บอร์ด AI แห่งชาติ ประกาศลงทุนภาครัฐขั้นต่ำ 25,000 ล้าน ขับเคลื่อนภาคีเครือข่าย - ศูนย์ความเชี่ยวชาญ ด้าน AI

วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 2/2568 โดยมี นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นางสาวธีราภา ไพโรหกุล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี  และคณะกรรมการจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เข้าร่วมการประชุมเพื่อพิจารณาทิศทางการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้เป็นกลไกสำคัญในการยกระดับศักยภาพของประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ที่ประชุมได้พิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนตามกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ (National AI Program) ให้มีความชัดเจนและเป็นระบบต่อเนื่องจากการประชุมครั้งที่ผ่านมา โดยครอบคลุมทั้งมิติการสร้างความพร้อมด้าน AI (AI Readiness) และการประยุกต์ใช้ AI ในภาคส่วนต่าง ๆ (AI Adoption) และมีข้อสรุปสำคัญ 4 ประเด็น ดังนี้

1. เห็นชอบการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในลักษณะของกลุ่มภาคีเครือข่าย (Consortium) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือดังกล่าว

2. เห็นชอบแนวทางการยกระดับการทำงานให้เชื่อมโยงระหว่างโครงสร้างพื้นฐานและการประยุกต์ใช้ AI โดยจัดตั้ง ศูนย์รวมความเชี่ยวชาญ (Center of Excellence:CoEs) ในสาขาต่าง ๆ เพื่อเร่งรัดการพัฒนาและบูรณาการการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เบื้องต้นจำนวน 9 แห่ง ได้แก่
• ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการศึกษา
• ศูนย์นวัตกรรมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ด้วยปัญญาประดิษฐ์
• ศูนย์นวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ด้านการเกษตร
• ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการท่องเที่ยว
• ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อสุขภาพและสุขภาวะ
• ศูนย์ความเป็นเลิศด้านปัญญาประดิษฐ์เพื่อการผลิต
• กลุ่มภาคีเครือข่ายด้านโมเดลภาษาขนาดใหญ่ภาษาไทย
• ศูนย์การประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ภาครัฐ
• ศูนย์สอบเทียบสมรรถนะและทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ปัญญาประดิษฐ์

นอกจากนี้ที่ประชุมมีมติให้รับหลักการในการตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านความมั่นคงและความปลอดภัย (Safety and Security) เพิ่มอีกหนึ่งแห่ง 

3. มอบหมายให้ศูนย์ความเชี่ยวชาญดำเนินการจัดทำแผนย่อยรายสาขา ครอบคลุมทั้งด้านความพร้อมและผู้ใช้งาน AI ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2568 เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้ตามกรอบที่วางไว้

4. เห็นชอบในหลักการของกรอบการใช้จ่ายงบประมาณการขับเคลื่อนตามกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 - 2570 และ รับทราบงบประมาณของภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ทั้งงบประมาณในแผนและนอกแผน รวมถึงเงินจากกองทุนของรัฐที่ได้ลงทุนไปแล้ว ซึ่งมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 25,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามที่ประชุมได้เน้นย้ำการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การยกระดับโครงสร้างและการประยุกต์ใช้ AI ผ่านศูนย์รวมความเชี่ยวชาญ การจัดทำแผนย่อยรายสาขาเพื่อให้ดำเนินงานได้ตามกรอบที่กำหนด และการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ของประเทศอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

คนกทม 82.5 % อยากให้ภาครัฐนำสุนัข-แมวจรจัด นำไปดูแล และคิดว่าปัญหาสุนัข-แมวจรจัด เป็นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข 73.8 %

ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาสุนัข-แมวจรจัด โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,179 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 11 - 18 มีนาคม 2568 

วันที่ 17 เมษายน 25687 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้เรื่อง ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อเรื่องปัญหาสุนัข-แมวจรจัด ตามตาม พ.ร.บ. ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. 2557 มีผลบังคับใช้แล้ว กรุงเทพมหานครต้องดำเนินการตามขั้นตอนโดยกำหนดให้เจ้าของต้องนำสุนัขไปจดทะเบียนทำบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ ที่กองสัตวแพทย์สาธารณสุข สำนักอนามัยและศูนย์บริการสาธารสุข ภายใน 120 วันนับแต่วันที่สุนัขเกิดหรือภายใน 30 วันที่นำสุนัขมาเลี้ยง หากฝ่าฝืนมีโทษปรับ 5,000 บาท และมีการกำหนดโทษสำหรับเจ้าของสัตว์หรือผู้ซึ่งไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ รัฐมนตรีประกาศกำหนด ในการดำเนินการจัดสวัสดิภาพสัตว์ให้แก่สัตว์ของตน หรือปล่อยละทิ้ง หรือกระทำการใด ๆ ให้สัตว์พ้นจากการดูแลของตนโดยไม่มีเหตุอันสมควร ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองหมื่นบาท และพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ผู้ที่นำสัตว์เลี้ยงมาปล่อยทิ้งหรือไม่รักษาความสะอาด หรือปล่อยให้ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ชุมชน ผู้เป็นเจ้าของจะถูกปรับ 5,000 บาท ในช่วงที่ผ่านมามีการถกเถียงในประเด็นปัญหาสุนัข-แมวจรจัด ว่าจะมีการแก้ไขอย่างไร โดยเฉพาะประเด็นเรื่องผู้เลี้ยงจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยงของตนเอง การขึ้นทะเบียนสุนัข-แมว หรือแนวทางการจำกัดสุนัข-แมว จรจัดที่ไม่มีเจ้าของทิ้ง โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าสุนัข-แมวจรจัด เป็นปัญหาสังคมที่ต้องเร่งแก้ไข ร้อยละ 73.8 และสุนัข-แมวจรจัด เป็นอันตรายต่อท่านและครอบครัว ร้อยละ 40.7 ทราบว่า ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ผู้ที่นำสัตว์เลี้ยงมาปล่อยทิ้งหรือไม่รักษาความสะอาด หรือปล่อยให้ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ชุมชน ผู้เป็นเจ้าของจะถูกปรับ 5,000 บาท ร้อยละ 56 อยากให้หน่วยงานภาครัฐมีกระบวนการนำสุนัข-แมวจรจัด ไปดูแลในสถานที่ที่เหมาะสม  ร้อยละ 82.5 และอยากให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่ปลอดจากสุนัข-แมวจรจัด เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ร้อยละ 73.6 กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าหน่วยงานภาครัฐมีการขึ้นทะเบียนสุนัข-แมว โดยผู้เลี้ยงจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสัตว์เลี้ยงของตนเอง ร้อยละ 78.8

CPANEL รุกขยายพอร์ตภาครัฐ คาดผลงาน Q1/68 สดใส เผยงบปี 67 รายได้ 247 ล้าน ขาดทุน 3.8 ล.

CPANEL ผลประกอบการปี 2567 รายได้รวม 247 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 3.8 ล้านบาท มั่นใจปีนี้ธุรกิจโตแม้ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว เดินหน้าขยายพอร์ตงานภาครัฐเต็มสูบ คว้างานใหม่เพิ่ม  181.65 ล้านบาท ดัน Backlog แตะ 1,358.39 ล้านบาท ทยอยส่งมอบงานหนุนผลงานไตรมาส 1/2568 สดใส โชว์ฐานะการเงินแกร่ง พร้อมรับมือความท้าทาย พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบรับเทรนด์ก่อสร้างยุคใหม่ หนุนยอดขาย

นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 247 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 436.82 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 3.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 62.49 ล้านบาท ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 4/2567 มีรายได้รวม 25 ล้านบาท และมีขาดทุนสุทธิ 12 ล้านบาท ทั้งนี้ภาพรวมผลประกอบการปรับตัวลดลง จากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการชะลอการเปิดโครงการใหม่ ทำให้ความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปลดลง

อย่างไรก็ตามบริษัทได้ดำเนินการปรับกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าภาครัฐมากขึ้น ล่าสุดบริษัทเข้ารับงานโครงการอาคารมูลค่ารวม 181.65 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันมีมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 1,358.39 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นโครงการภาครัฐ 60% ภาคเอกชน 40% ซึ่งจะทยอยส่งมอบงานและรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ CPANEL ยังให้ความสำคัญกับการปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านการดีไซน์ การลดของเสีย เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบรับเทรนด์การก่อสร้างยุคใหม่ ทั้งในส่วนของงานภาครัฐและเอกชน ที่เน้นด้านดีไซน์เพื่อจัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างคุ้มค่า และการให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการใช้พลังงาน และลดต้นทุนการก่อสร้าง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร

 

 “ผลประกอบการปีที่ผ่านมาถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในปีนี้จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของ CPANEL ตั้งแต่ไตรมาสแรก เป็นต้นไป มั่นใจว่าบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าได้อย่างมั่นคง จากการปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าที่หลากหลาย ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับความท้าทายจากสภาวะตลาด เพื่อสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายชาคริต กล่าว

รวมพลังระดับชาติ...ภาครัฐ ประชาสังคม 55 องค์กรเอกชน เร่งขับเคลื่อนปฏิวัติการศึกษาไทย

มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี นำโดย องคมนตรี พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ในฐานะประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ จัดการประชุม “ความร่วมมือ 3 ภาคส่วน รวมพลังสานอนาคตการศึกษาไทยที่ยั่งยืน” ประจำปี 2567 ณ ห้องประชุมบุณยเกต หอประชุมคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีคณะที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน โดย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ พร้อมด้วยซีอีโอ คณะผู้บริหารจากองค์กรผู้ร่วมก่อตั้ง อาทิ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไทยเบฟเวอเรจ นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอสซีบี เอกซ์ นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมผู้จัดการใหม่ บมจ. เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีพี ออลล์ นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท ทรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด และนายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ตลอดจนเครือข่ายพันธมิตร 55 องค์กร ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หารือและวางแผนการดำเนินงานในระยะต่อไป อันได้แก่ การใช้ระบบ School Management System ครอบคลุมทุกโรงเรียนในสังกัดสพฐ. เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพการบริหารจัดการ การระดมทุนในโครงการ "โน้ตบุ๊กเพื่อการศึกษา" ให้ครบตามเป้าหมาย 88 ล้านบาท อีกทั้งจัดตั้งศูนย์ Learning Center นำร่องในโรงเรียนคุณภาพทั่วประเทศ รวมถึงพัฒนาผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ICT Talent) ให้ครอบคลุมทุกโรงเรียนในสังกัดสพฐ. ภายในปี 2570 ควบคู่กับการจัดหลักสูตรอบรมเพิ่มพูนทักษะการบริหารและการสอนร่วมกับสพฐ. และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง 

ภายใต้ความร่วมมืออันเข้มแข็งต่อเนื่องของทุกภาคส่วน ปัจจุบัน มีโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีที่อยู่ในสังกัดสพฐ. เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 6,949 แห่งทั่วประเทศ มีนักเรียนที่ได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาสะสมแล้วกว่า 2.31 ล้านคน ขณะที่มีผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) จำนวน 1,900 คน พร้อมด้วย ICT Talent อีก 2,400 คน เพื่อติดตามและพัฒนานวัตกรรมการศึกษาให้ครอบคลุมทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ อีกทั้ง ยังพัฒนาศักยภาพบุคลากรทางการศึกษา 82,000 คน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณ รวม 3,757.59 ล้านบาทในระยะดำเนินงานที่ผ่านมา โดยผลการดำเนินงานของมูลนิธิฯ มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับ 5 ยุทธศาสตร์หลัก ผ่านความร่วมมือในการดำเนินงานของ 5 คณะทำงาน ภาครัฐ-เอกชน ที่มาช่วยเสริมแกร่งให้เป็นไปตามเป้าหมายของมูลนิธิฯ ได้แก่

1. ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส (Transparency) มุ่งเน้นให้มีการนำระบบ School Management System (SMS) มาใช้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารจัดการ พร้อมสร้างมาตรฐานการประเมินเชิงคุณภาพด้วย Chula Model และการปรับตัวชี้วัดตามบริบทโรงเรียน  ทั้งนี้ ยังวางแผนถอดบทเรียนโรงเรียนต้นแบบเพื่อขยายผลสู่โรงเรียนอื่นๆ ต่อไป 

2. ยุทธศาสตร์ที่ 2 : กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม (Market Mechanisms) ส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาการศึกษาไทย โดยเปิดโอกาสให้ร่วมระดมทุนในโครงการ "โน้ตบุ๊กเพื่อการศึกษา" โดยมีเป้าหมายจัดหาโน้ตบุ๊กให้โรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ระดมทุนได้แล้วกว่า 23 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังพัฒนาศักยภาพ School Partner พนักงานจิตอาสา ให้มีส่วนร่วมวิเคราะห์และประเมินโรงเรียนตามหลักยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

3. ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน (High Quality Principals & Teachers) มูลนิธิฯ มีนโยบายพัฒนา “ICT Talent ภาครัฐ” ให้ครอบคลุมทุกโรงเรียนภายในปี 2570 รวมถึงการปรับหลักเกณฑ์การโอนย้าย การประเมินวิทยฐานะ และการปรับเงินเดือนให้กับครูและผู้บริหาร นอกจากนี้ ยังมีโครงการอบรมเข้มข้นเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้สอนสู่การเป็นครูผู้ส่งเสริมให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี

4. ยุทธศาสตร์ที่ 4 : เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ (Child Centric & Curriculum)  สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ Learning Center ในโรงเรียนคุณภาพ 1 โรงเรียนต่อ 1 เขตพื้นที่เพื่อเป็นต้นแบบในการพัฒนาหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ให้เด็กได้เรียนตามความสนใจ พร้อมส่งเสริมการเรียนรู้ในด้านทักษะสำคัญในยุคดิจิทัล

5. ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา (Digital Infrastructures) มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในโรงเรียน เพื่อรองรับการเรียนรู้แห่งอนาคต รวมถึงการติดตั้งการคัดกรองข้อมูล (Filtering Software) เพื่อให้เยาวชนเข้าถึงแหล่งข้อมูลอย่างสร้างสรรค์และปลอดภัย พร้อมส่งเสริมหลักสูตรด้านเทคโนโลยี AI และทักษะดิจิทัล 

แนวทางยุทธศาสตร์ 5 หลักนี้ ได้นำมาประยุกต์ใช้ในโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี จนเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และกลายเป็นโรงเรียนต้นแบบคอนเน็กซ์อีดีสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังเช่น โรงเรียนบ้านตำหรุ (วิงประชาสงเคราะห์) จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ ตัวแทนคณะครูและนักเรียน ได้มาร่วมนำเสนอแนวทางความสำเร็จในการพัฒนาโรงเรียนตามแนวทางดังกล่าว ทั้งนี้ มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี ยังคงยืนหยัดในการพัฒนาการศึกษาไทย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ทั้งในเชิงนโยบาย การสนับสนุนโรงเรียนและบุคลากร ตลอดจนการมอบโอกาสให้เยาวชนทุกคนได้พัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อสร้างสรรค์สังคมและประเทศให้ก้าวไกล

19 องค์กรภาครัฐ-เอกชน-บุคคล รับรางวัลอันทรงเกียรติ ในงาน “Siamrath Awards 2024”

สยามรัฐ ประกาศผลรางวัล “Siamrath Awards 2024” รางวัลทรงคุณค่า เพื่อบุคคล และ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน โดยมี 19 องค์กร ภาครัฐ-เอกชน ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.2567 ที่ ทรู ดิจิตอล พาร์ค บริษัท สยามรัฐ จำกัด จัดงานประกาศรางวัล สยามรัฐอวอร์ด 2024 เพื่อมอบรางวัลอันทรงเกียรติให้กับ บุคคล และ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และ ศิลปิน ดารานักแสดง ทุกรางวัล ได้ผ่าน การคัดเลือกมาจาก กองบรรณาธิการสยามรัฐ และ คณะกรรมการผู้ทรงเกียรติ  โดยปีนี้มีการมอบรางวัลอันทรงเกียรติทั้งสิ้น 43 รางวัล


คุณกตพล คงอุดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามรัฐ จำกัด เผยว่า “สยามรัฐออนไลน์ เดินทางมาถึงปีที่ 21 ปี ก้าวสู่ปี ที่ 22 ตลอดระยะเวลา 21 ปี ที่ผ่านมา สยามรัฐออนไลน์ได้นำเสนอข่าวสาร โดยยึดความถูกต้องและรวดเร็วเป็นสำคัญและจะยังคงยึดมั่นในหลักการนี้ต่อไป 

พิเศษสำหรับปีนี้ ทางคณะกรรมการได้นำรื่อง Soft Power และแนวคิดเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน มาร่วมเป็นเกณฑ์ การคัดเลือกในครั้งนี้ และขอแสดงความยินดี กับผู้ที่ได้รับรางวัลในวันนี้ ขอขอบคุณทุกท่านได้ติดตาม หนังสือพิมพ์สยามรัฐ รายวัน นิตยสารสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ รวมทั้งสื่อ Social Media ของสยามรัฐ ในทุกช่องทาง” 

ทั้งนี้ 19 องค์กรภาครัฐ-เอกชน-บุคคล ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ ในงาน “Siamrath Awards 2024” มีดังนี้

1.    รางวัลกิตติมศักดิ์ ด้านมวยไทย ผู้ได้รับรางวัล ได้แก่พล.ท. สัจจา สุขสุเมฆ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก  มวยไทยลุมพินี


2.    รางวัลกิตติมศักดิ์ ด้านอาหาร ได้แก่คุณสมศักดิ์ รารองคำ นายกสมาคมเชฟประเทศไทย


3.    รางวัล หน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนดีเด่นด้าน Decent Work and Economic Growth ได้แก่กระทรวงแรงงาน


4.    รางวัล หน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนดีเด่นด้าน End poverty in all its forms everywhere  ได้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


5.    รางวัลหน่วยงานภาครัฐที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและชุมชนดีเด่น ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาค


6.    รางวัล หน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจยอดเยี่ยมได้แก่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย


7.    รางวัล ส่งเสริมเศรษฐกิจไทย ด้วยอุตสาหกรรมไมซ์ดีเด่นได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ องค์การมหาชน หรือ ทีเส็บ


8.    รางวัลองค์กรแห่งความยั่งยืนได้แก่ ธนาคารออมสิน


9.    รางวัล ธนาคารดีเด่นด้านการสนับสนุนให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ได้แก่  ธนาคารอาคารสงเคราะห์


10.    รางวัล รัฐวิสาหกิจดีเด่นด้านการส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืนได้แก่ การเคหะแห่งชาติ


11.    รางวัลธนาคารที่ดำเนินธุรกิจด้านสินเชื่ออย่างยั่งยืนและรับผิดชอบดีเด่นได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด มหาชน


12.    รางวัลมหาวิทยาลัยดีเด่นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสู่อนาคตได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ


13.    รางวัล บริษัทประกันภัยที่ส่งเสริมความยั่งยืนด้านการพัฒนาสังคมยอดเยี่ยมได้แก่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)


14.    รางวัล ผู้บริหารองค์กรดีเด่นแห่งปี ได้แก่ดร.สมพร สืบถวิลกุลกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน)


15.    รางวัล บริษัทประกันชีวิตที่สร้างสรรค์นวัตกรรม ด้านผลิตภัณฑ์และบริการดีเด่นได้แก่ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)


16.    รางวัล Brand ธุรกิจประกันภัยยอดนิยมได้แก่บริษัท เอไอเอ จำกัด


17.    รางวัล องค์กรความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมการขนส่งและพลังงานสะอาดดีเด่น ได้แก่ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด


18.    รางวัล ผู้บริหารดาวรุ่งดีเด่นแห่งปี ได้แก่ คุณพชรกฤษฏิ์ ชื่นชม ประธานบริหาร บริษัทพชรกฤษฏิ์พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด


19.    รางวัลเกียรติยศ  ผู้คิดค้นพัฒนาศัลยกรรมการดึงหน้าด้วยเทคนิค Face-Lock  คนแรก ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ ชลธิศ สินรัชตานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเตติก คอนเนค จำกัด (มหาชน) หรือ ธีรพร คลินิก

นอกจากนี้ยังมีรางวัลวงการบันเทิง และโซเซียลมีเดีย อีก 25 รางวัล

ก้าวสู่ปีที่ 7…ภาครัฐ ประชาสังคม 52 องค์กรเอกชน รวมพลังชู "แนวทาง 3 ภาคส่วน สานต่อการศึกษาไทย"

รวมพลังต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 สานต่อเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการร่วมขับเคลื่อนการศึกษาไทย ให้ก้าวไกลอย่างมั่นคงและยั่งยืน...มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี นำโดย องคมนตรี พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ในฐานะประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ จัดการประชุม "แนวทางความร่วมมือ 3 ภาคส่วนในการสนับสนุนการศึกษาไทย ประจำปี 2566" ณ แกรนด์ ฮอลล์ ชั้น 3 ทรู ดิจิทัล พาร์ค เวสต์ โดยมีคณะที่ปรึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน โดย นายศุภชัย เจียรวนนท์  ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารมูลนิธิฯ พร้อมด้วยซีอีโอ คณะผู้บริหารจากองค์กรผู้ร่วมก่อตั้ง ตลอดจนเครือข่ายพันธมิตร ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หารือและวางแผนการดำเนินงานในระยะต่อไปซึ่งจะเน้นให้โรงเรียนส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลาง (Child-Centric Learning) และการลงมือปฏิบัติ (Action-based Learning) เพื่อส่งเสริมการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้นอกหลักสูตร (Extracurricular) ในศูนย์การเรียนรู้ชุมชน (Learning Center)  ที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ตามความสนใจ ค้นคว้า ทดลอง นำไปสู่การอภิปรายด้วยเหตุผล ส่งผลให้เกิดการพัฒนาศักยภาพผู้เรียนให้รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม ตลอดจนปรับ KPIs ให้ท้าทายยิ่งขึ้น ทั้งเพิ่มน้ำหนักการประเมินด้านผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษา รวมถึงกำหนดตัวชี้วัดย่อยมากขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น ยังกำหนดเป้าหมายให้เพิ่มโรงเรียนคุณภาพระดับยอดเยี่ยม (Excellent) สร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่มีทั้งอุปกรณ์เทคโนโลยีและการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และส่งเสริมให้เด็กค้นพบศักยภาพของตัวเอง พัฒนาหลักสูตรที่สร้างภูมิคุ้มกันทางเทคโนโลยี และรู้เท่าทันปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตลอดจนเชื่อมโยงภาคเอกชนให้เข้ามามีบทบาท ในการพลิกโฉมศักยภาพเด็กไทยให้เป็นเด็กดี มีความสามารถ ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต

ภายใต้ความร่วมมืออันเข้มแข็งของทุกภาคส่วน ปัจจุบันมีโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีที่อยู่ในสังกัดสพฐ. จำนวน 5,570 แห่ง ทั่วประเทศ มีนักเรียนที่ได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาสะสมแล้วกว่า 2.31 ล้านคน บุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนาศักยภาพ มากกว่า 82,000 คน ขณะที่มีผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) ผ่านการพัฒนาทักษะผู้นำ 1,567 คน มีผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ICT Talent) ภาครัฐและเอกชน 2,000 คน ดูแลครอบคลุม 4,100 โรงเรียน และในปี 2566 มูลนิธิฯ ได้เพิ่มเครือข่ายพันธมิตรอีก 5 องค์กร ขยายจาก 12 องค์กรชั้นนำผู้ร่วมก่อตั้ง 19 องค์กรรุ่นที่ 2 และ 16 องค์กรรุ่นที่ 3 เดิม รวมปัจจุบันเป็น 52 องค์กร โดยผลการดำเนินงานของมูลนิธิฯ มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับ 5 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่

ยุทธศาสตร์ที่ 1 : การเปิดเผยข้อมูลสถานศึกษาสู่สาธารณะอย่างโปร่งใส (Transparency)

• ได้มีการจัดทำวิจัย “พัฒนาเครื่องมือประเมินคุณภาพโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีในยุคดิจิทัลที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก” ต่อยอดจากการประเมินคุณภาพโรงเรียนในเชิงปริมาณ (School Grading) โดย คณะวิจัยจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ทำการวิจัยเชิงคุณภาพและพบว่า ICT Talent และ Learning Center รวมถึงอุปกรณ์ไอซีทีในโรงเรียน  มีส่วนช่วยให้นักเรียนพัฒนามากขึ้น สร้างเจตคติที่ดีในการเรียน ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ กล้าคิดกล้าแสดงออก โดยจะนำผลการวิจัยนี้ไปปรับตัวชี้วัดใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อใช้วางแผนพัฒนาโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีให้ตรงจุดมากขึ้น

 

ยุทธศาสตร์ที่ 2 : กลไกตลาดและวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม (Market Mechanisms)

• ได้จัดอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้นำรุ่นใหม่ (School Partner) อย่างต่อเนื่อง เสริมทักษะต่างๆ ทั้งการสื่อสาร การพัฒนาความเป็นผู้นำ เพื่อนำไปใช้ในการทำงานร่วมกับผู้บริหารสถานศึกษาและผู้อื่น 

• โรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี 99 แห่ง ได้รับเงินบริจาค 20.6 ล้านบาท จากการระดมทุนโครงการคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อการศึกษา (Notebook for Education) เพื่อนำไปจัดซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กพร้อมติดตั้ง Filtering Software ให้แก่นักเรียน

• ภาครัฐได้ขยายผลองค์ความรู้จากภาคเอกชน 17 โมเดล สู่โรงเรียนในสังกัดสพฐ. นำโมเดลที่เหมาะสมกับบริบทของโรงเรียนไปศึกษาและประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน

• ได้จัดทำรายชื่อคณะทำงานร่วมภาครัฐ-เอกชน ทั้ง 5 คณะ ประจำปี 2566 และเพิ่มเติมรายชื่อคณะทำงานที่ 6 ด้านนโยบายและบุคลากรทางการศึกษา จากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เพื่อให้การทำงานระหว่างรัฐและเอกชนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

ยุทธศาสตร์ที่ 3 : การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอน (High Quality Principals & Teachers)

• ได้จัดอบรมออนไลน์แก่บุคลากรทางการศึกษาในโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีภายใต้การดูแลของ สพฐ. รวมถึงกลุ่มโรงเรียนในโครงการกองทุนการศึกษา โดยส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้บุคลากรทางการศึกษา 3,500 คนได้รับการอบรมด้านทักษะดิจิทัล มีความมั่นใจในการนำปัญญาประดิษฐ์ไปประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนมากขึ้น ซึ่งได้ผลตอบรับอย่างดีจากนักเรียน

• ได้จัดอบรมให้แก่ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (ICT Talent) อย่างต่อเนื่อง เปิดรับสมัคร ICT Talent ภาครัฐ รุ่นที่ 4 จำนวน 500 คน (ตุลาคม-พฤศจิกายน 2566) พร้อมผลักดันนโยบายรับสมัคร ICT Talent ภาครัฐ เพิ่ม 500 คน/ปี ปัจจุบัน มี ICT Talent ทั้งสิ้น 2,000 คน

ยุทธศาสตร์ที่ 4 : เด็กเป็นศูนย์กลาง เสริมสร้างคุณธรรมและความมั่นใจ (Child Centric & Curriculum) 

• ส่งมอบชุดนวัตกรรมคุณธรรมคอนเน็กซ์อีดี (CONNEXT ED Moral Innovation) ให้แก่ภาครัฐเพื่อนำไปวิจัยและขยายผล พร้อมเผยแพร่บนเว็บไซต์ของมูลนิธิฯ connexted.org

• ขยายผลจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชน (Learning Center) จากที่บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ริเริ่ม 9 แห่ง ปัจจุบันเพิ่มเป็น 63 แห่งทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งในจำนวนนี้ มีของภาครัฐ 6 แห่ง  โดยจัดให้มีการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาด้านศักยภาพด้านการจัดการเรียนรู้เชิงรุก โดยใช้โครงการเป็นฐาน (Project-based Learning) และการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ” และหลักสูตรพัฒนาการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้นอกหลักสูตร (Extracurricular)ให้แก่ผู้บริหารสถานศึกษาและคณะครู ร่วมกับคณะวิจัยจากสำนักนวัตกรรมการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 

• เดินหน้าจัดทำคลังความรู้ “Learning Zone : พื้นที่เรียนรู้ สู่อนาคต” รายการโทรทัศน์เสริมทักษะความรู้ที่ 19 องค์กรภาคเอกชน ได้ร่วมแบ่งปันองค์ความรู้และทักษะในด้านต่างๆ ส่งผลให้เยาวชน ผู้ปกครอง และบุคลากรทางการศึกษา ได้นำไปเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและต่อยอดการเรียนรู้

 

ยุทธศาสตร์ที่ 5 : การเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของสถานศึกษา (Digital Infrastructures) 

• จัดซื้อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจากโครงการคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อการศึกษา (Notebook for Education) แก่โรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี 99 แห่ง พร้อมติดตั้งสื่อดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้และ Filtering Software เพื่อป้องกันการใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม ตลอดจนอบรมความรู้ในการจัดกระบวนการใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเป็นฐาน (Notebook-based Learning) ร่วมกับการเรียนรู้แบบ Active Learning เพื่อให้คุณครูสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจากผลสำรวจ นักเรียน มีทักษะการใช้อุปกรณ์ไอซีทีและทักษะการสืบค้นที่ดียิ่งขึ้น

• องค์กรผู้ร่วมก่อตั้ง และองค์กรพันธมิตรภาคเอกชน ได้ร่วมบริจาคคอมพิวเตอร์มือสองกว่า 6,000 เครื่องให้แก่โรงเรียนคอนเน็กซ์อีดีที่ในความดูแล 300 แห่ง 

โอกาสนี้ ตัวแทนคณะครูและนักเรียนจากโรงเรียนคอนเน็กซ์อีดี ยังได้มาร่วมแบ่งปันเรื่องราวแห่งความสำเร็จจาก พัฒนาการสร้างกิจกรรมการเรียนรู้นอกหลักสูตร (Extracurricular) ได้แก่ โรงเรียนวัดกำแพง จ.ชัยนาท ภายใต้การดูแลของบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น โรงเรียนต้นแบบที่นำการจัดการเรียนการสอนในศูนย์ Learning Center มาสร้างสรรค์โครงการ Pomelo of PBL ตามกระบวนการ Active -based Learning ทำให้เด็กและชุมชนได้มีโอกาสร่วมกันหาแนวทางเพิ่มมูลค่าส้มโอ ของดีชัยนาท พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย และโรงเรียนวัดกระทุ่ม (โสมประชาสรรค์) จ.ฉะเชิงเทรา ภายใต้การดูแลของของบมจ.ไทยเบฟเวอเรจ ที่เข้าร่วมโครงการ OTOP Junior นำเสนอผลิตภัณฑ์ทองม้วน และได้รับรางวัลชนะเลิศ OTOP Junior ปี 2017 พร้อมได้รับเงินทุนในการต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของโรงเรียนให้ดียิ่งขึ้น จนได้โอกาสนำผลิตภัณฑ์ทองม้วนไปนำเสนอและจำหน่ายที่สาธารณรัฐประชาชนจีน

"บุหรี่เถื่อน – บุหรี่ปลอม" ปัญหาที่ต้องเร่งแก้ หวั่นรัฐสูญรายได้ 7,000 ล้าน/ปี

ข่าวการจับกุมร้านขาย "บุหรี่เถื่อน" ครั้งล่าสุด ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2566  ถือเป็นการปราบปรามครั้งใหญ่  ตอกย้ำ  "บุหรี่เถื่อน" ยิ่งปราบ ยิ่งระบาด  มีการลักลอบนำเข้าผิดกฎหมายมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ อาทิ จ.สงขลา พัทลุง สุราษฎร์ธานี ฯลฯ  ผ่านขบวนการใหญ่นำเข้าแบบเลี่ยงภาษี ขณะที่บางร้านเปิดจำหน่ายอย่างเปิดเผยไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ "บุหรี่เถื่อน-บุหรี่ปลอม" เป็นที่นิยม คือ  "ราคา" ที่ถูกกว่าบุหรี่ถูกกฎหมายหลายเท่าตัว  สวนทางกับการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และ พ.ศ. 2564 ที่ขยับราคาบุหรี่ในประเทศไทยปรับสูงขึ้นจากเดิมมาก โดยบุหรี่ตราที่ขายในราคา 51 บาท ปรับขึ้นเป็น 60 บาท และ 66 บาท

ซ้ำร้ายปัจจุบัน "ธุรกิจบุหรี่เถื่อน" ยิ่งเติบโต เมื่อมีการซื้อ-ขายกันอย่างแพร่หลายผ่านช่องทางออนไลน์ เนื่องจากมีต้นทุนต่ำ ไม่ต้องมีหน้าร้านให้ถูกเจ้าหน้าที่เพ่งเล็ง เมื่อพบการกระทำผิด ก็สามารถปิดเว็บไซต์แล้วเปิดใหม่ได้ไม่จำกัด ที่สำคัญการขายผ่านออนไลน์ยังเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายและตรงความต้องการอีกด้วย

จากข้อมูลบุหรี่เถื่อนที่ "สมาคมการค้ายาสูบไทย" เผยแพร่เรื่องการซื้อขายผ่านโลกออนไลน์ พบว่าการถามซื้อและเสนอขายผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ เกี่ยวกับ  "บุหรี่เถื่อน" ในระยะเวลา 3 เดือน คือ เดือน ก.ค. ส.ค. และก.ย. 2565 มีความเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 97% โดยช่องทางที่ถูกใช้เพื่อพูดถึง เรื่องบุหรี่เถื่อนมากที่สุด  คือ ทวิตเตอร์ 91% รองลงมาคือเฟซบุ๊ก 9% และเว็บบอร์ด 1%   ขณะที่ สัดส่วนการบริโภคบุหรี่ผิดกฎหมายเพิ่มจาก 6.2% ในปี 2563 เป็น 10.3% ในปี 2564 สูงสุดในรอบ 10 ปี ทำรัฐสูญเสียรายได้กว่า 7,000 ล้านบาทต่อปี  ร้านค้าที่จำหน่ายบุหรี่ถูกกฎหมายกว่า 500,000 ราย และชาวไร่ยาสูบกว่า 30,000 ครอบครัว ต้องขาดรายได้และกำไรหายไปกว่าร้อยละ 50 ต่อเดือน  

การแพร่ระบาดของ "บุหรี่เถื่อน-บุหรี่ปลอม"  กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ภาครัฐต้องเร่งแก้ไข เพราะนอกจากการจับกุมและบังคับใช้กฎหมายอย่างหละหลวม จะสะท้อนถึงการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้กระทำผิด จนกลายต้นตอของการทุจริตคอรัปชั่น ที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ และการเอาจริงเอาจังของรัฐบาลแล้ว ปัญหานี้ยังส่งผลกระทบต่อกิจการยาสูบของรัฐ ที่ถูกบุหรี่เถื่อนเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาดและรายได้ไป  ชาวไร่ยาสูบต้องเดือดร้อน ตลอดจนส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต กระทบรายได้ของรัฐที่ต้องสูญเสียไปกับธุรกิจใต้ดินดังกล่าวจำนวนมหาศาล  

ดังนั้น รัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องยกระดับการปราบปรามเรื่องสินค้าผิดกฎหมายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งบุหรี่ สุรา และสินค้าอื่นอย่างเข้มข้น  รวมถึงการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ตัดวงจรอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลจริงกับการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบขนสินค้าเถื่อน ไม่เช่นนั้น อาจถูกตั้งคำถาม ไล่จับกันมานานหลายสิบปี เหตุใดยังไม่หมดไปสักที หรือผู้มีอำนาจก็มี "ผลประโยชน์ใต้ดิน"

“ทริส คอร์ปอเรชั่น” ชี้ภาครัฐตื่นตัวตามกรอบ ยกขีดความสามารถขับเคลื่อนปท.ด้วยข้อมูล

บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กร จัดงานสัมมนา “Exclusive Seminar : Deep Dive Into Data Governance มุ่งสู่องค์กรดิจิทัลยั่งยืนตามกฎหมายใหม่” นำโดยนายสมพร จิตเป็นธม กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยนายสรรเสริญ สงวนศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ อีกทั้งเป็นการสร้างความตระหนักในการนำแนวคิด “ธรรมาภิบาลข้อมูล” หรือ Data Governance ไปใช้ในการดำเนินงาน และขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยได้รับความสนใจจากผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจำนวน 21 หน่วยงาน เช่น สำนักงบประมาณ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กรมสรรพสามิต กรมขนส่งทางราง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมงานสัมมนาพร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นถึงความสำคัญของ Data Governance ในวันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ 

นายสมพร จิตเป็นธม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ทริสเป็นบริษัท ที่ปรึกษาที่ให้บริการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดการข้อมูลให้เป็นไปตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล หรือ Data Governance เพราะข้อมูลถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการองค์กรและการตัดสินใจ จึงจำเป็นต้องมีการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือและทำให้เกิดความมั่นใจในการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ และมีความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล จึงถือเป็นความท้าทายขององค์กร หรือหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับประชาชนจำนวนมาก ประกอบกับมีกฎหมายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และการกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคล จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลหรือ Data-Driven Organization เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล 

นอกจากนี้ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลได้ประกาศใช้กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐนำไปปฏิบัติ ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจึงต้องให้ความสำคัญในการดำเนินการตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ หรือ Data Governance for Government ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในเดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา

“ปัจจุบันทั่วโลกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเกือบทั้งหมดแล้ว และเมื่อพูดถึงดิจิทัลก็ต้องพูดถึงข้อมูลการขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลนั้นจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐของไทยซึ่งมีหน้าที่ให้บริการประชาชน ต้องตื่นตัวในเรื่องนี้ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลที่ทันสมัย ทั้งการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ การเปิดเผยข้อมูล ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล โดยทุกหน่วยงานภาครัฐต้องพัฒนาหน่วยงานเพื่อการให้บริการที่สะดวก โปร่งใส ทันสมัย ตอบโจทย์ประชาชน และเพื่อเป็นการยกระดับรัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย”นายสมพร กล่าว

