กรมพัฒนาธุรกิจฯ ยกระดับผปก.ไทยสู่ตลาดออนไลน์ ผ่าน E-Commerce สร้างยอดขายทะลุ 727 ล.

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประสบความสำเร็จในการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยด้านการตลาดออนไลน์และนวัตกรรมการขายยุคดิจิทัล ผ่านกิจกรรมและหลักสูตรด้าน E-Commerce จนสามารถสร้างยอดขายรวมกว่า 727 ล้าน มียอดการมองเห็นมากกว่า 37 ล้านวิว ตอกย้ำศักยภาพผู้ประกอบการไทยในการแข่งขันบนเวทีการค้าออนไลน์และเศรษฐกิจยุคดิจิทัล

วันที่ 30 กันยายน 2568 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เผยว่าผลสำเร็จของการจัดกิจกรรมและหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ E-Commerce ให้ผู้ประกอบการไทยของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าตลอดปี 2568 ที่ผ่านมาโดยเฉพาะหลักสูตรปั้นร้านค้าออนไลน์ขั้นเทพ รุ่นที่ 5 (Online Marketing Genius : OMG#5) ที่สามารถผลักดันผู้ประกอบการสร้างยอดขายในมหกรรม Thailand E-commerce Expo 2025 ได้กว่า 194 ล้านบาท  และกิจกรรมปั้นเจ้าของธุรกิจให้เป็นอินฟลูเอนเซอร์รุ่นที่ 2 (TiJ#2) ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ให้ผู้ประกอบการได้ผ่านการ Live โดยมียอดขายรวมกว่า 533 ล้านบาท ในส่วนของโครงการ Digital Village ชุมชนสร้างสรรค์สู่การแข่งขันการค้าออนไลน์ ได้ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนจนมียอดวิวเพิ่มขึ้นกว่า 70% หรือเพิ่มขึ้นรวมกว่า 30 ล้านวิว และกิจกรรม SHINE Your Business Online ปักหมุดจุดประกายสร้างตัวตนออนไลน์ให้ธุรกิจ มียอดการมองเห็นจากการประชาสัมพันธ์รวมกว่า 7,400,000 Impressions สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพผู้ประกอบการไทยที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ความสำเร็จในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงพลังของผู้ประกอบการไทยรุ่นใหม่ที่พร้อมก้าวสู่เวทีอีคอมเมิร์ซระดับสากล โดยกิจกรรมและหลักสูตรต่างๆ ที่กรมจัดขึ้น ไม่เพียงเป็นที่สนใจของผู้ประกอบการรุ่นใหม่อย่างมาก เพราะไม่เพียงสร้างองค์ความรู้ด้านการตลาดดิจิทัล แต่ยังต่อยอดสู่การสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นจริง และเป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

สำหรับมหกรรม Thailand E-commerce Expo 2025 เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ประสบความสำเร็จ 
มีผู้สนใจเข้าร่วมในช่วง 2 วัน ของการจัดงานเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ถึง 3,841 ราย ถือเป็นมหกรรมที่เป็นเวทีรวมทุกโซลูชันอีคอมเมิร์ซครบวงจร ทั้ง e-Marketplace e-Logistics & Fulfillment e-Payment e-Solutions และ e-Government เพราะมีกิจกรรมการออกบูธของแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำกว่า 49 แพลตฟอร์ม การให้คำปรึกษา Business Consult แบบตัวต่อตัวกับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง เวิร์คชอปด้านเทคโนโลยีอีคอมเมิร์ซและการแสดงสินค้า / บริการออนไลน์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยมี Guru Talk และ Content Creator ชื่อดัง จำนวน 54 ราย มาร่วมถ่ายทอดเทคนิคการทำการค้าออนไลน์ และการขายของออนไลน์ผ่านแคมเปญ DBD Online Mega Sale บนแพลตฟอร์ม Shopee เป็นต้น

นางอรมน กล่าวว่า กิจกรรมและหลักสูตร E-Commerce ที่กรมจัดขึ้นสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในการสนับสนุนและยกระดับผู้ประกอบการไทยทุกระดับ ทั้งในด้านทักษะการตลาดดิจิทัล การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI การสร้างยอดขายจริง และการเข้าถึงเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ฝึกทักษะการนำเสนอและประกวด Pitching ทั้งหมดนี้ช่วยให้ผู้ประกอบการไม่เพียงเพิ่มศักยภาพการขายและการบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ แต่ยังสามารถต่อยอดธุรกิจอย่างยั่งยืน สร้างแบรนด์ให้เข้มแข็ง และพร้อมแข่งขันในยุคดิจิทัลอย่างมั่นคง งานทั้งสองโครงการจึงเป็นเวทีสำคัญที่ตอกย้ำพันธกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและพร้อมรับความท้าทายในตลาดอีคอมเมิร์ซโลก

ทั้งนี้ในปี 2569 กรมฯ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยให้มีการนำอีคอมเมิร์ซมาช่วยขยายตลาดและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรม รวมทั้งจะพัฒนาหลักสูตรอบรมให้ความรู้ใหม่ๆ แก่ผู้ประกอบการ เพื่อให้สามารถรับมือได้ทุกความท้าทาย และก้าวสู่ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซที่มีศักยภาพต่อไป

 

คต. แนะผปก.ไทย รับมือขั้นตอนนำเข้า–ส่งออก สินค้าทางเรือ ชี้เส้นทางย่างกุ้ง–เกาะสอง–ระนอง เป็นทางเลือกใหม่

กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมเมียนมาออกประกาศฉบับใหม่ ที่ 5/2025 Bulletin (Export and Import 5/2025) ลงวันที่ 5 กันยายน 2568 กำหนดแนวทางสำหรับการยื่นเอกสารการค้าชายแดน Yangon – Kawthaung – Ranong และ Ranong – Kawthaung – Yangon จากท่าเรือชายฝั่งในระบบตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อปรับปรุงจัดระเบียบการยื่นเอกสารให้มีความคล่องตัวมากขึ้น

วันที่ 25 กันยายน 2568 นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมเมียนมาประกาศให้ผู้ประกอบการไทยที่ทำการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าทางเรือคอนเทนเนอร์ในเส้นทางนี้จะต้องยื่นขอใบอนุญาตผ่านระบบ Myanmar Tradenet 2.0 ซึ่งเป็นระบบยื่นคำขออนุญาตนำเข้า-ส่งออกผ่านทางออนไลน์ โดยสามารถติดตามสถานะตั้งแต่การยื่นคำขอ การตรวจสอบ จนถึงการอนุมัติหรือปฏิเสธ ซึ่งสินค้าที่อยู่ในระบบอนุมัติใบอนุญาตนำเข้า–ส่งออกอัตโนมัติ (Automatic Licensing) จะได้รับการอนุมัติทันทีหากเอกสารครบถ้วน ขณะที่สินค้าอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในระบบดังกล่าว (Non – automatic Licensing) จะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบที่อาจใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน

การตรวจสอบสินค้า ณ ท่าเรือขนส่ง จะดำเนินการโดยคณะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมการค้าชายแดน (OSS) ที่มีตัวแทนจากหลายหน่วยงานของเมียนมา เช่น กรมศุลกากร และกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองและประชากร ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมที่จำเป็น เช่น ภาษีเงินได้ล่วงหน้า (Advanced Income Tax: AIT) 2% และค่าธรรมเนียมความปลอดภัยตู้คอนเทนเนอร์ โดยอ้างอิงจากจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่ผู้ประกอบการกรอกไว้ในเอกสาร ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีการ X-Ray สินค้า เจ้าหน้าที่จะนำตู้คอนเทนเนอร์ไปตรวจยังท่าเรือที่ติดตั้งเครื่องสแกนดังกล่าว ผู้ประกอบการจึงต้องจัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้องตามข้อกำหนด และควรระมัดระวังว่า หากตู้คอนเทนเนอร์ค้างอยู่ที่ท่าเรือนานเกิน 60 วัน อาจถูกดำเนินการตามกฎหมายของเมียนมา นอกจากนี้ เรือที่ใช้ขนส่งจะต้องเป็นเรือที่ได้รับอนุญาตจากกรมเจ้าท่าเมียนมา และจะต้องมีการตรวจสอบซีลตู้คอนเทนเนอร์ทั้งที่ท่าเรือต้นทางและปลายทางด้วย

ดังนั้น กรมการค้าต่างประเทศจึงขอแนะนำให้ผู้ประกอบการศึกษาและปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ได้รับการปรับปรุงนี้อย่างเคร่งครัด เพื่อให้การนำเข้า-ส่งออกสินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมายของทั้งสองประเทศ และสามารถกลับมาทำการค้ากันได้อย่างราบรื่นต่อไป

Funding Societies เร่งเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการไทย ชี้การฟื้นวงจรเศรษฐกิจในประเทศต้องเริ่มที่ SME

Funding Societies เร่งเสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการไทย ชี้การฟื้นวงจรเศรษฐกิจในประเทศต้องเริ่มที่ SME

ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจอีกครั้งในครึ่งหลังของปี พ.ศ.2568 ท่ามกลางแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงซบเซา ทั้งการส่งออกที่ชะลอตัวอย่างยาวนาน ภาคการท่องเที่ยวยังไม่กลับสู่ศักยภาพเต็มที่ และสัญญาณเงินฝืดที่จะเริ่มเด่นชัดมากขึ้นหลังไตรมาส 3 เป็นต้นไป

ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) กำลังเผชิญผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งจากยอดขายที่ลดลง ความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ถดถอย และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงินที่ยากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ยิ่งซ้ำเติมความท้าทายที่ต้องรับมือ และในส่วนสถานการณ์ในบางพื้นที่ชายแดนแม้จะเริ่มผ่อนคลายลง แต่ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ เนื่องจากผลกระทบต่อเอสเอ็มอี โดยเฉพาะในจังหวัดใกล้ชายแดน ที่ยังไม่สามารถประเมินได้อย่างชัดเจน

ในเวลาเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยยังต้องเผชิญการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากสินค้านำเข้าต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นผลจากภาวะอุปทานล้นตลาดในระดับโลก การประกาศของสหรัฐอเมริกาในการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยในอัตรา 19% แม้จะช่วยลดความเสียเปรียบด้านราคาลง แต่ยังอาจไม่เพียงพอในการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าบางกลุ่มที่เคยเลือกไทยเป็นซัพพลายเออร์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญที่ก่อนหน้านี้ได้เปรียบด้านภาษีมากกว่า เช่น อิเล็กทรอนิกส์ (เดิม 0-2%) ยานยนต์และชิ้นส่วน (เดิม 2.5%) สินค้าเกษตร (เดิม 2-5%) และ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (เดิม 8-12%) เนื่องจากหลายรายหันไปใช้เวียดนามและอินโดนีเซียที่ก่อนหน้านี้และได้รับมาตรการจูงใจด้านภาษีภายในประเทศเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติให้ตั้งฐานการผลิตเพื่อส่งออก อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงในซัพพลายเชนทั่วโลกครั้งนี้อาจทำให้การฟื้นตัวของส่วนแบ่งตลาดไทยในตลาดสหรัฐฯ ช้ากว่าที่คาด เนื่องจากต้องใช้เวลาในการกลับเข้าตลาดและสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับลูกค้าเดิม

ธนาคารโลกได้ปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ของไทยลงเหลือเพียง 1.8% ในปี พ.ศ. 2568 และ 1.7% ในปี พ.ศ. 2569* ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่ผลักดันให้ธุรกิจไทยต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน

ในมุมมองของ Funding Societies ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลสำหรับ SME ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นผู้ให้บริการ Non-Bank รายสำคัญในไทย ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่อาจพึ่งพาแรงขับเคลื่อนจากภายนอกอย่างเดียวได้อีกต่อไป การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนจำเป็นต้องเริ่มจากภายใน โดยการฟื้นวงจรเศรษฐกิจในประเทศ และการเสริมพลังให้ผู้ประกอบการในประเทศซึ่งเป็นหัวใจหลักของการเติบโต

นายวิกาส เจน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Funding Societies ประเทศไทย กล่าว “เรามองว่าสถานการณ์ความผันผวนในครั้งนี้ คือบททดสอบความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจในประเทศ และ SME คือฟันเฟืองสำคัญที่ต้องเดินหน้าต่อไป เพราะเป็นกลไกสร้างรายได้และการจ้างงานในทุกภูมิภาค หากไม่มีการขับเคลื่อนของ SME เศรษฐกิจไทยย่อมไม่อาจฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์”

ภายใต้แรงกดดันจากภายนอก ผู้ประกอบการไทยยังเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่อยู่นอกกระแสหลักหรือไม่มีหลักประกัน ทำให้การดำเนินธุรกิจต่อเนื่องเป็นไปได้ยากยิ่ง

อย่างไรก็ตาม Funding Societies ยังคงยืนหยัดในการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย ด้วยการเสนอทางเลือกทางการเงินที่เข้าถึงได้จริง และออกแบบให้เหมาะกับสภาพธุรกิจของ SME โดยพิจารณาจากผลประกอบการจริงและศักยภาพการเติบโต แทนที่จะใช้เกณฑ์แบบเดิมที่ตัดสินจากหลักทรัพย์ค้ำประกันเท่านั้น ทำให้ผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัล Non-Bank กลายเป็น “กลไกเสริมสภาพคล่อง” สำคัญของระบบเศรษฐกิจในยามที่ตลาดต้องการมากที่สุด

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 Funding Societies ยังคงมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการเงินทุนหมุนเวียนในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทคาดการณ์ว่าปริมาณการปล่อยสินเชื่อในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะเติบโตมากกว่า 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา พร้อมเตรียมอัดฉีดเงินทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการของ SME ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ การผลิต ค้าส่ง ค้าปลีก เทคโนโลยี สาธารณสุข และบริการทั่วไป

จนถึงปัจจุบัน Funding Societies ได้ปล่อยสินเชื่อแก่ SME ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปแล้วกว่า 157,000 ล้านบาท และยังคงมุ่งขยายธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
โดยรูปแบบสินเชื่อของ Funding Societies ที่ให้บริการครอบคลุมตั้งแต่ สินเชื่อระยะสั้นเพื่อธุรกิจ ซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจในช่วงเวลาจำเป็น, สินเชื่อหมุนเวียนจากลูกหนี้การค้า และ สินเชื่อใบสั่งซื้อ สำหรับผู้ประกอบการที่รอรับชำระจากลูกค้าหรือมีคำสั่งซื้อในมือ ไปจนถึง สินเชื่อธุรกิจโครงการ ที่รองรับกิจการที่มีสัญญางานภาครัฐฯ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลไลสินเชื่อเหล่านี้ช่วยตอบโจทย์ผู้ประกอบการในแต่ละช่วงวงจรธุรกิจ โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน ผ่านการพิจารณาจากศักยภาพของธุรกิจเป็นหลัก มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก ทำผ่านช่องทางออนไลน์ โดยไม่ต้องมาที่สาขา 

“การให้สินเชื่อในช่วงเวลาที่ SME ต้องการมากที่สุด ก็เปรียบเสมือนการส่งออกซิเจนให้ธุรกิจได้หายใจในยามที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สถาบันการเงินเริ่มระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มที่อยู่นอกกระแสหรือไม่มีหลักประกัน” นายวิกาส เสริม

การมีบทบาทของผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัล Non-Bank อย่าง Funding Societies จึงไม่ใช่เพียง “แหล่งเงินทุนทางเลือก” แต่เป็น “กลไกเสริมสภาพคล่อง” ให้กับภาคธุรกิจในเวลาที่ระบบเศรษฐกิจต้องการมากที่สุด โดยขับเคลื่อนด้วยมุมมองใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความเข้าใจผู้ประกอบการ มากกว่าการยึดติดกับสูตรสำเร็จหรือกรอบเดิมของระบบการเงินในอดีต ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://fundingsocieties.co.th/

*ในประเทศไทย Funding Societies ดำเนินธุรกิจ 2 ส่วนที่ต่างกันคือ FS Siam Co., Ltd. เป็นผู้ให้บริการระบบคราวด์ฟันดิงที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และ FS Capital Co., Ltd. เชี่ยวชาญในการให้กู้ยืมโดยตรงแก่ธุรกิจขนาดเล็ก โครงสร้างนี้ช่วยให้ Funding Societies สามารถตอบสนองความต้องการทางการเงินที่หลากหลายภายในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

* ข้อมูลอ้างอิง  https://www.reuters.com/world/asia-pacific/hold-world-bank-cuts-thailand...

#FundingSocieties #ผู้ประกอบการไทย #เอสเอ็มอี #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #เงินทุน

 

 

EXIM BANK อัดฉีด 10,000 ล้าน เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ-ภูมิรัฐศาสตร์โลก

EXIM BANK อัดฉีด 10,000 ล้าน เสริมสภาพคล่องผู้ประกอบการไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ-ภูมิรัฐศาสตร์โลก

วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า ภาคการส่งออกไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากมาตรการภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ของสหรัฐฯ ที่ประกาศเมื่อเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตลอดจนสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ซึ่งส่งผลให้อิหร่านอาจปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมต่อผู้ประกอบการไทย อาทิ การลดลงของคำสั่งซื้อ การล่าช้าในการส่งมอบสินค้า และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการดำเนินธุรกิจในการบรรเทาผลกระทบและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างมั่นคง EXIM BANK ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) โดยครอบคลุมการเติมทุน ยืดระยะเวลาชำระหนี้ ลดต้นทุนทางการเงิน ด้วยกรอบวงเงินรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย

มาตรการระยะสั้น วงเงินรวม 4,000 ล้านบาท ให้ความช่วยเหลือเร่งด่วน โดยขยายระยะเวลาการชำระเงินสูงสุด 365 วัน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสูงสุด 20% จากอัตราเดิม

มาตรการระยะกลางและระยะยาว วงเงินรวม 6,000 ล้านบาท จะประกาศใช้ภายในต้นเดือนกรกฎาคมนี้ ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ดังนี้

• วงเงิน 2,000 ล้านบาท สนับสนุนผู้ประกอบการหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดเดิม ด้วยสินเชื่อเพื่อการร่วมงานแสดงสินค้า โดยความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK กับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และสินเชื่อเพื่อการส่งออก อัตราดอกเบี้ยพิเศษ พร้อมความคุ้มครองความเสี่ยงกรณีผู้ซื้อไม่ชำระเงินค่าสินค้า อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.99% ต่อปี (Prime Rate -2.16% ต่อปี) พิเศษสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ประกันการส่งออกกับ EXIM BANK ยกเว้นค่าวิเคราะห์ข้อมูลผู้ซื้อสูงสุด 5 รายต่อกรมธรรม์

• วงเงิน 1,000 ล้านบาท สนับสนุนผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการดำเนินงาน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.5% ต่อปีใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้ 3-10 ปี

• วงเงิน 3,000 ล้านบาท สนับสนุนเงินกู้ระยะยาว ร่วมกับสำนักงานประกันสังคม เพื่อช่วยผู้ประกอบการให้สามารถรักษาการจ้างงานได้ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.00% ต่อปีคงที่ 3 ปี

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Prime Rate (สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs) ของ EXIM BANK ในปัจจุบันเท่ากับ 6.15% ต่อปี

นอกจากนี้ EXIM Export Clinic ที่ EXIM BANK ได้จัดตั้งขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ ดำเนินการติดต่อลูกค้าที่ได้รับผลกระทบเพื่อให้คำปรึกษาและนำเสนอมาตรการระยะสั้นไปแล้ว และพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ส่งออกที่ยังไม่ได้รับการติดต่อหรือยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ ซึ่งสามารถติดต่อได้ที่ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ สาขาทั้ง 9 แห่งทั่วประเทศ และสำนักงานผู้แทนในต่างประเทศ 4 แห่งใน CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) รวมถึงช่องทางออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง

EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง พร้อมเป็นกลไกสำคัญในการช่วยเหลือ เยียวยา และส่งเสริมผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน แม้เผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก

#EXIMBANK #ข่าววันนี้ #เสริมสภาพคล่อง #ผู้ประกอบการไทย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

“แพทองธาร” เปิด FTI EXPO 2025 อย่างยิ่งใหญ่ เสริมแกร่งผู้ประกอบการไทยแข่งขันตลาดโลก

นายกฯ “แพทองธาร” ประธานเปิดงาน FTI EXPO 2025: “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE เสริมพลังอุตสาหกรรมไทย เพื่ออนาคตไทย   ที่ยั่งยืน” ซึ่งจัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับพันธมิตรองค์กรชั้นนำ จัดขึ้นระหว่าง 12-15 ก.พ.นี้ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ด้วยแนวทาง 4GO ครอบคลุม ทั้งดิจิทัล นวัตกรรม การขยายตลาดต่างประเทศ และการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน  

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.68 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน FTI EXPO 2025 งานรวมสุดยอดอุตสาหกรรมไทยที่จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE เสริมพลังอุตสาหกรรมไทย เพื่ออนาคตไทยที่ยั่งยืน” ซึ่งเป็นงานมหกรรมด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรมไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมไทยที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)  

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้แสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “จุดประกายอุตสาหกรรมไทย สร้างเศรษฐกิจใหม่ นำประเทศสู่ความยั่งยืน” ซึ่งเน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งเป็นเป้าหมายของประเทศ  โดยต้องมีการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภาคอุตสาหกรรม ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

โดยการจัดงานในครั้งนี้ เป็นการจับมือองค์กรพันธมิตรชั้นนำ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจในการทำงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ เศรษฐกิจมีความมั่นคง ประชาชนทุกภาคส่วนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและสร้างรายได้ให้กับประเทศ ความร่วมมือดังกล่าว จะนำไปสู่การดำเนินงานที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง  ไปจนถึงปลายทาง  ไม่ว่าจะเป็นการผลิต  การแปรรูป  การใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์และสินค้า การบริหารจัดการด้านการตลาด ตลอดจนการตอบสนองต่อกระแสด้านสิ่งแวดล้อม โดยรัฐบาลได้ให้ความสำคัญและตระหนักถึงการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาและยกระดับต่อยอดการพัฒนาในทุกมิติ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในเวทีระดับโลก

ทั้งนี้ประเทศไทยจะกลายเป็นยานยนต์แห่งอนาคตที่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลัง ความมุ่งหมายของรัฐบาลมีสิ่งเดียว ซึ่งเหมือนกับพี่น้องประชาชนทุกคน นั่นคือ การได้เห็นบ้านเมืองเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ และดิฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าไทยเราทำได้อย่างแน่นอน หากเราทุกคนจับมือแล้วก้าวไปพร้อมกัน ซึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จะสามารถนำพาภาคอุตสาหกรรมไทยไปสู่การพัฒนาอย่างมั่นคง และยั่งยืน

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัจจุบัน ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ที่มีความผันผวนและซับซ้อนมากขึ้น ภาคอุตสาหกรรมจึงต้องมีการพัฒนาและปรับตัวให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ สงครามการค้าและเทคโนโลยี ตลอดจนผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่คาดการณ์ได้ยากและมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี ทั้งหมดนี้ คือ ความท้าทายที่ประเทศไทยจะต้องรวมพลังกัน พลิกความท้าทายให้เป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศ เร่งเดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ต่อยอดการพัฒนาของภาคการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการไทย ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษา เพื่อสร้างกำลังคนรองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต พร้อมทั้งวางยุทธศาสตร์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุตสาหกรรมในภูมิภาคนี้

เพื่อเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และเพื่อแสดงให้ทั่วโลกเห็นถึงศักยภาพและความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมไทย จึงทำให้การจัดงาน FTI EXPO 2025 เกิดขึ้น โดยรวมพลังความร่วมมือจากกลุ่ม 47 กลุ่มอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด สถาบันภายใต้การกำกับดูแลของ ส.อ.ท. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน หน่วยงานระหว่างประเทศ และสถาบันการศึกษา ภายใต้นโยบาย ONE FTI (ONE Vision, ONE Team, ONE Goal) ในการวางรากฐานและขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย รวมทั้งยกระดับ SMEs ไปสู่ Smart SMEs ด้วยแนวทาง 4GO ซึ่งประกอบด้วย GO Digital & AI, GO Innovation, GO Global และ GO Green ที่ครอบคลุมในเรื่องของดิจิทัล นวัตกรรม การขยายตลาดต่างประเทศ และการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน 

งาน FTI EXPO 2025 ในครั้งนี้ จะเป็นเวทีในการขยายช่องทางการตลาดของสินค้า บริการและนวัตกรรมฝีมือคนไทยผ่านสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MiT) ผลักดันให้เกิดการค้า การลงทุนเพื่อเชื่อมโยงสู่ตลาดสากล ซึ่งจะทำให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“FTI EXPO 2025 ภายใต้ธีม “EMPOWERING THAI INDUSTRY, ELEVATING THAILAND’S FUTURE เสริมพลังอุตสาหกรรมไทยเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” จะเป็นโอกาสครั้งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะได้ขยายช่องทางการตลาดทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมเครือข่ายธุรกิจจากทั่วโลก เปิดมุมมองใหม่ๆ กับนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย แลกเปลี่ยนความรู้ที่เป็นประโยชน์กับเวทีเสวนาโดยกูรูทั้งระดับประเทศและระดับโลกที่มากด้วยคุณวุฒิและประสบการณ์ในด้านต่างๆ รวมถึงโซน FTI OUTLET ที่ให้ผู้เข้าร่วมได้มีโอกาสซื้อผลิตภัณฑ์คุณภาพจากสมาชิกของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทั่วประเทศในราคาสุดพิเศษ ทั้งหมดจะมีพร้อมในงานนี้บนพื้นที่การจัดงานกว่า 20,000 ตารางเมตร” 

ขณะที่อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานนี้ที่พลาดไม่ได้ คือ ทุกท่านจะได้พบกับการสาธิตการบินโดรนโดยสาร (Passenger Drone) รุ่น Sliver Hawk ซึ่งเป็นโดรนโดยสารจากผู้ประกอบการไทยรายแรก ที่สร้าง Passenger Drone ได้สำเร็จ และได้รับการรับรอง MiT (Made in Thailand) โดรนโดยสาร นับเป็นเทคโนโลยีการขนส่งแห่งอนาคตที่จะขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยต่อไป และทุกท่านจะได้เห็นกันในงานนี้ เราจะมีการสาธิตการบินโดรนทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 วันละ 1 รอบ เวลา 14.00-15.00 น. ที่ลานพระสรัสวดี ประตู 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และสวนเบญจกิติ” นายเกรียงไกร กล่าวทิ้งท้าย

งาน FTI EXPO 2025 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00-19.00 น. ณ Hall 5-8 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดว่า ปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมชมงานไม่น้อยกว่า 70,000 ราย และสร้างโอกาสทางการค้าได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท

 

DITP เปิดโอกาสทางธุรกิจ ติดปีกผู้ประกอบการไทยด้วยระบบ E-CATALOUGE

วันที่ 31 ต.ค.67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดโอกาสทางธุรกิจ ติดปีกผู้ประกอบการไทยด้วยระบบ E-CATALOUGE หากคุณกำลังมองหาโอกาส เพื่อ 1.โอกาสในการจับ คู่ธุรกิจ 2.เปิดประตูสู่ ตลาดโลก 

ประโยชน์ที่คุณจะได้รับ 
📌สร้างโอกาสทางธุรกิจ ค้นหาคู่ค้าที่มีศักยภาพขยายตลาด  และฐานลูกค้า เพิ่มยอดขาย สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในตลาดระดับโลก

📌สร้างพันธมิตร ในระยะยาวพบพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญ แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรม 
       ตอบโจทย์การค้าการลงทุน

📌เชื่อมโยงการค้า ระหว่างประเทศ เปิดประตูสู่ตลาดใหม่ ส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนระหว่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

📌ยกระดับธุรกิจสู่สากลเรียนรู้แนวโน้มตลาดโลก และมาตรฐานสากล เพิ่มประสิทธิภาพ ในการพัฒนาธุรกิจให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน

📍คุณสมบัติเบื้องต้น
1.เป็นนิติบุคคลที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่น้อยกว่า 1 ปี
   และทุนจด ไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท ณ วันที่สมัครเข้าร่วมกิจกรรม
2.เป็นสินค้าผลิตในประเทศไทย หรือธุรกิจบริการโดยผู้ประกอบการไทย ซึ่งมีศักยภาพ ในการส่งออก
   หรือเป็นสินค้าผลิต/ร่วมทุนการผลิต/สั่งจ้างผลิตในต่างประเทศโดยบริษัทไทย
3. มีการรับรองมาตรฐานการผลิตที่เป็นสากล

📌สนใจสมัครได้ที่ 
https://sso.ditp.go.th/sso/index.php/auth?response_type=token&client_id=...

📌สอบถามสายด่วน   1169   DITP 

พาณิชย์-DITP เปิดภาพความสำเร็จพัฒนาผู้ประกอบการไทยผ่าน หลักสูตรความรู้เบื้องต้นในการประกอบธุรกิจส่งออกปี 67

สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดภาพความสำเร็จในการพัฒนาผู้ประกอบการไทยผ่าน โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตร "ความรู้เบื้องต้นในการประกอบธุรกิจส่งออก" ประจำปี 2567 ครั้งที่ 1 ณ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (รัชดา-กรุงเทพฯ) และ ครั้งที่ 2 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงแรม เซนเตอร์ พอยต์ เทอร์มินอล 21 (จังหวัดนครราชสีมา) ระหว่างวันที่ 1-2,5-7 และ 19-23 สิงหาคม 2567 โดยมีผู้ประกอบการให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการกว่า 220 ราย 

สำหรับโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตร "ความรู้เบื้องต้นในการประกอบธุรกิจส่งออก" ได้ดำเนินการจัดอบรมมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2567 ได้ดำเนินการจัดอบรมทั้งหมด 2 ครั้ง ถ่ายทอดความรู้จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศกว่า 10 ท่าน เพื่อติวเข้มผู้ประกอบการไทยให้สามารถเป็นนักส่งออกมือชีพได้ในอนาคต โดยมีหัวข้อการบรรยายกว่า 10 หัวข้อ ได้แก่ 1.การเตรียมตัวเป็นผู้ประกอบการส่งออกขั้นพื้นฐาน” โดยคุณอนุสรณ์ เลิศพัฒนะกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โปรเกรสไทยเทรดดิ้ง จำกัด 2.การทำแผนธุรกิจเพื่อการส่งออกฉบับใช้งานจริง” โดยคุณบรรณ ภุชงค์เจริญ CEO บริษัท เลเวลอัพ โฮลดิ้ง จำกัด 3.การวางแผนการตลาดเพื่อการส่งออกยุคใหม่” โดยคุณปรีดี นุกุลสมปรารถนา เจ้าของเว็ปไซด์ความรู้ด้านการตลาด และการสร้างแบรนด์ Popticles.com 4.การคำนวณต้นทุนเพื่อธุรกิจส่งออกและการจัดการภาษีเพื่อธุรกิจส่งออก” โดยอาจารย์มานพ สีเหลือง Founder Yellow Accounting  School 

5.ขั้นตอนการส่งออกและพิธีการศุลกากร" โดยคุณสุรเชษฐ จันทร์สมบูรณ์ รองประธานบริษัท BS Express และ ผู้จัดการฝ่ายขนส่ง บริษัท Lyreco (Thailand)  6.การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการส่งออก" โดยคุณอนันต์ ดีโรจนวงศ์ ที่ปรึกษา สมาพันธ์สมาคมอุตสาหกรรม ที่ปรึกษาเครือข่ายอุตสาหกรรม Learn Production สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี ไทย – ญี่ปุ่น 7.การชำระเงินเพื่อการค้าระหว่างประเทศเบื้องต้น (INCOTERM)" โดยคุณเจริญ หิรัญตระกูล Partnership Manager บริษัท Payoneer Inc. 8.ความสำคัญของการปกป้องคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและการจัดทำสัญญาซื้อขายขั้นต้น" โดยคุณสิริเชษฐ์ จิรพงษ์วัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอเอ็มจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด 9.Data Analytics ขั้นพื้นฐานเพื่อการค้ายุคใหม่" โดยคุณฐิติพันธ์ จินาจันทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ดิจิตอลนุก จำกัด และเจ้าของเพจ Digitalnook 10.การเตรียมตัวเข้าร่วมงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจขั้นต้น" โดยคุณทศพล ศุภเมธีกูลวัฒน์ เจ้าของแบรนด์ Qualy ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซคเคินด์ โอพิเนียน จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซอร์พลาสเทค จำกัด

โดยการอบรมในครั้งนี้ นอกจากจะได้รับฟังการบรรยายจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญแล้ว ผู้ประกอบการทุกท่านยังได้ลงมือฝึกปฏิบัติจริง (Workshop) โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปต่อยอด และพัฒนาธุรกิจของผู้ประกอบการได้ในอนาคต นอกจากนี้ในช่วงสุดท้ายของการอบรมผู้ประกอบการที่เข้าร่วมอบรมครบตามข้อกำหนดของโครงการฯ ยังได้รับมอบใบประกาศนียบัตร พร้อมของที่ระลึกจากโครงการฯ ซึ่งบรรยากาศตลอดการฝึกอบรม เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และอัดแน่นด้วยความรู้ดีๆ ด้านการค้าระหว่างประเทศ ที่จะเป็นส่วนช่วยให้แก่ผู้ประกอบการไทยในการก้าวไปสู่การเป็นผู้ประกอบการด้านการส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

สำหรับผู้ประกอบการท่านใดที่สนใจสมัครเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ ของสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้า    ยุคใหม่ ท่านสามารถสมัครเข้าร่วมทุกโครงการได้ฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย โดยสามารถติดตามความเคลื่อนไหว ข่าวสาร และสมัครเข้าร่วมกิจกรรมอบรมต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ http://www.nea.ditp.go.th/ หรือ www.facebook.com/nea.ditp และ @nea.ditp สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทรสายด่วน 1169 กด 1 กด 1 
 

นายกฯ รุกเจาะตลาดจีน แนะ 4 แนวทางขยายโอกาสอุตสาหกรรม "เครื่องปรุงรส"

นายกฯ ขยายโอกาสทางธุรกิจให้อุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสของไทย ผลักดันอาหารและวัตถุดิบของไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทย เสนอแนะแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสไทย ตีตลาดสร้างความนิยมในจีน

วันที่ 9 มิ.ย.67 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารไทย โดยเฉพาะเครื่องปรุงรสไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพิ่มมูลค่าวัตถุดิบจากท้องถิ่น สู่การส่งออกในตลาดต่างประเทศ ยกระดับรายได้ผู้ประกอบการอาหารไทย พร้อมสนับสนุนแนวทางให้แก่ผู้ประกอบไทยที่สนใจตลาดจีน พัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในจีน ซึ่งตลาดที่มีผู้บริโภคชื่นชอบอาหารและเครื่องปรุงรสไทยจำนวนมาก

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันวัตถุดิบและเครื่องปรุงรสไทยได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับข้อมูลจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองเซี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งระบุว่า มีผู้บริโภคชาวจีนจำนวนมากที่นิยมและชื่นชอบอาหารไทย สะท้อนได้จากร้านอาหารไทยในจีนมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยผู้ประกอบการร้านอาหารส่วนใหญ่มักเลือกใช้เครื่องปรุงรสไทยในการดำเนินธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากเครื่องปรุงรสของไทย มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ ดีต่อสุขภาพ และมีช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย เช่น ในร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า หรือ บนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงตรงกับกระแสแนวโน้มเรื่องการรักสุขภาพในปัจจุบันที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชาวจีนมีความใส่ใจทางด้านสุขภาพและรสชาติอาหารมากขึ้น จึงนับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะสามารถเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสของไทย ไปสู่ตลาดจีนเพิ่มขึ้นได้ โดยทาง สคต. ณ เมืองเซี่ยเหมินฯ ได้เสนอแนะแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสของไทยไว้ ดังนี้

1) เน้นรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เนื่องจากเครื่องปรุงรสแต่ละอย่างของไทย มีกลิ่นและรสสัมผัสที่แตกต่างกัน ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
2) ควรใช้วัตถุดิบธรรมชาติในการผลิต และหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี เนื่องจากผู้บริโภคจีนให้ความสำคัญกับสุขภาพ
3) ประชาสัมพันธ์ถึงข้อมูลด้านวัตถุดิบที่นำมาผลิตเครื่องปรุงรส เนื่องจากเครื่องปรุงรสไทยหลายชนิดมีสมุนไพรและเครื่องเทศเป็นส่วนประกอบ ทำให้มีคุณสมบัติทางยา และบำรุงสุขภาพ นอกจากนี้ ควรมีการจำกัดปริมาณของน้ำตาลและโซเดียมในเครื่องปรุงที่ใช้ให้อยู่ในปริมาณต่ำ เพื่อให้ตรงกับเทรนด์การดูแลสุขภาพของผู้บริโภคชาวจีน
4) เน้นทำการตลาดออนไลน์มากขึ้น เช่น บนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดียต่าง ๆ 

ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (Food Intelligence Center) กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่าในปี 2566 ไทยส่งออกเครื่องปรุงรสเป็นอันดับ 6 ของโลก มูลค่า 977 ล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราเติบโตเฉลี่ย 5 ปีที่ร้อยละ 7.6 โดยตลาดส่งออกเครื่องปรุงรสของไทยอยู่ใน 3 ภูมิภาคสำคัญ ได้แก่ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และอเมริกาเหนือ 

“นายกรัฐมนตรีพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสของไทย ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของ Soft Power ด้านอาหาร ที่สามารถขยายตลาดการส่งออกได้มากขึ้น ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเครื่องปรุงไทย ทั้งช่วยชูรสชาติ สร้างความกลมกล่อม และเสริมสีสันให้อาหาร รวมทั้ง หลากหลายเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภค ทั้งนี้ จีนถือเป็นตลาดใหญ่ที่มีศักยภาพ เป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการหากได้รับการผลักดันและส่งเสริมให้เติบโต และแข่งขันได้ในตลาดต่างประเทศ” นายชัย กล่าว

"ผู้แทนการค้าไทย" เดินหน้าผลักดันความร่วมมือกับตัวแทนรัฐวิสาหกิจจากจีน จัดอบรมผู้ประกอบการไทย ให้เข้าถึงตลาดจีน

"ผู้แทนการค้าไทย" เดินหน้าผลักดันความร่วมมือกับตัวแทนรัฐวิสาหกิจจากจีน จัดอบรมผู้ประกอบการไทย ให้เข้าถึงตลาดจีน ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ของจีน

วันที่ 5 ธ.ค.2566 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้แทนการค้าไทย หารือกับนาย Kevin Chen ผู้จัดการภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท Shanghai East Best Foreign Trade ตัวแทนรัฐวิสาหกิจจากจีน และผู้แทนจาก WeChat pay พร้อมด้วยผู้แทนจากกรมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร เพื่อร่วมกันหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในการขายสินค้าของไทยไปยังจีน และการจัดทำโครงการหลักสูตรอบรมให้ความรู้ผู้ประกอบการภายใต้หัวข้อ Zero to Hero

ผู้แทนการค้าไทย กล่าวย้ำว่า เจตจำนงในการจัดทำโครงการ หลักสูตรเพื่ออบรมให้ความรู้กับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้าถึงตลาดจีน เพื่อทราบถึงแนวโน้มตลาด การออกแบบดีไซน์ผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับตลาดจีน รวมถึงข้อกฎหมายเพื่อให้การส่งออกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ขนาดใหญ่ของจีน อาทิ WeChat ช่องทาง mini-program โดยฝ่ายจีนจะหารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ด้านการพัฒนาหลักสูตร รวมทั้ง พัฒนาการใช้แฟลตฟอร์มร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ Thaitrade ในการพัฒนาตลาดออนไลน์ให้ดียิ่งขึ้น

“ หวังว่าการจับมือร่วมกับบริษัทขนาดใหญ่ของจีนในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการของไทย และจะช่วยเพิ่มจำนวนการส่งออกสินค้าไทย และเศรษฐกิจไทยให้ดียิ่งขึ้น” ผู้แทนการค้า กล่าว

"หอการค้าฯ" ดีเดย์ 9.9 เปิดประตูสู่โลกการค้า สร้างโอกาส เสริมความเข้มแข็ง ยกระดับผู้ประกอบการไทย

หอการค้าไทยถือฤกษ์ดี วันที่ 9 เดือน 9 เปิดรับสมัครบุคคลธรรมดา ให้เป็นสมาชิก “TCC Pre-Member” ฟรี พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ทั้งส่วนลดจากเครือข่ายผ่าน TCC Connect การอบรมออนไลน์ และข้อมูลข่าวสารด้านเศรษฐกิจ เสริมศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs สร้างรากฐานที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โลกธุรกิจในปัจจุบันมีบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก รูปแบบในการทำธุรกิจก็ไม่เหมือนเดิม เราเห็นคนเพียงคนเดียวสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างน่าทึ่ง ในขณะที่อีกหลายคนเริ่มมีธุรกิจตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งหอการค้าไทยเล็งเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนให้ทั้ง คนรุ่นใหม่และ SMEs เหล่านี้เติบโตในทางธุรกิจได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น จึงเปิดโครงการใหม่ “TCC Pre-Member” โดยหอการค้าไทยยินดีให้ผู้สมัคร ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาทั่วประเทศที่ประกอบการค้า ซึ่งเป็นอาชีพสุจริต อายุ 18 ปีขึ้นไป สัญชาติไทย ได้ใช้สิทธิประโยชน์ฟรี 3 ประการ ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2567 ได้แก่

1.สิทธิประโยชน์จาก TCC Connect ซึ่งเป็นส่วนลดสินค้าและบริการต่างๆทั้งที่มาจากผู้ประกอบการในเครือข่ายทั่วประเทศ อาทิ ส่วนลดและน้ำหนักกระเป๋าฟรีจากสายการบินต่าง ๆ ส่วนลดค่าขนส่งพัสดุ ส่วนลดร้านอาหาร ที่พัก บริการต่างๆ ฯลฯ ที่พร้อมเอื้อประโยชน์ให้กับทุกคนที่เข้าร่วมโครงการ ซึ่งปกติแล้ว ผู้ที่จะใช้ TCC Connect ได้ จะต้องเป็นสมาชิกในเครือข่ายหอการค้า และเป็นผู้แทนที่มีอำนาจเต็มของบริษัทเท่านั้น โครงการนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ได้ทั่วถึง

2.สิทธิเข้าเรียน Online Training จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ฟรี โดยคณะกรรมการเพิ่มความเข้มแข็งสมาชิก ที่มีนายพลิษศร์ ภิรมย์ภักดี เป็นประธานให้การสนับสนุน แบ่งการเรียนออกเป็น 3 ระดับ ตามองค์ความรู้ด้านการดำเนินธุรกิจของผู้เรียน พร้อมรับประกาศนียบัตรรับรองเมื่อจบหลักสูตร ซึ่งหอการค้าไทยมองว่า สิ่งนี้คือพื้นฐานสำคัญสำหรับการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต 

3.ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ รวมถึงกิจกรรมดีๆของทางหอการค้าไทยและเครือข่าย เพราะการรู้เท่าทันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เป็นสิ่งจำเป็นมากในยุคที่การเปลี่ยนแปลงต่างๆเกิดขึ้นตลอดเวลา ในฐานะที่เป็นองค์กรหลักทางเศรษฐกิจที่ต้องการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และลดความเหลื่อมล้ำของประเทศไทย 
จึงต้องการส่งผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปให้ถึงผู้ประกอบการให้ยกระดับ เข้าถึงมาตรการต่างๆของทั้งรัฐและเอกชน

“หอการค้าฯ ตั้งเป้าจะเพิ่มเครือข่ายสมาชิกจากปัจจุบัน 120,000 ราย ให้เพิ่มเป็น 200,000 ราย ภายใน 3 ปีนี้ จากสถานการณ์โควิดที่ผ่านมามีผู้ประกอบการจำนวนมากได้รับผลกระทบ ซึ่งหากหอการค้าฯ สามารถช่วยพัฒนาหรือส่งเสริมผู้ประกอบการได้ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการอิสระ หรือพนักงานลูกจ้างก็ตาม ก็ถือเป็นการสร้างรากฐานที่เข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจไทยได้ ท้ายที่สุดแล้ว เราจะได้คนที่มีศักยภาพมาช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ยั่งยืนได้ต่อไป” นายสนั่น กล่าว

นอกเหนือจากการโครงการ TCC Pre-Member แล้ว หอการค้าไทยยังมีบริการและกิจกรรมต่างๆ พร้อมกับส่วนลดพิเศษอีกมากมาย ที่มอบให้กับทั้งสมาชิกสามัญและสมาชิกสมทบ จากความร่วมมือของเครือข่ายหอการค้าฯ ทั้งกิจกรรมหรือโครงการจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของหอการค้าไทย หอการค้าจังหวัด สมาคมการค้า หอการค้าต่างประเทศ รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจอีกมากมาย เพื่อช่วยกันส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการของไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่ายต่างๆ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การยกระดับธุรกิจด้วย Digital Transformation การเข้าถึงแหล่งเงินทุน เป็นต้น

สำหรับ “TCC Pre-Member” จะเปิดลงทะเบียนพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ 9 เดือน 9 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองการครบรอบ 90 ปี หอการค้าไทย และจะรับสมัครจนถึงวันที่ 31 ธันวาคมนี้เท่านั้น โดยจะใช้สิทธิประโยชน์ได้จนถึง 31 มีนาคม 2567 ทั้งนี้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.thaichamber.org หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ ฝ่ายบริการสมาชิก หอการค้าไทย โทร. 0-2018-6888 ต่อ 3530,3540