะแห่งกัมพูชา เคยเข้ามาตรวจสอบการก่อสร้างวัดแห่งนี้ 2 ครั้ง ก่อนออกแถลงการณ์ผ่านทางเฟซบุ๊กของกระทรวงฯ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2021 (พ.ศ. 2564) ว่า การก่อสร้างวัดภูม่านฟ้าไม่ได้ลอกเลียนแบบปราสาทนครวัด

“นายกฯ”จับมือ”ยูเนสโก”ใช้เอไอ เดินหน้าปราบอาชญากรรมข้ามชาติ 

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.68 ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ภายหลังพิธีเปิดงาน The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI 2025 (GFEAI 2025) นางโอเดรย์ อาซูเลย์ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก เยี่ยมคารวะ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมการประชุมฯ

ทั้งนี้ภายหลังการหารือ น.ส.แพทองธาร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กและทวิตข้อความผ่าน X ถึงผลการหารือ ว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่วันนี้มีโอกาสพบหารือกับคุณโอเดรย์ ในห้วงการประชุม The 3rd UNESCO Global Forum on the Ethics of AI #GFEAI2025 โอกาสนี้ได้บอกเล่าถึงภารกิจในการส่งเสริมการพัฒนาและการใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างมีจริยธรรม รวมถึงนโยบายด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล ทั้งการเร่งผลักดันศักยภาพเอไอ เพื่อสร้างประโยชน์ที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร การแพทย์ การใช้เอไอในการทลายกำแพงภาษา หรือการเรียนรู้เฉพาะบุคคล นอกจากนี้ยังได้แลกเปลี่ยนเรื่องการใช้ เอไอ ปราบปรามสแกมเมอร์และอาชญากรรมข้ามชาติ ถือเป็นอีกหนึ่งวาระใหญ่ร่วมกันของโลกในวันนี้ เราได้ประกาศความพร้อมเป็นศูนย์กลางในการปราบปรามอาชญากรรมของชาติในภูมิภาค โดยวันนี้ทุกประเทศได้ให้ความร่วมมือดังกล่าว ทาง ยูเนสโกพร้อมสนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้ ตลอดจนเทคโนโลยีที่จะใช้ในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อให้การใช้เอไอเป็นไปอย่างมีจริยธรรม ไม่ก่อให้เกิดผลเสียทางเศรษฐกิจและสังคม

นายกฯระบุต่อว่า สำหรับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เป้าหมายของเราคือการดึงดูดอุตสาหกรรมแห่งอนาคตให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมถึงการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee: NAIC) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเอไอ และเร่งรัดการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องผลักดัน คือการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี ยกระดับทักษะบุคลากรให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในยุค Digital transformation เราจะส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนด้านเอไอในสถานศึกษา

นายกฯ ระบุอีกว่า ในโอกาสที่ยูเนสโกได้จัดทำกรอบแนวทางการจัดทำคำแนะนำ recommendation เพื่อส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกใช้ปัญญาประดิษฐ์อย่างถูกต้องนี้ ประเทศไทยเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนการส่งเสริมการพัฒนา การนำไปใช้ และการกำกับดูแลเอไออย่างมีจริยธรรม และมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนหลักการเหล่านี้ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคประเทศไทยพร้อมจับมือกับทุกภาคส่วน ทั้งระดับประเทศและนานาชาติ ผลักดันให้ไทยเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักด้านเอไอและใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชน
 

ด่วน..!!“ยูเนสโก” ยกย่อง “ภูพระบาท” มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของไทย

ด่วน..!!รัฐบาลชวนคนไทยร่วมฉลอง ยูเนสโกยกย่อง “ภูพระบาท” มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ของไทย ที่อุดรธานี 28 ก.พ. นี้

วันนี้ (22 กุมภาพันธ์ 2568) นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” (Phu Phrabat, a testimony to the Sima stone tradition of the Dvaravati period) โดยเป็นแหล่งมรดกโลกลำดับที่ 8 และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 2 ของจังหวัดอุดรธานีต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อพุทธศักราช 2535 สำหรับการประกาศดังกล่าวได้ลงนาม รับรองโดย Ms. Audrey Azoulay ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (UNESCO) เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองและติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลกอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จังหวัดอุดรธานี โดยภายในงานมีกิจกรรมและการแสดงมากมาย อาทิ การแสดงศิลปะพื้นบ้าน จากชุมชนไทพวน อำเภอบ้านผือ พิธีปลูกต้นรวงผึ้ง เฉลิมพระเกียรติ พิธีติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลก และป้ายส่งเสริมการท่องเที่ยว พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ โบราณสถานหอนางอุสา การแสดงละครตำนานภูพระบาท เรื่อง "อุสา - บารส" โขนรามเกียรติ์ ตอน "สุครีพถอนต้นรัง

“การขึ้นทะเบียนอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทเป็นมรดกโลกนับเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยและประชาชนทุกคน สะท้อนถึงคุณค่าและความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมไทยในระดับสากล รัฐบาลเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ยกระดับศักยภาพของประเทศ และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” นางสาวศศิกานต์ ระบุ

"นภินทร" ชวนอุดหนุนสินค้า GI รังสรรค์เมนูอาหาร หลัง "ยูเนสโก" ขึ้นทะเบียนเมนูต้มยำกุ้ง มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

รมช.พาณิชย์ เห็นโอกาสเพิ่มมูลค่าให้สินค้า GI ในอุตสาหกรรมอาหาร ภายหลังยูเนสโกขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” ของไทย เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ชวนคนไทยอุดหนุนสินค้า GI จากหลากหลายภูมิภาคมาเป็นวัตถุดิบรังสรรค์เป็นเมนูอาหารเลิศรส คาดช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืน 

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.67 นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เป็นนโยบายสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ที่ต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง โดยปัจจุบันกรมทรัพย์สินทางปัญญามีการขี้นทะเบียนสินค้า GI ไปแล้วถึง 216 สินค้า สร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 77,000 ล้านบาท ซึ่งสินค้า GI ประมาณ 85% เป็นสินค้าประเภทอาหาร เป็นวัตถุดิบที่มีคุณภาพและมีอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่เชื่อมโยงกับแหล่งผลิต ภูมิปัญญาท้องถิ่น จึงถือได้ว่าสินค้า GI เป็นแหล่งต้นน้ำด้านวัตถุดิบคุณภาพที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร

“การที่เมนูต้มยำกุ้งของไทยได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก เป็นการตอกย้ำความชื่นชอบและชื่นชมอาหารไทยจานนี้ของคนทั่วโลก รวมถึงสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ของไทยที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของเคล็ดลับความอร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “กุ้งก้ามกรามบางแพ” จังหวัดราชบุรี ที่ขึ้นทะเบียน GI  ไว้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาตั้งแต่ปี 2566 สร้างรายได้ให้ชุมชนกว่า 2,500 ล้านบาท โดยกุ้งก้ามกรามบางแพมีลักษณะเด่นที่เกิดจากสภาพดินในพื้นที่ และแหล่งน้ำที่มีทั้งน้ำกร่อย น้ำเค็ม น้ำจืด จึงทำให้กุ้งก้ามกรามบางแพมีเปลือกสีน้ำเงินมันเงา เนื้อแน่น เมื่อปรุงสุกจะมีรสชาติหวาน มีมันกุ้งมาก และไม่มีกลิ่นคาว ซึ่งกุ้งก้ามกรามบางแพถือได้ว่าเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศที่ไม่เพียงแต่จะชูรสชาติ ความอร่อยให้เมนูต้มยำกุ้งอาหารโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ยังเป็นการช่วยสนับสนุนเกษตรกรและชุมชนผู้ผลิตสินค้า GI ไทยอีกด้วย” 

ทั้งนี้นอกเหนือจากกุ้งก้ามกรามบางแพที่สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบหลักให้กับเมนูต้มยำกุ้งแล้ว ยังมีสินค้า GI อีกมากมายที่สามารถนำมาเป็นวัตถุดิบปรุงอาหารเมนูต้มยำกุ้งและเมนูอื่นๆ เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ปลากะพงสามน้ำทะเลสาบสงขลา หอมแดงศรีสะเกษ กระเทียมศรีสะเกษ และมะนาวเพชรบุรี เป็นต้น จึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมอุดหนุนเพื่อเป็นกำลังใจให้เกษตรกรผู้ผลิตและผู้ประกอบการสินค้า GI โดยสามารถซื้อสินค้า GI ได้ที่ตลาดจริงใจฟาร์มเมอร์มาเก็ต และ Tops ในเครือเซ็นทรัล และแพลตฟอร์ม Born Thailand หรือหากสนใจข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า GI เพิ่มเติม สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่เพจเฟสบุ๊ค GITHAILAND หรือสายด่วนเบอร์ 1368

#กระทรวงพาณิชย์ #สินค้าGI #ยูเนสโก #ต้มยำกุ้ง #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

รัฐบาลปลื้ม ! “ยูเนสโก” ยก “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก

 

ปลื้ม! ยูเนสโก ยก “ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ” ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินสวยที่สุดในโลก เตรียมลุ้นอีก 1 รางวัลประกาศผล 2 ธันวาคมนี้

วันนี้ (15 พฤศจิกายน 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภายใต้การบริหารงานของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ได้รับการยกย่องจาก ยูเนสโก (UNESCO) ให้ติดอันดับ 1 ใน 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 (The World’s most beautiful List 2024)  นอกจากนี้ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT-1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยังถูกเสนอชื่อเข้ารับรางวัล Prix Versailles หมวดหมู่สนามบิน จากคณะกรรมการ The Prix Versailles Selection Committee ซึ่งร่วมกับ UNESCO  ทั้งนี้ จะประกาศผลอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 2 ธันวาคม 2567 ณ สำนักงานใหญ่ UNESCO กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

เกณฑ์การให้คะแนนการออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นในด้านความงาม ทั้งภายนอก และภายในอาคาร ประกอบด้วย ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม ที่ผสมผสานกับบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับอาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมินั้น เป็นอาคารสูง 4 ชั้น และชั้นใต้ดิน 2 ชั้น มีพื้นที่ 216,000 ตารางเมตร มีประตูทางออกเชื่อมต่อกับหลุมจอดประชิดอาคาร (Contact Gate) จำนวน 28 หลุมจอด ถือว่ามีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม อัตลักษณ์ การออกแบบ การสร้างประสบการณ์ให้ผู้โดยสาร รวมทั้งให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการถ่ายทอดความวิจิตรของเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ไทย สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศ

สำหรับ 6 สนามบินที่เว็บไซต์ www.prix-versailles.com ได้ประกาศ 6 สนามบินที่สวยที่สุดในโลกประจำปี 2567 ได้แก่

1) อาคาร SAT-1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย

2) อาคารผู้โดยสาร E ท่าอากาศยานนานาชาติโลแกน (Logan International Airport) ประเทศสหรัฐอเมริกา

3) อาคารผู้โดยสารที่ 2 ท่าอากาศยานชางงี (Changi Airport) ประเทศสิงคโปร์

4) ท่าอากาศยานนานาชาติซายิด (Zayed International Airport) ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

5) ท่าอากาศยานนานาชาติเฟลิเป้ แองเจเลส (Felipe Ángeles International Airport) ประเทศเม็กซิโก 

6) ท่าอากาศยานนานาชาติแคนซัสซิตี้ (Kansas City International Airport) ประเทศสหรัฐอเมริกา

"คณะธรรมฑูตไทย" มอบ “องค์ครูบาเจ้าศรีวิชัย” ประดิษฐาน วัดธรรมเฮวุน เมียนมา เดินหน้าเสนอชื่อบุคคลสำคัญโลกยูเนสโก

วันที่ 4 ก.ย. 2567 คณะธรรมฑูต  ร่วมกับผู้แทนมูลนิธิอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ มูลนิธิข่วงพระเจ้าล้านนา อัญเชิญชุดประกาศเกียรติคุณ ชุดพระไตรปิฎก(ฉบับภาษาไทย-บาลี)  และประดิษฐานองค์ครูบาเจ้าศรีวิชัยที่วัดธรรมเฮวุน (ตะมะเฮโวน) เมืองพญาตองซู ประเทศเมียนมา ด้วยกระบวนการธรรมฑูต พร้อมมอบข้าวสาร อาหารแห้งและปัจจัยจำนวนหนึ่งโดยมีหลวงพ่อญานอ บาตะ เจ้าอาวาสวัด เป็นผู้รับมอบ

โดยกิจกรรมครั้งนี้เป็นกิจกรรมต่อเนื่องในการหนุนเสริมการเผยแพร่และประกาศเกียรติคุณครูบาเจ้าศรีวิชัย ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของยูเนสโก (UNESCO) ซึ่งเป็นแผนแม่บทของรัฐบาล และเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา คณะผู้ทำหน้าที่ด้วยกระบวนการธรรมทูตได้อัญเชิญ “องค์ครูบาเจ้าศรีวิชัย” ไปประดิษฐานที่วัดคงคาราม กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา  มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยนายอุปกิต ปาจรียางกูร หัวหน้าผู้แทนผู้ทำหน้าที่กระบวนการธรรมทูต สายประเทศศรีลังกา  เมียนมา และ ลาว  เป็นผู้อำนวยการ ประสานงานและสนับสนุน เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่นายอุปกิต  นายอัครเดช ตาสะหลี และนายธีรพจน์ รัตนเสถียร เป็นผู้อำนวยการ ประสานงานและสนับสนุน


ทั้งนี้แผนแม่บทการเสนอยกย่องครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลกถูกบรรจุเป็นแผนแม่บทของรัฐบาลมาตั้งแต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯโดยมีกระทรวงวัฒนธรรมรับผิดชอบ ดำเนินการคืบหน้าต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และสิ่งที่จะดำเนินการต่อจากนี้คือ การเขียนข้อมูลตามแบบฟอร์ม (Annex II) ของยูเนสโก ซึ่งคณะทำงานจากสำนักงานวัฒนธรรมจาก 10 จังหวัดภาคเหนืออยู่ระหว่างการเขียนเสนอให้ทันปี 2569 เพื่อที่จะให้ครูบาเจ้าศรีวิชัยเป็นบุคคลสำคัญของโลก(ยูเนสโก)ภายในปี 2571 การจัดทำแพลตฟอร์มซึ่งพัฒนาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) และการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับครูบาเจ้าศรีวิชัยอย่างต่อเนื่อง 

เตรียมลุ้น!! "ต้มยำกุ้ง-ชุดเคบาย่า" ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก

"เกณิกา" เผยข่าวดีคนไทย "รมว.สุดาวรรณ" หนุน สวธ.จัดทำแผน ปีนี้เตรียมลุ้น "ต้มยำกุ้ง-ชุดเคบาย่า" ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติของยูเนสโก เดินหน้าผลักดัน Soft Power ไทยให้นานาชาติรู้จัก

วันที่ 30 มิ.ย.67 น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม นำโดย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่ากระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการดำเนินงานมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมระดับจังหวัดและระดับประเทศทุกปี และมีการเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก)  

น.ส.เกณิกา กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยเป็นรายการตัวแทนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติและได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกแล้ว  4 รายการ ได้แก่ โขน นวดไทย โนรา และประเพณี“สงกรานต์ในประเทศไทย” ซึ่งปีนี้มีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย 2 รายการ  ได้แก่ “ต้มยำกุ้ง”และชุด“เคบาย่า” ซึ่งชุด“เคบาย่า”ประเทศไทยได้เสนอร่วมกับมาเลเซีย  บูรไนดารุสซาลาม อินโดนีเซียและสิงคโปร์ จะเข้าสู่การพิจารณาในการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 วันที่ 2-7 ธันวาคม 2567  ณ สาธารณรัฐปารากวัย และได้เสนอ“ชุดไทย”และ“มวยไทย” รวมทั้ง“ผ้าขาวม้า”เพื่อเข้าสู่การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโกด้วย 

“รมว.สุดาวรรณ ได้ให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเตรียมจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสที่ต้มยำกุ้งและชุดเคบาย่า ได้เข้าสู่การพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโกในปีนี้ รวมถึงจัดทำแผนล่วงหน้า 10 ปีในการเสนอมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทย เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อยูเนสโก ก็ให้จัดทำรายละเอียดทั้งประเภทและระยะเวลาดำเนินการ เพื่อส่งเสริมมรดกทางศิลปวัฒนธรรมและ Soft Power ด้านต่างๆของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับนานาชาติ”

น.ส.เกณิกา กล่าวทิ้งท้ายว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการส่งเสริม Soft Power นำมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม เช่น อาหารไทย งานหัตถกรรม งานเทศกาลประเพณีมาสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อสร้างอาชีพ สร้างรายได้แก่ประชาชนและชุมชน  ส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ Soft Power ด้านต่าง ๆ ของไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับนานาชาติ

“หัวหิน” เจ้าภาพจัดงานประชุมใหญ่สามัญ TFOPTA พร้อม MOU สู่การเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก

“หัวหิน” เจ้าภาพจัดงานประชุมใหญ่สามัญ TFOPTA พร้อม MOU เมืองหัวหินสู่การเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก

เมื่อวันที่ 20 พ.ค.67 ที่โรงแรมหัวหินแกรนด์ โฮเทล แอนด์ พลาซ่า จ.ประจวบฯ ว่าที่ร้อยตรี เอนก นุรักษ์ ประธานสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยว ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (TFOPTA) พร้อมด้วย นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, ดร.อภิเทพ แซ่โค้ว รักษาการอธิการบดี มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด, รองศาสตาจารย์ ดร.อุดมวิทย์ ไชยสกุลเกียรติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล, ดร.พรชณิตย์ แก้วเนตร รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศและลูกค้าสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ศูนย์การศึกษาหัวหิน, นางสาวพัชรศรี สมบัติทวีคูณ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดประจวบฯ, นางสาวบุษบา โชคสุชาติ รองนายกเทศมนตรีเมืองหัวหิน, นางวาสนา ศรีกาญจนา นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ, นายนพดล นุชเจริญ ประธานที่ปรึกษาชมรมเชฟหัวหิน-ชะอำ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่องการศึกษาศักยภาพเมืองหัวหินสู่การเป็นเครือข่าย เมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก หรือ The UNESCO Creative Cities Network (UCCN) ตามนโยบายการท่องเที่ยวคุณภาพสูงอย่างยั่งยืน โดยมี นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคกลาง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายอาชวันต์ กงกะนันทน์ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานประจวบคีรีขันธ์ ร่วมเป็นพยานในพิธีลงนาม ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวภูมิภาคแห่งประเทศไทย (TFOPTA) 


ในการประชุมมีการเสวนาในหัวข้อเรื่อง ”ทิศทางการท่องเที่ยวของปี 2567 - 2568“ ระหว่างสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ หน่วยงานราชการ และสถาบันการศึกษา โดยมี ว่าที่ร้อยตรี เอนก นุรักษ์ ประธานสมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยว ส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย นายชำนาญ ศรีสวัสดิ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางวัชรี ชูรักษา ผู้ช่วยผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) นายบัณฑิต ดีเหมาะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนัก 12 สำนักพัฒนาลูกค้า สถาบันองค์กรชุมชน นางสาวพัชรศรี สมบัติทวีคูณ ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ร่วมการเสวนา


