DDD คว้า 100 คะแนนเต็ม AGM Checklist ปี 68 ต่อเนื่อง 4 ปีซ้อน!

บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก อุปกรณ์ตกแต่งทรงผม อุปกรณ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เครื่องครัว รวมไปถึงสินค้าไลฟ์สไตล์ แบรนด์ดัง อาทิ SNAILWHITE, OXE'CURE, SPARKLE, LESASHA, JASON, MAKAVELIC, @HOME, VALERA และ ELCHIM ได้รับคะแนนประเมินคุณภาพการจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ในระดับ “ดีเยี่ยม สมควรเป็นแบบอย่าง” โดยได้รับคะแนนเต็ม 100 คะแนน (5 เหรียญ) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน การประเมินดังกล่าวจัดขึ้นสำหรับบริษัทจดทะเบียนในหลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (Thai Investors Association) ร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งสะท้อนถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี หลักธรรมาภิบาล และการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

นางสาวนันทวรรณ สุวรรณเดช  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นับเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่บริษัทได้รับคะแนนประเมิน AGM Checklist เต็ม 100 คะแนนต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 สิ่งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี ความโปร่งใส และการเคารพสิทธิผู้ถือหุ้นอย่างเท่าเทียม ช่วยตอกย้ำภาพลักษณ์องค์กรที่น่าเชื่อถือในตลาดทุน รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย โดยบริษัทยังคงมุ่งมั่นเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดีสืบไป

ICHI จัดปันผลระหว่างกาล 0.55 บาทต่อหุ้น โชว์ผลประกอบการ Q2/68 บันทึกกำไร All Time High

บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป หรือ ICHI ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 ทำยอดขาย 2,263.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.7% จากไตรมาส 1/2568 และมีกำไรสุทธิ 407.2 ล้านบาท สถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High) ล่าสุดบอร์ดมีมติจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.55 บาทต่อหุ้น มองโอกาสครึ่งปีหลังกลุ่มรับจ้างผลิต OEM ยังเติบโตสูงหลังได้อานิสงค์น้ำมะพร้าว IF ออเดอร์ในจีนทะลัก พร้อมเร่งขยายตลาดเครื่องดื่มไซส์ใหญ่ ตอบโจทย์เทรนด์ครอบครัว ขณะที่ อิชิตัน อินโดนีเซีย เดินหน้าบุกพื้นที่กระจายสินค้าเพิ่ม มุ่งมั่นให้ ICHI เป็นหุ้นปันผลที่แข็งแกร่งเพื่อขอบคุณผู้ถือหุ้น

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.อิชิตัน กรุ๊ป หรือ ICHI เผยผลประกอบการในไตรมาส 2/2568 ยอดขาย 2,263.6 ล้านบาท เติบโต 29.7% จากไตรมาส 1/2568 รักษายอดขายใกล้เคียงกับปีก่อน ด้านกำไรสุทธิ 407.2 ล้านบาท ทุบสถิติสูงสุด โดยเติบโตจากไตรมาส 1/2568 ส่วนหนึ่งมีกำไรพิเศษ 120 ล้านบาท จากการขายที่ดิน ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายปันผลระหว่างกาล (มกราคม- มิถุนายน 2568) ในอัตรา 0.55 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันปิดสมุดพักการโอนหุ้นเพื่อกำหนดสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 กันยายน 2568 ตามนโยบายที่ต้องการเป็นหุ้นปันผลหนึ่งในใจผู้ถือหุ้นและนักลงทุน

สำหรับการเติบโตเป็นผลจากการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดแบบรวดเร็วสอดคล้องกับสถานการณ์ โดยสินค้ากลุ่ม Non-Tea เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “อิชิตัน น้ำด่าง” ที่ได้รับการตอบรับดีเยี่ยมเติบโตทุกไตรมาส ล่าสุดส่งขนาด 1 ลิตร รองรับดีมานด์กลุ่มครอบครัวที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมตอกย้ำคุณภาพด้วยการคว้ารางวัล Superior Taste Award 2025 จาก International Taste Institute จากประเทศเบลเยียม ขณะที่สินค้ากลุ่มชาเขียว “อิชิตัน” ส่งไซส์ใหญ่ขนาด 840 มล. เอาใจกลุ่มผู้บริโภคที่เน้นความคุ้มค่า และชาพรีเมียมภายใต้แบรนด์ “ชิซึโอกะ” ยังคงได้รับการตอบรับอย่างดี ปัจจุบันครองหัวแถวส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของกลุ่มชาพรีเมียม

ด้านตลาดต่างประเทศ “อิชิตัน อินโดนีเซีย” มีแผนนำสินค้ากลุ่มชาเขียวบุกตลาดเพิ่ม โดยการเพิ่มจุดกระจายสินค้าในเกาะสุมาตรา และจายาปูรา เสริมทัพสินค้าขายดี “ไทย มิ้ลค์ ที และ บราวน์ซูก้ามิ้ลค์” ด้านตลาดอื่นๆ อาทิ CLMV สามารถทำการตลาดได้ดีอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ICHI ให้ความสำคัญเรื่องการบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 24% ไฮไลต์ปีนี้คือ การเติบโตของธุรกิจ OEM ซึ่ง “IF น้ำมะพร้าว” ลูกค้ารายเดิมที่มียอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดดในประเทศจีน ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้ารายใหม่อีกหลายราย

ควบคู่กับการบริหารผลประกอบการอย่างเหนือชั้น อิชิตัน กรุ๊ป มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างยั่งยืน ภายใต้โครงการ “Ichitan ReCircle” (อิชิตัน รีเซอเคิล): วนเวียนเปลี่ยนให้โลกสะอาด  โครงการเก็บ-กลับระบบรีไซเคิลหมุนเวียนแบบปิด (Closed-Loop Circular) สำหรับขวดพลาสติก PET ความร่วมมือครั้งสำคัญจากพันธมิตร ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และ GC YOUเทิร์น สร้างระบบการจัดการขวดพลาสติก PET ครบวงจร ตั้งแต่รวบรวม คัดแยก ฆ่าเชื้อ ปั่นเป็นชิ้น ไปจนถึงการขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยการคงคุณภาพพลาสติกให้ดีอยู่เสมอ ทั้งหมดใช้เทคโนโลยีทันสมัยที่มั่นใจได้ถึงความสะอาด ปลอดภัย ได้มาตรฐาน ทำให้ขวดที่ผ่านกระบวนการใช้บรรจุเครื่องดื่มได้ไม่รู้จบ ไม่จบลงที่หลุมฝังกลบหรือเป็นขยะในทะเล หมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมของ อิชิตัน กรุ๊ป ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับโลกด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อแสดงถึงความตั้งใจของอิชิตัน กรุ๊ป ในการผลิตอย่างรับผิดชอบ และชวนทุกคนร่วมกันบริโภคอย่างยั่งยืน

READY โชว์ผลงานครึ่งแรกปี 68 รายได้ทะลุ 100 ล้าน All-in-One Platform สถิติรายได้สูงสุด เร่งขยายทีมปั๊มรายได้ครึ่งปีหลัง

บมจ.เรดดี้แพลนเน็ต (READY) เผยผลประกอบการครึ่งแรกปี 2568 มีรายได้รวมทะลุ 100 ล้านบาท และกำไรสุทธิเกือบ 19 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องจากแรงหนุนของแพลตฟอร์มการขายและการตลาดดิจิทัล (All-in-One Platform) ที่ทำสถิติรายได้สูงสุดใหม่ แม้รายได้จากระบบ Hotel Direct Booking จะชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ READY มองครึ่งปีหลังเข้าสู่ไฮซีซั่นธุรกิจโรงแรม หนุนรายได้ฟื้นตัว ขณะเดียวกันเทรนด์ MarTech ยังสดใสจากกระแส Digital Transformation และการเติบโตของ Generative AI (GenAI) READY พร้อมรุกตลาดเต็มสูบ เสริมทีมขาย–การตลาด เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่แบบ 360 องศา ตอกย้ำความเป็นผู้นำแพลตฟอร์ม MarTech ของไทย  

นายทรงยศ คันธมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ READY ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มการขายและการตลาดดิจิทัลแบบรวมเป็นหนึ่งเดียว (All-in-One Sales and Marketing Platform) และระบบจองโรงแรมโดยตรง (Hotel Direct Booking) เปิดเผยถึง ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีรายได้รวมอยู่ที่ 100.05 ล้านบาท เป็นรายได้จากการให้บริการอยู่ที่ 99.81 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 18.98 ล้านบาท แม้ลดลงเล็กน้อยจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าราว 4% โดยยังคงรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ในระดับ 19%

ขณะที่ ในไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 48.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 8.72 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 17% ส่วนหนึ่งมาจากรายได้กลุ่ม Hotel Direct Booking ที่ลดลงตามภาวะชะลอตัวของการท่องเที่ยว และการเลื่อนมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐไปยังไตรมาส 3 ปีนี้ อย่างไรก็ดี แม้สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะยังเผชิญแรงกดดัน แต่เรายังสามารถสร้างรายได้เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มแพลตฟอร์มการขายและการตลาดดิจิทัลที่ทำยอดสถิติรายได้สูงสุดใหม่ (New High) ที่ 44.5 ล้านบาท ในไตรมาส 2/2568 คิดเป็นสัดส่วนรายได้ถึง 91%

ขณะเดียวกัน ในไตรมาส 2 บริษัทมีค่าใช้จ่ายพิเศษประมาณ 750,000 บาท เช่น ค่าปรับปรุงสถานที่ฝึกอบรมหลังเหตุแผ่นดินไหว และค่าทดสอบระบบ IT Security เพื่อเสริมสร้างมาตรฐานความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม ตามที่ได้วางแผนล่วงหน้าไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลต่อกำไรสุทธิ แต่เป็นเหตุการณ์ชั่วคราว และหากไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าว บริษัทจะมีผลกำไรที่สูงกว่านี้

โดยในครึ่งปีหลัง 2568  READY ยังคงเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์มและขยายธุรกิจเชิงรุก ด้วย 5 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.พัฒนา  All-in-One Sales and Marketing Platform ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของลูกค้า และบริษัทมีแผนที่จะพัฒนาการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มพันธมิตรอื่นๆ ในอนาคต  2. มุ่งเน้นด้าน AI Transformation 3. การขยาย Readyplanet Academy ติดอาวุธด้าน Marketing Technology ที่ใช้ AI เป็นตัวขับเคลื่อน 4. มุ่งพัฒนา R-Commerce แพลตฟอร์มสร้างเว็บไซต์ E-Commerce ประสิทธิภาพสูง และ 5. การขยายทีมขายภายใต้ Professional Plus Model เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ท่ามกลางความท้าทายในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัว แต่บริษัทฯ พบว่ายังมีกลุ่มผู้ประกอบการที่สนใจปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการขายและการตลาด ส่งผลให้ความต้องการใช้แพลตฟอร์ม All-in-One Sales and Marketing เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยชดเชยการชะลอการตัดสินใจของลูกค้าบางกลุ่ม พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ประเมินว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวในช่วงท้ายปี รวมถึงมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ จะช่วยสนับสนุนรายได้จากระบบ Hotel Direct Booking ให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง ขณะเดียวกัน READY ยังเดินหน้าขยายทีมขายและการตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 20% เพื่อขยายฐานลูกค้าครอบคลุมทุกขนาดธุรกิจ ผลักดันรายได้ประจำใหม่ (New MRR) และรายได้จากบริการที่ปรึกษา Onboarding ในไตรมาสถัดไปและระยะยาว

โดยบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแสวงหาโอกาสในการเติบโตผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) ตามที่ได้นำเสนอความคืบหน้าในไตรมาส 1 ว่ากำลังเจรจา 1 ราย ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการ Due diligence ด้านการเงินและด้านกฎหมาย นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังคงมีการเจรจากับ บริษัทเป้าหมายอื่นๆ ที่มีความเหมาะสม เพื่อสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจแบบ Inorganic ต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้เพื่อเป็นการให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด สำหรับผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 19 สิงหาคม 2568 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 20 สิงหาคม 2568 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 4 กันยายน 2568

“เรามั่นใจในศักยภาพการเติบโตระยะยาวของเทรนด์ MarTech ภาคธุรกิจจะให้ความสำคัญและมุ่งเน้นไปที่การใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน ทั้งในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการตลาด READY พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยีที่เป็นของคนไทย พัฒนาโดยคนไทย เพื่อธุรกิจไทยเติบโตในอนาคตอย่างแข็งแรง” นายทรงยศ กล่าวทิ้งท้าย                                

ROCTEC ผลงาน Q1 ปีงบประมาณ 2568/69 รายได้รวมโต 9.1% กำไรพุ่ง 63.0% ธุรกิจ ICT หนุน

บริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ “ROCTEC” รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปีงบประมาณ 2568/69 (เมษายน – มิถุนายน 2568) ด้วยรายได้รวม 825 ล้านบาท เติบโต 9.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของกลุ่มธุรกิจการให้บริการด้าน ICT ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนรายได้ให้กับบริษัท คิดเป็นสัดส่วนกว่า 85% ของรายได้รวม ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงาน และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมในต่างประเทศซึ่งมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 11 ส.ค.68 นายเว่ย แซม แลม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ROCTEC กล่าวว่า “ผลประกอบการที่แข็งแกร่งในไตรมาสนี้ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์การมุ่งสู่ธุรกิจการให้บริการไอซีทีแบบครบวงจร ที่สามารถต่อยอดฐานลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มงานระบบเทคโนโลยีแบบครบวงจร (Integrated Technology Solutions) ที่ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานด้านเครือข่าย และระบบความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งมีการขยายตัวอย่างชัดเจนในกลุ่มหน่วยงานภาครัฐและสถาบันต่าง ๆ ในฮ่องกง เราจะเดินหน้าต่อยอดจุดแข็งด้านเทคโนโลยีและการบริหารโครงการ เพื่อผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกตลาดที่บริษัทเข้าไปดำเนินธุรกิจ”

โดยในไตรมาสนี้บริษัทยังมีพัฒนาการสำคัญ ได้แก่ การเริ่มต้นรับรู้รายได้จากโครงการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมถึงความคืบหน้าในการปรับเงื่อนไขของธุรกรรม Hello LED กับ PlanB ซึ่งยังคงมูลค่าธุรกรรมเดิม พร้อมทั้งได้กำหนดเงินมัดจำที่ไม่สามารถเรียกคืนได้ แม้ทั้งสองรายการยังไม่ส่งผลต่อผลประกอบการในเชิงตัวเลขอย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสนี้ แต่สะท้อนถึงความสามารถของบริษัทฯ ในการต่อยอดเครือข่ายพันธมิตร และการสร้างโอกาสทางธุรกิจและทางการเงินในระยะยาวได้อย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงประเมินว่าแนวโน้มธุรกิจในปีงบประมาณ 2568/69 โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มบริการด้าน ICT จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากความต้องการโซลูชันเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ROCTEC จึงเดินหน้ายกระดับขีดความสามารถในการให้บริการ ผ่านการลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (in-house R&D) ควบคู่กับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์โครงสร้างพื้นฐานเมืองอัจฉริยะ แม้เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอนจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตลาดหลัก ได้แก่ ประเทศไทยและฮ่องกง ซึ่งได้รับผลกระทบในระดับจำกัดเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีรายได้ที่อยู่ระหว่างการส่งมอบและรอการรับรู้แล้วกว่า 67% ของเป้าหมายประจำปีงบประมาณ 2568/69 ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงของกระแสรายได้ในช่วงเวลาที่เหลือของปี บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน และส่งมอบคุณค่าระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้นในทุกสภาวะเศรษฐกิจ

AIT โชว์ฟอร์มผลงานครึ่งปีแรก 2568 โตต่อเนื่อง รายได้ 3,431 ล้าน กำไรโต 6% บอร์ดฯจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.15 บาทต่อหุ้น

AIT เปิดผลงานการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 ทำรายได้จากงบเฉพาะกิจการ 1,691 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 143 ล้านบาท ผลักดันผลงานในครึ่งแรกปี 2568 รายได้จากงบเฉพาะกิจการ 3,431 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% บอร์ดฯ ใจป้ำเคาะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.15 บาทต่อหุ้น เตรียมขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 21 สิงหาคม 2568 นี้ พร้อมเสริมความมั่นใจต่อการบรรลุเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 6,800 ล้านบาท

วันที่ 8 ส.ค.68 นางศศิเนตร พหลโยธิน รักษาการประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ผู้นำในธุรกิจรับเหมาระบบสารสนเทศและการสื่อสารอย่างครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้จากงบเฉพาะกิจการอยู่ที่ 1,691 ล้านบาท ลดลง 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 1,867 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 143 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 139 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้จากงบเฉพาะกิจการ 3,431 ล้านบาท ลดลง 3%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 3,546 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 271 ล้านบาท

ทั้งนี้ ผลจากการรับรู้รายได้จากงานโครงการขนาดใหญ่ที่ทยอยส่งมอบอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน บริษัทฯ มีมูลค่างานที่มีอยู่ในมือ (Backlog) จำนวน 5,200 ล้านบาท ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 และมีมูลค่างานที่อยู่ระหว่างรอคำสั่งซื้อจากลูกค้า (Waiting for P/O) จำนวน 137 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้พิจารณาจากงบเฉพาะกิจการและอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2568 (มกราคม-มิถุนายน) ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 กันยายน 2568 เพื่อสะท้อนถึงฐานะทางการเงินที่มั่นคงและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้น

นางศศิเนตร กล่าวเพิ่มเติมว่า “แม้เศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สงครามการค้า บริษัทฯ ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลประกอบการครึ่งปีแรกอยู่ในระดับน่าพอใจ สะท้อนแนวโน้มเชิงบวกในการบรรลุเป้าหมายรายได้ทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 6,800 ล้านบาท”

GPSC กำไรครึ่งปี 3,159 ล้านบาท รับส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมพุ่ง พร้อมเดินหน้าลงทุนพื้นที่ศักยภาพ

GPSC เปิดเผยผลการดำเนินงานครึ่งปีสุดแกร่ง 3,159 ลบ. รับผลกำไรพอร์ตลงทุนต่างประเทศ ทั้งอินเดีย และไต้หวัน ปรับกลยุทธ์สอดรับสถานการณ์การใช้พลังงานทั้งในและต่างประเทศ มุ่งเจาะพื้นที่ศักยภาพเติบโตด้านพลังงานโลก สร้างผลตอบแทนต่อเนื่อง 

วันที่ 7 ส.ค.68 นายวรวัฒน์ พิทยศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 2,019 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากอัตราแลกเปลี่ยน (กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้น) ทั้งจากการลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้า ในโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง Changfang และ Xidao (CFXD) ไต้หวัน และยังรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้ เนื่องจากเงินสกุลดอลลาร์ไต้หวันมีการแข็งค่า รวมทั้งผลประกอบการของโครงการไซยะบุรี พาวเวอร์ (XPLC) ใน ส.ป.ป.ลาว ปรับตัวดีขึ้น ตามปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ ได้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการบริหารต้นทุนทางการเงิน ส่งผลให้มีต้นทุนทางการเงินลดลงได้ 88 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการชำระคืนเงินกู้บางส่วน ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยที่ปรับตัวลดลง สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการโครงสร้างทางการเงิน สร้างความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินของบริษัทฯ เป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ถือหุ้นและสถาบันการเงิน รวมทั้งบริษัทฯ ได้รับการปรับมุมมอง (Outlook) จากฟิทช์ เรทติ้งส์ เป็น Stable

ขณะที่ผลประกอบการในงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 3,159 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 866 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยหลักจากเงินปันผลรับและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น 732 ล้านบาทจากผลประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นของ Avaada Energy Private Limited : AEPL (ดำเนินธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในอินเดีย) ตามปริมาณการผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากโครงการที่เริ่มดำเนินการในเชิงพาณิชย์ ขณะที่ผลประกอบการของ CFXD มีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้น จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 รวมทั้ง CFXD สามารถรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันใหม่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายลดลงโดยหลักจาก ดอกเบี้ยจ่ายจากการจ่ายคืนเงินกู้ก่อนกำหนด ค่าซ่อมบำรุงรักษาโรงไฟฟ้า ค่าเบี้ยประกันภัยโรงไฟฟ้าจากการบริหารจัดการความเสี่ยงตามมาตรการด้านความปลอดภัยของโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับครึ่งปีหลัง GPSC ยังคงเดินหน้ากลยุทธ์บริหารโรงไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพ สร้างความมั่นคงทางด้านไฟฟ้า รวมถึงบริหารโครงการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เดินหน้าโครงการ EBITDA Uplift ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มประสิทธิภาพ และมีเป้าหมายแสวงหาโอกาสการลงทุนเพื่อสร้างการเติบโตในพื้นที่การลงทุนที่มีศักยภาพต่อไป

บีซีพีจี เผยผลการดำเนินงาน 6 เดือนปี 68 มีรายได้รวม 1,511.2 ล้านบาท กำไร 329.2 ล้านบาท 

บีซีพีจี เผยผลการดำเนินงาน 6 เดือน ปี 2568 มีรายได้รวม 1,511.2 ล้านบาท มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ หรือกำไรก่อนรายการพิเศษที่ 329.2 ล้านบาท 

วันที่ 7 ส.ค.68 นายรวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในครึ่งปีแรกของปี 2568 มีรายได้รวม 1,511.2 ล้านบาท มีกำไรก่อนรายการพิเศษ 329.2 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26 สาเหตุหลักมาจากรายได้ส่วนเพิ่ม (Adder) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศสิ้นสุดลง และการจำหน่ายโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น 

สำหรับผลการดำเนินงานสุทธิ กลุ่มบริษัทฯ มีผลการดำเนินงานขาดทุน 498.5 ล้านบาท เนื่องจากมีรายการพิเศษที่เกิดจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินต่างประเทศจำนวน 117 ล้านบาท และรายการพิเศษอื่นๆ จำนวน 711 ล้านบาท ซึ่งรายการที่สำคัญได้แก่ การตั้งด้อยค่าของเงินลงทุนในโครงการพลังงานลมที่ฟิลิปปินส์และจากการขายลดลูกหนี้ค้างชำระของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว

“อย่างไรก็ตาม บีซีพีจียังคงเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจด้วยความรอบคอบและมุ่งเน้นผลตอบแทนระยะยาว และเตรียมก้าวสู่ครึ่งปีหลังด้วยพอร์ตโครงการที่แข็งแกร่งและรายได้ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น”นายรวีกล่าว

ทั้งนี้ ในครึ่งปีหลังของปี 2568 บริษัทฯ คาดว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นจากหลายปัจจัยสนับสนุน โดยเป็นช่วงฤดูกาลที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำใน สปป.ลาว ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ปริมาณมากขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีสัญญาส่งไฟฟ้าไปขายยังประเทศเวียดนามตั้งแต่ปี 2566 ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา ได้รับอัตราค่าความพร้อมจ่ายไฟ (Capacity Revenue) ต่อเมกะวัตต์ต่อวัน ในระดับที่สูงขี้นจาก 30 เหรียญสหรัฐฯ เป็น 270 เหรียญสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา 

นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง โครงการพลังงานลมมอนซูน ขนาด 600 เมกะวัตต์ ใน สปป.ลาวซึ่งมีสัญญาขายไฟฟ้าไปยังประเทศเวียดนาม จะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เต็มกำลังการผลิต รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่างการเข้าซื้อกิจการอีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม กำลังการผลิตติดตั้งรวม 99 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชนิดติดตั้งบนหลังคาในประเทศไทย กำลังการผลิตติดตั้งรวม 17.5 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จและรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลังเช่นเดียวกัน

"เอสซีบีเอกซ์" กำไรไตรมาส 2 ปี 68 แตะ 12,786 ล้านบาท โต 27.27%

"เอสซีบีเอกซ์" กำไรไตรมาส 2 ปี 68 แตะ 12,786 ล้านบาท โต 27.27%

วันที่ 21 ก.ค.68 บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ของปี 2568 จำนวน 12,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น การตั้งสำรองที่ลดลง และการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 25,288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยในไตรมาส 2 ของปี 2568 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 30,404 ล้านบาท ลดลง 6.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ และยอดสินเชื่อโดยรวมที่ลดลง 1.8% ภายใต้การปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 10,008 ล้านบาท ลดลง 3.1% จากปีก่อน รายได้จากการลงทุนและการค้ามีจำนวน 3,239 ล้านบาท จากกำไรของพอร์ตการลงทุนของธนาคาร และของบริษัท เอสซีบี เท็นเอกซ์ จำกัด ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 17,530 ล้านบาท ลดลง 5.6% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 40.2%  

ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งสำรองลดลง 13.0% จากปีก่อน เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะการปรับตัวดีขึ้นของบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้ ได้รวมสำรองพิเศษเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในอนาคต อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) คงอยู่ในระดับสูงที่ 159%

ขณะที่ท่ามกลางความผันผวนของสถานการณ์ภายนอก บริษัทฯ ยังสามารถควบคุมคุณภาพของสินเชื่อโดยรวมได้ดี โดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อยู่ที่ 3.31% ลดลงจาก 3.34% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8%      

นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนและปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยืดเยื้อ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ให้ความสำคัญกับการช่วยประคับประคองลูกหนี้ทุกกลุ่ม ผ่านมาตรการที่หลากหลายและต่อเนื่อง โดยในส่วนของมาตรการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 1 มีลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการแล้วเป็นยอดหนี้รวมกว่าห้าหมื่นล้านบาท และพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมในมาตรการระยะที่ 2 เพื่อให้ครอบคลุมมากขึ้น และเปิดโอกาสให้ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางมีโอกาสฟื้นตัวได้ ผลประกอบการไตรมาสที่สองปี 2568 ของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากการบริหารจัดการให้เกิดแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ส่งผลให้การก่อตัวของสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับความเห็นชอบให้จัดตั้งธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาอย่างเป็นทางการ และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการจัดตั้ง  บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าธนาคารพาณิชย์ไร้สาขาจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบและสร้างการเติบโตให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว

#เอสซีบีเอกซ์ #ข่าววันนี้ #สินเชื่อ #ผลประกอบการ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

"กรุงศรี" กำไรครึ่งปีแรก 15.83 พันล้านบาท รักษาผลการดำเนินงานมั่นคง ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน

กรุงศรีเผยผลกำไรสุทธิครึ่งแรกของปี 2568 จำนวน 15.83 พันล้านบาท รักษาระดับผลการดำเนินงานผ่านการบริหารต้นทุนเสริมประสิทธิภาพเต็มกำลัง เน้นยุทธศาสตร์การเติบโตสินเชื่อที่มีคุณภาพ  

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 15.83 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของทั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน โดยยึดมั่นยุทธศาสตร์การบริหารต้นทุน พร้อมเสริมประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง  ตลอดจนคุมผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม

จากนโยบายที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เงินให้สินเชื่อในภาคธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตในระดับปานกลาง ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งสินเชื่อเพื่อรายย่อยปรับตัวลดลง ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อรวมปรับตัวลดลงที่ 1.6% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนธันวาคม 2567 ซึ่งสะท้อนภาพรวมความต้องการเงินให้สินเชื่อทั้งระบบอุตสาหกรรมธนาคาร และการชำระคืนเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน   

สรุปผลประกอบการและฐานะการเงินที่สำคัญสำหรับครึ่งแรกของปี 2568

กำไรสุทธิ จำนวน 15,829 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 0.5% หรือจำนวน 77
ล้านบาท จากครึ่งแรกของปี 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่
คาดว่าจะเกิดขึ้น และการลดลงของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน สุทธิบางส่วนกับการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการลดลงของเงินให้สินเชื่อ

เงินให้สินเชื่อรวม ลดลง 1.6% หรือจำนวน 29,831 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2567 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากนโยบายที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งผลให้เงินให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตในระดับปานกลางที่ 2.8% ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมรวมทั้งสินเชื่อเพื่อรายย่อยปรับลดลงที่ 4.0% และ 3.9% ตามลำดับ สะท้อนนโยบายการพิจารณาสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

เงินรับฝาก ลดลง 1.1% หรือจำนวน 19,782 ล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2567 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของเงินรับฝากประจำ สะท้อนประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนทางการเงิน

ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 4.14% เมื่อเทียบกับ 4.31% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการลดลงของเงินให้สินเชื่อ สุทธิบางส่วนกับต้นทุนทางการเงินที่ปรับตัวลดลง

รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 6.0% หรือจำนวน 1,334 ล้านบาท จากช่วงครึ่งแรกของปี 2567
ส่วนใหญ่เกิดจากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน หนี้สูญรับคืน รายได้จากการดำเนินการอื่นที่มาจากกำไรจากทรัพย์สินรอการขาย และรายได้จากเงินปันผล สุทธิด้วยการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ

อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ อยู่ที่ 44.7% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 โดยกรุงศรียังคงดำเนินนโยบายบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งของความสามารถในการสร้างรายได้

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 3.39% ขณะที่อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 อยู่ที่ 217 เบสิสพอยท์ และอัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 122.8%

อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 19.57% เทียบกับ 19.38%
ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน การบริโภค และความต้องการสินเชื่อ กรุงศรียังคงสามารถรักษาระดับผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สะท้อนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการบริหารต้นทุน พร้อมเสริมประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนคุมผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม”

“เศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนแรงต่อเนื่อง ภายใต้บริบทความเสี่ยงจากมาตรการเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ความท้าทายจากการฟื้นตัวที่ช้ากว่าคาดการณ์ในภาคการท่องเที่ยว ปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับที่สูง และประเด็นปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิต อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโตต่ำกว่าศักยภาพในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ต่อเนื่องในปี 2569 ทั้งนี้ สำหรับปี 2568 กรุงศรีคาดว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวในระดับ 2.1%”

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 กรุงศรี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.87 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.80 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.60 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 325.76 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 19.57% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของคิดเป็น 15.36%

#กรุงศรี #ผลประกอบการ #การเงินการธนาคาร #สินเชื่อ #เศรษฐกิจไทย #Krungsri #ข่าววันนี้ #สยามรัฐออนไลน์ #สยามรัฐ 

"เคทีซี" กำไรครึ่งปีแรก 3,755 ล้าน ส่วนแบ่งตลาดบัตรเครดิต-สินเชื่อโตต่อเนื่องทุกผลิตภัณฑ์

เคทีซีเผยครึ่งปีแรก 2568 กำไรสุทธิของกลุ่มบริษัทเติบโตอยู่ที่ 3,755 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อรวม 107,104 ล้านบาท สะท้อนความมั่นคงของธุรกิจ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์เชิงรุกและต่อเนื่อง ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกผลิตภัณฑ์หลัก พร้อมเดินหน้าสร้างฐานการเงินที่เติบโตแข็งแกร่ง สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของภาคการส่งออกและการผลิตที่ยังเปราะบาง ทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน อุตสาหกรรรมสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคโดยรวมยังคงชะลอตัว ในส่วนของเคทีซียังสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ลูกหนี้บัตรเครดิตมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 15.4% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 13.3% และลูกหนี้สินเชื่อบุคคลมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 6.8%”

โดยท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย เคทีซียังคงจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี และรักษาระดับเงินสำรองที่แข็งแกร่งและเพียงพอ โดยอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) อยู่ที่ 1.83% และ NPL Coverage Raio ที่ 419.9% โดยในไตรมาส 2/2568 กลุ่มบริษัทยังรักษาฐานรายได้รวมให้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 6,812 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมตามการขยายตัวของพอร์ตและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตร ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมลดลงอยู่ที่ 4,340 ล้านบาท จากการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ทำให้กลุ่มบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2568 เท่ากับ 1,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% และครึ่งแรกปี 2568 กำไรสุทธิเท่ากับ 3,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% 

“นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจให้เกิดผลกำไรที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคทีซียังให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ตลอดกระบวนการ ภายใต้กรอบการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ซึ่งเป็นรากฐานในการทำธุรกิจที่จะช่วยให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และด้วยปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตของเคทีซี ภายหลังจากมีการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big Lot) ในวันที่ 25 มิถุนายน 2568 จำนวน 129,204,600 หุ้น และวันที่ 30 มิถุนายน 2568 จำนวน 243,262,200 หุ้น คิดเป็นอัตรา 5.01% และ 9.45% ของทุนจดทะเบียนตามลำดับ ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นให้มีการกระจายตัวมากขึ้น โดยมีสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อเคทีซีในวงกว้างจากหลากหลายกลุ่มนักลงทุนอย่างชัดเจน โดยบมจ. ธนาคารกรุงไทยยังคงเป็นผู้ถือหุ้นลำดับที่ 1 และให้การสนับสนุนเคทีซีเช่นเดิม รวมถึงโครงสร้างคณะกรรมการบริษัท โครงสร้างผู้บริหารและนโยบายการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัท ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานด้วยความโปร่งใสและสร้างพอร์ตคุณภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง”

ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 เคทีซีมีฐานสมาชิกรวม 3,508,827 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 107,104 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.2%) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) ลดลงอยู่ที่ 1.83% จำนวนสมาชิกบัตรเครดิต 2,813,627 บัตร (เพิ่มขึ้น 3.5%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 69,925 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1.0%) NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.14% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 มูลค่า 146,584 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.4%) สมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 695,200 บัญชี (ลดลง 5.1%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม 35,396 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.0%) NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 2.32% และมียอดสินเชื่อใหม่ของ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” จำนวน 1,048 ล้านบาท ในส่วนของลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อในบริษัท กรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง จำกัด (KTBL) มีมูลค่า 1,782 ล้านบาท (ลดลง 29.4%) ซึ่งเคทีซีได้หยุดปล่อยสินเชื่อประเภทนี้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 และปัจจุบันมุ่งเน้นการติดตามหนี้และบริหารจัดการคุณภาพพอร์ตสินเชื่อที่มีอยู่ 

ขณะเดียวกันเคทีซียังคงดำเนินมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางในประกาศของ ธปท. ที่ 3/2568 เรื่อง การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending: RL) โดยบริษัทได้มีการพิจารณาลูกหนี้แต่ละรายให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และไม่ทำให้ลูกหนี้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากภาระหนี้เดิมเกินสมควร ได้แก่ การเปลี่ยนประเภทหนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้เงินกู้สินเชื่อบุคคลระยะยาว มาตรการลดภาระการเงินโดยเครดิตดอกเบี้ยคืนเข้าบัญชีบัตรเครดิตของลูกหนี้ การขยายระยะเวลาชำระหนี้ การปรับลดค่างวด เป็นต้น รายละเอียดเพิ่มเติมคลิก https://www.ktc.co.th/about/news/measure และในฐานะที่เคทีซีเป็นสถาบันการเงินในกลุ่มธุรกิจของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จึงได้ร่วมมือกับธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยเหลือลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 1 และได้ขยายความช่วยเหลือสู่โครงการฯ ระยะที่ 2 เพื่อสนับสนุนลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีโอกาสรอดให้สามารถฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ เมื่อรายได้ฟื้นตัวก็สามารถปิดจบหนี้ได้ โดยสมาชิกที่เข้าเกณฑ์สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการผ่านเว็บไซต์ https://www.bot.or.th/khunsoo ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ถึง 30 กันยายน 2568

โดย เคทีซีประเมินว่ามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่างๆ ข้างต้น จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาพรวมผลการดำเนินงานในส่วนของแหล่งเงินทุน กลุ่มบริษัทมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้น 58,081 ล้านบาท (รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) แบ่งสัดส่วนเป็นเงินกู้ยืมระยะยาว 59% เงินกู้ยืมระยะสั้น (รวมส่วนของเงินกู้ยืมและหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระภายใน 1 ปี) 41% และ อัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.64 เท่า ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 1.97 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับภาระผูกพัน (Debt Covenants) ที่กำหนดไว้ 10 เท่า และมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) วงเงินกู้ยืมระยะสั้น 20,780 ล้านบาท และวงเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคารกรุงไทยอีก 2,000 ล้านบาท โดยมีภาระหนี้หุ้นกู้และเงินกู้ยืมระยะยาวที่จะครบกำหนดชำระในครึ่งหลังของปี 2568 ทั้งสิ้น 10,000 ล้านบาท สภาพคล่องในมือที่สูงกว่าภาระหนี้ที่ใกล้ครบกำหนดถึง 2.2 เท่า บ่งชี้ถึงสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง

#เคทีซี #บัตรเครดิต #สินเชื่อบุคคล #ผลประกอบการ #KTC #การเงินการลงทุน #เศรษฐกิจไทย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้