ไซยะบุรี พาวเวอร์ ขายหุ้นกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมยอดจองล้นเป้า หนุนพลังงานสะอาด เดินหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

ไซยะบุรี พาวเวอร์ ประสบความสำเร็จ ขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยอดจองเกินเป้า เดินหน้าสร้างเสถียรภาพธุรกิจไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ขับเคลื่อนไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

วันที่ 24 ก.ค.68 นายวรพจน์ อุชุไพบูลย์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) บริษัทร่วมในเครือของ บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPower (ชื่อย่อหลักทรัพย์: CKP) หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี เปิดเผยว่า ตามที่ XPCL เปิดขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสกุลเงินบาท (Green Debentures) ครั้งที่ 1/2568 ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสกุลเงินบาทแบบมีประกัน (Guaranteed Green Debentures) ครั้งที่ 2/2568 ประเภทไม่ด้อยสิทธิ และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้แก่นักลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ เมื่อวันที่ 18, 21 และ 22 กรกฎาคม 2568 นั้น ประสบความสำเร็จอย่างสูง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อศักยภาพของบริษัท ในมิติการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางพลังงานของประเทศไทย และช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกัน
 

นายวรพจน์ กล่าวว่า บริษัทขอขอบคุณนักลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายใหญ่ที่ไว้วางใจและเชื่อมั่นในหุ้นกู้และการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัททำให้ได้รับความสนใจจนยอดจองเกินวงเงินเสนอขาย โดยจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ไปชำระคืนตราสารหนี้ที่ออกในปี 2565 ซึ่งจะครบกำหนดในเดือนกรกฎาคม 2568 และเป็นการเตรียมความพร้อมในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานอย่างยั่งยืน
 
สำหรับการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ มี 2 รุ่นประกอบด้วย

• หุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสกุลเงินบาท ครั้งที่ 1/2568 จำนวน 3,000 ล้านบาท (BBB+/Stable โดย TRIS Rating) ประกอบด้วย
o หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.85% ต่อปี
o หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.00% ต่อปี
o หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย 5.15% ต่อปี
• หุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมสกุลเงินบาทแบบมีประกัน ครั้งที่ 2/2568 จำนวน 1,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ย [2.80%] (AAA/Stable โดย TRIS Rating)
 

หุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Debentures) ของ XPCL มีการจัดทำและดำเนินการตามกรอบตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond Framework) ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน Green Bond Principles 2021, Green Loan Principles 2021 และ ASEAN Green Bond Standards 2018 และได้ผ่านการสอบทานโดยองค์กรรับรองมาตรฐานชั้นนำของโลก DNV ในฐานะผู้สอบทานอิสระ (Independent External Reviewer) โดยมีธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง และบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย
 

XPCL ได้รับสัมปทานจากรัฐบาล สปป.ลาว ให้ออกแบบ พัฒนา ก่อสร้าง และดำเนินการ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ไซยะบุรี มีกำลังผลิตติดตั้ง 1,285 เมกะวัตต์ ซึ่งไฟฟ้าที่ผลิตได้เกือบทั้งหมดจำหน่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าซึ่งมีระยะเวลา 29 ปี นับตั้งแต่เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2562 ทั้งนี้ XPCL ผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังน้ำเฉลี่ยได้กว่า 7,000 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี (GWh/Year) โดยพลังงานดังกล่าวจัดเป็นพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม สามารถช่วยให้ประเทศไทยหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 3.8 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (tCO2e)

#ไซยะบุรีพาวเวอร์ #GreenBond #หุ้นกู้เพื่อสิ่งแวดล้อม #พลังงานหมุนเวียน #พลังงานสะอาด #คาร์บอนต่ำ #พลังงานไทย #โรงไฟฟ้าพลังน้ำ #พลังงานเพื่ออนาคต #ลงทุนยั่งยืน

บี.กริม เพาเวอร์ กำไร Q1/68 โต 51.6% เดินหน้าขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรมและ COD โครงการพลังงานหมุนเวียน

บี.กริม เพาเวอร์ โชว์กำไรไตรมาส 1/68 โต 51.6% พร้อมเดินหน้าขยายฐานลูกค้าอุตสาหกรรม และ COD โครงการพลังงานหมุนเวียน

วันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2568 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ เพิ่มขึ้น 51.6% สู่ระดับ 749 ล้านบาท และ EBITDA 3,725 ล้านบาท เติบโต 2.6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ อยู่ที่ 654 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 379 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1. การรวมผลประกอบการของ Malacha ในประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากเข้าซื้อกิจการ 100% ในเดือนพฤษภาคม 2567 2. ปริมาณไอน้ำที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเพิ่มขึ้น 8.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3. ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าที่ดีขึ้น 4. การลดลงของราคาก๊าซธรรมชาติ และ 5. กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่เกิดขึ้นจริง 

นอกจากนี้ บี.กริม เพาเวอร์ มีการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้า IUs รายใหม่ในประเทศไทย จำนวน 6.9 เมกะวัตต์ จากกลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน กลุ่มยางรถยนต์ กลุ่มเคมีภัณฑ์ เป็นต้น รวมถึง บี.กริม แอลเอ็นจี นำเข้า LNG จำนวน 2 ลำ ในเดือนมีนาคมและเมษายน รวมประมาณ 130,000 ตัน เข้าสู่ระบบ Pool Gas เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของ บี.กริม เพาเวอร์ ในไตรมาส 1 นี้ บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน Kuchinashi ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 14 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่น ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ Tohoku Electric Power Corporation เป็นระยะเวลา 16 ปี นอกจากนี้ยังขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยการจัดตั้ง บริษัท อมตะ บี.กริม รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุน โดยบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ สมาร์ท โซลูชั่น จำกัด (บริษัทย่อย) ถือหุ้นในสัดส่วน 25% ขณะที่ บริษัท อมตะ ยู จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 75% เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 

ขณะที่อีกก้าวสำคัญของ บี.กริม เพาเวอร์ คือ การเดินหน้าร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมกับ เอ็นเอส บลูสโคป ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และพัฒนาโครงการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บนพื้นดิน กำลังการผลิตติดตั้ง 12 เมกะวัตต์ ที่โรงงานเอ็นเอส บลูสโคป จังหวัดระยอง เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดในโรงงาน เทียบเท่ากับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกสูงสุดประมาณ 9,000 ตันต่อปี นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนในภาคธุรกิจ บี.กริม เพาเวอร์ ได้ส่งมอบใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs) ให้แก่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย เพิ่มทางเลือกด้านพลังงานสะอาดให้กับภาคการเงินและการลงทุน ร่วมขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำ ตอกย้ำความสำเร็จด้วยรางวัลและประกาศเกียรติคุณ บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับรางวัล "The Best of ESG" ในงาน Future Trends Awards 2025 จัดโดย Future Trends สื่อผู้นำเทรนด์ของประเทศไทย สะท้อนถึงการดำเนินธุรกิจที่ครอบคลุมมิติการกำกับดูแลกิจการ สังคม และสิ่งแวดล้อมโดยคำนึงถึงประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และได้รับ 9 รางวัล จาก FinanceAsia นิตยสารชั้นนำด้านการเงินของฮ่องกง สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจด้วยความเป็นมืออาชีพภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจ “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี”

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในปีนี้ ต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายภาษีและการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อปริมาณการใช้ไฟฟ้าของลูกค้านิคมอุตสาหกรรม ลดลงประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปี 2567 อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศเศรษฐกิจหลัก อาจส่งผลในเชิงบวกผ่านราคาก๊าซธรรมชาติที่อาจลดลง โดยเราคาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับ SPP อยู่ที่ 320-340 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับปี 2567 ที่ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 324 บาทต่อล้าน BTU และวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas 

“การดึงดูดลูกค้ารายใหม่ เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Centre) จะช่วยบรรเทาผลกระทบ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าดังกล่าวมีความอ่อนไหวน้อยต่อมาตรการภาษี และภาวะชะลอตัวของการค้าโลก อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจดิจิทัล โดย บี.กริม เพาเวอร์ จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าอุตสาหกรรมบางราย และจะร่วมกันพัฒนากลยุทธ์ในการตอบสนองและมาตรการบรรเทาผลกระทบอย่างเหมาะสม” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว

สำหรับเป้าหมายในปี 2568 บี.กริม เพาเวอร์ ตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ รวมถึงมีโครงการต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะ COD รวม 610.5 เมกะวัตต์ ในช่วงปีนี้ ถึงต้นปีหน้า ดังนี้ 1. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา (เฟส 1) 18 เมกะวัตต์ 2. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม KOPOS 20 เมกะวัตต์ 3. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” 80 เมกะวัตต์ 4.  โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์  5. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386” 27.5 เมกะวัตต์ 6. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” 65 เมกะวัตต์ และ 7. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol 1” 365 เมกะวัตต์ 
ส่วนเป้าหมายระยะยาว บี.กริม เพาเวอร์ฯ ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 และตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น 10,000 เมกะวัตต์ ในปี 2573 
 

 

บอร์ด กพช.สั่งทุบอัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน พร้อมเบรกยาวรอแผน PDP ฉบับใหม่

บอร์ด กพช.สั่งทุบอัตรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน พร้อมเบรกยาวรอแผน PDP ฉบับใหม่

วันที่ 6 พฤษภาคม 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงและขยะอุตสาหกรรมตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด สำหรับปี 2566 - 2573 และเนื่องจากปัจจุบันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนประเภทแสงอาทิตย์และพลังงานลมมีราคาลดลง

ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้ กกพ. 3 การไฟฟ้า และ สนพ. เจรจากับผู้ประกอบการเอกชนที่ กกพ. ประกาศชื่อให้เป็นผู้ได้รับสิทธิขายไฟฟ้ารายการ 2,180 เมกะวัตต์ โดยอ้างอิงราคาที่ กฟผ. ได้ดำเนินการ เพื่อปรับลดอัตราการรับซื้อไฟฟ้าดังกล่าวลง ตามข้อสังเกตที่นายพีระพันธุ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ เสนอ ทั้งนี้ให้คำนึงที่ผลกระทบค่าไฟฟ้าที่อาจเกิดขึ้น และผลกระทบกับผู้ประกอบการที่ได้ลงทุนไปแล้วด้วย

โดยที่ประชุม กพช. เห็นชอบให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมในกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง และขยะอุตสาหกรรม ภายใต้รูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) สำหรับปี 2565-2573 ในส่วนที่ยังไม่ดำเนินการปริมาณไฟฟ้า 1,488.5 เมกะวัตต์ และส่วนที่เหลือจากการรับซื้อในกลุ่ม 2,180 เมกะวัตต์ ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2566 โดยมอบหมายให้ สนพ. ศึกษาทบทวนอัตรารับซื้อไฟฟ้าให้สอดคล้องกับต้นทุนปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต ทั้งนี้ จะไม่มีการรับซื้อไฟฟ้าจนกว่าแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ได้รับความเห็นชอบจาก กพช.

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบผลศึกษาหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยที่เข้าและออกจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ และความคืบหน้าแนวทางการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่ ซึ่งมีสาระสำคัญของแนวทาง ดังนี้

(1) โรงแยกก๊าซธรรมชาติทำหน้าที่เสมือนเป็นโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ (Utility) ในการให้บริการปรับปรุงคุณภาพและแยกผลิตภัณฑ์ให้กับผู้รับบริการทุกราย โดยกำหนดผลตอบแทนการลงทุนจากการประกอบกิจการอยู่ในระดับที่เหมาะสม

(2) ราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศที่ออกจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ (Sales Gas) ที่นำมาคำนวณใน Pool Gas ควรมีราคาที่ต่ำกว่าราคาเฉลี่ยของก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย (Gulf Gas) โดยนำมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ C2+ ที่ได้รับจากการจำหน่ายมาเป็นส่วนลดราคา (Discount) ในสัดส่วนที่เหมาะสม

(3) กำหนดต้นทุนก๊าซธรรมชาติให้เหมาะกับการใช้งานในแต่ละภาคส่วนดังนี้ ก๊าซฯ ที่เข้าและออกจากโรงแยกก๊าซฯ ให้ใช้ต้นทุนราคาก๊าซฯ จากอ่าวไทย (Gulf Gas) ก๊าซฯ ที่นำไปใช้ในการผลิต LPG สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงให้ใช้ต้นทุนราคาก๊าซฯ จากอ่าวไทย ก๊าซฯ สำหรับภาคไฟฟ้า และ NGV ให้ใช้ราคา Pool Gas ซึ่งเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของราคาและปริมาณของก๊าซฯ โดยเรียงลำดับความสำคัญจากแหล่งก๊าซฯ ในประเทศ ก๊าซฯ จากเมียนมา และ LNG ตามลำดับ และก๊าซฯ สำหรับภาคอุตสาหกรรมให้ใช้ต้นทุนจากราคา LNG ซึ่งใกล้เคียงราคาที่ซื้อขายจริงในปัจจุบัน ซึ่งการกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติใหม่นี้ จะส่งผลให้ราคาค่าไฟฟ้าถูกลง และไม่มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมี

โดยการดำเนินการต่อไป สนพ. จะหารือกับหน่วยงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง อาทิ สศช. คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), กลุ่มอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการค้าก๊าซธรรมชาติ เพื่อสรุปหลักการและจัดทำแนวทางการดำเนินงานในรายละเอียด เพื่อเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) พิจารณาต่อไป

#บอร์ดกพช #รับซื้อไฟฟ้า #พลังงานหมุนเวียน #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

EGCO Group ลุยเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียน ซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าลมและแสงอาทิตย์ รวม 251 เมกะวัตต์ ในอเมริกา

บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group เดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนในสหรัฐอเมริกาต่อเนื่อง ด้วยการเข้าถือหุ้น 49% ใน “กลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll” ซึ่งประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 2 แห่ง กำลังผลิตรวม 251 เมกะวัตต์ การลงทุนครั้งนี้ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ EGCO Group ในตลาดพลังงานของสหรัฐอเมริกา และสอดคล้องกับกลยุทธ์ “Triple P” ที่มุ่งเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ไปสู่พลังงานที่สะอาดมากขึ้น

ดร.จิราพร ศิริคำ กรรมการผู้จัดการใหญ่ EGCO Group เปิดเผยว่า “บริษัท EGCO Pinnacle II, LLC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ EGCO ถือหุ้นในสัดส่วน 100% ในสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามสัญญาการลงทุนของผู้ถือหุ้น (Equity Capital Contribution Agreement) กับบริษัท Apex Pinnacle II Member, LLC ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท Apex Clean Energy Holdings, LLC เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2568 เพื่อเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 49% ในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle ll กำลังผลิตรวม 251 เมกะวัตต์ ซึ่งประกอบด้วยบริษัท Downeast Wind, LLC เจ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานลม Downeast กำลังผลิต 126 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในรัฐเมน และบริษัท Wheatsborough Solar, LLC เจ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Wheatsborough กำลังผลิต 125 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในรัฐโอไฮไอ”

โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Downeast และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Wheatsborough มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับกลุ่มผู้รับซื้อไฟฟ้าที่มีความน่าเชื่อถืออยู่ในอันดับที่น่าลงทุน เพื่อซื้อขายไฟฟ้าและใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดย Downeast สามารถจ่ายไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้กับครัวเรือนมากกว่า 37,000 หลังคาเรือนต่อปี รวมทั้งช่วยสนับสนุนเป้าหมายด้านพลังงานของรัฐเมน ที่มุ่งเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 80% ภายในปี 2573 ในขณะที่ Wheatsborough สามารถจ่ายไฟฟ้ารองรับความต้องการของภาคครัวเรือนมากกว่า 21,000 หลังคาเรือนต่อปี และยังช่วยบรรเทาปัญหาระบบสายส่งแรงดันสูงในพื้นที่ไม่เพียงพอ ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้ง 2 แห่ง อยู่ระหว่างการก่อสร้างในขั้นตอนสุดท้าย โดยหุ้นในสัดส่วน 49% ของโรงไฟฟ้าแต่ละแห่งจะถูกโอนให้แก่ EGGO Group เมื่อโครงการเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์

โดยการลงทุนในกลุ่มโรงไฟฟ้า Pinnacle II จะสร้างการเติบโตเพิ่มขึ้นให้แก่ EGCO Group พร้อมทั้งสนับสนุนการต่อยอดและขยายการลงทุนในตลาดพลังงานของสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ “Triple P” ของ EGCO Group ที่มุ่งเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียนเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว ในขณะเดียวกัน กำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนของโครงการใหม่นี้จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายระยะสั้นของ EGCO Group ที่มุ่งบรรลุการเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ภายในปี 2573 ด้วย

“แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบในเรื่องการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมากจากนโยบายขึ้นภาษี (Reciprocal Tariff) อย่างไรก็ตาม EGCO Group ก็ยังมีพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partners) ในสหรัฐอเมริกา ที่พร้อมจะร่วมลงทุนในโครงการต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มเติมอีก ซึ่งถือว่า EGCO Group ยังมีโอกาสในการเติบโตในตลาดพลังงานของสหรัฐอเมริกา” ดร.จิราพรกล่าว

"บี.กริม เพาเวอร์" งบปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง เร่งเครื่องต่างประเทศ ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนรวม 1,345 เมกะวัตต์ 

บี.กริม เพาเวอร์ งบปี 2567 เติบโตแข็งแกร่ง เร่งเครื่องต่างประเทศ ขยายพอร์ตพลังงานหมุนเวียนรวม 1,345 เมกะวัตต์ พร้อมประกาศปรับเพิ่มนโยบายการจ่ายเงินปันผล

เมื่อวันที่ 1 มี.ค.68 ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด  (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2567 เติบโตต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (NNP) – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 2,227 ล้านบาท เติบโต 5.8% และ EBITDA ที่ 14,987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ – ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งเป็นกำไรที่รวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (FX) ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง และรายการที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานอย่างสม่ำเสมอ จะอยู่ที่ 1,557 ล้านบาท 

โดยการเติบโตดังกล่าวมาจากปัจจัยหลัก ได้แก่ ปริมาณขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มขึ้น 10.8% จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) โครงการโรงไฟฟ้า SPP 3 โครงการ ในเดือนมีนาคม, ตุลาคม และธันวาคม 2566 รวมกำลังผลิต 420 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ ยังเป็นผลจากราคาเฉลี่ยก๊าซธรรมชาติที่ลดลง 14.2% และปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม (IUs) ในประเทศเวียดนามเติบโตขึ้น 6.4% เทียบจากปีก่อน รวมถึงรายได้การให้บริการที่สูงขึ้นจากการพัฒนาโครงการ และปริมาณขายไอน้ำในประเทศไทยที่เติบโตขึ้น 19.1% เทียบจากปี 2566 ตามการขยายกำลังการผลิตของลูกค้าเดิม และความต้องการที่เพิ่มขึ้น  

ทั้งนี้ตลอดปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีความมุ่งมั่นในการขยายพอร์ตด้านพลังงานหมุนเวียน ด้วยการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศ โดยได้ขยายการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนรวม 1,345 เมกะวัตต์ (Committed) ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง จำนวน 740 เมกะวัตต์ในสาธารณรัฐเกาหลี, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา 33.7 เมกะวัตต์ ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน, โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ 29.9 เมกะวัตต์ในประเทศสหรัฐอเมริกา, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 65 เมกะวัตต์ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน กำลังผลิตติดตั้งรวม 476.3 เมกะวัตต์ในประเทศไทย (รวมโครงการที่ได้รับการคัดเลือกภายใต้โครงการพลังงานหมุนเวียนของรัฐบาล) นอกจากนี้ ได้เข้าลงทุนใน Nemaroo Bimbi Wind Farm Pty. Ltd. ในประเทศออสเตรเลีย และ LT09 S.r.I. ในสาธารณรัฐอิตาลี เพื่อพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน รวมถึงได้ร่วมมือกับกรีนเนอร์ยี่ และบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น เพื่อพัฒนาพลังงานหมุนเวียนด้วยเช่นกัน 

สำหรับในไตรมาสที่ 4/2567 บี.กริม เพาเวอร์ ประสบความสำเร็จในหลากหลายด้าน อาทิ การได้รับคัดเลือกเป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้กับรัฐบาลตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ขนาดโครงการรวม 60.90 เมกะวัตต์ โดยกำหนดเปิด COD ช่วงปี 2571-2573 นอกจากนี้ บริษัท บี.กริม โซลาร์ เพาเวอร์ รูฟท็อป จำกัด (บริษัทย่อย) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ยังได้ลงนามในสัญญาจ้างงานตามโครงการจัดการพลังงานไฟฟ้าจากระบบผลิตไฟฟ้าแสงอาทิตย์ กำลังติดตั้ง 10.26 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 25 ปี มีกำหนดเปิด COD ช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2569 ขณะเดียวกัน บริษัท บี.กริม แอลเอ็นจี ยังได้นำเข้า LNG จำนวน 2 ลำ ในเดือนตุลาคม และธันวาคม โดยปี 2567 นำเข้าทั้งสิ้น 3 ลำ รวมจำนวนประมาณ 198,000 ตัน เข้าสู่ระบบ Pool Gas เพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมของ บี.กริม เพาเวอร์ ต่อไป 

ขณะที่แผนดำเนินงานในปี 2568 บี.กริม เพาเวอร์ คาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับ SPP อยู่ที่ 320-350 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับปี 2567 ที่ราคาก๊าซธรรมชาติอยู่ที่ 324 บาทต่อล้าน BTU โดยวางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำ เพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas พร้อมตั้งเป้าเพิ่มลูกค้า IUs รายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ โดยขณะนี้ยังมีโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และจะ COD ในช่วงปีนี้ ถึงต้นปีหน้า กำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 605 เมกะวัตต์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม KOPOS 20 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา 18 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” ในประเทศไทย 80 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์” ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386”  ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และราชอาณาจักรบาห์เรน 27.5 เมกะวัตต์, โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol” ในสาธารณรัฐเกาหลี 365 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” ในสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ 65 เมกะวัตต์

โดยตลอดปี 2567 บี.กริม เพาเวอร์ มีความโดดเด่นในด้าน ESG โดยได้รับคัดเลือกให้อยู่ในเรตติ้งสูงสุด “AAA” จาก SET ESG Ratings และติดอันดับ The Sustainability Yearbook 2025 โดย S&P Global ด้วยคะแนนสูงสุด 5% แรกของอุตสาหกรรมสาธารณูปโภคไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังได้รับการประเมิน MSCI ESG Rating ในระดับ BBB จาก MSCI ESG Research และคะแนน CGR ในระดับ “ดีเลิศ” จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย รวมทั้งได้รับคัดเลือกเข้าเป็นสมาชิก FTSE4Good Index เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเติบโตอย่างยั่งยืน และการกำกับดูแลกิจการที่ดี พร้อมกันนี้ ยังได้รับการยอมรับด้านความเป็นผู้นำและนักลงทุนสัมพันธ์ โดยได้รับ 4 รางวัล จากงานประกาศรายชื่อสุดยอดบริษัทแห่งเอเชีย ประจำปี 2567 จัดโดย FinanceAsia ประกอบด้วย “รางวัลผู้นำองค์กรที่ดีที่สุด” “รางวัลบริษัทที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้หลัก ESG” “รางวัลผู้บริหารการเงินที่ดีที่สุด” “รางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม” อีกทั้งได้รับรางวัล Outstanding CFO และ Outstanding IR จากเวที IAA Awards ประจำปี 2567 รวมถึงได้รับรางวัล Outstanding Investor Relations ในงาน SET Awards 2024 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้วยความโปร่งใสและการสื่อสารกับนักวิเคราะห์ และนักลงทุนสถาบันอย่างมีประสิทธิภาพ

ขณะเดียวกันจากความสำเร็จทั้งหมดในรอบปีที่ผ่านมา และความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการ ตอกย้ำความเชื่อมั่นในการบริหารสภาพคล่องและความมุ่งมั่นในนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ยั่งยืน ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ในการสร้างมูลค่าสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จึงมีมติอนุมัติปรับนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน และเสนอจ่ายเงินปันผลต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีในเดือนเมษายน 2568 ในอัตราหุ้นละ 0.43 บาท สำหรับปี 2567 ประกอบด้วยเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท และเงินปันผลจ่ายงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท 
 

GPSC-เดลต้า ประเทศไทย บรรลุข้อตกลง ร่วมศึกษาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน ชูนวัตกรรมพลังงานสะอาด

GPSC – เดลต้า บรรลุข้อตกลงร่วมมือศึกษาการจัดหาไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ทั้งรูปแบบ On-site และภายใต้ Direct PPA หรือผ่าน TPA พร้อมเดินหน้าสู่ RE 100 ด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมพลังงาน เพื่อการบริหารจัดการพลังงานครบวงจร และเป็นเครื่องมือสำคัญของภาคการผลิตและส่งออกสินค้าคาร์บอนต่ำ รับมือกติกาการค้าโลกเข้มข้น ใช้สินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  

เมื่อวันที่ 19 ก.พ.68 นายมนัสชัย คงรักษ์กวิน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาธุรกิจ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ GPSC ได้ร่วมลงนามความร่วมมือศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดหาพลังงานหมุนเวียน หรือแสวงหาโอกาสการพัฒนาแนวทางการลดการปลดปล่อยคาร์บอนฯ ร่วมกับนวัตกรรมด้านการจัดการพลังงาน ผ่านสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct Power Purchase Agreement: Direct PPA) และ/หรือ ผ่านการขอใช้บริการระบบโครงข่ายไฟฟ้าให้แก่บุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) กับ นายแจ็คกี้ จาง ประธานฝ่ายบริหารและปฏิบัติการ (COO) และ นายเคอร์ติส คู ผู้อำนวยการธุรกิจประจำประเทศไทย บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงานและผู้ให้บริการโซลูชันสีเขียวอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย IoT โดย GPSC จะเป็นผู้จัดหาพลังงานหมุนเวียนด้วยนวัตกรรมและโซลูชั่นต่างๆ ด้านการบริหารจัดการพลังงานอย่างครบวงจร เป็นไปตามนโยบายของ เดลต้า ที่มีความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ 100% (RE 100) สู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2573

สำหรับแผนการศึกษาในครั้งนี้ จะพิจารณาพลังงานหมุนเวียน และการใช้น้ำเย็นคาร์บอนต่ำที่เหมาะสม ซึ่งสามารถนำมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีด้านจัดการพลังงาน ที่จะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้พลังงานที่มีเสถียรภาพในการป้อนกำลังไฟฟ้าเพื่อการผลิต ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ระบบกักเก็บพลังงาน พร้อมด้วยการวางระบบส่งและโซลูชันด้านการบริหารจัดการพลังงานอย่างครบวงจร บริหารจัดการต้นทุนด้านพลังงาน และเป็นไปตามข้อกำหนดการส่งออกไปยังต่างประเทศ ป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิต ทั้งนี้ GPSC และ เดลต้า จะพัฒนาโครงการที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เพื่อเดินหน้าสู่การลดคาร์บอนฯ ร่วมกัน

“GPSC ในฐานะองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรมพลังงาน มุ่งมั่นเติบโตในพลังงานหมุนเวียนที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งเทคโนโลยี และการบริการโซลูชัน พร้อมให้บริการในการออกแบบเชิงบูรณาการให้สอดรับความต้องการของลูกค้า สอดคล้องกับสองกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่ S2 Scale-Up Green Energy และ S4 Shift to Customer-Centric Solutions  จากกลยุทธ์ 4S ซึ่งประกอบด้วย S1 สร้างความแข็งแกร่งพร้อมขยายการให้บริการให้ธุรกิจหลัก (Strengthen and Expand the Core)  S2 การพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน (Scale-Up Green Energy) S3 การลงทุนด้านนวัตกรรมจากธุรกิจใหม่ (New S-curve) และ S4 บริการโซลูชันด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า (Shift to Customer-Centric Solutions) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการพัฒนาแหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ ตามเป้าหมายที่สามารถตอบสนองความต้องการใช้พลังงานหมุนเวียนของ เดลต้า ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายมนัสชัย กล่าว 

นายแจ็คกี้ จาง ประธานฝ่ายบริหารและปฏิบัติการ (COO) ของบริษัทเดลต้า ประเทศไทย กล่าว “ความยั่งยืนคือหัวใจของเดลต้า เรามุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจโดยใช้นวัตกรรมและให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งในยุคที่มีความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดคือพันธกิจสำคัญของเรา โดยเรามุ่งหวังใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2573 และบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมของเดลต้า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับจากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เช่นเดียวกับ GPSC ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงเจตนารมณ์เดียวกันของทั้งสองบริษัทในการสร้างความยั่งยืน ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพด้านพลังงานสะอาด การจัดเก็บพลังงาน และผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน”

โดยจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ส่งผลให้ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมต้องปรับเปลี่ยนการใช้พลังงาน โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน หรือพลังงานสะอาดมากขึ้น รวมถึงปัจจัยทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อราคาพลังงานให้มีความผันผวนในระดับสูง และข้อกำหนดการค้าระหว่างประเทศที่เข้มข้นในเรื่องการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ผู้ประกอบการผลิตสินค้าต้องแสวงหาการพัฒนาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งปัจจุบัน GPSC มีการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางด้านพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม สอดรับกับผู้ประกอบที่แสวงหานวัตกรรมการผลิตไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและบริบทใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

เดลต้า  อีเลคโทรนิคส์ ในฐานะพลเมืององค์กรระดับโลกและผู้นำด้านการจัดการพลังงานและความร้อน เดินหน้าพัฒนาโซลูชันที่เป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พลังงานยั่งยืนเข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  โดยบริษัทไม่ได้เพียงแต่อิงตามกระแสเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์กำลังขั้นสูง ที่จะช่วยส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด ระบบจัดเก็บพลังงานอัจฉริยะ และระบบการจัดการพลังงานที่ตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบัน ด้วยความร่วมมือกับ GPSC เดลต้ามุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมให้กับภาคอุตสาหกรรมและชุมชนสู่อนาคตที่ยั่งยืน

TPCH เปิดผลงานปี 67 รายได้รวมแตะ 2,444.69 ล้าน ลุยโปรเจคใหม่ทั้งใน-ตปท. หนุนผลงานปี 68 โตตามแผน

TPCH เปิดผลงานปี 67 มีรายได้รวม 2,444.69 ล้านบาท กำไรสุทธิ 234.30 ล้านบาท อานิสงส์รับรู้รายได้โครงการโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล-เชื้อเพลิงขยะ 8 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตรวม 90.2 เมกะวัตต์ บอร์ดเปย์หนัก อนุมัติจ่ายปันผลเป็นเงินสดเพิ่มอีก 0.037 บาท/หุ้น รวมจ่ายทั้งปี 0.395 บาท/หุ้น ขึ้น XD วันที่ 29 เมษายน 2568 ฟากบิ๊กบอส “กนกทิพย์ จันทร์พลังศรี” ระบุบริษัทได้เข้าลงทุนวินด์ฟาร์มในกัมพูชา กำลังการผลิต 150 เมกะวัตต์ พร้อมเร่งก่อสร้างโครงการพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศ หวังดันรายได้ปี 68 โตตามแผน

เมื่อวันที่ 18 ก.พ.68 นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567) มีรายได้รวมเท่ากับ 2,444.69 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 234.30 ล้านบาท

“ผลงานในปี 67 บริษัทฯ ดำเนินการในการบริหารธุรกิจให้เป็นไปตามแผนงาน และยังสามารถรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ทั้ง 8 แห่ง มีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 90.2 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าประเภทเชื้อเพลิงชีวมวล จำนวน 7 แห่ง ประกอบด้วย CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP, PTG มีกำลังการผลิตติดตั้ง 80.7 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าประเภทพลังงานขยะ สยาม พาวเวอร์ นนทบุรี (SPNT)  จำนวน 1 แห่ง กำลังการผลิตติดตั้ง 9.5 เมกะวัตต์ รวมทั้ง การบริหารต้นทุนได้ตามแผนที่วางไว้”นางกนกทิพย์กล่าว

โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 มีมติจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดเพิ่มอีก ในอัตราหุ้นละ 0.037 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 29 เมษายน 2568 กำหนดวันที่จ่ายปันผล  15 พฤษภาคม 2568 ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วในปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.230 บาท  เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2567 และในอัตราหุ้นละ 0.128 บาท เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 รวมเป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้น 158.47 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เข้าลงทุนโครงการพลังงานลมในสัดส่วนร้อยละ 40 ในนามบริษัท อินโดไชน่า วินด์ พาวเวอร์ จํากัด (IWP) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจําหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมในประเทศกัมพูชา โดยบริษัทฯ จ่ายเงินลงทุนไปแล้วจำนวน 13.79 ล้านบาท IWP ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 150 เมกะวัตต์ กับ รัฐวิสาหกิจไฟฟ้ากัมพูชา (EDC) แล้วเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 โดยมีระยะเวลา 25 ปี นับจากวันที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (Commercial Operation Date : COD) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาใบอนุญาตก่อสร้างโครงการ และคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้าง

นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 บริษัทฯ มีการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าขยะชุมชน สยาม พาวเวอร์ หนองสาหร่าย (SPNS) กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน สยาม พาวเวอร์ นากลาง (SPNK) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ คาดจะเริ่มก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรได้ภายในไตรมาส 2/2568 ขณะที่มีการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ เพิ่มประมาณ 4 โครงการ ประกอบด้วย SP4-SP7 เป็นโครงการพลังงานขยะชุมชนในรูปแบบ VSPP (Very Small Power Producer)

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจพลังงานทดแทนในต่างประเทศ มีการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ใน สปป.ลาว ซึ่ง TPCH เข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท แม่โขง พาวเวอร์ จํากัด (MKP) ในสัดส่วน 40% มูลค่า 12.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ประกอบธุรกิจผลิต และจําหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใน สปป.ลาว ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 100 เมกะวัตต์ กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) เรียบร้อยแล้ว คาดว่า จะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/2568 โดยมีระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี

ทั้งนี้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 110 เมกะวัตต์ จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล 80.7 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ 29.3 เมกะวัตต์ และยังคงเป้าหมายจะมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2569 แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าในประเทศ ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ กำลังการผลิตรวม 150 เมกะวัตต์ รวมถึงโครงการในต่างประเทศ กำลังการผลิต 350 เมกะวัตต์ เป็นโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม

“ปี 2568 TPCH มุ่งพัฒนาโครงการพลังงานทดแทน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่วนโครงการด้าน ESG จะนำข้อมูลการเก็บ Carbon Footprint ที่ได้จากปีที่ผ่านมา ปรับปรุงและพัฒนานโยบายการลดการปล่อยคาร์บอนในองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน และมั่นใจว่า คาร์บอนเครดิตจะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทฯ ได้ในอนาคต” นายเชิดศักดิ์กล่าว

 

SUPER ปลื้มหุ้นกู้ใหม่ 2 ชุด มูลค่า 1,150 ล้านบาทขายเกลี้ยง ลุยพลังงานหมุนเวียน ปักหมุดปี 70 มีโรงไฟฟ้า COD มากกว่า 2,000 MW

SUPER ปิดขายหุ้นกู้ชุดใหม่ขายเกลี้ยง มูลค่ารวม 1,150 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไป และสถาบันให้การตอบรับดีเยี่ยม ตอกย้ำปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แผนการดำเนินธุรกิจมีความชัดเจน เน้นขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบ ฟากซีอีโอ “จอมทรัพย์ โลจายะ”ระบุ ขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความเชื่อมั่นในบริษัท จนได้รับการตอบรับในการจองซื้อหุ้นกู้เข้ามาจนเกินจำนวนที่เสนอขาย พร้อมเดินหน้าขยายการลงทุนเต็มพิกัด ปักหมุดในปี 70 มีโรงไฟฟ้า COD เพิ่มกว่า 2,000 เมกะวัตต์  หนุนรายได้เติบโตต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 6 ก.พ.68 นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น  จำกัด (มหาชน) (SUPER) เปิดเผยว่า หุ้นกู้ใหม่ 2 ชุด มูลค่ารวม 1,150 ล้านบาท  ซึ่งเปิดขายระหว่างวันที่ 3 – 5 กุมภาพันธ์ 2568 ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนทั่วไป และนักลงทุนสถาบันอย่างดีเยี่ยม ถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ โดยมีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง แผนการดำเนินธุรกิจมีความชัดเจน จากการเดินหน้าขยายการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในทุกรูปแบบ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตในอนาคต ผลักดันรายได้เติบโตต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน

สำหรับหุ้นกู้ดังกล่าวเป็นหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน ครั้งที่ 1/2568 มูลค่ารวม 1,150 ล้านบาท จำนวน 2 ชุด โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี มูลค่า 500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 5.50% ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2569 หุ้นกู้ชุดที่ 2 มูลค่า 650 ล้านบาท อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 6.00% ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2570 ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน

“ต้องขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจในการลงทุนหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายในครั้งนี้ ได้รับการตอบรับในการจองซื้อหุ้นกู้เข้ามาจนเกินจำนวนที่เสนอขาย โดยบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนด และพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตในอนาคต"

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SUPER กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จำนวน 2,214.39 เมกะวัตต์ ขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 1,486.71 เมกะวัตต์ และตั้งเป้าภายในปี 2570 จะ COD เพิ่มกว่า 2,000  เมกะวัตต์ โดยในปี 2568 บริษัทฯพร้อมขยายธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบ หนุนรายได้โตต่อเนื่อง ตามแผนงานที่วางไว้

CKPower เดินหน้าส่งไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน รุกธุรกิจขาย RECs รองรับตลาดไทย-ตปท.วางเป้าเพิ่มมูลค่าลงทุนสีเขียว ขานรับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอนาคต

CKPower หนึ่งในผู้นำในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคและมีคาร์บอนฟุตพรินต์ที่ต่ำที่สุดรายหนึ่ง เดินหน้าขยายโอกาสการลงทุนด้านการเงินสีเขียว (Green Finance) ผ่านการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificates : RECs) พร้อมเตรียมจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ หรือ COD (Commercial Operation Date) จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 4 โครงการ รวมกำลังการผลิต 13 เมกะวัตต์ ภายในปี 2570 เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและเสริมสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืนในประเทศไทย
 
เมื่อวันที่ 15 ม.ค.68 นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKPowe กล่าวว่า จากแผนกลยุทธ์การดำเนินงานความยั่งยืนตามกรอบระยะเวลา 5 ปี (2565-2569) บริษัทได้ขยายโอกาสการดำเนินธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ผ่านการขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (RECs) ร่วมกับทางบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด (INNOPOWER) บริษัทในเครือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในการนำโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ภายใต้บริษัท บางเขนชัย จำกัด (BKC) ขึ้นทะเบียนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้าสู่ธุรกิจซื้อขาย RECs ตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน โดยตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมาได้มีการส่งมอบ RECs ให้กับอินโนพาวเวอร์ แล้วจำนวน 39,660.46 RECs เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว

 

 
"ที่สำคัญในช่วงกลางปี 2567 ที่ผ่านมา CKPower ได้ลงนามข้อตกลงสัญญาร่วมกับบริษัท เมฆา วี จำกัด (Mekha V) บริษัทในเครือบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันศึกษาความเป็นไปได้ในการนำ RECs จากบริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ แบบน้ำไหลผ่านใน สปป.ลาว เข้าสู่แพลตฟอร์ม ReAcc  เพื่อตอบรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานให้กับภาคอุตสาหกรรมในอนาคตและเตรียมความพร้อมในการรองรับการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนตลอดห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ" นายธนวัฒน์กล่าว


 

สำหรับความคืบหน้าของโครงการไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ (BEM) ที่บริษัทดำเนินการผ่าน บริษัท บางเขนชัย จำกัด (BKC) จำนวน 3 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 6.95 เมกะวัตต์ (MW) ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโดยคาดว่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์โครงการแรกในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งในอนาคตจะศึกษาและต่อยอดความเป็นไปได้ในการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้กับระบบขนส่งที่กำลังเติบโตขยายตัวมากขึ้น พร้อมกันนี้ ทาง BKC ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใต้โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) กลุ่มไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิงกับทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มีกำลังการผลิตติดตั้ง 6 เมกะวัตต์ (MW) มีกำหนด COD ในปี 2570 ด้วยระยะเวลาสัญญา 25 ปี

"การดำเนินงานดังกล่าวสอดคล้องกับกลยุทธ์ ซี เค พี (C-K-P) ในด้านความยืดหยุ่นของการดำเนินธุรกิจ ซึ่งตั้งเป้าการขยายโอกาสในด้านพลังงานหมุนเวียน เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงขยายตลาดและความร่วมมือในธุรกิจการผลิตไฟฟ้า และเมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทยังได้รับผลการประเมิน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ระดับ "AAA" ถือเป็นการติดรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ในกลุ่มอุตสาหกรรมทรัพยากร (Resources) ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งก้าวเดินต่อจากนี้ บริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนการผลิตพลังงานหมุนเวียน ทั้ง พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ ให้ได้มากกว่าร้อยละ 95 ภายในปี 2586 ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมลดการใช้พลังงานเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าคู่ขนานไปกับการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์พลังงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าขององค์กร มุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่สามารถหวังผลในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2593"
 
"CKPower เชื่อมั่นในพลังงานหมุนเวียนว่าเป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการผลิตและใช้พลังงานสะอาดเพื่อร่วมสร้างความยั่งยืนให้แก่ระบบพลังงานและสังคมในระยะยาว" นายธนวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
 

GPSC คว้า 4 โครงการ รวม 193 MW โดย กกพ.เพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนตามแผนรองรับอุตฯแห่งอนาคต หนุนเป้าหมายลดคาร์บอนของประเทศ

GPSC ผ่านการคัดเลือกโดย กกพ.เป็นผู้พัฒนาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ FiT ของผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน 4 โครงการโดยเป็นกำลังการผลิตกว่า 193 เมกะวัตต์จากโครงการร่วมทุน เฮลิออส 1 เฮลิออส 2 เฮลิออส 4 และไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ หนุนเพิ่มพอร์ตพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเข้าระบบ รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เดินหน้าสู่เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.67 นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท.เปิดเผยว่า GPSC ได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในการประกาศผลการคัดเลือกการจัดหาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed -in Tariff (FiT) ปี 2565 -2573 จำนวน 4 โครงการ โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 193 เมกะวัตต์ ซึ่งอยู่ในกลุ่มของผู้ผลิตพลังงานพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยมีผู้ที่ได้รับการคัดเลือกทั้งสิ้น จำนวน 64 ราย รวม 1,580 เมกะวัตต์ ที่กำหนดให้มีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (SCOD) ตั้งแต่ปี 2569-2573

สำหรับโครงการที่ได้รับการคัดเลือก จาก กกพ. ประกอบด้วย บริษัท เฮลิออส 1 จำกัด (Helios 1) กำลังการผลิต 48.6 เมกะวัตต์,บริษัท เฮลิออส 2 จำกัด (Helios 2) กำลังการผลิต 61.4 เมกะวัตต์ บริษัท เฮลิออส 4 จำกัด (Helios 4) กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้นร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในสัดส่วน 50% และบริษัทร่วมทุนระหว่าง GPSC และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ภายใต้บริษัท ไออาร์พีซี คลีน พาวเวอร์ จำกัด (IRPC-CP) โดย GPSC ถือหุ้นสัดส่วน 51% กำลังการผลิต 74.88 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ Helios 1 และ Helios 2 มีกำหนด SCOD ในปี 2569 และ Helios 4 และ IRPC-CP มีกำหนด SCOD ในปี 2571

ทั้งนี้นับเป็นความสำเร็จของการเพิ่มโอกาสในการลงทุนพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ที่ GPSC ได้เข้าไปมีส่วนเสริมสร้างเสถียรภาพการจัดหาและพัฒนาพลังงานของประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ที่มีแนวทางการขับเคลื่อนในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียน ตามแผนการเพิ่มการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP2018 Rev.1) สำหรับโครงการที่ GPSC ได้รับการคัดเลือก เป็นผู้พัฒนาโครงการในครั้งนี้ จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 โดยแต่ละโครงการจะต้องยอมรับเงื่อนไขการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 14 วัน นับถัดจากวันที่ประกาศผลการคัดเลือก

อย่างไรก็ดีจากการได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของธุรกิจ GPSC ที่มีเป้าหมาย ในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเกินกว่า 50% ของกำลังการผลิตในปี 2573 ซึ่ง GPSC เป็นบริษัทด้านนวัตกรรมพลังงานที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาพลังงานสะอาดที่หลากหลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯ มีความพร้อมในการจัดหาพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  และมีส่วนในการสนับสนุนให้ประเทศไทยมีพลังงานสะอาด เพื่อรองรับการลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ เพื่อให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions)