จับตากฤษฎีกา สอบคุณสมบัติ "ประธานกสทช." หลังผู้ตรวจฯพบพิรุจที่สำนักเลขานายกฯ หวั่นโดนอ้างปัญหาทางเทคนิคกม.ซ้ำอีก

วันที่ 4 สิงหาคม 2568 แหล่งคณะกรรมการกฤษฎีกาคณะที่หนึ่งซึ่งมีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธาน มีกำหนดจะพิจารณาข้อหารือจากสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินในกรณีการขาดคุณสมบัติของ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในวันพรุ่งนี้ (5 สิงหาคม  2568) เป็นที่น่าสนใจว่า ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายระดับประเทศจะวินิจฉัยอย่างไร

แม้จะมีการสรุปประเด็นว่า ประธาน กสทช.ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายไปโดยสิ้นสงสัยแล้ว ทั้งโดยคณะกรรมาธิการของทั้ง สว. และ สส. แต่มหากาพย์การดำเนินการเรื่องนี้ยังไม่จบ ประธานกสทช.ยังดำรงตำแหน่งต่อไป แม้จะมีองค์กรฯ สมาคมฯ ต่างๆ ได้ทักท้วงหลายครั้ง เรื่อง ความเสียหายที่เกิดขั้นจากการอนุมัติต่างๆ ของ ประธาน กสทช. ท่ามกลางความคลางแคลงใจของหลายๆ ฝ่าย

ล่าสุด ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย หลังจากได้ทำหนังสือถามไปที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการณ์ตามกฎหมายกสทช. และเป็นผู้ดำเนินการขอโปรดเกล้าฯแต่งตั้งกสทช.ทั้งชุด แต่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีกลับส่งเรื่องไปให้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณา ซึ่งจะนำเข้าในคณะที่หนึ่งในวันพรุ่งนี้

ประเด็นการขาดคุณสมบัติของประธานกสทช. เริ่มจากการร้องเรียนของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการคณะกรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ต่อ ประธานวุฒิสภา ในวันที่ 28 กันยายน 2566 ซึ่งทางเลขาวุฒิสภาและประธานวุฒิสภาในขณะนั้นคือ ศาสตราจารย์พิเศษพรเพชร วิชิตชลชัย ได้มอบหมายให้คณะกรรมาธิการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา (กมธ.ไอซีที วุฒิสภาฯ) เป็นผู้พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง ซึ่งทางคณะกรรมาธิการไอซีทีก็ได้มีการสรุปผลการสอบหาข้อเท็จจริง และรายงานผลต่อประธานวุฒิสภา ผลการพิจารณาการ ตรวจสอบฯ ดังกล่าว โดยได้มีการนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา ครั้งที่ 16/2567 เมื่อ 5 กรกฎาคม 2567 สรุปว่า “ศาสตราจารย์ คลินิก นายแพทย์สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้าม ตามกฎหมาย ตาม พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 ข (12) มาตรา 4 และมาตรา 26 ประกอบกับ มาตรา 18 และมาตรา 20”

หลังจากวุฒิสภาชุดที่แล้วหมดอายุไปเดือนกรกฎาคม 2567 ทางคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธานได้นำประเด็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณา และมีตัวแทนจากทางคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานเลขาวุฒิสภา ตลอดจน สำนักงาน กสทช.เข้าร่วมให้ข้อมูลด้วย ซึ่ง สส.โรมได้สรุปในที่ประชุมแล้วว่า ในสาระสำคัญของการขาดคุณสมบัติของประธาน กสทช.นั้นสมบูรณ์ไร้ข้อสงสัยไปแล้ว เหลือเพียงการดำเนินการตามกระบวนการให้เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น แม้ในกฎหมายได้ชี้ว่า นายกรัฐมนตรี ควรต้องเป็นผู้ดำเนินการ

ทั้งนี้ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินมีข้อหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังนี้

 1. ประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา 20(4)(5) ภายหลังโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแล้ว บุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ นายกรัฐมนตรี ประธานวุฒิสภา หรือสานักงาน กสทช. จะเป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือลักษณะ ต้องห้าม รวมไปถึงการวินิจฉัยกรณี ประธาน กสทช.หรือกรรมการ กสทช. เป็นผู้ขาดสมบัติหรือรักษาต้องห้ามได้ และแจ้งผลให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง

 2. ตามกรณี 1. หากวุฒิสภา เป็นผู้ดำเนินการ กระบวนการตรวจสอบคุณลักษณะ หรือเนื้อหาต้องห้าม รวมทั้งวินิจฉัยว่า ประธาน กสทช. หรือกรรมการ กสทช. เป็นบุคคลที่มี การขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม บุคคล ดังต่อไปนี้ ได้แก่ กรรมการ สรรหา หรือกรรมาธิการที่วุฒิสภา มอบหมาย ผู้ใดจะเป็นผู้ดาเนินการตรวจสอบและวินิจฉัย การขาดคุณสมบัติ หรือการมีลักษณะต้องห้าม หรือการดาเนินการฝ่าฝืนดังกล่าว

3. กรณี ตามมาตรา 20 วรรคท้าย มีหนังสือแจ้งให้สานักงานเลขาธิการวุฒิสภา และดำเนินการจัดให้มีการเลือกกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่างภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น เป็นกระบวนการภายหลังจากนายกรัฐมนตรีนาความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งประธาน คสช หรือกรรมการ กสทช. หรือไม่ หรือเป็นขั้นตอนกระบวนการเริ่มต้นในการตรวจสอบคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม หรือกระทาการอันเป็นการฝ่าฝืนโดยไม่แจ้งให้สำนักงานเลขาวุฒิสภาทราบ เพื่อดาเนินการตามพระราช 20 วรรค 2 และวรรคท้ายควบคู่กันไปหรือไม่ประการใด

สื่อและสาธารณชนจึงต้องจับตาดูต่อไปว่าทางคณะกรรมการกฤษฎีกาจะมีคำวินิจฉัยในกรณีดังกล่าวไปในทิศทางใด จะมีการอ้างข้อจำกัดจากความไม่ชัดเจนของกฎหมายเพื่อยื้อเวลาอีกหรือไม่ หรือ จะให้แนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาที่ค้างคามาเกือบ 2 ปีได้เพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีในองค์กรอิสระ และหน่วยงานภาครัฐต่อไป

“โรม” เผย คนที่ถอด ปธ.กสทช. พ้นตำแหน่งคือ "นายกฯ" รัฐบาลนิ่งเฉย จ่อยื่น ป.ป.ช. เอาผิด

วันที่ 26 พฤษภาคม 2568 นายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เปิดเผยถึงกรณีนายแพทย์ สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) หลังพบว่าขาดคุณสมบัติและจะมีดำเนินการอย่างไรต่อไป ว่า เบื้องต้นจะติดตาม เพราะว่าจริงๆแล้ว เราได้รับทราบและไม่ได้มีข้อโต้แย้งว่าคุณสมบัติของประธาน กสทช. มีการเห็นแย้งจากรายงานที่ทางกรรมาธิการไอซีทีของสภาฯเคยได้ทำเอาไว้  ดังนั้นเมื่อเราฟังได้แบบนั้นก็คงจะต้องมีการดำเนินการในการที่จะส่งหนังสือติดตามว่ารัฐบาลได้ดำเนินการอย่างไรต่อไปในเรื่องนี้

เบื้องต้นวันที่เรามีการพิจารณาก็มีตัวแทนของกระทรวงดิจิตอลที่ได้มาเข้าร่วมประชุมด้วย ดังนั้นถือว่าเราได้รับรู้รับทราบว่าเรื่องนี้รัฐบาลรับรู้แล้ว สิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไปนั้น ก็คงจะต้องมีการตรวจสอบต่อไปว่าทางด้าน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะมีการดำเนินการอย่างไร เพราะตนถือว่าข้อเท็จจริงและกระบวนการทางกฎหมายมันชัดเจนก็คงขึ้นอยู่ที่ นายกรัฐมนตรีจะสั่งการต่อไป

เมื่อถามว่าหากกระบวนการดำเนินการทั้งผ่านสภาวุฒิ กับ สภาผู้แทนแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตอนนี้ตนคิดว่าต้องพุ่งเป้าไปที่นายกรัฐมนตรี เพราะว่า ประธาน กสทช. เป็นตำแหน่งที่เกิดจากการโปรดเกล้าฯ ดังนั้น การที่จะมีการให้ ประธาน กสทช. พ้นจากตำแหน่งคือจะต้องให้พ้นจากการโปรดเกล้าฯ เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ที่จะรับในส่วนของพระบรมราชโองการได้คือด้านนายกรัฐมนตรี

หากด้านนายกรัฐมนตรีจะมีขบวนการในการตรวจสอบ ในเรื่องของรายงานว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ก็เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรีในการที่จะดำเนินการ แต่ว่านายกรัฐมนตรีจะต้องไม่ควรที่จะปล่อยให้กลายเป็นเรื่องที่ค้างคาและไม่มีความชัดเจนในทางกฎหมาย

ส่วนหากรัฐบาลไม่มีการดำเนินการในเรื่องนี้จะมีการยื่นเรื่องไปถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือหน่วยงานภายนอกหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า  เป็นไปได้ ซึ่งหมายความว่าจะควบคุมองค์ประกอบความผิดว่าเป็นการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเพราะว่านายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ตามกฎหมาย ถ้าหากองค์ประกอบตามกฏหมายทุกอย่างชัดเจนแล้วว่านายกรัฐมนตรีไม่ดำเนินการอะไรเลย ตนคิดว่านายกรัฐมนตรีอาจจะถูกดำเนินคดีได้

ทั้งนี้จะมีการเรียกประธาน กสทช. เข้ามาพูดคุยอีกหรือไม่นั้น นายรังสิมันต์ ระบุว่า ตนมองว่าไม่มีความจำเป็น เพราะได้ให้โอกาสทางประธาน กสทช.เข้าชี้แจงแล้ว แต่ทางประธาน กสทช. ไม่มา โดยที่ไม่มีการแจ้งกับทาง กมธ.มั่นคงฯ เป็นหนังสือแต่อย่างใดเรื่องของเหตุผลที่ไม่มา จึงทำให้ตนไม่รู้ว่าสาเหตุอะไรที่ประธาน กสทช. ไม่มา ดังนั้น ถ้าหากข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆครบถ้วน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก็ต้องเป็นเรื่องที่กรรมาธิการจะต้องไปพูดคุยกับฝ่ายบริหารคือทางด้านนายกรัฐมนตรี ต่อไปเพื่อที่จะดำเนินการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ

ปมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบพ่นพิษ! ประธาน กสทช. เสี่ยงขัดหลักธรรมาภิบาล

ตุลาการผู้แถลงคดีชี้ชัด ประธาน กสทช. ละเลยต่อหน้าที่โดยไม่ดำเนินการตามมติคณะกรรมการ เสนอให้ศาลมีคำสั่งเร่งรัดถอดถอนรักษาการเลขาธิการฯ และตั้งคณะกรรมการสอบวินัยภายใน 60 วัน เพื่อยืนยันหลักการบริหารจัดการภาครัฐตามกฎหมายและธรรมาภิบาล

วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จำนวน 4 ราย ได้แก่ พลอากาศโท ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ, รองศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง รามสูต, รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และรองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ได้ยื่นฟ้อง ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1764/2566 โดยระบุว่าผู้ถูกฟ้องละเลยต่อหน้าที่ในการไม่ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล และไม่แต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการฯ ให้รักษาการแทน ตามมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566

ต่อมาในการไต่สวนครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตุลาการผู้แถลงคดีได้เสนอข้อวินิจฉัยต่อองค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง โดยแบ่งประเด็นสำคัญออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

ประเด็นที่หนึ่ง กรณีประธาน กสทช. ไม่ลงนามในคำสั่งที่เป็นไปตามมติคณะกรรมการ ทั้งในเรื่องการสอบสวนทางวินัยและการเปลี่ยนตัวรักษาการเลขาธิการ ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยชัดแจ้ง ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ได้กำหนดให้ กสทช. เป็นองค์กรอิสระที่ดำเนินการโดยระบบคณะกรรมการร่วม ซึ่งประธานไม่มีอำนาจตัดสินใจเพียงลำพัง เว้นแต่ได้รับมอบหมายอย่างถูกต้องตามขั้นตอนทางกฎหมาย มติของคณะกรรมการจึงมีผลผูกพันสูงสุดในทางปฏิบัติ

ประเด็นที่สอง มติของที่ประชุมครั้งที่ 13/2566 วาระ 5.22 ซึ่งเสนอแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ภูมิศิษฐ์ ให้รักษาการแทนนั้น ยังไม่ถูกยกเลิกหรือเพิกถอน การที่ประธาน กสทช. ไม่ดำเนินการแม้มีหนังสือแจ้งเตือนถึงสองครั้ง จึงเป็นการละเมิดต่ออำนาจตามกฎหมาย และบ่อนทำลายหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการองค์กรสาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ

จากข้อวินิจฉัยดังกล่าว ตุลาการผู้แถลงคดีเสนอให้ศาลมีคำสั่งให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กสทช. ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่มีคำพิพากษา ได้แก่ ถอดถอนนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช.และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนายไตรรัตน์ให้เป็นไปตามมติที่ประชุม

สำหรับกรณีการแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ภูมิศิษฐ์ ซึ่งได้เกษียณอายุราชการแล้ว เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีคำสั่งบังคับอีกต่อไป

อย่างไรก็ดี แม้คำแถลงของตุลาการผู้แถลงคดียังไม่ใช่คำพิพากษาสุดท้าย แต่ตามหลักการของกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ศาลมีหน้าที่ต้องจัดพิมพ์และเผยแพร่ทั้งคำพิพากษาและความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดีต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นหลักประกันให้การใช้อำนาจรัฐอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างแท้จริง

"ประธานกสทช." ลงพื้นที่สระแก้ว ย้ำยุทธการ "ล้มเสา-ตัดสาย-ทำลายซิม" ทลายแก๊งคอลเซนเตอร์

"ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ ประธาน กสทช." นำทีมเจ้าหน้าที่ กสทช. ลงพื้นที่สระแก้ว ย้ำยุทธการ “ล้มเสา-ตัดสาย-ทำลายซิม” ทลายแก๊งคอลเซนเตอร์ ยกระดับความเข้มข้น สั่งผู้ให้บริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศลงรายละเอียด IP 

เมื่อวันนี้ 28 ก.พ. 2568 ประธาน กสทช. ได้นำทีมเจ้าหน้าที่สำนักงาน กสทช. ลงพื้นที่ จ.สระแก้ว ตามภารกิจนายกรัฐมนตรี เพื่อตรวจสอบสถานีวิทยุคมนาคมและการให้บริการโทรคมนาคมบริเวณหลังสถานีรถไฟคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งมีชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา ทั้งนี้ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า พื้นที่บริเวณหลังสถานีรถไฟคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ถือเป็นจุดที่มีพื้นที่ติดกับประเทศกัมพูชา จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ของขบวนการลักลอบใช้บริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ โดยเมื่อวันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา สำนักงาน กสทช. ได้ลงพื้นที่ดำเนินการตัดสายสื่อสารที่ตรวจพบว่าไม่มีเจ้าของเพื่อตรวจสอบหาผู้กระทำผิดและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป 

ประธาน กสทช. กล่าวว่า ได้สั่งการ สำนักงาน กสทช. ให้ยกระดับความเข้มข้นยุทธการล้มเสา ตัดสาย ทำลายซิม โดยให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศส่งข้อมูลรายละเอียดชื่อลูกค้าต่างประเทศที่ใช้รับบริการว่าเป็นบริษัทใด ใช้บริการประเภทใด พร้อม IP Address ที่ให้บริการแก่ลูกค้าหรือคู่สัญญาในต่างประเทศ  เพื่อใช้เป็นข้อมูลเฝ้าระวัง (Watch List) การนำ IP Address ไปใช้ในการโทรศัพท์หรือธุรกรรมออนไลน์ของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถนำไปในการตรวจสอบผู้ใช้งาน และเส้นทางการใช้งานสำหรับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ สำนักงานตำรวจ และธนาคาร เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการปิดกั้นการใช้งานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการสืบสวนผู้กระความผิดอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น

"เราได้ขอให้ผู้ให้บริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศดำเนินการตรวจสอบ และระงับการใช้งาน IP Address ของมิจฉาชีพ เพื่อเป็นการสนับสนุนภารกิจของรัฐบาลในการแก้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นภัยทางสังคมและความมั่นคงของรัฐโดยให้ดำเนินการอย่างเคร่งครัด ผมได้สั่งการให้สำนักงาน กสทช. ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเข้มข้น เด็ดขาด และนี่คือเรื่องสำคัญมากของชาติจึงใช้โอกาสนี้ลงพื้นที่มาติดตามเอง"

ประธาน กสทช. กล่าวว่า ตลอดทั้งเดือน ก.พ. สำนักงาน กสทช. ได้ลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ในจังหวัดที่มีอาณาเขตติดกับชายแดน เพื่อตรวจสอบเรื่อง เสา สาย ซิม อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสิ้น 6 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดตาก สงขลา หนองคาย โดยจังหวัดสระแก้ว ครั้งนี้เป็นการลงพื้นที่ครั้งที่ 3 ซึ่งทุกพื้นที่ได้มีการตัดสายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และนำเสาอากาศลงจากเสา หรือแก้ไขความสูงของเสาและความแรงของสัญญาณโทรศัพท์มือถือตามมาตรการที่กำหนด เพื่อมิให้สัญญาณล้ำข้ามแดนและนำไปสู่การใช้ประโยชน์ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

"หมอเปรม" อัด กสทช.แดนสนธยา ข้องใจประธานกสทช.ขาดคุณสมบัติแต่ยังทำงานได้

ที่รัฐสภา นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา ได้อภิปรายระหว่างการพิจารณารายงานผลการปฏิบัติงาน กสทช.ประจำปี 2566 และรายงานการติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน กสทช. สำนักงาน กสทช. และเลขาธิการ กสทช. ประจำปี 2566 ว่า ปกติการพิจารณารายงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มาสู่วุฒิสภาส่วนใหญ่มีแต่รับรองแล้วผ่านไป เหมือนวุฒิสภาเป็นตรายาง ไม่สามารถทำอย่างอื่นได้  แต่หน่วยงานของกสทช.จะให้ผ่านไม่ได้จริงๆ ด้วยเหตุผลคือ คณะกรรมการกสทช.ชุดนี้ ถือเป็นชุดที่ 3 มีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล กรรมการกสทช.มี 7 ท่าน มาชี้แจงเพียง 6 ท่าน และทราบมาอีกว่า ประธานคณะกรรมการกสทช. ไม่ได้แจ้งให้มาชี้แจง ทั้งที่ทุกท่านต้องมีอิสระในการทำงาน 

ทั้งนี้ ที่แปลกเมื่อวันที่ 15 ส.ค. ประธานกสทช. ไปชี้แจงที่สภาผู้แทนราษฎร ก็ไม่มีคณะกรรมการกสทช.ไปชี้แจง ทราบว่า ไม่ได้รับการแจ้งให้ไปชี้แจงต่อสภาฯ ในขณะเดียวกันคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ หรือค.ต.ป.มากันครบและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากถึงข้อสังเกตในการทำงาน โดยเฉพาะการควบรวมกิจการของโทรศัพท์ เมื่อเป็นเช่นนี้ตนอยากให้ประธานวุฒิสภา ไปดูขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าที่พหลโยธินซอย 8 จะได้เห็นว่า การทำงานตรงนั้นเป็นองค์กรใหม่ก็จริง มีพ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ตั้งแต่ปี 2553 แต่การเติบโตของกิจการในเครือข่ายนี้เติบโตมากจนน่ากลัว มีแต่ปัญหาผลประโยชน์ภายใน หลายคนเห็นว่าเป็นเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อน ความจริงไม่มีอะไรซับซ้อน ปัญหามีมาจาก 2 คนเท่านั้น คือ คนหนึ่งขาดคุณสมบัติ อีกคนหนึ่งรักษาการมาเกือบ 4 ปีแล้วไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรในองค์กรนี้ ตนไม่ได้พูดโดยอาศัยข้อมูลจากที่อื่น แต่เป็นข้อมูลจากคณะกรรมาธิการเทคโนโลยี กิจการสื่อสารและโทรคมนาคม วุฒิสภา ซึ่งกรรมาธิการฯชุดที่แล้วสอบสวนไว้ดีมาก ดำเนินการสืบสวนใช้เวลา 6 เดือนได้เชิญบุคคลต่าง ๆเข้ามาชี้แจงการตรวจสอบคุณสมบัติของประธานกสทช.ปรากฏว่า ไม่ได้รับความร่วมมือทั้งจากเจ้าหน้าที่หรือท่านใดมาชี้แจง

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า หลังจากกรรมาธิการฯ ตรวจสอบเสร็จแล้ว กลับมีหนังสือจากประธานกสทช.โต้แย้งว่า วุฒิสภาไม่มีอำนาจในการตรวจสอบ ในประเทศไทยกฎหมายสูงสุดที่ใหญ่ที่สุดเป็นแม่บทของประเทศคือ รัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐธรรมนูญให้อำนาจวุฒิสภากำกับองค์กรอิสระ แต่ประธานกสทช.โต้วุฒิสภาไม่มีอำนาจตรวจสอบ ขณะเดียวกันเลขาธิการวุฒิสภาได้มีหนังสือตอบกลับไปยังประธานกสทช.ว่า อำนาจของวุฒิสภาตรวจสอบองค์กรอิสระได้แน่นอน ตนถือว่าเป็นการท้าทายมาก ทำให้ประชาชนรู้สึกสับสนในอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ถ้าวุฒิสภาแตะองค์กรอิสระไม่ได้แล้วใครแตะต้องได้ ถ้าองค์กรอิสระกระทำผิด หรือบุคคลในองค์กรอิสระทำไม่ถูกกฎหมายใครจะแก้ไขได้

"กรรมาธิการฯ ชุดที่มี พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นประธานฯ ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของประธานกสทช. ว่าขาดคุณสมบัติหลายประการในข้อสรุปมี 95 หน้า ลงท้ายลงความเห็นว่า จากพยานหลักฐานข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ในขั้นพิจารณาของกรรมาธิการฯประกอบกับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมาธิการฯพิจารณาแล้วเห็นว่า นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกสทช.ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ตามพ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ฯ  พล.อ.อนันตพรได้ทำหนังสือตามขั้นตอนส่งไปยังประธานวุฒิสภาขณะนั้น ปรากฏว่า เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของวุฒิสภา ช่วงนั้นเกิดคำถามหลายอย่างทำให้ประธานวุฒิสภาไม่ได้เซ็นหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรีตามขั้นตอน เรื่องจึงมาตกที่ประธานวุฒิสภาคนปัจจุบันจะดำเนินการอย่างไร ถ้าวุฒิสภาตรวจสอบไม่ได้ประชาชนจะพึ่งใคร จึงขอเรียนประธานวุฒิสภาว่า ให้ดูเรื่องนี้ใหม่ว่า เรื่องมาถึงประธานวุฒิสภาหรือยัง ถ้าเห็นว่า ผลการตรวจสอบมีน้ำหนักน่าเชื่อถือให้ส่งไปยังนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งได้แถลงนโยบายจะขจัดคอรัปชั่นจะทำในสิ่งที่เป็นความหวังของประชาชน ถือเป็นการดีว่าจะกล้าลงดาบอะไรหรือไม่ เพราะผลการสอบชัดเจนชัดยิ่งกว่าชัดไม่อยากให้คาราคาซัง"

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ผลประโยชน์ของกสทช.ในตำแหน่งไม่เท่าไหร่ แต่การอนุมัติคลื่นความถี่ มีวงเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน แต่สิ่งที่คนทั่วไปไม่ทราบค่าตอบแทนบอร์ดกสทช. ประธานบอร์ดกสทช.ค่าตอบแทนเหมาจ่ายรายเดือน 361,167 บาท  นอกจากนั้นยังมีค่าเสียโอกาสเดือนละ 89,667 บาท อยากถามว่า ค่าเสียโอกาสอะไร ส่วนกรรมการอีก 6 คน ค่าตอบแทนเหมารายเดือน 289,167 บาทค่าเสียโอกาส 71,667 บาทต่อเดือน ในขณะที่นายกรัฐมนตรี มีค่าตอบแทนรายเดือน 125,590 บาท ส่วนเงินนอกกฎหมายอีกไม่รู้เท่าไหร่ ค่าเสียโอกาสเขาเขียนไว้ทำไม 

อย่างไรก็ตาม ประธานกสทช. ถูกกรรมาธิการฯตรวจสอบอย่างที่ตนอภิปรายว่า ท่านมีความบกพร่องในส่วนนี้ จึงเป็นข้อเรียกร้องของตนในฐานะวุฒิสภา และเพื่อนวุฒิสภาถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นแบบนี้ และประธานกสทช.ชอบโต้แย้งเสมอว่า วุฒิสภาไม่มีอำนาจแล้วใครจะตรวจสอบท่านได้  ท่านจะกลายเป็นคนที่แตะต้องได้อย่างนั้นหรือ พหลโยธินซอย 8 แทนที่จะเป็นแดนศิวิไล แต่กลายเป็นแดนสนธยา ตนจึงไม่สามารถรับรองรายงานของ กสทช.ได้

ส.ส.อภิปรายปม "ประธานกสทช.ขาดคุณสมบัติ" จี้ ถาม "ลาออกเมื่อไหร่ รับผิดชอบอย่างไร"

วันนี้ 15 สิงหาคม 2567 ณ รัฐสภา ได้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฏร พิจารณารายงานผลการดำเนินการของ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ประจำปี 2566 ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่ สภาผู้แทนราษฏรเรียงคิวอภิปราย คือ การขาดคุณสมบัติของ นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. 

นายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายกว่า ประธาน กสทช. ถูกร้องเรียนต่อวุฒิสภา เรื่องคุณสมบัติ มีการร้องเรียนว่า เอาเวลาไปทำงานที่อื่นด้วย ไปเป็นกรรมการอิสระของธนาคารด้วย เรืองร้องเรียนนี้อยู่ในวุฒิสภา และได้ทำการตรวจสอบแล้วจาก กมธ.ไอซีที จึงอยากทราบว่า ถ้าประธานกสทช.เป็นอย่างนั้นจริง ท่านบกพร่องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ จะแก้ไขอย่างไร ทราบว่าเรื่องนี้ทางวุฒิสภาได้ดำเนินการตรวจสอบและมีผลการตรวจสอบส่งไปที่ประธานวุฒิสภาแล้ว คาดว่าประธานวุฒิสภาจะดำเนินการตามกฎหมาย ขอทราบคำตอบเรื่องนี้ เพราะเห็นว่าผลการตรวจสอบมีมูลตามที่ร้องเรียน 

นายวีรภัทร คันธะ ส.ส.สมุทร ปราการ พรรคประชาชน กล่าวว่า ประธานกรรมการ กสทช. มีปัญหาที่หลายคนตั้งคำถามเรื่องเริ่มจาก ปัญหาคุณสมบัติ ปัญหาการบริหารงานที่มีความล่าช้าและปัญหาการสรรหาเลขาธิการที่มีความล่าช้า ต้องตั้งรักษาการมาถึง 4 ปี ยังสรรหาไม่ได้ 

เรื่องคุณสมบัติ กมธ.ไอซีทีของวุฒิสภา ได้ทำการตรวจสอบ และสรุปผลการตรวจสอบเรื่องคุณสมบัติว่ามีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ ประธาน กสทช.ยังมีสถานะเป็นพนักงานและกรรมการมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งยินยอมเสนอชื่อตัวเองให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นธนาคาร ให้ความเห็นชอบเป็นกรรมการธนาคารโดยยังไม่ได้ลาออก  ซึ่งผลการตรวจสอบมีพยานหลักฐาน และกรรมาธิการของวุฒิสภาสรุปผลการตรวจสอบว่าผิดจริง แต่ไม่ได้แสดงสปิริตลาออกยังคงทำงานต่อไป 

จึงอยากถาม กสทช. ว่า การมีผู้บริหารหน่วยงานที่มีที่มาไม่ถูกต้องจะรับผิดชอบอย่างไร ประธานกสทช. น่าจะหยุดปฎิบัติหน้าที่และลาออกไปซะ เพราะมีเอกสารหลักฐานชัดเจนว่าผิดจริง แต่ท่านกลับยังลอยหน้าลอยตาทำงานอยู่อย่างงี้ ทั้งหมดก็เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายภายหลัง ทำให้เรื่องที่ผ่านการพิจารณาเป็นโมฆะ ซึ่งที่ผ่านมา ประธานวุฒิท่านเดิม คุณพรเพชรก็ได้ส่งเรื่องไปยังนายกรัฐมนตรีแล้ว ก่อนที่ท่านจะหมดวาระ วันนี้ อันที่จริง พวกเราก็อยากจะขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีเศรษฐา มีคำสั่งให้ นายแพทย์ สรณ พ้นจากตำแหน่ง แต่ท่านนายกฯ ก็ดันมาจากตำแหน่งเสียก่อน

ด้านนายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.ชี้แจงถึงประเด็นคุณสมบัติของตนว่า เรื่องรายงานของ กมธ.ไอซีที ที่อ้างถึงคุณสมบัตินั้น จัดทำโดยผู้ที่ไม่มีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นการให้ร้ายและเกิดจากความลำเอียง บิดเบือนไม่เป็นกลาง และประธานวุฒิสภาก็ไม่ได้เห็นด้วยและดำเนินการต่อไป  ในความจริงตนได้ลาออกจากการเป็นพนักงานมหาลัยฯ ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2565 และได้ตอบคำถามวุฒิสภาเรียบร้อยแล้วตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 18 พระราชบัญญัติองค์กร ตั้งแต่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ตนไม่เคยขาดคุณสมบัติ และทำงานเต็มเวลา ไม่เคยเป็นกรรมการบริษัทเอกชน รวมถึงไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน ในการทำหน้าที่กสทช.

จับตา 15 ส.ค. กสทช.เตรียมเสนอรายงานผลปฏิบัติงาน 2566 ต่อ รัฐสภาฯ คาดเรื่องใหญ่คุณสมบัติประธาน ถูกหยิบถก

จับตาวันพรุ่งนี้ 15 สิงหาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เตรียมเข้ารายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2566 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 14 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตามระเบียบวาระการประชุมที่ 2.2 รับทราบรายงานผลการปฏิบัติงาน กสทช ประจำปี 2566 คาดว่า จะมีการหยิบยกเรื่อง คุณสมบัติประธาน กสทช. มาถกต่อ หลังจากที่ กมธ.ไอซีที ชุดก่อนนี้ ได้มีมติแล้วว่า ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 ข. (12) มาตรา 8 มาตรา 18 มาตรา 20 และมาตรา 26  แต่ก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆ ต่อ หลังจากหนังสือถูกยื่นถึงประธานวุฒิสภาคนก่อน ที่เพิ่งหมดวาระไป

จากเอกสารรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2566 ของ กสทช. เพื่อเตรียมรายงานต่อ สภาฯ โดยส่วนใหญ่ในเอกสารเป็นผลงานในปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาและอุปสรรค กลับมีเพียง 2 เรื่อง คือปัญหาเรื่องการจัดระเบียบสายสื่อสารและการนำสายสื่อสารลงดิน และ การให้บริการแพร่ภาพกระจายเสียงผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต ส่วนประเด็นปัญหาเรื่องของคุณสมบัติประธาน กสทช. ที่เป็นประเด็นร้อน ไม่มีระบุในรายงาน

​อย่างไรก็ตาม ในวันพรุ่งนี้ ต้องรอลุ้นว่า เรื่องคุณสมบัติประธาน กสทช.ดังกล่าว จะถูกหยิบขึ้นมาซักถามเพื่อสางปัญหาที่ค้างคามายาวนาน ขององค์กรอิสระแห่งนี้หรือไม่

อดีตรองเลขาฯกสทช. ยื่นหนังสือถึงนายกฯ หลังปธ.วุฒิฯดองเรื่อง กมธ.ไอซีที ฟันชัด “นพ.สรณ” ผิดคุณสมบัติ "ประธานกสทช."

วันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี  ผู้ช่วยช่วยศาสตราจารย์ ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ  อดีตรองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เดินทางนำเอกสารและหนังสือเข้าร้องเรียนต่อ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความเป็นธรรมและให้ติดตามการพิจารณาในกรณีการขาดคุณสมบัติของนายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.หลังจากที่ คณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา หรือ กมธ.ไอซีที มีความเห็นว่า นพ.สรณ ขาดคุณสมบัติการเป็นประธานและกรรมการ กสทช.ตามระเบียบกฎหมาย พร้อมได้ส่งเรื่องไปยัง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาพิจารณาแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ นานนับเดือน ทั้งที่จริงรายงานควรส่งถึงท่านนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้าที่วุฒิสภาชุดนี้จะหมดวาระ สว. ด้วยซ้ำ ตนจึงได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือ โดยมี นายสมพาส นิลพันธ์ ที่ปรึกษาปลัดสำนักนายก เป็นตัวแทนรับเอกสาร

ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ  อดีตรองเลขา กสทช. กล่าวว่า ช่วงเดือนกันยายน 2566 ตนได้มีหนังสือไปยังวุฒิสภา เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ นพ.สรณ ประธาน กสทช. ว่ามีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 7 หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 8 และมาตรา 18 รวมทั้งมิได้ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาตามมาตรา 26 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ 2553 โดยตนได้ยื่นตรวจสอบ 3 กรณี 

1. ประธาน กสทช.ยังมีสถานะ “เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย” ทำหน้าที่ตรวจและรักษาคนไข้ผู้ป่วยได้รับค่าตอบแทนรายชั่วโมง ของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มาตลอดจนถึงปัจจุบัน

2. ประธาน กสทช. ยินยอมให้เสนอชื่อตนเองต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของ ธนาคารกรุงเทพ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเลือกและยอมรับการเป็นกรรมการของธนาคารดังกล่าว พร้อมทั้งมิได้ลาออกจากตำแหน่ง ถึงแม้จะได้รับการโปรดเกล้ารับตำแหน่ง กรรมการ กสทช.ก็ตาม

3. ประธาน กสทช. ยังคงมีสถานะเป็นผู้บริหารหรือพนักงานของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ช่อง รามาชาแนล ก่อนเข้ารับตำแหน่ง กรรมการ กสทช.

ซึ่งจากบันทึกการประชุม กมธ.ไอซีที เลขที่ 17/2567 วันที่ 28 พ.ค.2567 ตามhttps://www.senate.go.th/v2/files/commission/report/25670614_133058.pdf ปรากฎเอกสารการพิจารณาข้อมูลและพยานหลักฐานประกอบกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วนั้น มีความเห็นว่า ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณฯ มีลักษณะเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 ข. (12) มาตรา 8 มาตรา 18 มาตรา 20 และมาตรา 26 นอกจากนี้ ยังมีมติให้กราบเรียนประธานวุฒิสภาพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

ภายหลังที่ทราบความเห็นและมติของ กมธ.ไอซีที ตนจึงได้ทำหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าในการพิจารณาคุณสมบัติของประธาน กสทช.แต่จนถึงปัจจุบัน ยังมิได้ดำเนินการตามตามอำนาจผูกพันตามกฎหมายพ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา ๗ ข. (๑๒) มาตรา ๘ มาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๐

ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.ภูมิศิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากขอกราบเรียนไปยังนายกรัฐมนตรี ในฐานะ   ผู้รักษาการตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ได้โปรดดำเนินการตามอำนาจผูกพันตามกฎหมาย พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา ๗ ข. (๑๒) มาตรา ๘ มาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๐ เพราะการนิ่งเฉยดังกล่าวอาจจะส่งผลเสียต่อประโยชน์สาธารณะและการดำเนินกิจการโทรคมนาคมของประเทศ ซึ่งอาจเข้าข่ายการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้  และในระหว่างนี้ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้รักษาการตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ได้โปรดมีคำสั่งให้ ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานและกรรมการ กสทช.  ไว้ก่อน เนื่องจาก ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ ต้องพ้นจากตำแหน่ง กรรมการ กสทช. ตั้งแต่วันที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา ๗ หรือการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๘ แห่ง พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ หากยังคงให้ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณปฏิบัติหน้าที่ กสทช. ต่อไปอาจก่อให้ความเสียหายในอนาคตเพราะการอนุมัติต่างๆ อาจจะถือเป็นโมฆะได