ด้านนายสรรเสริญ สงวนศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงความท้าทายของหน่วยงานภาครัฐในการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เป็น Data-Driven Organization ซึ่งได้กระตุ้นให้เห็นถึงความสำคัญและการตื่นตัวในการทำ Data Governance  โดยงานสัมมนาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงข้อคิดเห็นต่างๆ กับท่านผู้บริหาร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกท่าน อันเป็นบุคคลคนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ด้าน Digital Transformation สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ดร.รอยล จิตรดอน กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนายเธียรชัย ณ นคร ประธานกรรมการ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เข้าร่วมเสวนา “ประสบการณ์จริงจากการทำ Data Governance เพื่อรองรับกฎหมายใหม่”  

รวมถึงผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐทั้ง 21 หน่วยงาน ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในช่วงการเสวนาจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารทั้งของภาครัฐและเอกขนที่มาร่วมงาน ได้ให้ความสำคัญ และส่วนหนึ่งได้ดำเนินการในเรื่องเหล่านี้แล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมาภิบาลของข้อมูล ซึ่งทริส คอร์ปอเรชั่นหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้จะช่วยจุดประกายและทำให้เกิดการพัฒนาประเทศในด้านธรรมาภิบาลข้อมูล

เครือข่ายแรงงานNT โวย "กสทช." จัดสรรงบ USO 3,500 ล้าน "โทรเวชกรรมถ้วนหน้า" ซ้ำซ้อนโครงการรัฐ ส่อใช้งบผิดวัตถุประสงค์

วันนี้ [ 28 มีนาคม 2566 ] ที่สำนักงาน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ (กสทช.) นายปริวุฒิ บุตรดี เลขาธิการกลุ่มผู้นำแรงงาน NT เดินทางเข้ายื่นหนังสือเพื่อร้องเรียนไปยัง คณะกรรมการ(บอร์ด) กสทช. ขอให้พิจารณาการจัดสรรเงินกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) เพื่อสนับสนุนโครงการจัดให้มีบริการสุขภาพดิจิทัลและโทรเวชกรรมถ้วนหน้า (Universal Telehealth Coverage : UTHC) ในงบประมาณ จำนวน 3,508 ล้านบาท นั้นซ้ำซ้อนกับโครงการของภาครัฐ และไม่สอดคล้องไปตามวัตถุประสงค์ของการใช้เงินกองทุน ที่ต้องให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่ได้รับใบอนุญาตเข้ามาดำเนินการก่อน หากดำเนินการไม่ได้ตามเป้าประสงค์ แล้วค่อยจัดสรรงบไปยังหน่วยงานอื่น

/// จัดสรรงบ 3,500 ล้าน ซ้ำซ้อนภาครัฐ ///

นายปริวุฒิ บุตรดี เลขาธิการกลุ่มผู้นำแรงงาน NT กล่าวว่า โครงการโทรเวชกรรมถ้วนหน้า ที่เสนอเข้ามาให้บอร์ด กสทช.พิจารณาซึ่งใช้ระบบคลาวด์ นั้น อาจจะไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ ของ USO ที่มุ่งเน้นการพัฒนาขยายการบริการและการเข้าถึงบริการโทรคมนาคม แต่ เทเลเฮลท์ (telehealth) เป็นแอป และพัฒนาซอฟแวร์ และซื้อฮาร์ดแวร์ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข วงเงิน 1,514 ล้านบาท ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติไปเมื่อเดือนมกราคม 2566 ที่ผ่านมา โดย ที่ประชุมบอร์ด กสทช.ครั้งล่าสุด จึงได้มีการมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกลับไปทำข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อสร้างความชัดเจนและทำให้กรรมการ กสทช. มีความมั่นใจถึงความซ้ำซ้อนระหว่างโครงการเทเลเมดิซีน (Telemedicine) ที่เสนอขอใช้งบ กทปส. 1,422 ล้านบาท ในช่วง 3 ปี กับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข วงเงิน 1,514 ล้านบาท ซึ่ง ครม. เพิ่งมีมติอนุมัติไปเมื่อไม่นานมานี้ และเห็นว่าทั้ง 2 โครงการมีลักษณะที่ใกล้เคียงกันมาก และมีลักษณะที่ซ้ำซ้อนกับโครงการที่ขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินไปแล้ว เช่น โครงการในลักษณะปฏิบัติการแพทย์ทางไกล หรือโทรเวช 

 

//// เครือข่ายแรงงาน ยัน NT เสียประโยชน์ ///

จากที่โครงการต่างๆ ของกองทุน กทปส.ที่เคยบรรจุและเสนอไว้ในประกาศ กสทช. เรื่อง แผนการจัดการให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคมฉบับที่ 3 ปี 2565 นั้น ได้มีการแจ้งและดำเนินการให้ผู้รับใบอนุญาตมาดำเนินการและเสนอโครงการก่อนหรือไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาตโดยตรง และหากผู้รับใบอนุญาตไม่สามารถดำเนินการได้แล้วนั้น ถึงจะจัดสรรงบไปยังหน่วยงานอื่น ซึ่ง NT ในฐานะหนึ่งในผู้รับใบอนุญาตก็ควรที่จะได้เข้ามามีบทบาทและส่วนร่วมก่อนอนุมัติโครงการดังกล่าวหรือโครงการอื่นๆด้วยหรือไม่ 

ทางกลุ่มเครือข่ายแรงงาน NT จึงขอให้ คณะกรรมการ (บอร์ด) กสทช. ทบทวนขั้นตอนการพิจารณาและการอนุมัติและการกำหนดแผนดำเนินการของกองทุน กทปส.อย่างโปร่งใสและเท่าเทียม รวมถึงให้สอดคล้องกับขั้นตอนและวัตถุประสงค์ตามกฎหมาย โดยเปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคม ได้มีโอกาสร่วมเสนอโครงการหรือนำเงินกองทุน กทปส.ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด