"เพื่อไทย" จี้รัฐบาล ต่ออายุโครงการนำร่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน

รองโฆษกเพื่อไทย เรียกร้องรัฐบาล ต่ออายุโครงการนำร่องรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย (สายสีแดง-สายสีม่วง) ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชน แนะอย่าคิดแค่รักษาหน้าตัวเอง จนลืมคิดถึงผลประโยชน์กับประชาชน

เมื่อวันที่ 21 ก.ย.68 นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึงกรณีที่โครงการนำร่อง รถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ในสายสีแดง และสายสีม่วง ที่ดำเนินโครงการมาตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. 2566 หรือเกือบ 2 ปี และอาจจะต้องยุติลง แล้วกลับไปใช้ค่าโดยสารในราคาเดิมตามปกติซึ่งมีค่าโดยอัตรา สูงสุดอยู่ที่ 42 บาท เนื่องจากยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า รัฐบาลภูมิใจไทยจะพิจารณาต่ออายุให้กับโครงการนี้หรือไม่

พรรคเพื่อไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลใหม่จะสานต่อสิ่งดีๆ ที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ทำไว้ เพราะเป็นประโยชน์กับประชาชน และเชื่อว่า รัฐบาลจะเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่าการปฏิเสธบางโครงการเพียงเพราะเคยเป็นโครงการของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย  

จึงอยากเรียกร้องรัฐบาลใหม่ ให้มีมติในการประชุม ครม. นัดแรก เดินหน้าสานต่อโครงการนำร่องดังกล่าวต่อไป เนื่องจากโครงการนี้ มีประชาชนที่อาศัยอยู่ย่านเมือง ได้ประโยชน์จากโครงการนี้แสนกว่าคน และที่สำคัญเมื่อการดำเนินโครงการนี้ ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมาย

อ้างอิงข้อมูลเมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา พบว่า รถไฟฟ้าสายสีม่วง มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในวันธรรมดาประมาณ 8.1 - 8.8 หมื่นคน/วัน ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดง มีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยในวันธรรมดา ประมาณ 4.1 - 4.5 หมื่นคน/วัน

ซึ่งเมื่อมีผู้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น ก็ยิ่งที่ให้รัฐจ่ายชดเชยลดลงไปเท่านั้น ดังเช่นเมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา ท่านสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เปิดเผยข้อมูลว่า หลังจากมีการดำเนินโครงการนี้ ทำให้รถไฟฟ้าทั้งสองสาย มีรายได้เพิ่มขึ้น 12.28% เพราะเมื่อจำนวนผู้โดยสารเพิ่ม รายได้ก็เพิ่มขึ้นด้วย หมายความว่ารัฐจะจ่ายค่าชดเชยน้อยลง หรืออาจจะไม่ต้องชดเชยเลย หากจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นอีก

ดังนั้นหากรัฐบาลชุดนี้ไม่สานต่อนโยบาย 20 บาทตลอดสาย พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าจะกลับไปผลักดันนโยบายนี้เองให้สำเร็จ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในการลดค่าใช้จ่ายและยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างแน่นอน

สคส. จี้บริษัทเคลียร์ให้ชัด แจงปชช.ระวัง “สแกนม่านตา” ย้อนกลับ ระบุตัวบุคคลได้

สคส. ย้ำ “ข้อมูลม่านตาคือข้อมูลอ่อนไหว” ต้องโปร่งใส–เคารพสิทธิประชาชน ข้อมูลชีวมิติ (Biometric Data) โดยเฉพาะม่านตา ถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวตามกฎหมาย การเก็บรวบรวมต้องได้รับความยินยอม (Consent) อย่างถูกต้อง โปร่งใส และแจ้งวัตถุประสงค์ที่แท้จริง

วันที่ 20 กันยายน 2568 พ.ต.อ. สุรพงศ์ เปล่งขำ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สคส. หรือ PDPC เปิดเผยภายหลังได้ตรวจพิสูจน์หลักฐานการสแกนม่านตาดังกล่าวว่า กรณีนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนถึง ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของสังคมไทย

พร้อมเน้นย้ำว่า “ข้อมูลชีวมิติ (Biometric Data) โดยเฉพาะม่านตา ถือเป็นข้อมูลอ่อนไหวตามกฎหมาย ต้องได้รับความยินยอมอย่างถูกต้องและโปร่งใส” พร้อมระบุ 2 เงื่อนไขสำคัญที่จะสร้างความสงบเรียบร้อยและความเชื่อมั่น คือ

1. ความโปร่งใส (Transparency) ในการแจ้งวัตถุประสงค์ที่แท้จริง และ

2. การคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูล (Data Subject Rights) อย่างครบถ้วน

 ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจากการตรวจสอบของ สคส. พบข้อกังวลหลายประเด็น โดยบริษัทแม้อ้างว่ามีการ “ลบทำลายข้อมูล” การสแกนม่านตามีวัตถุประสงค์เป็นเพียงการยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น มิได้มีวัตถุประสงค์ในการระบุยืนยันถึงตัวบุคคล แต่ยังไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่ามีการลบทำลายจริงหรือไม่อย่างไร อีกทั้งยังพบกรณีการจ้างบุคคลเข้ามาสแกนม่านตาเพื่อแลกเหรียญ ซึ่งก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยและเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ แม้ว่าบริษัทจะชี้แจงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพ แต่ สคส. เห็นว่าจำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันเชิงรุก อาทิ การจัดทำข้อความแจ้งเตือน การติดตั้งป้ายประชาสัมพันธ์ที่ชัดเจน และการจัดเจ้าหน้าที่ควบคุมการสแกนในพื้นที่จริง

และเพื่อความโปร่งใส บริษัทได้ชะลอการสแกนม่านตา และกำหนดวันแสดงหลักฐานต่อสาธารณชน ผลการแสดงหลักฐานพบว่า ผู้ที่สแกนแล้วไม่สามารถสแกนซ้ำได้อีก แสดงว่าการสแกนม่านตามีวัตถุประสงค์ทั้งเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์และป้องกันการซ้ำบุคคล แม้จะอ้างว่ามีการลบข้อมูล แต่ข้อมูลม่านตายังสามารถย้อนกลับไประบุตัวบุคคลได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งประชาชนควรรับรู้ก่อนตัดสินใจยินยอมสแกน

พ.ต.อ. สุรพงศ์ ระบุว่า หากการขอความยินยอม (Consent) ไม่แจ้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่า ข้อมูลยังสามารถย้อนกลับมายืนยันตัวบุคคลได้ อาจถือเป็นการขอความยินยอมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 19 วรรค 3 อันเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนตามมาตรา 26 คือการเก็บรวบรวมข้อมูลอ่อนไหว โดยไม่ได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้ง มีโทษตามมาตรา 84 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งมีโทษปรับทางปกครองสูงสุดถึง 5 ล้านบาท

“เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงประเด็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่คือความมั่นคงของสังคม ซึ่งมาตรการในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลคือ ต้องสื่อสารข้อเท็จจริงให้ประชาชนเข้าใจอย่างตรงไปตรงมา ทาง สคส. จะดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด และสมดุลกับการพัฒนาเทคโนโลยีให้สอดคล้องกับบริบทสังคมไทยต่อไป” พ.ต.อ. สุรพงศ์ กล่าว

ทช.เพิ่มศักยภาพการเดินทางให้ปชช.ขยายตัวของชุมชนในอนาคต ยกระดับถนนสาย นย.5032 จ.นครนายกเสร็จสมบูรณ์

กรมทางหลวงชนบท เพิ่มศักยภาพการเดินทางให้ประชาชนใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รองรับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต ยกระดับถนนสาย นย.5032 จ.นครนายก เสร็จสมบูรณ์ และเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรเรียบร้อยแล้ว

วันที่ 18 กันยายน 2568 นายมนตรี เดชาสกุลสม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เผยว่า กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้ดำเนินโครงการก่อสร้างยกระดับชั้นทางถนนทางหลวงชนบทสาย นย.5032 แยกทางหลวงชนบทสาย นย.4031 - ประตูระบายน้ำคลอง 1 อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เสร็จสมบูรณ์ เพื่อให้ประชาชนสามารถเดินทาง
ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รองรับการขยายตัวของชุมชน ส่งเสริมเศรษฐกิจการขนส่งพืชผลทางการเกษตรในพื้นที่ให้มีความสะดวก รวดเร็ว ทันเวลา ทำให้ผลผลิตไม่ได้รับความเสียหายจากการขนย้าย เป็นการยกระดับการคมนาคมให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น 

อธิบดีทช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ถนนสายนี้ปัจจุบันมีการจราจรมากถึง 1,371 คันต่อวัน เป็นสายทางที่มีหน่วยงานราชการ สถานศึกษา ตั้งอยู่หลายแห่ง ได้แก่ วิทยาลัยการอาชีพองครักษ์ โรงเรียนกีฬาจังหวัดนครนายก เรือนจำจังหวัดนครนายก และยังเป็นเส้นทางที่ประชาชนใช้ลำเลียงขนส่งผลผลิตทางการเกษตร เนื่องจากประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม อาทิ สวนผลไม้ พืชไร่ และบ่อปลา ทช. จึงได้ดำเนินการปรับปรุงขยายโครงสร้างชั้นทางเดิมจากถนนเดิมผิวจราจรกว้าง 6 เมตร เป็นผิวจราจรกว้าง 7 เมตร ไหล่ทางข้างละ 1.50 เมตร รวมถนนกว้าง 10 เมตร โดยมีจุดเริ่มต้นที่ กม.ที่ 2+800 ถึง กม.ที่ 4+800 รวมระยะทางดำเนินการ 2 กิโลเมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 27.990 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจด้านการค้าการขนส่งให้ดีมากยิ่งขึ้น นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมในพื้นที่จังหวัดนครนายกต่อไป 

นอกจากนี้ ถนนทางหลวงชนบทสาย นย.5032 ยังเป็นเส้นทางคมนาคมที่สามารถยกระดับคุณภาพการคมนาคมให้เกิดการพัฒนาเชื่อมโยงโครงข่ายทางให้สมบูรณ์ ประชาชนสามารถใช้เส้นทางดังกล่าวเดินทางระหว่างจังหวัดนครนายก มุ่งสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปทุมธานี โดยเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อถนนทางหลวงชนบทสาย นย.3001 เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่แออัดบนถนนสายหลักได้อีกทางหนึ่งด้วย

วิกฤติบัญชีม้า!...ปราบมิจฉาชีพ หรือซ้ำเติมประชาชน?

มาตรการอายัดบัญชีธนาคารที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับ “บัญชีม้า” เพื่อตัดวงจรทางการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์และมิจฉาชีพไซเบอร์ แต่ผลที่เกิดขึ้น กลับสะท้อนความเดือดร้อนอย่างรุนแรงในวงกว้าง “ประชาชน” ผู้บริสุทธ์ จำนวนมาก โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ผู้ใช้แรงงาน และผู้ประกอบการรายย่อย กลายเป็น “เหยื่อร่วม” เงินในบัญชีถูก “แช่แข็ง”โดยไม่ทันตั้งตัว กระทบตั้งแต่ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ไปจนถึงทุนหมุนเวียนทางธุรกิจ

เสียงสะท้อนจากสังคมจึงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง บางรายเปรียบว่า นโยบายที่ตั้งใจ “ปราบคนผิด” กลับกลายเป็นการ “ลงโทษคนบริสุทธิ์” อย่างไม่เป็นธรรม

ล่าสุด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เรียกประชุมด่วน กับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9 รวมถึงผู้บังคับการตำรวจทุกจังหวัด เพื่อวางแนวทางรับมือและแก้ไขปัญหาที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการอายัดบัญชี พร้อมยืนยันว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไม่ผลักภาระให้หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่จะบูรณาการร่วมกับ ปปง., กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, ธนาคารแห่งประเทศไทย และ กสทช. เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน พร้อมสั่งการให้ทุกพื้นที่ดำเนินการทันทีในวันที่ 16 กันยายน เวลา 10.00 น.

ทั้งนี้ ไม่ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ต่างออกมายืนยันว่า มาตรการดังกล่าวทำไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม และมีการเปิดช่องทางร้องเรียน เช่น สายด่วน 1441, 191 และ 1599 รวมถึงการปลดล็อกบัญชีภายในครึ่งวันหากข้อมูลครบถ้วน

แต่ปัญหาใหญ่ที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักในขณะนี้ คือ การควบคุม “ต้นทางบัญชีม้า” ที่ยังไม่เด็ดขาดเพียงพอ บัญชีเหล่านี้ ยังสามารถทำธุรกรรมบางประเภทได้ ทำให้ร้านค้าและประชาชนปลายทางต้องรับเคราะห์แทน

นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค เสนอว่า ธนาคารควร “ปิดตาย” การทำธุรกรรมจากบัญชีต้องสงสัยอย่างจริงจัง และมุ่งตรวจสอบพฤติกรรมการใช้เงินเชิงลึก เพราะธนาคารมีข้อมูลเพียงพอที่จะคัดกรองผู้ต้องสงสัย เช่น หากมีการโอนเงินผิดปกติในจำนวนสูง ควรถูกตรวจสอบทันที ไม่ใช่ปล่อยให้เงินไหลไปยังบัญชีผู้สุจริตแล้วค่อยอายัดภายหลัง

ขณะที่ฝ่ายการเมืองและนักเคลื่อนไหวอย่างนายศรีสุวรรณ จรรยา ตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของหน่วยงานรัฐ ธนาคาร และ ปปง. ที่ใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายโดยไม่เตรียมกลไกป้องกันความเสียหายของประชาชน

อย่างไรก็ตาม มาตรการสกัดบัญชีม้า ถือเป็น “ยาแรง” ที่มีเป้าหมายถูกต้อง แต่การใช้ยาที่แรงเกินไป โดยไม่คำนึงถึงผลข้างเคียง กำลังบั่นทอนความเชื่อมั่นและความเป็นธรรมในสังคม

โจทย์ใหญ่ของรัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ธนาคาร คือ การสร้าง “สมดุล” ระหว่างการปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ และการปกป้องสิทธิประชาชนผู้บริสุทธิ์ มาตรการตรวจสอบเชิงป้องกัน การปลดล็อกบัญชีที่รวดเร็ว และการสื่อสารที่โปร่งใส คือ หัวใจที่จะทำให้วิกฤติครั้งนี้ไม่บานปลายไปสู่ความไม่ไว้วางใจต่อทั้งระบบ

วิกฤติ “บัญชีม้า” ครั้งนี้สะท้อนโจทย์ใหญ่ของสังคมไทยว่า การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไม่อาจสำเร็จได้ด้วยการใช้ “ยาแรง” เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องควบคู่ไปกับมาตรการที่รอบคอบ เป็นธรรม และคำนึงถึงสิทธิของผู้สุจริต การปลดล็อกบัญชีที่รวดเร็ว การตรวจสอบต้นทางอย่างเข้มข้น และการสื่อสารที่โปร่งใสคือคำตอบที่ประชาชนรอคอย เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สังคมต้องการไม่ใช่เพียงการปราบมิจฉาชีพให้สิ้นซาก แต่คือการรักษาความเชื่อมั่นในระบบการเงินและความยุติธรรมของรัฐให้มั่นคง

#อายัดบัญชี #บัญชีม้า #โอนเงิน #สแกนจ่าย #สิทธิประชาชน #ธปท #ข่าวการเงิน #DramaAddict #การเงินดิจิทัล

“ร้องเรียนไม่มีตัวตน” เกมซ่อนเงื่อนอ้างประชาชน แต่ชาวบ้านไม่เคยพูด

ทุกครั้งที่เกิดปัญหาการตั้งด่านชั่งน้ำหนัก การก่อสร้างถนน หรือโครงการรัฐที่ประชาชนตั้งคำถาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมักมีคำอธิบายสั้น ๆ ว่า“มีการร้องเรียนผ่านคอลเซนเตอร์”

ฟังเผิน ๆ ดูเหมือนโปร่งใส เหมือนมี “เสียงประชาชน” อยู่เบื้องหลัง แต่พอชาวบ้านลองถามหาตัวตนของผู้ร้องเรียน กลับไม่เคยเจอใครออกมายืนยันว่า “ใช่ ฉันนี่แหละที่แจ้งเรื่องไป”

ร้องเรียนจริงหรือแค่ใบเบิกทาง? หลายพื้นที่พบปัญหาคล้ายกัน

 • มีการตั้งด่านลอยในจุดที่ไม่เหมาะสม เช่น หน้าโรงเรียน หรือ ชุมชนแออัด

 • เมื่อถามเจ้าหน้าที่ ก็ตอบว่า “ทำเพราะมีคนร้องเรียนเข้ามา”

 • แต่เมื่อถามหาหลักฐานของผู้ร้องเรียน กลับไม่มีการเปิดเผยรายชื่อ เบอร์โทร หรือเอกสารใด ๆ

ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่าเสียงร้องเรียนที่ถูกอ้างนั้น มีอยู่จริง หรือเป็นเพียง “ใบเบิกทาง” เพื่อทำให้การตั้งด่าน/ใช้งบประมาณดูมีเหตุผล?

เกมที่เล่นกับความน่าเชื่อถือ การอ้างคำร้องเรียนที่ตรวจสอบไม่ได้ อาจทำให้เกิดผลเสียร้ายแรง

 1. บิดเบือนเจตนาของประชาชน – ชาวบ้านตัวจริงที่ได้รับผลกระทบกลับถูกเพิกเฉย

 2. เอื้อประโยชน์บางฝ่าย – ด่านหรือโครงการบางอย่างอาจตั้งขึ้นเพื่อช่วงจังหวะผลประโยชน์ เช่น ฤดูขนส่งอ้อย หรือธุรกิจหิน

 3. งบประมาณเสี่ยงซ้ำซ้อน – ใช้เงินภาษีไปกับโครงการที่ไม่ตอบโจทย์ประชาชนจริง

ทางออกที่ควรเกิดขึ้น หากต้องการความโปร่งใสจริง ๆ

 • ทุกการร้องเรียนควรมีรหัสติดตาม เพื่อยืนยันว่ามีผู้ร้องเรียนจริง

 • หน่วยงานควรเปิดเผยสถิติรายเดือน เช่น มีร้องเรียนกี่ราย กี่รายยืนยันตัวตน

 • ให้สิทธิผู้ร้องเรียนติดตามผล ได้ ไม่ใช่เพียงการ “โยนชื่อคอลเซนเตอร์” มาอ้าง

เพราะหากยังปล่อยให้ “เสียงลอย ๆ” แบบนี้ถูกนำมาอ้างโดยไม่มีหลักฐาน วันหนึ่งประชาชนอาจไม่เชื่อใจทั้งระบบ ว่ารัฐกำลังทำงานเพื่อใครกันแน่

อย่างไรก็ตาม สุดท้าย คำถามที่ยังค้างคาใจคือ “ใครกันแน่ที่ร้องเรียน ชาวบ้านจริง หรือเป็นเพียงเสียงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเปิดทางบางอย่าง?”

กทท. เปิดเวทีรับฟังปชช. ยกระดับท่าเรือกรุงเทพสู่ “SMART PORT”

วันที่ 11 กันยายน 2568 การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เดินหน้าพัฒนาท่าเรือกรุงเทพฝั่งตะวันตกสู่ “ท่าเรืออัจฉริยะ” (SMART PORT) ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและระบบกึ่งอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ลดการใช้พลังงาน และเสริมความยั่งยืนด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม มุ่งยกระดับมาตรฐานสู่ท่าเรือชั้นนำของโลก พร้อมเปิดเวทีเชิญชวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมแสดงความคิดเห็นต่อรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) โดยได้เปิดโอกาสให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง องค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ ผู้นำชุมชน และประชาชนโดยรอบพื้นที่ท่าเรือ เข้าร่วมงานเพื่อให้การพัฒนาโครงการเป็นไปอย่างโปร่งใส รอบด้าน และรับฟังข้อห่วงกังวล และข้อเสนอแนะ ที่ กทท. จะรวบรวมและนำมาปรับปรุงแนวทางการทำงาน เพื่อให้ประชาชนในชุมชนโดยรอบมีความมั่นใจในการพัฒนาโครงการ และได้รับทราบผลกระทบและแนวทางการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน ตลอดจนสร้างความเข้าใจและความร่วมมือในการพัฒนาโครงการสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกัน

นายแถมสิน ศรีบางพลีน้อย รองผู้อำนวยการท่าเรือกรุงเทพ เปิดเผยว่า กทท. ตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของชุมชนรอบท่าเรือ จึงได้ดำเนินการจัดทำรายงาน EHIA ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด โดยการจัดทำรายงาน EHIA ให้ความสำคัญกับการศึกษาสิ่งแวดล้อม 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่

• ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ  : ศึกษาด้านสภาพภูมิประเทศ ทรัพยากรดิน ธรณีวิทยาและแผ่นดินไหว สภาพภูมิอากาศ อุตุนิยมวิทยาและคุณภาพอากาศ เสียง ความสั่นสะเทือน อุทกวิทยาและคุณภาพน้ำผิวดิน อุทกธรณีวิทยาและคุณภาพน้ำใต้ดิน และอุทกพลศาสตร์
• ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ : ศึกษาทรัพยากรชีวภาพบนบก  และทรัพยากรชีวภาพในน้ำ
• การใช้ประโยชน์และการจัดการสิ่งแวดล้อม : ศึกษาการใช้ประโยชน์ที่ดิน การคมนาคมขนส่ง การใช้น้ำ การจัดการน้ำเสีย การระบายน้ำและการป้องกันน้ำท่วม การใช้ไฟฟ้า และการจัดการขยะมูลฝอยและ    กากของเสีย
• การพัฒนาคุณภาพชีวิต : ศึกษาด้านเศรษฐกิจ-สังคม การสาธารณสุข อาชีวอนามัยและความปลอดภัย การท่องเที่ยวและทัศนียภาพ และแหล่งโบราณคดีโบราณสถานและประวัติศาสตร์

“กทท. มุ่งมั่นพัฒนาท่าเรือกึ่งอัตโนมัติให้ก้าวสู่ SMART PORT & GREEN PORT โดยคำนึงถึงสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ท่าเรือไทยเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการรักษาคุณภาพชีวิตและความยั่งยืนของสังคม นายแถมสิน ศรีบางพลีน้อย กล่าว

สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือกรุงเทพฝั่งตะวันตกจะมีการติดตั้งเครื่องมือทุ่นแรงอัตโนมัติ 2 ประเภท ได้แก่ AUTOMATED RAIL MOUNTED GANTRY CRANE (ARMG) และAUTOMATED SHIP-TO-SHORE CRANE (STS) ตลอดแนวท่าเทียบเรือยาวประมาณ 634 เมตร ครอบคลุมพื้นที่หน้าท่าประมาณ 29,100 ตารางเมตรหรือ 18.19 ไร่ และปรับปรุงพื้นที่หลังท่ารวมกว่า 176,023 ตารางเมตร หรือ 110 ไร่ เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่ในบริเวณลานวางตู้สินค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นการขยายขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าของท่าเรือกรุงเทพ ยกระดับภาพลักษณ์องค์กรในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริการให้ทันสมัยตามมาตรฐานสากลและสร้างความพึงพอใจระดับสูงแก่ลูกค้าในอนาคต โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการระยะที่ 1 ในปี 2573
 

การประชุมครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของ กทท. ในการพัฒนาท่าเรืออย่างรับผิดชอบ โปร่งใส และตอบสนองต่อความห่วงใยของทุกภาคส่วน พร้อมเดินหน้าสร้างท่าเรือแห่งอนาคตที่ทันสมัย ปลอดภัย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

"ผบ.ทร. เยี่ยมอำลาหน่วยเรือแม่น้ำโขง ชื่นชมความทุ่มเทและภารกิจช่วยเหลือประชาชน

     วันนี้ (18 สิงหาคม 2568) พลเรือเอก จิรพล  ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ เดินทางไปเยี่ยมอำลาหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ณ กองบังคับการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เขตเชียงราย อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย โดยมี พลเรือตรี ณรงค์  เอมดี ผู้บัญชาการหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง ตลอดจนกำลังพลหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง ในพื้นที่ให้การต้อนรับ

     โอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบโอวาทแก่กำลังพลหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำน้ำโขง โดยชื่นชมการปฏิบัติงานตามภารกิจต่างๆที่ได้รับมอบหมาย สำเร็จลุล่วงด้วยดีทุกประการ ทั้งนี้ ด้วยความมุ่งมั่นและเสียสละของกำลังพลทุกนาย ที่ได้อุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ นำมาซึ่งความเชื่อมั่นและศรัทธาของพี่น้องประชาชน รวมทั้งเน้นย้ำให้กำลังพลทุกนาย ดำรงไว้ซึ่งความมุ่งมั่นในการปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพื่อร่วมกันปฏิบัติภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

     สำหรับ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง หรือ นรข. มีภารกิจในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย คุ้มครองและช่วยเหลือประชาชนจากภัยพิบัติต่าง ๆ ตามหลักมนุษยธรรมในพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง รวมทั้งสนับสนุนกำลังทางบก ในการรักษาความมั่นคงและป้องกันประเทศ มีพื้นที่ปฏิบัติการตามริมฝั่งแม่น้ำโขงครอบคลุม 8 จังหวัด คือ เชียงราย เลย หนองคาย บึงกาฬ นครพนม มุกดาหาร อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี เป็นระยะทางรวมทั้งสิ้น 928 กิโลเมตร และแบ่งความรับผิดชอบเป็น นรข.เขต 4 เขต ได้แก่ 1. นรข.เขตเชียงราย 2. นรข.เขตหนองคาย 3. นรข.เขตนครพนม 4. นรข.เขตอุบลราชธานี รวมทั้ง 4 เขต มีสถานีเรือทั้งสิ้น 14 สถานีเรือ และ 1 หน่วยเรือ โดย นรข.เขตเชียงราย มีพื้นที่รับผิดชอบตามลำแม่น้ำโขงตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำ ที่บ้านสบรวก ต.เวียง อ.เชียงแสน ไปสิ้นสุดที่แก่งผาได บ้านห้วยลึก ต.ม่วงยาย อ.เวียงแก่น รวมระยะทางประมาณ 100 กิโลเมตร ผ่านพื้นที่ 3 อำเภอ 8 ตำบล 39 หมู่บ้านมีหน่วยในบังคับบัญชา 2 สถานีเรือ คือ 1. สถานีเรือเชียงแสน และ 2. สถานีเรือเชียงของ

    สำหรับผลการดำเนินการที่ผ่านมา ของหน่วยรักษาความสงบเรียบร้อยตลอดแม่น้ำโขงเขตเชียงราย  มีผลการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมอาทิ การจับกุมผู้กระทำความผิด รวมถึงการจัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัย หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง เพื่อพร้อมให้การช่วยเหลือประชาชนในกรณีเกิดสาธารณภัยในพื้นที่รับผิดชอบ อาทิ ภัยหนาว ภัยแล้ง อัคคีภัย และอุทกภัย เห็นได้จากเหตุการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ ที่กองทัพเรือ โดยหน่วยงานรักษาความสงบเรียบร้อยตามแม่น้ำโขงได้จัดกำลังพลพร้อมยุทโธปกรณ์ ลงเข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน ได้อย่างทันท่วงที และให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง จนสถานการณ์คลี่คลาย 

 

ขนส่งฯดูแลประชาชนเดินทางกลับวันหยุดยาว จัดรถโดยสารเพิ่มเติม-ตรวจเข้มรถโดยสาร-พนักงานขับรถ

กรมการขนส่งทางบก อำนวยความสะดวกประชาชนที่เดินทางกลับจากช่วงวันหยุดยาว จัดรถโดยสารเพิ่มเติมสำหรับจังหวัดที่มีการเดินทางหนาแน่น และตรวจเข้มรถโดยสารและพนักงานขับรถ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และจุดจอด จุดตรวจ ทั่วประเทศ เพื่อความปลอดภัย พร้อมเผยผลตรวจรถโดยสารวันที่ 12 ส.ค. 68
 
วันที่ 13 สิงหาคม 2568 นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินการตามมาตรการอำนวยความสะดวกและปลอดภัย ช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ โดยมีมาตรการตรวจความพร้อมรถโดยสารสาธารณะและพนักงานขับรถ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร จุดจอด Rest Area และจุดตรวจรถโดยสารสาธารณะ Check Point ทั่วประเทศระหว่างวันที่ 9 – 12 สิงหาคม 2568 เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยเน้นย้ำให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสถานีขนส่งผู้โดยสารและจุดจอดทุกแห่ง ตรวจความพร้อมของรถและความพร้อมของผู้ขับรถก่อนออกเดินทาง ตามแบบ Checklist เช่น การมีใบอนุญาตขับรถที่ถูกต้อง ตามประเภทใบอนุญาตขับรถและไม่หมดอายุ ตรวจความพร้อมด้านร่างกาย และการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจต้องเป็นศูนย์มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ชั่วโมงการขับรถไม่เกินที่กฎหมายกำหนด รถโดยสารสาธารณะทุกคันต้องมีสภาพมั่นคงแข็งแรงทั้งสภาพตัวรถภายนอกและภายใน รวมทั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยต่างๆ เช่น ประตูฉุกเฉิน ค้อนทุบกระจก เข็มขัดนิรภัย ถังดับเพลิง ต้องพร้อมใช้งานอยู่เสมอ พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำและให้ความรู้แก่ผู้โดยสารกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน และขอให้ผู้โดยสารทุกที่นั่งคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการเดินทาง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและเสียชีวิตเมื่อรถเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับผลดำเนินการตรวจความพร้อม ในวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ตรวจรถโดยสารสาธารณะแล้ว จำนวน 12,322 คัน พบรถบกพร่อง จำนวน 12 คัน โดยได้ดำเนินการออกคำสั่งผู้ตรวจการ ส่วนการตรวจความพร้อมพนักงานขับรถ จำนวน 12,322 ราย ไม่พบพนักงานขับรถบกพร่องและไม่พบว่ามีอุณหภูมิเกิน

 
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนผลการดำเนินการติดตามตรวจสอบการเดินรถโดยสารสาธารณะและรถบรรทุก ด้วยระบบ GPS Tracking ผ่านศูนย์บริหารจัดการเดินรถด้วยระบบ GPS จำนวน 49,542 คัน พบการใช้ความเร็วเกินกฎหมายกำหนด จำนวน 115 คัน ผลตรวจสอบการใช้ความเร็วรถโดยสารและรถบรรทุก ด้วยกล้องเลเซอร์ บนถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ จำนวน 1,434 คัน พบการใช้ความเร็วเกินกฎหมายกำหนด 7 คัน กรมการขนส่งทางบกจะประสานผู้ประกอบการขนส่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำกับการใช้ความเร็ว ควบคู่กับมาตรการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

สำหรับการร้องเรียนเกี่ยวกับรถโดยสารสาธารณะผ่านศูนย์ 1584 ได้รับเรื่องร้องเรียนแล้ว จำนวน 21 เรื่อง โดยเรื่องที่มีการร้องเรียนมากที่สุด 3 อันดับได้แก่ ไม่หยุดรับส่งผู้โดยสารที่ป้ายหยุดรถ ขับรถประมาท/น่าหวาดเสียว และสภาพรถไม่มั่นคงแข็งแรงดัดแปลงตัวรถ/และอุปกรณ์ส่วนควบไม่ครบถ้วนถูกต้อง กรมการขนส่งทางบกจะเร่งติดตามผู้กระทำผิดมาสอบสวนและดำเนินการลงโทษตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินมาตรการตรวจความพร้อมรถโดยสารและพนักงานขับรถ ณ สถานีขนส่งผู้โดยสาร และจุดจอด จุดตรวจ ทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 9 – 12 สิงหาคม 2568 ตรวจรถโดยสารสาธารณะสะสม จำนวน 44,336 คันและตรวจความพร้อมพนักงานขับรถสะสม จำนวน 44,336 ราย โดยกรมการขนส่งทางบกประสานผู้ประกอบการจัดเตรียมรถให้เพียงพอเพื่อรองรับคนกลับจากบ้าน ไม่ให้มีผู้โดยสารตกค้าง และหากประชาชนมีปัญหาจากการใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ สามารถแจ้งสายด่วน 1584 ตลอด 24 ชั่วโมง

NT เคียงข้างปชช.ชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งถุงยังชีพ–เสริมระบบสื่อสาร พร้อมมาตรการดูแลลูกค้าเต็มรูปแบบ

บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT รัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่พร้อมเดินหน้าให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ด้วยการจัดส่งถุงยังชีพ “พลังน้ำใจ NT” พร้อมสนับสนุนการสื่อสารทั้งในพื้นที่พักพิงและตามแนวชายแดน
 
วันที่ 28 กรกำาคม 2568 พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ NT เปิดเผยว่า ตามที่เกิดสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา NT ขอยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องคนไทยและเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงานในพื้นที่ โดยส่งต่อกำลังใจและร่วมสนับสนุนระบบสื่อสารในครั้งนี้ให้ก้าวผ่านสถานการณ์ดังกล่าว เราเตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวังโครงข่าย ดูแลระบบสื่อสาร และให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในพื้นที่และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบให้สามารถติดต่อสื่อสารได้ตลอดเวลา โดย NT ได้ส่งทีมผู้บริหารและพนักงาน พร้อมจัดเตรียมสิ่งของอุปโภคบริโภค ยารักษาโรค และน้ำดื่ม มอบให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงซึ่งรักษาความปลอดภัยตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมขวัญกำลังใจแก่กำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างเข้มแข็ง

นอกจากนี้ เราได้เสริมความพร้อมด้านระบบการสื่อสารในพื้นที่พักพิงโดยสนับสนุนด้านเทคโนโลยีพร้อมติดตั้งระบบสื่อสารและเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ศูนย์พักพิง ซึ่งเป็นศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) ที่รองรับผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน ให้สามารถใช้งานระบบสารสนเทศทางการแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ประสบภัยกับครอบครัว NT เปิดสายด่วนโทรฟรีถึงสถานเอกอัครราชทูตฯ ตลอด 24 ชั่วโมงไปยังสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ กด 001 800 001 ตามด้วย 009 855 975 749 682 และสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเสียมราฐ กด 001 800 001 ตามด้วย 009 855 86 608 999

ทั้งนี้ ในวันที่ 6 - 7 สิงหาคม 2568 NT ได้เชิญชวนให้พนักงานร่วมบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทย ณ สำนักงานแจ้งวัฒนะ สำหรับกรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินอีกด้วย

“สุริยะ” กำชับ “ทล.-ทช.” เร่งฟื้นฟูถนน ดูแลปชช.กลับมาสัญจรได้ปกติโดยเร็ว “บขส.” เปิดเส้นทางกรุงเทพฯ-ทุ่งช้าง แล้ว

“สุริยะ” กำชับ “ทล. - ทช.” เร่งฟื้นฟูถนนช่วยเหลืออำนวยความสะดวกประชาชนให้กลับมาสัญจรได้ปกติโดยเร็ว ด้าน “บขส.” เปิดให้บริการเส้นทางกรุงเทพฯ – ทุ่งช้าง แล้ว

วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานส่งเจ้าหน้าที่เข้าลงพื้นที่จุดที่ได้รับผลกระทบจากพายุโซนร้อนวิภา เพื่อดูแลและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยโดยเฉพาะโซนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางพื้นที่เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และมีผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชน โดยขณะนี้สถานการณ์ดีขึ้น จึงได้กำชับให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องเร่งฟื้นฟูสภาพถนนช่วยเหลืออำนวยความสะดวกประชาชนที่ได้ผลกระทบพายุโซนร้อนวิภาให้กลับมาสัญจรได้ปกติโดยเร็ว

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ได้กำชับให้กรมทางหลวง (ทล.) จัดเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่ ระดมกำลังช่วยเหลือผู้ประสบภัยและเฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งเร่งดำเนินการเพื่อให้เส้นทางกลับมาใช้สัญจรได้โดยเร็วที่สุด ขณะที่กรมทางหลวงชนบท (ทช.) ได้รับผลกระทบ 37 แห่ง จึงสั่งการให้เร่งดำเนินการฟื้นฟูทำความสะอาดและเข้าสำรวจถนน หลังจากสถานการณ์น้ำท่วมในบางพื้นที่เริ่มคลี่คลายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชน โดยขอให้ประชาชนโปรดใช้ความระมัดระวังในการเดินทาง ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนำอย่างเคร่งครัดด้วย

โดยสายทางของ ทล. ได้รับผลกระทบใน 5 จังหวัด รวม 14 แห่ง สัญจรผ่านได้ 5 สายทาง ได้แก่ จังหวัดสุโขทัย ทล.1056 (อ.ศรีสำโรง) กม.0+400 – 1-000 และ ทล.1293 (อ.เมือง) ช่วง กม.0+000 – 0+225 จังหวัดเชียงราย (ดอยหลวง) ทล.1 กม.ที่942+350 – 942+450 ทล.1098 (อ.ดอยหลวง) กม.20+500 – 20+600 และ กม.35+700 – 35+950 เส้นทางที่รถยังผ่านไม่ได้ 9 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย ทล.1093 (อ.เชียงของ) ช่วง กม.47+900 - 47+940 และ 45+950 - 46+400 ทล.1155 (อ.เวียงแก่น) ช่วง กม.45+950 – 46+400 ทล.1173 (อ.เวียงรุ้ง) กม.ที่46+100 – 47+133 จังหวัดแพร่ ทล.1125 (อ.วังชิ้น) ช่วง กม.7+900 - 11+000 จังหวัดน่าน ทล.1083 (อ.นาน้อย) ช่วง กม.53+750 - 53+800 ทล.1256 (อ.ปัว) ช่วง กม.25+000 - 26+000 และ 26+260 - 26+300 จังหวัดสุโขทัย ทล.101 (อ.เมือง) ช่วง กม. 82+040 - 84+500 ทล.1195 (อ.ศรีสำโรง) กม.17+300 – 20+000 จังหวัดอุตรดิตถ์ ทล.1243 (อ.บ้านโคก) กม.18+325 – 18+700 

สำหรับสายทางของ ทช. ได้รับผลกระทบ 37 แห่ง ยังคงเหลือเส้นทางในพื้นที่จังหวัดน่านและแพร่ที่ไม่สามารถสัญจรผ่านได้อีก 10 สายทาง ได้แก่ นน.4022 กม. 1-100 – 1+300 นน.3007 กม.8+700 – 10+000 นน.011 กม.0+000 – 0+300 นน.1256 กม.26+260 – 26+300 นน.3019 กม.7+000 – 8+000 นน.021 กม.0+000 – 0+300 นน.4020 กม.10+500 – 10+900 และ กม.31+690 – 32+200 พร.4013 กม.27+725 – 27+800 และ กม.20+050 – 20+350 พร.001 กม.0+480 – 1+185 

ส่วนบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดน่านเริ่มคลี่คลายแล้วสามารถเปิดให้บริการเดินรถโดยสาร สายที่ 47 กรุงเทพฯ – ทุ่งช้าง เข้ารับส่งผู้โดยสารและวิ่งในเส้นทางได้ตามปกติปกติ ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป ส่วนพื้นที่จังหวัดแพร่ระดับน้ำได้ลดลงเป็นปกติแล้ว รถโดยสารสามารถเข้ารับ – ส่ง ผู้โดยสารในสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดแพร่ได้ตามปกติ

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลและติดตามสถานการณ์อุทกภัยบนโครงข่ายคมนาคมได้ที่ www.mot.go.th : รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนโครงข่ายคมนาคม Facebook : ประชาสัมพันธ์กระทรวงคมนาคม ติดต่อขอรับการช่วยเหลือ สอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม หรือแจ้งเหตุฉุกเฉินระหว่างการเดินทางได้ที่ สายด่วนกระทรวงคมนาคม 1356 ทล. 1586 ทช. 1146 และสอบถามข้อมูลการเดินทาง บขส. ได้ที่ Social booking (จองตั๋ว) โทรศัพท์ 0 2936 3660 หรือ ทาง Facebook Page : บขส. และ Line บขส. : @TCL99