ทั้งนี้ สมาคมสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาคแห่งประเทศไทย (TFOPTA) กำหนดจัดงานประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี 2567 ในระหว่างวันที่ 20-22 พ.ค.67 เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ณ โรงแรมหัวหินแกรนด์ โฮเทล แอนด์ พลาซ่า และสยามเวเนเซีย หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ซึ่งในปีนี้สมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหัวหิน-ชะอำ เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมครั้งนี้ มีสมาชิกสมาพันธ์ฯ จากทั่วประเทศ จำนวน 125 สมาคมฯ กว่า 500 คน เข้าร่วมประชุม รวมทั้งยังมีกิจกรรมเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวเชื่อมโยงภูมิภาคอีกทางหนึ่งด้วย

สุพรรณบุรี อพท.กิจกรรมสร้างความรู้ขับเคลื่อนเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก

นายณัฐภัทร สุวรรณประทีป ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ร่วมกันเปิดงาน กิจกรรมสร้างการรับรู้ภายใต้แนวทางการขับเคลื่อนเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (Thailand Creative City Network - TCCN 2024) โดยมีนายบุญชู จันทร์สุวรรณ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรีพร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วมงานในครั้งนี้ กิจกรรมสร้างการความรู้ภายใต้แนวทางการขับเคลื่อนเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกThailand Creative Cities Network (TCCN 2024 นวัตกรรมเมือง (City Innovation) Suphanburi Music Crafts & Folk Arts 


ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีเมืองที่ได้รับการประกาศเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก จำนวน7 เมือง ได้แก่ เมืองเชียงใหม่ เมืองสุโขทัย ที่เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน (Craft & Folk Arts) ส่งเสริมงานด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้านในระดับชุมชนและท้องถิ่นอย่างต่อเนื่องให้เป็นที่ประจักษ์ ประสานความร่วมมือระหว่างเมืองเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ด้านหัตถกรรมและศิลปะพื้นบ้าน เมือง ภูเก็ต และ เมืองเพชรบุรี ที่เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร(Gastronomy) ส่งเสริมอัตลักษณ์อาหารพื้นถิ่นให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เมืองกรุงเทพมหานคร และ เมืองเชียงราย เมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบ (Design) นำการออกแบบมาปรับปรุงภูมิทัศน์ของเมืองโดยคงอัตลักษณ์ เมืองสุพรรณบุรี ได้รับเลือกเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรี (Music) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.

โดยสำนักพัฒนาขีดความสามารถการท่องเที่ยว จึงจัดกิจกรรมสร้างการรับรู้ภายใต้แนวทางการขับเคลื่อนเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (Thailand Creative City Network - TCCN 2024) เพื่อเป็นการรวมกลุ่มเครือข่ายผู้ที่เกี่ยวข้องในการร่วมกันผลักดันเมืองต่างๆ ของประเทศไทย เข้าร่วมเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก (UCCN) รวมถึงการสร้างการรับรู้ การมีประโยชน์ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์และมุมมองที่เป็นประโยชน์อันก่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาและบูรณาการร่วมกันเพื่อพัฒนาและสร้างสรรค์เมืองในประเทศในแต่ละด้าน จึงเป็นปัจจัยที่มีความจำเป็นต่อการสร้างแรงจูงใจ และเห็นประโยชน์ของการร่วมมือในการพัฒนาเมืองเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้ อพท.เป็นองค์กรผู้นำด้านการบริหารการพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน


ซึ่งส่งผลกระทบที่ดีต่อการท่องเที่ยวของประเทศด้วย กิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างการรับรู้และความตระหนักถึงประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกแก่เมืองเป้าหมายในประเทศไทย และภาคสังคม ให้เห็นเป็นรูปธรรม ซึ่งสอดคล้องกับการสนับสนุนการพัฒนาเมืองในพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของ อพท. และ เพื่อสร้างโอกาสในการพัฒนาเครือข่ายและความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานในการขับเคลื่อนเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกของประเทศไทย