การเคหะแห่งชาติ ออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือเยียวยาลูกบ้านในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ได้รับการยกเว้นค่าเช่า-พักชำระหนี้

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ ย้ำบทบาทเชิงรุกในการดูแลพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งขณะนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณแนวชายแดนที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน

วันที่ 4 ส.ค.68 นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า การเคหะแห่งชาติพร้อมยืนเคียงข้างประชาชนในยามวิกฤติ ด้วยมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย และส่งเสริมความมั่นคงในการดำรงชีวิตของผู้ได้รับผลกระทบมาตรการเร่งด่วนให้ลูกบ้านของการเคหะแห่งชาติใน 7 จังหวัดชายแดน ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ตราด จันทบุรี และสระแก้ว ครอบคลุมความช่วยเหลือหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1. ยกเว้นค่าเช่ารายย่อยและเช่าจัดประโยชน์สำหรับลูกค้าการเคหะแห่งชาติ ฟรีค่าเช่า 3 เดือน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2568 รวมถึงยกเว้นค่าปรับ 100% สำหรับผู้ที่มาชำระหนี้ค้าง ในช่วงเวลาดังกล่าว 2. พักชำระหนี้กลุ่มเช่าซื้อ ลูกค้าเช่าซื้ออาคารของการเคหะแห่งชาติในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับสิทธิพักชำระค่าเช่าซื้อ 3 เดือน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2568 พร้อมยกเว้นค่าปรับ 100% กรณีที่มาชำระหนี้ค้างเช่นเดียวกัน 3. สนับสนุนการยังชีพ การเคหะแห่งชาติได้จัดเตรียมถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ลูกค้าที่พักอาศัยในโครงการของการเคหะแห่งชาติในพื้นที่ชายแดน  2) กลุ่มเปราะบางที่อยู่ในโครงการ 3) ผู้ที่อพยพเข้ามาพักอาศัยกับญาติในโครงการเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าว

นายทวีพงษ์ กล่าวว่า “มาตรการนี้สะท้อนถึงภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์โดยการเคหะแห่งชาติในการยืนเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะช่วงเวลาวิกฤติ เพื่อให้ทุกคนมีความมั่นคงในการอยู่อาศัย และได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ทั้งผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง และผู้ที่มีจิตอาสาช่วยเหลือผู้อื่นในชุมชนเดียวกัน” ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลัง ทั้งด้านที่อยู่อาศัย การยังชีพและการฟื้นฟูชุมชนในระยะยาว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานการเคหะแห่งชาติในพื้นที่ หรือโทรสายด่วน 1615

#การเคหะแห่งชาติ #เยียวยา #ทหารไทยปะทะกัมพูชา #พักชำระหนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

เกษตรกรเฮ! ธกส.ประจวบคีรีขันธ์สนองนโยบายรัฐ จัดพักชำระหนี้ 3 ปี ฟรีดอกเบี้ย

วันที่ 11 ก.พ.68 นายจักรพันธ์ ม่วงแก้ว รักษาการผู้อำนวยการสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า สำนักงาน ธ.ก.ส.ได้ดำเนินการจัดโครงการตามมาตรการพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐบาลให้กับลูกหนี้รายย่อยของธนาคารเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลูกค้าจะต้องสมัครเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้และฝึกอาชีพที่ทาง ธกส.เข้าไปดำเนินการส่งเสริม เพื่อจะได้มีอาชีพเสริมในระหว่างการพักหนี้ 3 ปี โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ซึ่งรัฐจะเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยให้ทั้งหมด โดยในวันที่ 10 ที่ผ่านมาทางสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดประจวบได้จัดให้มีการอบรมให้ความรู้และฝึกอาชีพให้กับลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการจำนวนกว่า 50 คน ซึ่งภาพรวมทั้งจังหวัดมีผู้ที่สมัครเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1,500 ราย ภายใต้หลักการตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ 3 ลด 3 สร้าง

นอกจากนี้ ทางธนาคารยังได้จัดมหกรรมเปิดตลาด go green in love fair จำหน่ายสินค้าอาหารเกษตรปลอดภัย โดยได้ร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนำสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดมาร่วมจำหน่ายให้กับประชาชนและเกษตรกรลูกค้าธนาคาร ธกส. รวมถึงสินค้าเกษตรปลอดภัยจากชาวสวนชาวไร่มากกว่า 10 ร้านค้า ที่บริเวณลานด้านข้างสำนักงาน ธ.ก.ส.สาขาอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ พร้อมทั้งจัดแสดงให้ความรู้แนะนำพลังงานทางเลือกจากสำนักงานพลังงานจังหวัด ให้คำแนะนำไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยศาลจังหวัดประจวบ และแนะแนวด้านอาชีพเกษตรให้กับเยาวชนนักเรียนที่สนใจอีกด้วย

นายจักรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดกิจกรรมในวันนี้ เป็นกิจกรรมส่งมอบความรัก ด้วยสินค้าเกษตรอาหารปลอดภัย ตลาดโก กรีน อิน เลิฟ แฟร์ (Go Green In Love Fair) เพื่อเป็นการสร้างพื้นที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรชาวสวนได้นำสินค้าเกษตรปลอดภัยมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภคโดยตรง ส่วนกิจกรรมอบรมให้ความรู้ฟื้นฟูทางด้านอาชีพให้กับลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้กับ ธ.ก.ส.เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ 2 โดยภาพรวมทั้งประเทศรุ่นละ 3 แสนราย โดยในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์มีเกษตรกรที่สมัครเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ในปีนี้รวมจำนวนรุ่นละไม่ต่ำกว่า 1500 ราย โดยจะเป็นการฝึกอบรมแนะนำด้านอาชีพโดยทาง ธ.ก.ส.จะมีทุนในการประกอบอาชีพส่วนหนึ่งให้ลูกค้า ธ.ก.ส.ที่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ไปทดลองประกอบอาชีพแล้วขายสร้างรายได้ หากลูกค้าท่านใดที่ประสบความสำเร็จและสนใจที่จะต่อยอดอาชีพก็สามารถมากู้เงินกับ ธ.ก.ส.ไปเป็นทุนต่อยอดอาชีพได้รายละไม่เกิน 100,000 บาท

"SAM" ห่วงลูกค้าประสบภันน้ำท่วมภาคใต้ ออกมาตรการช่วยเหลือ พักชำระหนี้เงินต้น ลดดอกเบี้ย 50% นาน 4 เดือน  

SAM ห่วงใยลูกค้าประสบอุทกภัยภาคใต้ ออกมาตรการช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อน พักชำระหนี้เงินต้น ลดดอกเบี้ย 50% นาน 4 เดือน  

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.67 นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมในหลายพื้นที่ของจังหวัดภาคใต้ ส่งผลกระทบต่อประชาชน และผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก ดังนั้น SAM ในฐานะหน่วยงานภาครัฐ จึงออกมาตรการช่วยเหลือ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและคลายความกังวลใจให้กับลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ ที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระตามสัญญา และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม ได้แก่ มาตรการพักชำระหนี้เงินต้น และ ชำระดอกเบี้ยใหม่ในอัตรา 50% เป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้– 30 ธ.ค.2567

ทั้งนี้ SAM พร้อมช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม เพื่อให้ฟื้นตัวกลับมาใช้ชีวิต และดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ โดยลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการ เมื่อยื่นเรื่องและส่งเอกสารครบ สามารถตรวจสอบและทราบผลการพิจารณาได้ภายใน 7 วันทำการ เพื่อเข้าสู่มาตรการผ่อนผันชำระหนี้ได้ทันที อย่างไรก็ตาม หากครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผันการชำระหนี้ แต่ยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดไว้ ลูกค้าสามารถติดต่อขอเจรจา เพื่อหาแนวทางอื่นที่เหมาะสมร่วมกัน

สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย แต่ประสบปัญหาในการผ่อนชำระหนี้ SAM ยังมีมาตรการบรรเทาและช่วยเหลือลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ โดยเปิดโอกาสลูกค้า NPL ประเภทสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อธุรกิจ SME เข้ามาเจรจาและปรึกษา ผ่านโครงการ “SAM ปรับหนี้มีสุข” พร้อมรับสิทธิ์พิเศษ เช่น ชำระหนี้แบบปิดบัญชีภายในระยะเวลา 6 เดือน จะได้รับยกเว้นดอกเบี้ยใหม่ทั้งหมด หรือหากเลือกแบบผ่อนชำระ ผ่อนได้นานสูงสุดถึง 6 ปี ได้รับอัตราดอกเบี้ยใหม่ 0% นานสูงสุด 6 เดือน เงื่อนไขเป็นไปตามที่ SAM กำหนดไว้

ขณะที่ กลุ่มลูกค้าบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย (NPL) ค้างชำระเกินกว่า 120 วัน (ตามรายงานเครดิตบูโร ณ เดือนปัจจุบันมีสถานะค้างชำระตั้งแต่ 121-150 วัน ขึ้นไป) สามารถเข้าร่วม “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” รับอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนเพียงร้อยละ 3-5 ต่อปี และผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี โดยมี 3 ทางเลือกคือ 1.ผ่อนชำระไม่เกิน 4 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี 2.ผ่อนชำระนานกว่า 4 ปี ไม่เกิน 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปี 3.ผ่อนชำระนานกว่า 7 ปี ไม่เกิน 10 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี คุณสมบัติของผู้สมัครคือ เป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้ มีอายุไม่เกิน 70 ปี มียอดหนี้รวมกันไม่เกิน 2 ล้านบาท

“SAM สนับสนุนประชาชนและภาคธุรกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการ “SAM ปรับหนี้มีสุข” พร้อมช่วยเหลือลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ของ SAM ให้เดินหน้าต่อไปได้ รวมถึงกลุ่มลูกค้าบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันที่มีสถานะเป็นหนี้เสีย (NPL) ค้างชำระเกินกว่า 120 วัน ผ่าน “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ด้วยอัตราดอกเบี้ยและข้อเสนอที่เป็นธรรม สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาอย่างเต็มที่ เพื่อกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง”นางสาวนารถนารีกล่าว

โดยลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ NPL ของ SAM สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1443 หรือ 02-686-1800 เว็บไซต์ www.sam.or.th รวมทั้งช่องทาง Facebook SAM บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท ส่วนลูกค้าที่เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสดและสินเชื่อส่วนบุคคล สามารถสมัครเข้าร่วม “โครงการคลินิกแก้หนี้ by SAM” ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์ www.คลินิกแก้หนี้.com หรือ แอดไลน์ @debtclinicbysam และ Facebook คลินิกแก้หนี้ by SAM รวมทั้ง Call Center 1443 หรือ walk-in เข้าไปที่สำนักงานคลินิกแก้หนี้ที่ชั้น 4 ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว รัชโยธิน (โซนลิฟท์แก้ว) ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ (BTS สถานีรัชโยธิน) เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น.

#SAM #น้ำท่วมภาคใต้ #พักชำระหนี้ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ 


                       

 

 

 

ครม.อนุมัติมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อย 1.8 ล้านรายตามนโยบายรัฐบาล ระยะที่ 2-3

ครม.อนุมัติมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรรายย่อย 1.8 ล้านรายตามนโยบายรัฐบาล ระยะที่ 2-3

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล (มาตรการพักชำระหนี้ฯ) ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 รวมถึงการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ผู้ที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ดังกล่าวภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” โดยมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการพักชำระหนี้ฯ ระยะที่ 1 ภายใต้มาตรการพักชำระหนี้เกษตรกรระยะเวลา 3 ปี และเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินนโยบายตามคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ที่รัฐบาลมีนโยบายเร่งด่วนในการผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบ

โดยเกษตรกรลูกหนี้ ธ.ก.ส.ที่แสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ฯ ระยะที่ 1 จำนวน 1,855,433 ราย ต้นเงินคงเป็นหนี้รวม จำนวน 240,836 ล้านบาท ได้รับสิทธิ์ในการพักชำระหนี้ฯ ระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 และระยะที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 โดย ธ.ก.ส. จะประเมินศักยภาพและความสามารถในการชำระหนี้ (Loan Review : LR) ของลูกหนี้เพื่อเข้าสู่มาตรการพักชำระหนี้ฯ นอกจากนี้ ผู้ที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ฯ สามารถแสดงความประสงค์เข้าร่วมการพัฒนาศักยภาพเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ซึ่ง ธ.ก.ส. ร่วมกับส่วนงานราชการและหน่วยงานภายนอกอบรมอาชีพให้แก่เกษตรกรคู่ขนานไปกับมาตรการพักชำระหนี้ฯ เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรนำเงินไปลงทุนปรับเปลี่ยนหรือขยายการประกอบอาชีพ โดยการอบรมอาชีพเกษตรกรจะช่วยฟื้นฟูเกษตรกรให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีศักยภาพ 

โดยกระทรวงการคลังคาดว่า มาตรการพักชำระหนี้ฯ ระยะที่ 2 และระยะที่ 3 จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านภาระหนี้สินให้แก่เกษตรกรได้อย่างต่อเนื่อง มีส่วนช่วยในการเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อยให้สามารถมีรายได้เหลือเพียงพอต่อรายจ่ายที่จำเป็นในครัวเรือน เพิ่มโอกาสให้เกษตรกรนำเงินไปลงทุนปรับเปลี่ยนหรือขยายการประกอบอาชีพ เพื่อเป็นการสร้างรายได้ในภาคการเกษตร ซึ่งจะส่งผลให้เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อันจะนำไปสู่การเพิ่มกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจฐานราก เพื่อสร้างความมั่นคงของเกษตรกรและเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนต่อไป

#ข่าววันนี้ #พักชำระหนี้ #เกษตรกร #สยามรัฐออนไลน์ #สยามรัฐ

 

ท่องเที่ยว-รัฐลดค่าครองชีพ-พักชำระหนี้หนุนดัชนีเชื่อมั่นอุตฯปรับเพิ่มครั้งแรกรอบ 5 ด.วอนรัฐตรึงค่าไฟ-น้ำมันต่อเนื่อง

ท่องเที่ยว-รัฐลดค่าครองชีพ-พักชำระหนี้หนุนดัชนีเชื่อมั่นอุตฯปรับเพิ่มครั้งแรกรอบ 5 ด.วอนรัฐตรึงค่าไฟ-น้ำมันต่อเนื่อง-จับสินค้าออนไลน์ด้อยคุณภาพ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนพ.ย.66 อยู่ที่ระดับ 90.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 88.4 ในเดือนต.ค.66 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ซึ่งเมื่อพิจารณาองค์ประกอบของค่าดัชนีฯ พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบ ทั้งดัชนีฯ คำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ

โดยดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงมาตรการลดภาระค่าครองชีพประชาชน โดยการปรับราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้าในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงมาตรการพักชำระหนี้เกษตรกร ช่วยเพิ่มกำลังซื้อประชาชน ส่งผลให้การบริโภคและการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น สะท้อนจากดัชนีคำสังซื้อและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มสินค้าคงทน อาทิ รถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ ตู้เย็น และสินค้ากึ่งคนทน อาทิ สินค้าแฟชั่น เครื่องสำอาง เครื่องหนัง และเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เป็นต้น รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค

นอกจากนี้ภาคการส่งออกก็มีทิศทางดีขึ้น เนื่องจากอุปสงค์จากประเทศคู่ค้าทยอยฟื้นตัวจากเดือนก่อนหน้า ส่งผลให้ภาคการผลิตเร่งขึ้น เพื่อรองรับคำสั่งซื้อและยอดขายที่เพิ่มขึ้นในเทศกาลช่วงปลายปี นอกจากนี้ ความเชื่อมั่นด้านต้นทุนประกอบการปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่ปรับลดลง อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคล และสินเชื่อรถยนต์ที่กดดันกำลังซื้อของประชาชน ตลอดจนความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ

ทั้งนี้คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 97.3 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 94.5 ในเดือนต.ค. โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการ e-Refund และโครงการฟรีวีซ่า รวมถึงมาตรการอื่นๆ เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และการท่องเที่ยวให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลต่อการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึน รวมถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ที่ยังกดดันการฟื้นตัวของภาคการส่งออก ตลอดจนปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจยืดเยื้อและรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน และวัตถุดิบต่าง ๆ

สำหรับผู้ประกอบการยังมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐดังนี้ 1.ขอให้พิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) งวดที่ 1 ของปี 2567 (ม.ค.-เม.ย.) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงเร่งปรับโครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรม ทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ 2.เสนอให้ภาครัฐพิจารณาขยายเวลามาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล 30 บาท/ลิตรที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธ.ค.66 รวมถึงมาตรการลดราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินลง 2.50 บาท/ลิตร ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ม.ค.67 เพื่อช่วยลดภาระให้แก่ประชาชน และลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ  3.ขอให้ภาครัฐเข้มงวดการตรวจจับสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ โดยเฉพาะสินค้าออนไลน์ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค รวมทั้งสกัดกั้นการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานจากต่างประเทศ

 

#ท่องเที่ยว #ลดค่าครองชีพ #พักชำระหนี้ #ดัชนีเชื่อมั่นอุต #ค่าไฟ #ราคาน้ำมัน #สินค้าออนไลน์ด้อยคุณภาพ

ธ.ก.ส.ติดตามการขับเคลื่อนมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้ารายย่อยในสระบุรี เผยเข้าร่วมโครงการทะลุ 8.8 แสนราย

ธ.ก.ส. ติดตามการขับเคลื่อนมาตรการพักชำระหนี้ลูกค้ารายย่อยในจังหวัดสระบุรี เผยเข้าร่วมโครงการทะลุ 8.8 แสนราย

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.66 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วยนายยุวพล วัตถุ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส.ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานเข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ สำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ ทุกสัญญารวมกันไม่เกิน 300,000 บาท ณ 30 กันยายน 2566 โดยมีลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ได้รับสิทธิ์ตามมาตรการกว่า 2 ล้านราย ยอดหนี้ทั้งหมดจำนวน 283,000 ล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้เปิดบูธให้บริการตรวจสอบสิทธิ์และแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่านแอปพลิเคชัน “BAAC Mobile” ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 โดยติดตามขั้นตอนการปฏิบัติงาน ทั้งการตรวจสอบสิทธิ์ การตรวจสุขภาพหนี้ การทำเอกสารข้อตกลงต่อท้ายสัญญา และการฟื้นฟูศักยภาพในการประกอบอาชีพ ภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” พร้อมเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นในระหว่างการพักชำระหนี้และป้องกันการก่อหนี้นอกระบบ โดยมีคณะผู้บริหารและพนักงาน ธ.ก.ส. ในพื้นที่และเกษตรกรลูกค้า เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คน ณ อำเภอแก่งคอยและอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2566

นายยุวพล วัตถุ รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า หลังคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อ 26 ก.ย.66 ให้ดำเนินมาตรการในการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรและบุคคลที่มีสถานะเป็นหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระ ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ทุกสัญญารวมกัน ณ 30 กันยายน 2566 ไม่เกิน 300,000 บาท ธ.ก.ส. ได้เปิดระบบการแจ้งความประสงค์และตรวจสอบสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 ปัจจุบันมีผู้แจ้งความประสงค์แล้วกว่า 880,345 คน (ณ 26 ตุลาคม 2566) ซึ่ง ธ.ก.ส. ได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและลูกค้ารายย่อยที่เข้าร่วมมาตรการ เพื่อตรวจสอบขั้นตอนและกระบวนการทำงานว่ามีจุดใดที่มีปัญหา เพื่อปรับปรุงให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว สำหรับพื้นที่จังหวัดสระบุรี มีเกษตรกรที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าร่วมมาตรการดังกล่าว จำนวนกว่า 11,647 ราย จำนวนหนี้ 1,547 ล้านบาท และมีผู้แจ้งความประสงค์ผ่าน   แอปพลิเคชัน BAAC Mobile แล้วกว่า 2,884 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2566) 

โดยการดำเนินมาตรการในครั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเสริมแกร่งให้กับเกษตรกรในการประกอบอาชีพระหว่างการพักหนี้ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอและสามารถชำระหนี้ได้ โดยชูต้นแบบการฟื้นฟูศักยภาพชุมชนอย่างศูนย์การเรียนรู้ตลาดหัวปลี ตลาดชุมชนที่จำหน่ายสินค้าโอทอป (OTOP) ที่มาจากผลิตภัณฑ์จากชาวบ้านในจังหวัดสระบุรี อาทิ อาหารท้องถิ่น ของใช้ ผักพื้นบ้าน และผักปลอดสารพิษ โดยเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเดินเล่น ชม ชิม ช้อปสินค้า พร้อมพักผ่อนไปกับบรรยากาศสบายๆ นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการประกอบอาชีพของเกษตรกรในด้านต่างๆให้กับผู้ที่สนใจสำหรับการนำไปใช้พัฒนาและต่อยอดการประกอบอาชีพ จากนั้น เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้สวนเพิ่มบุญ วิสาหกิจชุมชนภูริธาราพรรณ ที่ประกอบอาชีพผลิตกระชายขาว พันธุ์ท้องถิ่น โดยหันมาเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ ด้วยการแปรรูปเป็นกระชายผงพร้อมดื่มและกาแฟกระชายปรุงสำเร็จโดยใช้วิธีการ Freeze Dried ที่ทันสมัย เพื่อให้ได้สารอาหารในเครื่องดื่มที่สมบูรณ์ที่สุด ลดความเผ็ดร้อนลง และดื่มได้ง่าย

นอกจากนี้ทางกลุ่มฯ ยังมีการพัฒนาพื้นที่สวนเพิ่มบุญให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรสมุนไพรและสุขภาพที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชมและเรียนรู้กระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและปลอดภัย ซึ่ง ธ.ก.ส. พร้อมสนับสนุนโครงการฟื้นฟูศักยภาพในการประกอบอาชีพ เพื่อร่วมกันพัฒนาและส่งเสริมให้สมาชิกกลุ่มฯ มีรายได้เพิ่มขึ้นในระหว่างการพักหนี้ อันนำไปสู่การแก้ไขปัญหาหนี้สินอย่างยั่งยืน

 

#ธกส #พักชำระหนี้ #ลูกค้ารายย่อย #ลูกหนี้ #เกษตรกร 

เฮดังๆ “ธ.ก.ส.” เดินหน้ามาตรการพักชำระหนี้ “ลูกค้ารายย่อย” กว่า 2 ล้านรายทั่วประเทศ

ธ.ก.ส. เดินหน้ามาตรการพักชำระหนี้ลูกค้ารายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ให้กับลูกค้าที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้  ทุกสัญญารวมกันไม่เกิน 300,000 บาท ณ 30 ก.ย. 66 โดยมีผู้ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมมาตรการกว่า 2 ล้านรายทั่วประเทศ ประเดิมติดตามการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เปิดบูธแนะนำบริการครบวงจร ทั้งการแจ้งความประสงค์และตรวจสอบสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน “BAAC Mobile” การประเมินศักยภาพในการสร้างรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ การจัดทำเอกสารต่อท้ายสัญญา รวมถึงการจัดมาตรการฟื้นฟูทักษะในการประกอบอาชีพที่เหมาะสม พร้อมเตรียมตลาดรองรับในการจำหน่ายผลผลิต เพื่อสร้างรายได้และสามารถลดภาระหนี้ตามเป้าหมาย

     วันนี้ (14 ตุลาคม 2566) นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วยนายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส.  ร่วมพิธีรับเกษตรกรเข้าสู่มาตรการพักชำระหนี้ สำหรับลูกค้ารายย่อยที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ทุกสัญญารวมกันไม่เกิน 300,000 บาท ณ 30 กันยายน 2566 โดยมีลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ได้รับสิทธิ์ตามมาตรการกว่า 2 ล้านราย ยอดหนี้ทั้งหมดจำนวน 283,000 ล้านบาท ซึ่ง ธ.ก.ส. เปิดให้บริการตรวจสอบสิทธิ์และแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่านแอปพลิเคชัน “BAAC Mobile” ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 โดยติดตามขั้นตอนการปฏิบัติงาน ทั้งการตรวจสอบสิทธิ์ การตรวจสุขภาพหนี้ การทำเอกสารข้อตกลงต่อท้ายสัญญา และการฟื้นฟูศักยภาพในการประกอบอาชีพ ภายใต้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” พร้อมเติมสินเชื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบอาชีพ วงเงินไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นในระหว่างการพักชำระหนี้ และป้องกันการก่อหนี้นอกระบบ โดยมีลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน ณ หอประชุมเทศบาลตำบลสันมหาพล อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่

     นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการพักชำระหนี้ให้กับเกษตรกรและบุคคลที่มีสถานะเป็นหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระ ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ทุกสัญญารวมกัน ณ 30 กันยายน 2566 ไม่เกิน 300,000 บาท โดย ธ.ก.ส. ได้เปิดระบบการแจ้งความประสงค์และตรวจสอบสิทธิ์ผ่าน แอปพลิเคชัน BAAC Mobile ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 ปัจจุบันมีผู้แจ้งความประสงค์แล้วกว่า 246,078 คน (ณ 12 ตุลาคม 2566) ซึ่งในวันนี้ได้ลงพื้นที่พบปะเกษตรกรและลูกค้ารายย่อยที่เข้าร่วมมาตรการ  เพื่อตรวจสอบขั้นตอนและกระบวนการทำงานว่ามีจุดใดที่มีปัญหา เพื่อปรับปรุงให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว ทั้งการตรวจสอบสิทธิ์ การแจ้งความประสงค์ผ่านทางแอปพลิเคชัน BAAC Mobile ซึ่งระบบจะมีการประมวลข้อมูลตรวจสอบคุณสมบัติ การนัดหมาย เพื่อจัดทำข้อตกลงต่อท้ายสัญญาและการเข้ารับการประเมินศักยภาพในการชำระหนี้ก่อนเข้าร่วมมาตรการ

     การดำเนินมาตรการในครั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งในการประกอบอาชีพ เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอและสามารถชำระหนี้ได้ ธ.ก.ส. จึงดำเนินการเสริมความรู้ฟื้นฟูทักษะในการประกอบอาชีพให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายภายใต้แนวทาง “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ใหม่” โดยเริ่มจากการปรับวิธีคิด เช่น ก่อนลงมือผลิต ตั้งคำถาม ขายอะไร? ขายใคร? ขายเมื่อไหร่? ขายที่ไหน? ขายปริมาณ? ขายราคา? โดยเชื่อมโยงตลาด ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ความต้องการตลาด การปรับเปลี่ยนการผลิตเป็นแบบทำน้อยได้มาก ทำผลผลิตให้มีคุณภาพสูงและสามารถจำหน่ายได้ในตลาดที่มีมูลค่าสูง วางแผนการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ภูมิปัญญา การสร้างอาชีพเสริม เพิ่มรายได้ ด้วยการปลูกพืชระยะสั้น พืชหลังนา สัตว์โตไว  ที่มีมูลค่าสูง การให้บริการหรือสร้างรายได้จากกิจกรรมใหม่ ๆ การพัฒนาอาชีพเดิม โดยการเพิ่มผลผลิต ลดความสูญเสีย ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มมาตรฐาน และการเติมความรู้ทางการเงิน รู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล โดยวางแผนในการบริหารเงินก่อนการตัดสินใจกู้เงิน รู้การออม การขับเคลื่อนโครงการแก้หนี้ แก้จน ภายใต้แนวทาง D&MBA : Design & Manage by Area พร้อมจัดหาตลาดให้กับลูกค้าผ่านบริษัทฯ เอกชนที่ต้องการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร เพื่อนำไปแปรรูปสินค้าจำหน่ายยังผู้บริโภค ซึ่งเป็นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับเกษตรกรในระหว่างการพักชำระหนี้ โดยมีตัวอย่างบริษัทที่เข้าร่วมกับ ธ.ก.ส. เช่น บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด ที่ดำเนินโครงการส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งอย่างยั่งยืน บริษัท ซันสวีท จำกัด สนับสนุนการปลูกข้าวโพดหวาน บริษัท เจียไต๋ จำกัด ที่ดำเนินโครงการพัฒนา Smart Farmer ต่อยอดความสำเร็จเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจผักดอยโอเค  ที่รับซื้อผักอินทรีย์จากเกษตรกร เพื่อนำไปจำหน่ายยังผู้บริโภค ซึ่งมีเกษตรกรลูกค้าเข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้วกว่า 500 ราย นอกจากนี้ ธ.ก.ส.  ยังพร้อมสนับสนุนเงินทุนอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่เหมาะสมในการฟื้นฟูการประกอบอาชีพ วงเงินสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อใช้ในการจัดหาปัจจัยการผลิตและเทคโนโลยีการผลิต ช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพในการผลิตอันนำไปสู่การสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

ธ.ก.ส. สมุทรสาคร ชวนลูกหนี้รายย่อยเกือบ 3 พันคน ร่วมมาตรการพักชำระหนี้  

 

เมื่อเวลา 10.00 น.ของวันที่ 6 ตุลาคม 2566 พ.อ.อ.พันธุ์พงศ์ กันทา ผู้อำนวยการสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดสมุทรสาคร ได้จัดแถลงข่าวเพื่อประชาสัมพันธ์ “มาตรการพักชำระหนี้ ให้กับลูกหนี้รายย่อย ตามนโยบายรัฐบาล” ณ ห้องประชุมสาระนาค สำนักงานสำนักงานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จังหวัดสมุทรสาคร โดยมีนายณัฐวุฒิ เอกจิโรภาส นายกสมาคมผู้สื่อข่าวจังหวัดสมุทรสาคร ผู้แทนประชาสัมพันธ์จังหวัดสมุทรสาคร ผู้แทนสื่อมวลชน และคณะผู้บริหารของ ธ.ก.ส.ทุกสาขาในจังหวัดสมุทรสาคร เข้าร่วม 

พ.อ.อ.พันธุ์พงศ์ กันทา ผู้อำนวยการสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2566 และคณะกรรมการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในคราวประชุมครั้งที่ 12/2566 วันที่ 22 กันยายน 2566 ได้เห็นชอบมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ได้กำหนดแนวทางการดำเนินมาตรการดังกล่าว ให้แก่เกษตรกรและบุคคลตามข้อบังคับ ฉบับที่ 44 และ 45 ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้คงเหลือทุกสัญญารวมกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 ไม่เกิน 300,000 บาท และมีสถานะเป็นหนี้ปกติและหนี้ค้างชำระ เป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569 โดยในส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สำนักงานจังหวัดสมุทรสาคร มีลูกค้าเป้าหมายที่มีคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ได้รับสิทธิ์ จำนวน 2,979 ราย ต้นเงินที่ได้รับสิทธิ์ 386.45 ล้านบาท ลูกค้าที่ได้รับสิทธิ์ ได้แก่ ลูกค้าสาขาสมุทรสาคร จำนวน 1,009 ราย ต้นเงินที่ได้รับสิทธิ์ 118.03 ล้านบาท ลูกค้าสาขาบ้านแพ้ว จำนวน 1,515  ราย ต้นเงินที่ได้รับสิทธิ์ 208.08 ล้านบาท และ ลูกค้าสาขากระทุ่มแบน จำนวน 455  ราย  ต้นเงินทีได้รับสิทธิ์ 60.34 ล้านบาท   

ผอ.ธ.ก.ส.จังหวัดสมุทรสาคร ได้กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการที่ออกมานี้จะช่วยทั้งลดต้นและลดดอกไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นการลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ยังไม่ฟื้นตัวและกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง,เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกหนี้จากภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นได้มีโอกาสนำเงินที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยมาลงทุนปรับเปลี่ยนหรือขยายการลงทุนในการประกอบอาชีพและฟื้นฟูตนเอง รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น 

พ.อ.อ.พันธุ์พงศ์ กันทา ผู้อำนวยการสำนักงาน ธ.ก.ส.จังหวัดสมุทรสาคร กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่สมัครใจเข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ฯ ตามนโยบายรัฐบาลระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569  หลักฐานที่ต้องใช้มีเพียงเลขบัตรประชาชนและเบอร์โทรศัพท์เท่านั้น โดยแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการได้ 2 ช่องทาง คือ 1.ลงทะเบียนแสดงความประสงค์ ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile หรือ 2.ติดต่อลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขา ซึ่งก็จะพนักงานคอยให้คำแนะนำและช่วยเหลือให้ลูกหนี้แสดงความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่านแอปพลิเคชัน BAAC Mobile ของผู้แสดงความประสงค์ หากพ้นกำหนดระยะเวลาจะไม่ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ ทั้งนี้จึงขอเชิญชวนลูกหนี้รายย่อยของ ธ.ก.ส.ทุกสาขาในจังหวัดสมุทรสาครที่เข้าหลักเกณฑ์เกือบ 3 คน มาแสดงตนเข้าร่วมโครงการให้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อโอกาสที่ดีในการผ่อนชำระหนี้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และโอกาสที่ดีในการนำดอกเบี้ยที่ได้ลดหย่อนไปใช้เพื่อการขยายโอกาสหรือช่องทางในการต่อยอดสร้างอาชีพ

​​​​​​​