“พายุโซนร้อนบัวลอย” ถล่มฟิลิปปินส์ดับ 3 ราย อพยพกว่า 4 แสนชีวิตหนีตาย

“พายุโซนร้อนบัวลอย” ถล่มฟิลิปปินส์ดับ 3 ราย อพยพกว่า 4 แสนชีวิตหนีตาย

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พายุโซนร้อน “บัวลอย” ซึ่งมีความเร็วลมสูงสุดกว่า 115 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งทางตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ ส่งผลให้ทางการต้องเร่งอพยพประชาชนราว 400,000 คน ในพื้นที่เขตบีโคล ทางตอนใต้ของกรุงมะนิลา

รายงานระบุว่า อิทธิพลของพายุทำให้เกิดฝนตกหนักและลมแรงเป็นบริเวณกว้าง กำแพงบ้านเรือนหลายแห่งพังถล่ม ขณะที่ต้นไม้หักโค่นจำนวนมาก จนสร้างความเสียหายอย่างหนัก ล่าสุดมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 3 ราย

ทั้งนี้ ฟิลิปปินส์เพิ่งเผชิญกับ ซูเปอร์ไต้ฝุ่นรากาซา เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งพัดถล่มทางตอนเหนือของประเทศ สร้างความเสียหายรุนแรงและมีผู้เสียชีวิต 9 ราย ทำให้การรับมือกับพายุครั้งใหม่นี้ยิ่งสร้างความกังวลให้กับทางการและประชาชนในหลายพื้นที่

#พายุโซนร้อนบัวลอย #ฟิลิปปินส์ #ภัยธรรมชาติ #ซูเปอร์ไต้ฝุ่น #ข่าวต่างประเทศ #ข่าววันนี้

“อันวาร์-มาร์กอส จูเนียร์” หารือกระชับสัมพันธ์มาเลเซีย-ฟิลิปปินส์ หนุนความร่วมมืออาเซียน-สันติภาพภูมิภาค

นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่าส่วนตัว "Anwar Ibrahim" ระบุข้อความว่า 

ในการสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์คอส จูเนียร์ของฟิลิปปินส์ในวันนี้ เราได้หารือถึงความพยายามในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีและเพิ่มความร่วมมือในภูมิภาคภายใต้กรอบอาเซียน

การสนทนายังสัมผัสถึงปัญหาด้านความมั่นคงระดับภูมิภาค การพัฒนาเศรษฐกิจ และความต้องการที่จะเสริมสร้างความสามัคคีและความสามัคคีของอาเซียนในการเผชิญหน้ากับความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบัน

เรายังได้หารือถึงการพัฒนาความขัดแย้งของ ประเทศไทย -กัมพูชาและความพยายามร่วมกันที่จะทําเป็นความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค

#MalaysiaMADANI

#RancakkanMADANI

#MADANIbekerja

 

“วิภา”พ่นพิษ“ญวน”ฝนเทกระหน่ำ-“ปินส์”จมบาดาล

ไต้ฝุ่นวิภาพัดขึ้นฝั่งตอนเหนือของเวียดนาม พร้อมลากฝนมาเทกระหน่ำ หลังอิทธิพลพายุทำฝนตกหนักในฟิลิปปินส์ จนทำให้น้ำท่วมสูงฉับพลันบริเวณกว้าง

เมื่อวันที่ 22 ก.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า พายุไต้ฝุ่น “วิภา” ได้พัดเข้าสู่พื้นที่ชายฝั่งระหว่าง จ.ฮึงเอียน และ จ.นิญบิ่ญ ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนามแล้ว ด้วยขนาดความเร็วลมสูงสุด 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อวันอังคารนี้

โดยศูนย์พยากรณ์อุตุนิยมวิทยาและอุทกศาสตร์แห่งชาติเวียดนาม ได้ประกาศให้พื้นที่จังหวัดชายฝั่งทางตอนเหนือเฝ้าระวังสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังอิทธิพลพายุทำให้เกิดฝนตกหนัก และจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมสูงฉับพลันและดินถล่ม พร้อมให้สายการบินต่างๆ ในประเทศยกเลิกเที่ยวบิน

รายงานข่าวแจ้งว่า สะพานแขวนแห่งหนึ่งใน จ.เดียนเบียน ได้รับความเสียหายบางส่วนจากแรงพายุ นอกจากนี้ ผลกระทบจากพายุลูกดังกล่ว ยังทำให้ไฟฟ้าดับเป็นบริเวณกว้าง รวมถึงทำให้พื้นที่เกษตรได้รับความเสียหายหลายแห่ง

ขณะเดียวกัน ทางด้านสถานการณ์ในฟิลิปปินส์ ซึ่งถูกพายุไต้ฝุ่นวิภาพัดถล่มในพื้นที่ตอนเหนือ เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า ปรากฏว่า อิทธิพลพายุก่อให้เกิดฝนตกหนัก ซ้ำเติมจากเหตุฝนตกหนักในช่วงฤดูมรสุม ทำให้เกิดน้ำท่วมสูงฉับพลันเป็นบริเวณกว้าง รวมถึงในกรุงมะนิลา เมืองหลวงของประเทศ และพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง โดยหลายพื้นที่น้ำท่วมสูงถึงเอว สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนไม่น้อยกว่า 8 แสนคน

“พิชัย” ดันประชุมการค้าไทย–ฟิลิปปินส์ครั้งแรกปี 68 ลุยเพิ่มส่งออกข้าว–เร่งปิดดีลเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน

“พิชัย” ดันประชุมการค้าไทย–ฟิลิปปินส์ครั้งแรกปี 68 ลุยเพิ่มส่งออกข้าว–เร่งปิดดีลเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน

วันที่ 10 มิถุนายน 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับนางมิลลิเซนต์ ครุซ-ปาเรเดส เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2568 ณ กระทรวงพาณิชย์ ว่า ฟิลิปปินส์จะรับหน้าที่เจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการร่วมการค้าไทย-ฟิลิปปินส์ (Joint Trade Committee) ครั้งแรกในปี 2568 ถือเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือด้านเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในสาขาสินค้าเกษตรและอาหาร พลังงานหมุนเวียน การท่องเที่ยว เศรษฐกิจดิจิทัล MSMEs และผลิตภัณฑ์ฮาลาล ตลอดจนการส่งเสริมกิจกรรมเชื่อมโยงภาคเอกชน เพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ทางการทูต 76 ปีระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์

ขณะเดียวกันไทยได้เชิญชวนให้ฟิลิปปินส์เพิ่มการนำเข้าข้าวจากไทย พร้อมยืนยันความพร้อมในการส่งออกข้าวหลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคฟิลิปปินส์ อีกทั้งขอบคุณฟิลิปปินส์ที่อนุมัติการนำเข้าเนื้อไก่ดิบและเนื้อเป็ดดิบจากไทย โดยไทยพร้อมเป็นแหล่งผลิตอาหารที่มีคุณภาพและมาตรฐาน เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารร่วมกันในระยะยาว และเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังได้เชิญผู้ประกอบการฟิลิปปินส์เข้าร่วมกิจกรรม “Think Rice, Think Thailand” ในงาน World Food Expo (WOFEX) 2025 ซึ่งจะจัดขึ้น ณ กรุงมะนิลา ในเดือนสิงหาคม เพื่อขยายเครือข่ายทางธุรกิจและช่องทางการค้าระหว่างกัน

โดยในช่วงหารือ รัฐมนตรีพิชัยยังได้แลกเปลี่ยนมุมมองต่อประเด็นภูมิรัฐศาสตร์โลก โดยเฉพาะกรณีมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่มีผลต่อการค้าโลก โดยไทยและฟิลิปปินส์เห็นพ้องกันถึงความสำคัญของบทบาทอาเซียนในการรักษาความเป็นกลางและสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี ไม่ใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า ทั้งสองฝ่ายยังหารือแนวทางการเจรจากับสหรัฐฯ และเห็นพ้องร่วมกันผลักดันให้ความตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) สามารถสรุปผลภายในปีนี้ เพื่อยกระดับความสามารถการแข่งขัน ดึงดูดการลงทุน และเชื่อมโยงเศรษฐกิจในภูมิภาคให้ไร้รอยต่อยิ่งขึ้น

สำหรับภาพรวมการค้าระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ในปี 2567 มีมูลค่ารวม 10,980.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยส่งออก 7,768.81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้า 3,212.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 4,556.72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.–เม.ย.) การค้ารวมมีมูลค่า 3,499.73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวขึ้น 1.22% โดยไทยส่งออก 2,451.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.07% ขณะที่การนำเข้าจากฟิลิปปินส์มีมูลค่า 1,048.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 4.89% 

#กระทรวงพาณิชย์ #ข่าววันนี้ #ฟิลิปปินส์ #ดิจิทัล #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ภาษีทรัมป์

 

บี.กริม เพาเวอร์ ลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 65 เมกะวัตต์ในฟิลิปปินส์ ตั้งเป้ากดปุ่ม COD ไตรมาสแรกปี 2570

B.Grimm Solar Power Inc. บริษัทย่อยที่บี.กริม เพาเวอร์ ถือหุ้น 100% ได้เข้าลงทุนโดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน Caronsi Solar Energy Corporation ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อการพัฒนาและดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้ง 65 เมกะวัตต์ โดย B.Grimm Solar Power Inc. ถือหุ้นในสัดส่วน 97% ของหุ้นที่ออกทั้งหมด โดยมีมูลค่าการลงทุน 200 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ (เทียบเท่ามูลค่าประมาณ 118.52 ล้านบาท) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2570

วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ดังกล่าวตั้งอยู่ที่เมือง Tuguegarao จังหวัด Cagayan ทางตอนเหนือของเกาะ Luzon สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยได้รับสิทธิในการจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นระยะเวลา 25 ปี (สามารถต่ออายุได้) ภายใต้สัญญา Solar Energy Operating จาก Department of Energy ของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รวมถึงมีสิทธิการเช่าที่ดินระยะยาวเป็นเวลา 25 ปี (สามารถต่ออายุได้) โดยได้รับการอนุมัติและรับใบอนุญาตครบถ้วนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ โครงการยังได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการ “BOI Green Lane” มาตรการสนับสนุนจากรัฐบาล ซึ่งช่วยเร่งรัดกระบวนการอนุมัติและออกใบอนุญาตต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมในการเข้าสู่ขั้นตอนก่อสร้างและดำเนินการโครงการ ซึ่งถือเป็นโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่โครงการที่ 2 ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ของ บี.กริม เพาเวอร์ 

โดยจากความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นต่อเนื่องในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ การลงทุนในครั้งนี้จึงถือเป็นการวางกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนภาคพลังงานสะอาด และขยายการลงทุนของ บี.กริม เพาเวอร์ ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนตามแนวโน้มการใช้พลังงานที่เกิดขึ้นทั่วโลก ตลอดจนเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนของบริษัทให้สอดคล้องกับแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลก ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจ พร้อมผลักดันเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ระยะยาวให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง ตามยุทธศาสตร์ GreenLeap-Global and Green ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่มุ่งยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจระดับโลกกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานทดแทน และผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลก 

ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนมากกว่า 50% เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวและยังเป็นการขยายความร่วมมือทางธุรกิจเพื่อสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจ มุ่งสู่เป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้า 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 และก้าวสู่เป้าหมายองค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net-Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593 

 

กรมพัฒน์ อุ่นเครื่องเยาวชนทีมชาติ ช่างฝีมือไทยสู้ศึก WorldSkills ASEAN 2025 ที่ฟิลิปปินส์

กรมพัฒน์ อุ่นเครื่องเยาวชนทีมชาติ ช่างฝีมือไทยสู้ศึก WorldSkills ASEAN 2025 ที่ฟิลิปปินส์

นายสมชาติ สุภารี รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน  เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเตรียมความพร้อมก่อนเก็บตัวฝึกซ้อมของเยาวชนที่เข้าร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 14 โดยมี ผู้บริหารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เยาวชน ผู้เชี่ยวชาญด้านการแข่งขันฝีมือแรงงานร่วมในพิธีดังกล่าว ณ โรงแรมไพน์เฮิร์สท กอล์ฟ คลับ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

นายสมชาติ สุภารี รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยหลังจากพิธีดังกล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลไทยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้มีสมรรถนะสูงซึ่งการแข่งขันฝีมือแรงงานเป็นกลไกการพัฒนาที่ตอบโจทย์การพัฒนาทักษะดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การจ้างงาน นอกจากการพัฒนาทักษะด้านเทคนิค (technical skills) การแข่งขันยังสร้างเสริมให้ผู้เข้าแข่งขันเป็นผู้รอบรู้ มีทักษะและสมรรถนะที่สมดุล ทั้งการสื่อสาร การแก้ไขปัญหา การบริหารจัดการเวลา และการปฏิบัติงานภายใต้สภาวะกดดัน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการแข่งขันฝีมือแรงงานตามรูปแบบขององค์การการแข่งขันฝีมือแรงงานนานาชาติ โดยการสัมมนาครั้งนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 15 พฤษภาคม 2568  ผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย เยาวชนที่จะเก็บตัวฝึกซ้อม ผู้เชี่ยวชาญ ล่ามและหัวหน้าทีมผู้แข่งขัน ที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่ 14 รวมจำนวน 78 คน เพื่อได้รับทราบกฎการแข่งขัน บทบาทของผู้แข่งขัน และผู้เชี่ยวชาญ การตรวจให้คะแนนในการแข่งขัน การรับมือกับความกดดัน การแลกเปลี่ยนและถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ การสร้างแรงบันดาลใจ และการรับมือภายใต้ภาวะความกดดันสูง ก่อนที่จะเข้าร่วมการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน (WorldSkills ASEAN Competition 2025)  ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 21 - 31 สิงหาคม  2568 ณ ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้าเวิร์ลเทรด เซ็นเตอร์ เมโทร กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์

นายสมชาติ กล่าวต่อไปว่า กรมได้ร่วมกับพันธมิตรภาครัฐ และภาคเอกชนจัดส่งเยาวชน และผู้เชี่ยวชาญตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 17 สาขา ประกอบด้วย  1.สาขาการสร้างโมเดลในเกมสามมิติ 2. สาขาหุ่นยนต์เคลื่อนที่ (ประเภททีม) 3. สาขาเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าภายในอาคาร 4.สาขาแต่งผม 5.สาขาเมคคาทรอนิกส์ (ประเภททีม) 6.สาขาเทคโนโลยีระบบทำความเย็น 7. สาขาการปูกระเบื้อง 8. สาขาเทคโนโลยีงานเชื่อม 9.สาขาเทคโนโลยีเว็บ 10.สาขาอุตสาหกรรม 4.0 (ประเภททีม) 11.สาขาการบำรุงรักษาเครื่องจักรกล CNC (ประเภททีม) 12. สาขาไม้เครื่องเรือน  13. สาขาการประกอบอาหาร 14. สาขาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (ประเภททีม) 15.สาขากราฟิกดีไซน์ 16.สาขาการเขียนแบบวิศวกรรมเครื่องกลด้วยคอมพิวเตอร์ และ 17. สาขาการบริการอาหารและเครื่องดื่ม  ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเยาวชนไทย จะสามารถคว้ารางวัล และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศต่อไป 

COCOCO เผย Q1/68 รายได้ 1,550.55 ล้าน โต 10.94% เดินหน้าแผนลงทุน ตปท.-ก่อสร้างโรงงานใหม่ในฟิลิปปินส์

บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ COCOCO เผยไตรมาส 1/2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,550.55 ล้านบาท เติบโต 10.94% พร้อมเดินหน้าแผนลงทุนต่างประเทศ ทุ่ม 430 ล้านบาท ลงทุนขยายกำลังการผลิตในฟิลิปปินส์ รองรับความต้องการในตลาดอเมริกาและยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย โคโคนัท จำกัด (มหาชน) หรือ “COCOCO” เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลประกอบการของบริษัทและบริษัทย่อย ตามงบการเงินรวมในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,550.55 ล้านบาท เติบโต 10.94% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยเติบโตจากการขายและบริการของผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวตามการเติบโตของตลาดเครื่องดื่มและความต้องการบริโภคน้ำมะพร้าวที่เพิ่มขึ้น และจากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง

นอกจากนี้ บริษัทฯ สามารถขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและเพิ่มยอดขายจากลูกค้าทั้งภายในประเทศและต่างประเทศได้มากขึ้น โดยการเติบโตของรายได้ส่วนใหญ่มาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคอเมริกาและภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า บริษัทฯ มีรายได้รวมปรับตัวลดลง 11.71% ซึ่งเป็นผลจากปัจจัยด้านฤดูกาลของธุรกิจเครื่องดื่ม โดยช่วงไตรมาสที่ 1 มักเป็นช่วง Low Season ทำให้ยอดสั่งซื้อจากลูกค้าในบางตลาดปรับลดลงชั่วคราว และจะมีการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อในช่วงไตรมาสถัดไปที่เป็นช่วง High Season ของธุรกิจเครื่องดื่ม

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นของรายได้จากการขายและบริการ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 17.99% ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 26.66% แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นเท่ากับ 17.52%

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เท่ากับ 64.86 ล้านบาท โดยเป็นผลชั่วคราวจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กะทิที่เพิ่มขึ้นในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้อยู่ในช่วง Low Season ของธุรกิจเครื่องดื่ม ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนีโญ (El Niño) นอกจากนี้ รายได้จากผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวและกะทิที่ลดลงตามฤดูกาล ซึ่งเป็นช่วง Low Season ของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่ม

ดร.วรวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ ได้มีการลงทุนในประเทศฟิลิปปินส์ มูลค่าประมาณ 430 ล้านบาท เพื่อรองรับการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์กะทิและมะพร้าว ให้สอดคล้องกับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น และตอบสนองต่อยอดคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศฟิลิปปินส์ ภายใต้ชื่อ “Novococonut Inc.” โดยมีทุนจดทะเบียนจำนวน 60 ล้านเปโซฟิลิปปินส์ และบริษัทฯ จะถือหุ้นในสัดส่วน 100% ซึ่งการลงทุนในโครงการดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในการเสริมความแข็งแกร่งด้านศักยภาพการผลิต เพื่อรองรับความต้องการของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีการเติบโตของอุปสงค์ในผลิตภัณฑ์จากมะพร้าวและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในอัตราที่สูง สอดคล้องกับเทรนด์การบริโภคของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสินค้าจากธรรมชาติและความยั่งยืน

โดยการตัดสินใจลงทุนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้บริษัทฯ สามารถตอบสนองต่อคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล โดยเฉพาะในตลาดที่มีมาตรฐานการผลิตและข้อกำหนดด้านคุณภาพที่เข้มงวด เช่น สหรัฐฯ และยุโรป ซึ่งการมีฐานการผลิตที่มีศักยภาพสูงใกล้แหล่งวัตถุดิบสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน และเสริมสร้างความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ให้กับ COCOCO อย่างยั่งยืนในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น การขยายกำลังการผลิตในครั้งนี้ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นการเติบโตควบคู่ไปกับการขยายตลาดใหม่ๆ และการสร้างความมั่นคงให้กับระบบการผลิตในระดับนานาชาติ โดยคาดว่าผลบวกจากการลงทุนนี้จะช่วยหนุนรายได้และอัตรากำไรของบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ทั้งในมิติเชิงปริมาณและคุณภาพ

 

 

 

ภูเขาไฟคันลาออน ฟิลิปปินส์ ปะทุ พ่นเถ้าถ่านสูง 3 กม. ประกาศเตือนภัยระดับ 3

วันที่ 13 พ.ค.68 สถาบันภูเขาไฟและแผ่นดินไหววิทยาแห่งฟิลิปปินส์ (PHIVOLCS) รายงานว่า เมื่อเวลา 02.55 น. ตามเวลาท้องถิ่น ภูเขาไฟคันลาออน (Kanlaon) จังหวัดคันลูรังเนโกรส เกิดการปะทุขึ้น การปะทุดังกล่าวส่งเถ้าถ่านพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงประมาณ 3 กิโลเมตร นานถึง 5 นาที พร้อมเถ้าภูเขาไฟปกคลุมหมู่บ้านโดยรอบ สร้างผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียง

ทางการฟิลิปปินส์ ประกาศยกระดับเตือนภัยภูเขาไฟคันลาออนไปที่ระดับ 3 จากทั้งหมด 5 ระดับ ซึ่งหมายถึงมีความเสี่ยงการปะทุรุนแรงเพิ่มขึ้น ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเพิ่มความระมัดระวัง และปฏิบัติตามคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด

"สตม." ตามรวบหนุ่มฟิลิปปินส์ ชีวิตติดหรู ตระเวนชักดาบโรงแรม 5 ดาวหลายแห่ง เสียหายหลายแสน

พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม, พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข และ พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. ได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดยกระดับการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม โดยเฉพาะความผิดที่เกี่ยวกับคนเข้าเมือง และชาวต่างชาติที่มีลักษณะเป็นอาชญากร เป็นสมาชิกองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือได้กระทำความผิดตามกฎหมาย ซึ่งเป็นความรับผิดชอบหลักของ สตม. โดยที่ผ่านมา พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผู้บังคับการ ตรวจคนเข้าเมือง 1 พร้อมด้วย พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รองผู้บังคับการฯ รับผิดชอบงานตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานครได้รับแจ้งข้อมูลร้องเรียนและเบาะแสที่น่าสนใจ           

จากโรงแรมระดับ 5 ดาว หลายแห่งในพื้นที่กรุงเทพหานครเกี่ยวกับพฤติกรรมของชายชาวฟิลิปปินส์รายหนึ่ง ซึ่งตระเวณก่อเหตุออกอุบายหลอกพนักงานโรงแรม เพื่อเข้าพักโดยไม่ชำระค่าที่พักและอาหาร โดยพบมีการกระทำความผิดต่อเนื่อง ก่อเหตุหลายครั้ง หลายพื้นที่ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย จึงได้สั่งการให้ ว่าที่ พ.ต.อ.พลสิทธิ์ สุทธิอาจ ผกก.สืบสวน บก.ตม.1, พ.ต.ท.สุริยะ พ่วงสมบัติ รองผู้กำกับการสืบสวนฯ พร้อมชุดปฏิบัตินำโดย พ.ต.ท.ทวีทรัพย์ ชัยภูมิ และ พ.ต.ท.ธงไทย ไพเราะ สว.กก.สืบสวน บก.ตม.1 เรียกประชุมชุดสืบสวนในการลงพื้นที่สืบสวน หาข่าว เพื่อจับกุมคนร้ายรายนี้ต่อไป

โดยพฤติการณ์ในการก่อเหตุของคนร้ายรายนี้ ย้อนไปเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2567 ผู้จัดการโรงแรมชื่อดังระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เกี่ยวกับพฤติกรรมของชายชาวฟิลิปปินส์รายหนึ่ง ที่ได้ก่อเหตุหลอกพนักงานโรงแรม เพื่อเข้าพักโดยไม่ชำระค่าที่พักและอาหาร โดยแผนประทุษกรรมของคนร้ายมีความแยบยล กล่าวคือ คนร้ายจะทำการจองห้องพักผ่านช่องทางออนไลน์ในแพลตฟอร์มชื่อดัง จำนวน 4 - 5 คืน โดยในขั้นตอนการจองจะมีการกรอกเลขบัตรเครดิตไว้ ซึ่งระบบจะทำการหักเงินจริงเมื่อมีการนำบัตรมารูดชำระที่โรงแรม โดยทุกครั้งที่ทำการจอง คนร้ายจะเลือกจองห้องพักพร้อมกับรถลิมูซีนรับจากสนามบินจำนวน 2 คัน โดยแจ้งว่าตนจะพักอาศัยกับบิดา โดยในรายละเอียดการจอง จะให้รถลิมูซีนคันแรก มารับตัวคนร้ายก่อน ส่วนรถอีกคันจะระบุให้มารับบิดาของคนร้ายในอีกวันหนึ่ง จากนั้นคนร้าย ซึ่งจากการสืบสวนภายหลัง ทราบว่ามิได้เดินทางลงจากเครื่องบินเข้ามาในประเทศแต่อย่างใด เนื่องจากพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้ว แต่แสร้งโดยสารรถสาธารณะมุ่งหน้าไปขึ้นรถลิมูซีนจากสนามบิน เพื่อมาเช็คอินตามที่จองไว้ เมื่อมาถึงโรงแรมได้ลงทะเบียนเข้าเข้าพัก คนร้ายออกอุบายว่าเอกสารหนังสือเดินทางและเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่คนเป็นพ่อซึ่งอยู่รถคันที่ 2 ที่จะตามมาเลยขอให้โรงแรมอนุญาตให้พักและกินใช้ก่อนส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนเป็นพ่อจะเป็นคนชำระเอง โดยอาศัยฉวยโอกาสจากมาตรฐานการบริการลูกค้าของโรงแรมระดับชั้นนำ อีกทั้งเมื่อโรงแรมตรวจสอบในระบบก็พบว่ามีการจองรถคันที่ 2 ไว้อีกวันหนึ่ง ซึ่งจะต้องไปรับแขกอีกท่านมาที่โรงแรมจริง จึงหลงเชื่อยอมให้เข้าพักไปก่อน เมื่อคนร้ายได้รับอนุญาตให้เข้าพัก ก็จะมีการสั่งอาหาร และใช้บริการ room service ต่างๆของโรงแรมอย่างเต็มที่ โดยระบุให้ลงบิลค่าใช้จ่ายรวมเข้ากับค่าห้องพัก นอกจากนี้จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่าในการก่อเหตุบางแห่ง จะมีการชักชวนเพื่อน 2-3 คน มาร่วมรับประทานอาหารและสังสรรค์ในห้องพักด้วย จนกระทั่งถึงกำหนดวันและเวลาที่แจ้งว่ารถลิมูซีนคันที่ 2 ต้องมารอรับบิดาของคนร้ายจากสนามบิน ก็ไม่ปรากฏพบบิดาตามที่แจ้ง ในเช้าวันถัดมา เมื่อทางโรงแรมเข้าทำความสะอาดก็ไม่พบทรัพย์สินของมีค่าของคนร้าย จึงพยายามติดต่อ แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ในทุกช่องทาง ทางโรงแรมได้รับความเสียหายจึงมาแจ้งความร้องทุกข์ ซึ่งจากเหตุดังกล่าว ต่อมาในช่วงต้นปี 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองชุดสืบสวน ก็ได้รับรายงานพบเหตุลักษณะเดิมอีกครั้งที่โรงแรมย่านการค้าธุรกิจ กรุงเทพมหานครชั้นใน และล่าสุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ พบความผิดลักษณะดังกล่าวที่โรงแรมหรู ในย่านชิดลม ซึ่งมีผู้จัดการโรงแรมเข้าแจ้งความร้องทุกข์เกี่ยวกับเหตุในลักษณะเดียวกัน จึงเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเป็นแผนการและกลอุบายของคนร้ายคนเดียวกัน ที่ตั้งใจก่อเหตุซ้ำๆ หลายท้องที่ หลายช่วงเวลา แต่มีแผนประทุษกรรมคล้ายกันทั้งหมด จึงเริ่มกระบวนการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน จนทราบว่าคนร้ายมิใช่นักท่องเที่ยวแต่อย่างใด แต่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังย่านรังสิต ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้นำข้อมูลจากการสืบสวน ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหารายนี้

ต่อมา ในวันที่ 25 เมษายน 2568 เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองชุดสืบสวน ได้ลงพื้นที่โดยรอบมหาวิทยาลัยดังกล่าว เนื่องจากได้ข้อมูลจากการสืบสวนจนทราบว่า ผู้ต้องหาตามหมายจับรายนี้กำลังเดินทางออกจากมหาวิทยาลัย เพื่อกลับมาพักอาศัยอยู่ในห้องพัก ใกล้กับมหาวิทยาลัย ในช่วงเวลาเย็น เจ้าหน้าจึงไปดักรอจับกุมบุคคลตามหมายจับกุม ทราบชื่อคือนายเลโอนาร์โด เฮอร์นันเดซ (นามสมมติ) สัญชาติ ฟิลิปปินส์ อายุ 26 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้ผู้ถูกจับตรวจสอบ ชื่อ วันเดือนปีเกิด และภาพถ่ายโดยเจ้าหน้าที่ได้แสดงหมายจับศาลแขวงพระนครใต้ ซึ่งคนร้ายต้องหาว่า “โดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ” ควบคุมตัวผู้ถูกจับส่ง พนักงานสอบสวน สน.ยานนาวา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

เดือดจัด! ภูเขาไฟคันลาออนในฟิลิปปินส์ปะทุ พ่นเถ้าถ่านสูง 4 พันเมตร 

ภูเขาไฟคันลาออนในฟิลิปปินส์ปะทุ พ่นเถ้าถ่านสูง 4 พันเมตร 

วันที่ 8 เมษายน 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ภูเขาไฟคันลาออน ปะทุเมื่อมองจากหมู่บ้านใน La Castellana จังหวัด Negros Occidental ตอนกลางของประเทศฟิลิปปินส์ ภูเขาไฟในตอนกลางของประเทศ ปะทุเมื่อเช้าตรู่ของวันที่ 8 เมษายน 2568 ส่งผลให้มีกลุ่มเถ้าถ่านพุ่งสูงขึ้นไปในอากาศ 4,000 เมตร (2.5 ไมล์) โดยกลุ่มควันเหล่านั้นลอยไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ขณะนี้ทางการยังคงเตือนภัยที่ระดับ 3 ซึ่งมีโอกาสที่ภูเขาไฟจะปะทุขึ้นอีกพร้อมกับเรียกร้องให้ประชาชนที่อยู่ใกล้ภูเขาไฟเฝ้าระวังและหลีกเลี่ยงพื้นที่ในรัศมี 4 กิโลเมตรที่ถูกประกาศเป็นเขตอันตรายถาวร 

#ภูเขาไฟ #ข่าววันนี้ #แผ่นดินไหว #ฟิลิปปินส์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์