เปลี่ยนผ่านของออฟฟิศ สู่การเป็นเครื่องมือดึงดูดบุคลากร และสื่อสารค่านิยมองค์กร

รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดยังคงได้รับความนิยม เนื่องจากช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้พนักงานด้วยการผสมผสานความยืดหยุ่นกับการทำงานร่วมกันในสำนักงาน ขณะที่หลายองค์กรเชื่อว่ารูปแบบดังกล่าวกำลังกลายเป็นแนวโน้มระยะยาว แต่ก็มีหลายองค์กรมุ่งส่งเสริมให้พนักงานกลับมาทำงานในสำนักงานมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการทำงานร่วมกันและเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร เจแอลแอลได้เผยข้อสังเกตและผลสำรวจจากงานเสวนาด้านอสังหาริมทรัพย์ล่าสุดในหัวข้อ Workplace Evolution: People and Space

งานประชุมดังกล่าวมีผู้บริหารระดับ C-suite, ผู้นำด้านทรัพยากรบุคคล, ผู้จัดการอาคาร และผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์สถานที่ทำงานกว่า 120 คน จากบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วม โดยมีการเสวนาร่วมกับตัวแทนจากบริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่, ไมโครซอฟท์ และเชลล์ พร้อมโพลสำรวจความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมในงาน

การเสวนาชี้ให้เห็นว่า รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดยังคงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง เพราะองค์กรเชื่อว่ารูปแบบนี้ช่วยดึงดูดและรักษาพนักงานไว้ได้ ซึ่งสะท้อนจากผลสำรวจที่ 76% ของผู้ตอบระบุว่า องค์กรอนุญาตให้พนักงานทำงานนอกสำนักงานได้ 1–2 วันต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีแนวโน้มที่บริษัทต่าง ๆ อยากให้พนักงานกลับมาทำงานในสำนักงานมากขึ้น การสร้างแรงจูงใจให้พนักงานกลับมานั้นยังคงเป็นเรื่องท้าทาย

หนึ่งในกลยุทธ์ที่องค์กรธุรกิจใช้เพื่อทำให้ออฟฟิศเป็นพื้นที่ทำงานที่น่าสนใจคือ การสร้างพื้นที่ทำงานร่วมกัน (collaboration spaces) เพื่อส่งเสริมการทำงานเป็นทีมและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน พื้นที่เหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ห้องประชุมแบบเดิม แต่ครอบคลุมไปถึงล็อบบี้ พื้นที่เปิดโล่งพร้อมโซฟาและมุมกาแฟ ไปจนถึงห้องสมุด ออกแบบมาเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่น กระตุ้นการสื่อสาร การแลกเปลี่ยนความคิด และการแก้ปัญหาร่วมกัน พื้นที่เหล่านี้มักมาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น เก้าอี้ที่นั่งสบาย ไวท์บอร์ด และเทคโนโลยีต่าง ๆ รองรับกิจกรรมตั้งแต่การระดมสมองแบบไม่เป็นทางการไปจนถึงการประชุมเชิงโครงสร้าง

การดึงพนักงานกลับออฟฟิศไม่ใช่แค่เรื่องการทำงานร่วมกัน แต่ยังรวมถึง สุขภาวะของพนักงาน ด้วย การเสวนาระบุว่าสุขภาวะของพนักงานได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของสถานที่ทำงานที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง องค์กรตระหนักมากขึ้นว่าการดูแลสุขภาพกาย ใจ และสังคมของพนักงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ดึงดูดและรักษาบุคลากร และสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีขึ้น ผลสำรวจภายในงานเสวนาของเจแอลแอลพบว่า 40% ของผู้ตอบระบุว่าสถานที่ทำงานของตนมีพื้นที่ด้านสุขภาวะ (wellness) อย่างน้อย 10% เช่น ฟิตเนส ห้องนั่งสมาธิ ห้องสำหรับคุณแม่ และพื้นที่ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ แต่เจแอลแอลมองว่าสัดส่วนนี้ควรสูงกว่านี้ในออฟฟิศสมัยใหม่ ที่สิ่งอำนวยความสะดวกด้านสุขภาวะกลายเป็น สิ่งที่จำเป็นต้องมี (must-have)

อีกประเด็นสำคัญคือ ความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการมีส่วนร่วม (Diversity, Equity & Inclusion หรือ DEI) ซึ่งเห็นพ้องกันว่าการให้ความสำคัญกับมุมมองที่หลากหลาย การสร้างโอกาสที่เท่าเทียม และวัฒนธรรมที่เปิดกว้าง ช่วยให้องค์กรดึงดูดและรักษาคนเก่ง เพิ่มความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน และขยายฐานลูกค้า แต่ผลสำรวจพบว่าเพียง 26% ขององค์กรมีการออกแบบสถานที่ที่ตอบโจทย์ความหลากหลายอย่างครบถ้วน เช่น ห้องละหมาด หรือทางเดินสำหรับผู้พิการ ขณะที่ 41% ยอมรับคุณค่าของ DEI แต่ยังไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้เต็มที่ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการบูรณาการ DEI เข้าสู่วัฒนธรรมองค์กรและสถานที่ทำงาน คาดว่าจะเพิ่มขึ้นตามกระแสสังคม

ความสำเร็จของการทำงานแบบไฮบริดยังขึ้นอยู่กับ เทคโนโลยี เป็นอย่างมาก ทั้งในด้านการสนับสนุนการทำงานนอกสำนักงาน การอำนวยความสะดวกด้านการสื่อสารและการทำงานร่วมกัน และการรักษาประสิทธิภาพในการทำงาน เทคโนโลยียังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ดึงดูดให้พนักงานอยากกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศ บริษัทต่าง ๆ ได้นำโซลูชันเทคโนโลยีมาใช้ เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง การประชุมออนไลน์ ระบบจองพื้นที่ทำงาน เฟอร์นิเจอร์ตามหลักสรีรศาสตร์ ระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศ และระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ

นายธนานันต์ เรืองวีรวิชญ์ หัวหน้าแผนกบริการตัวแทนด้านการเช่าอาคารสำนักงาน เจแอลแอล กล่าวว่า ในยุคที่การแข่งขันรุนแรงขึ้น สถานที่ทำงานได้กลายเป็นปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความแตกต่างให้องค์กร บริษัทจำเป็นต้องใช้ทุกทรัพยากรเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ในด้านการดึงดูดทรัพยากรณ์บุคคลที่มีคุณภาพ การสื่อสารความเชื่อที่องค์กรยึดถือ เช่น การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดี การยึดถือต่อความยั่งยืนในการทำธุรกิจ ความเสมอภาคของบุคคลที่หลากหลาย กลยุทธ์ด้านสถานที่ทำงานที่ตอบโจทย์อนาคตต้องบูรณาการประสบการณ์ของพนักงาน ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ใช่เพียงวันนี้แต่รวมถึงวันข้างหน้า การพัฒนาสถานที่ทำงานจึงเป็นเรื่องของการปรับตัวมากกว่าการทำให้สมบูรณ์แบบ

การเปลี่ยนแปลงไปสู่สถานที่ทำงานที่ให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นศูนย์กลาง กำลังเปลี่ยนวิธีคิดของลูกค้าเราในการวางกลยุทธ์ออฟฟิศระยะยาวในตลาดกรุงเทพฯ นายเจมส์ เฮกห์ ลัมบี หัวหน้าฝ่ายตัวแทนผู้เช่าอาคารสำนักงาน เจแอลแอล กล่าว องค์กรตระหนักมากขึ้นว่าสำนักงานต้องมอบประสบการณ์ที่พนักงานไม่สามารถหาได้จากการทำงานที่บ้าน พวกเขาไม่ได้มองหาเพียงพื้นที่คุ้มค่า แต่พร้อมลงทุนในสภาพแวดล้อมที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน เลือกทำเลอย่างมีกลยุทธ์ และสามารถพิสูจน์ได้จริงว่าช่วยรักษาคนเก่งและดึงดูดบุคลากรชั้นนำ

“รมว.นฤมล”ถก ก.ค.ศ.-สพฐ.เร่งลดภาระงานครู เผย เตรียมดึงครูเกินเกณฑ์ไปทำธุรการ แก้ปัญหา รร.ขาดบุคลากร

“รมว.นฤมล”ถก ก.ค.ศ.-สพฐ.เร่งลดภาระงานครู เผย เตรียมดึงครูเกินเกณฑ์ไปทำธุรการ แก้ปัญหา รร.ขนาดเล็ก ขาดบุคลากร โดยไม่ต้องเพิ่มงบ

เมื่อวันที่ 14 ก.ค.2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาภาระงานของครู โดยเฉพาะภาระที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอน เช่น งานพัสดุ การเงิน และธุรการ ซึ่งปัจจุบันครูจำนวนมากต้องทำควบคู่กับการสอนหลัก ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเรียนการสอนลดลง

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า จากการหารือร่วมกับนายธนู ขวัญเดช เลขาธิการ ก.ค.ศ. ได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หาแนวทางบรรเทาปัญหานี้ โดยเสนอแนวทางเกลี่ยอัตราครูที่เกินเกณฑ์จากโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีนักเรียนต่ำกว่า 40 คน มากกว่า 5,000 แห่งทั่วประเทศ ให้เปลี่ยนไปเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ตามมาตรา 38 ค. (2) เพื่อทำหน้าที่ด้านธุรการ

“แนวทางนี้ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่มหรือบรรจุข้าราชการใหม่ ถือเป็นการบริหารจัดการอัตรากำลังที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอัตราการเกิดที่ลดลง ส่งผลให้มีโรงเรียนขนาดเล็กเพิ่มขึ้น และครูเกินเกณฑ์ในบางพื้นที่”ศ.ดร.นฤมล ระบุ

อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.นฤมล ยอมรับว่า แม้จะสามารถเกลี่ยอัตราครูไปเป็น 38 ค. (2) ได้บางส่วน แต่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ จึงต้องดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปในแต่ละปี พร้อมยืนยันว่า ผู้ที่ได้รับการจัดสรรอัตราดังกล่าว จะยังคงได้รับสิทธิ์และสถานะเช่นเดียวกับข้าราชการครูทั่วไป ส่วนแนวทางให้โรงเรียนขนาดเล็กรวมกลุ่มใช้ธุรการร่วมกัน แม้ สพฐ. เคยนำมาใช้ แต่มีเสียงสะท้อนจากผู้บริหารโรงเรียนว่าขาดความสะดวก หลายโรงเรียนต้องการธุรการประจำของตนเอง จึงจำเป็นต้องหาทางออกที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับความเป็นจริงในพื้นที่ต่อไป

"มนพร" กำชับวิทยุการบินฯ หารือพันธมิตรระดับโลก เร่งพัฒนาบุคลากร-เทคโนโลยี

บวท.จับมือ พันธมิตร หาแนวทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยี พัฒนากำลังคน สร้างทักษะความรู้ด้านการบิน พร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค

เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 68 นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมการบินเติบโตอย่างรวดเร็ว หน่วยงานด้านการบินจำเป็นต้องเร่งพัฒนายกระดับเทคโนโลยีให้สูงยิ่งขึ้นทันกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายใหม่ ๆ จึงได้มอบนโยบายให้วิทยุการบินฯ ดำเนินการหาแนวทางความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและด้านการพัฒนาบุคลากรกับพันธมิตรประเทศต่าง ๆ แลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้การพัฒนาด้านการบินดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วและจะส่งผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินระดับภูมิภาคด้วย

นายณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.)  กล่าวว่า จากนโยบายของกระทรวงคมนาคมที่มอบหมายให้ บวท. ดำเนินการหาแนวทางความร่วมมือกับพันธมิตรเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรด้านการบิน บวท. จึงเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม Next Wave APAC Aviation Technologies through Synergy เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา  ซึ่ง บวท. และหน่วยงานผู้ให้บริการการเดินอากาศจากกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก ได้ร่วมกันหารือแนวทางในการวางแผน จัดหา ติดตั้ง ใช้งาน ซ่อมบำรุง ระบบ/อุปกรณ์ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะนำมาใช้สำหรับให้บริการการเดินอากาศ เช่น เทคโนโลยี Next-Generation AeroMACS ซึ่งใช้เทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นโครงข่ายสื่อสารไร้สายสำหรับสนามบิน สำหรับเชื่อมต่อและส่งข้อมูลระหว่างเครื่องช่วยเดินอากาศภายในสนามบิน และเป็นข่ายสื่อสารระหว่างเครื่องบินและภาคพื้นดิน ให้เป็นไปอย่างปลอดภัย แม่นยำ และรวดเร็ว

เทคโนโลยี Space-based VHF เป็นเทคโนโลยีที่สนับสนุนการสื่อสารทางการบินผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารห้วงอากาศในพื้นที่มหาสมุทรระยะไกลและบริเวณที่ไม่มีโครงข่ายสื่อสารภาคพื้นดินรองรับช่วยให้การสื่อสารระหว่างนักบินและหน่วยควบคุมการจราจรทางอากาศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เทคโนโลยี Space-based ADS-B เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการติดตามอากาศยานและการบริหารห้วงอากาศในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านสัญญาณด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการส่งข้อมูลผ่านดาวเทียมวงโคจรต่ำ (Low Earth Orbit) เพื่อให้การเฝ้าระวังและบริหารจราจรทางอากาศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยี Cloud-Based UTM/ATM สำหรับการบริหารการจราจรทางอากาศสำหรับอากาศยานปกติและอากาศยานไร้คนขับซึ่งติดตั้งใช้งานแบบ On-Cloud ซึ่งเป็นแนวดำเนินการให้บริการบนแพลตฟอร์มสำหรับอนาคต และเทคโนโลยี Post-Quantum Cryptography (PQC) เพื่อกระตุ้นความตระหนักรู้และเตรียมความพร้อมของเทคโนโลยีการบินให้สามารถยกระดับความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของระบบ

ทั้งนี้ จากการประชุมฯ มีการเสนอให้จัดตั้ง Insight Exchange Forum ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิด และข้อมูลด้านเทคโนโลยีระหว่างกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิกด้วย

นางสาวทิพาภรณ์ นิปกากร รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในเดือนมีนาคม 2568 บวท.   จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผู้ให้บริการการเดินอากาศภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (Asia and Pacific ANSP Committee - AAC) เพื่อหาแนวทางพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการให้บริการการเดินอากาศของภูมิภาค ในขณะเดียวกัน บวท. ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมเป็นคณะทำงานด้านต่าง ๆ ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก รวมทั้งองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อจะได้รับทราบข้อมูล เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการบิน และร่วมมีบทบาทในการพัฒนาการดำเนินงาน ด้านการให้บริการการเดินอากาศ ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยและภูมิภาค

นอกจากนี้ บวท. ได้ร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานพันธมิตร จัดทำแผนพัฒนาบุคลากรที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะและความสามารถในการเรียนรู้เทคโนโลยีแห่งอนาคต ภายใต้แนวทาง ICAO Next Generation of Aviation Professions (NGAP) โดย บวท. ให้ความสำคัญในการเร่งผลิตและพัฒนาบุคลากรทั้งด้านการให้บริการจราจรทางอากาศ ด้านมาตรฐาน และด้านวิศวกรรม ให้มีจำนวนเพียงพอ มีศักยภาพพร้อมรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน ทั้งนี้ บวท. เร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้านการบิน พร้อมทั้ง Digital Transformation เพื่อพัฒนาการคมนาคมขนส่งทางอากาศของประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป

ปฏิบัติเท่าเทียมทุกพรรค“บิ๊ก สพฐ.”ฮึ่ม! กำชับสถานศึกษา-บุคลากร เป็นกลางทางการเมืองช่วงเลือกตั้งท้องถิ่น

เมื่อวันที่ 29 ม.ค.68 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า เนื่องด้วยขณะนี้อยู่ในห้วงเวลาของการหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้กำชับให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาทุกแห่ง วางตนเป็นกลางทางการเมือง ด้วยความเท่าเทียม โดยปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบแบบแผนของทางราชการ และหน่วยงานทางการศึกษา ที่กำหนดให้ข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา ต้องวางตนเป็นกลางทางการเมืองในการปฏิบัติหน้าที่ และในการปฏิบัติการอื่นที่เกี่ยวข้องกับประชาชน โดยต้องไม่อาศัยอำนาจ และหน้าที่ราชการของตนแสดงการฝักใฝ่ ส่งเสริม เกื้อกูล สนับสนุนบุคคล กลุ่มบุคคล หรือพรรคการเมืองใด ตามมาตรา 93 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547

ทั้งนี้ สพฐ. ได้แจ้งแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้อาคารสถานที่ของสถานศึกษา โดยขอให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกแห่ง แจ้งสถานศึกษาในสังกัดให้ดำเนินการตามแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการขอใช้อาคารสถานที่ของบุคคลหรือหน่วยงานภายนอกเพื่อแสดงกิจกรรม การแสดงออกทางการเมือง การปราศรัยหรือหาเสียงเลือกตั้งในการเลือกตั้งต่าง ๆ โดยต้องไม่มีลักษณะเป็นการขัดต่อความมั่นคง หรือกระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรืออาจก่อให้เกิดความแตกแยกหรือเกลียดชังในสังคม

นอกจากนี้ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา สามารถพิจารณาอนุญาตให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งใช้สถานศึกษาเป็นสถานที่เปิดเวทีปราศรัยหรือหาเสียงได้ แต่ต้องดำเนินการด้วยความเป็นกลาง โดยให้ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองมีโอกาสเท่าเทียมกัน รวมทั้งต้องระมัดระวังมิให้มีกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายกระทำการใด ๆ เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ตามมาตรา 78 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 เพื่อให้สถานศึกษาในสังกัดทุกแห่งได้รับทราบและปฏิบัติต่อไป

"เซ็นทรัล รีเทล" คว้า 57 รางวัล ในปี 67 โชว์แกร่งทุกมิติทั้งด้านบุคลากร,Business & Governance,Sustainability,Leadership และ IR 

บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ฉายความสำเร็จองค์กรผู้นำค้าปลีก-ค้าส่งในประเทศไทย เวียดนาม และอิตาลี ในปี 2567 ด้วยการคว้ารางวัลระดับนานาชาติรวมทั้งสิ้น 57 รางวัล จาก 29 เวทีระดับโลกและนิตยสารชั้นนำทั้งในไทยและต่างประเทศ ครอบคลุมในทุกมิติสำคัญ ทั้งด้านทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารธุรกิจและธรรมาภิบาล ด้านความยั่งยืน ด้านผู้นำที่มีความโดดเด่น และด้านนักลงทุนสัมพันธ์ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเซ็นทรัล รีเทล ที่ให้ความสำคัญในเรื่องของคน และ People Advantage รวมถึงการมีอีโคซิสเต็มที่แข็งแกร่ง พอร์ตฟอลิโอที่มีความยืดหยุ่น และความสามารถในการบริหารงานอันโดดเด่น ภายใต้วิสัยทัศน์ CRC OMNI-Intelligence ใน 5 กลุ่มธุรกิจ ทั้งกลุ่มฟู้ด แฟชั่น ฮาร์ดไลน์ พร็อพเพอร์ตี้ และเฮลธ์แอนด์เวลเนส เห็นได้จากผลประกอบการล่าสุดในไตรมาส 3 ที่เซ็นทรัล รีเทล สร้างกำไรเพิ่มขึ้นถึง 86% และรายได้รวมกว่า 63,114 ล้านบาท พร้อมดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับปรัชญา “CRC Care” ใน 7 มิติ ที่ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ทำให้ตลอดปี 2567 เซ็นทรัล รีเทล สามารถกวาดรางวัลระดับแถวหน้าในเวทีระดับโลกได้มากมาย โดยแบ่งออกเป็น 5 มิติสำคัญ ประกอบด้วย 

1. รางวัลด้านทรัพยากรบุคคล (Human Resources) คว้า 26 รางวัล อันเป็นผลจากการที่ เซ็นทรัล รีเทล ให้ความสำคัญเรื่อง “คน” เป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนขององค์กรผ่านกลยุทธ์ “HAI” ที่ส่งเสริมและมอบโอกาสแก่พนักงานเกือบ 60,000 คน ให้ได้พัฒนาศักยภาพและมีความก้าวหน้าในสายงาน รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมนวัตกรรม ความเท่าเทียม และความยั่งยืนให้กับทุกคน โดยรางวัลที่ได้รับ อาทิ รางวัล Global Best Employer Brand Awards จาก The Employer Branding Institute and World HRD Congress, รางวัล HR Asia Best Companies to Work for in Asia 2024 จาก HR Asia Best Companies to Work for in Asia และรางวัล Excellence in Workplace Culture ระดับ Silver จาก HR Excellence Awards Thailand เป็นต้น

2. รางวัลด้านการบริหารธุรกิจและธรรมาภิบาล (Business and Governance) คว้า 13 รางวัล การันตีความสำเร็จในการบริหารธุรกิจอย่างโดดเด่นจนสามารถสร้างผลประกอบการได้อย่างน่าประทับใจ ตลอดจนมีกลยุทธ์ที่พร้อมปรับตัวต่อสถานการณ์ที่ท้าทายและส่งมอบสินค้าและบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า รวมทั้งมีความมุ่งมั่นในการดำเนินกิจการอย่างมีจริยธรรม มีความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ โดยรางวัลที่ได้รับ อาทิ รางวัล Best Managed Company ระดับ Silver จาก FinanceAsia Awards, รางวัล Corporate Excellence จาก Asia Pacific Enterprise Awards ทั้งยังได้รับการจัดอันดับจาก FORTUNE นิตยสารด้านการเงินการลงทุนชั้นนำระดับโลก โดยได้อันดับ 2 ในกลุ่มบริษัทค้าปลีกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอันดับที่ 42 ใน FORTUNE Southeast Asia 500 อีกเช่นกัน 

3. รางวัลด้านความยั่งยืน (Sustainability) คว้า 8 รางวัล ตอกย้ำภาพเซ็นทรัล รีเทล ในการเป็น Green & Sustainable Retail and Wholesale หรือ องค์กรค้าปลีก-ค้าส่งต้นแบบด้านความยั่งยืนแห่งเอเชีย ที่มี Brand Purpose ของการดำเนินธุรกิจ คือการเป็น Central to Life ศูนย์กลางชีวิตของทุกคน เพื่อยกระดับสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมส่งต่อโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นต่อไป โดยรางวัลที่ได้รับ อาทิ รางวัล Best Community Programme Award จาก Global CSR Awards, รางวัล Top Sustainability Advocates in Asia จาก Asia Corporate Excellence & Sustainability Awards นอกจากนี้ยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับหุ้นยั่งยืน (SET ESG Rating) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระดับ AA และยังติดกลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน และ Emerging Markets ต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน โดยในปีนี้เซ็นทรัล รีเทล ได้รับผลการประเมิน S&P Global CSA Score สูงถึง 84 คะแนน และติดอันดับ Top 3 ในหมวด Retail Industry อีกด้วย

4. รางวัลด้านผู้นำโดดเด่น (Leadership) คว้า 6 รางวัล สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำที่สร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง การจัดการด้านการเงินและการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นด้านการบริหารงานต่อคู่ค้า พนักงาน ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพัฒนาธุรกิจหลักให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดบนแพลตฟอร์มออมนิแชแนลที่ครบวงจร เชื่อมต่อทุกประสบการณ์การช้อปปิ้งให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม โดยรางวัลที่ได้รับ อาทิ รางวัล Best Luxury Retail CEO จาก International Finance Awards, รางวัล Best CEO in Luxury Retail จาก Global Business Outlook Awards, รางวัล Asia’s Best CEO และ Asia’s Best CFO จาก Asian Excellence Awards รวมไปถึงรางวัล Outstanding CEO และ Outstanding CFO จาก IAA Awards for Listed Companies เป็นต้น 

5. รางวัลด้านนักลงทุนสัมพันธ์ (Investor Relations) คว้า 4 รางวัล มอบให้แก่บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในด้านการดำเนินกิจกรรมนักลงทุนสัมพันธ์ ซึ่งเซ็นทรัล รีเทล มีการดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง พร้อมการบริหารงานด้านนักลงทุนสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกันในทุกภาคส่วน โดยรางวัลที่ได้รับ อาทิ รางวัล Best Investor Relations ระดับ Silver จาก FinanceAsia Awards และ รางวัล Outstanding Investor Relations Awards จาก SET Awards เป็นต้น 

นางสาวปิยวรรณ ลีละสมภพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทุกรางวัลจากทุกเวทีล้วนเป็นบทพิสูจน์ศักยภาพและความแข็งแกร่งของบุคลากรทุกระดับที่เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการนำพาเซ็นทรัล รีเทล ขึ้นเป็นเบอร์ 1 องค์กรค้าปลีก-ค้าส่งชั้นนำที่เติบโตอย่างมั่นคงจากรากฐานการมีอีโคซิสเต็มที่แข็งแรง พร้อมต่อยอดและผลักดันธุรกิจไปข้างหน้า ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อม ยกระดับสังคมและชุมชน รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนทั้งระบบ ซึ่งถือเป็นความภูมิใจสูงสุดของเราพวกเราชาวเซ็นทรัล รีเทล และเราจะยังคงเดินหน้าต่อไปเพื่อสร้างความสำเร็จ และเติบโตยิ่งขึ้นไปในอนาคต” 

บสย. จัดประกวด “TCG KM & Innovation Day 2024” โชว์ไอเดียสร้างสรรค์ พัฒนาบุคลากร ยกระดับสู่องค์กรนวัตกรรม

นางนัทีวรรณ สีมาเงิน ประธานกรรมการด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (CG & CSR) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นประธานเปิดงาน “TCG KM & Innovation Day 2024” พร้อมร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสิน ร่วมด้วยคณะกรรมการอีก 3 ท่าน ประกอบด้วย นางสาวดุจเดือน เหตระกูล กรรมการด้านการกำกับดูแลกิจการที่ดีและการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป และผู้เชี่ยวชาญจากภายนอก โดยมีคณะผู้บริหาร และพนักงาน บสย. เข้าร่วมงาน ณ C-ASEAN อาคาร CW Tower เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2567

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กล่าวว่า งาน “TCG KM & Innovation Day 2024” เป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้กับพนักงาน บสย. ได้นำเสนอไอเดียใหม่ๆ ช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ ต่อยอดองค์ความรู้เพื่อใช้ในการพัฒนานวัตกรรม สู่การยกระดับองค์กรและนำพา บสย. ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นโจทย์สำคัญที่ทำให้องค์กรไม่สามารถหยุดนิ่งได้ ประกอบกับความหลากหลายของบุคลากรตาม Generation จึงจำเป็นต้องนำพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่มาผสมผสานกับความเชี่ยวชาญจากรุ่นพี่ผู้มากประสบการณ์ นำมาสร้างสรรค์สิ่งใหม่เพื่อขับเคลื่อน บสย. ให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานภายใต้นวัตกรรม สนับสนุนยุทธศาสตร์และการดำเนินงานองค์กร เพื่อยกระดับ บสย. ก้าวเข้าสู่มิติใหม่ในการทำงาน ทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล 
โจทย์สำคัญที่ บสย. เน้นการพัฒนาในมิติหลักๆ อาทิ ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อ ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่ม รวมถึงพัฒนาช่องทางการให้บริการที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น, ด้านการพัฒนาเครื่องมือโมเดลวิเคราะห์ความเสี่ยงในรูปแบบข้อมูลทางเลือก (Alternative Credit Scoring Model) เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ค้ำประกันสินเชื่อที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ SMEs, ด้านการใช้ประโยชน์จาก Big Data ของ บสย. มาวิเคราะห์ข้อมูลในมิติด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาโอกาสในการช่วยเหลือ SMEs ให้มากยิ่งขึ้น และด้านการใช้ Digital Disruption เป็นแรงขับเคลื่อนองค์กร เพื่อพัฒนาระบบงาน และบริการใหม่ๆ ทางการเงินบน Virtual Banking

นายวุฒิพันธุ์ ปริดิพันธ์ รองผู้จัดการทั่วไป สายงานปฏิบัติการ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ในฐานะประธานคณะทำงานการจัดการความรู้และนวัตกรรม กล่าวว่า ปี 2567 บสย. ให้ความสำคัญกับการจัดการความรู้และนวัตกรรมในองค์กร โดยจัดโครงการ TCG Internal Hackathon เป็นเวทีที่เปิดพื้นที่ให้กับพนักงานทุกคน “กล้าคิด กล้าทำ กล้าเปลี่ยนแปลง” โดยตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ทุกคนได้ทุ่มเทและนำเสนอไอเดียใหม่ๆ เพื่อร่วมกันผลักดัน บสย. ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมนำพลังความคิดสร้างสรรค์ออกมาแสดงบนเวที “TCG KM & Innovation Day 2024” ซึ่งเป็นโอกาสอันดีให้ทุกคนได้เรียนรู้ ต่อยอด และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อนำไปสู่การพัฒนาองค์กร บสย. ให้ดียิ่งขึ้น

การจัดประกวดผลงานในเวที  “TCG KM & Innovation Day 2024” แบ่งการตัดสินเป็น 2 ประเภท ประกอบด้วยรางวัลด้านนวัตกรรม Business Development และรางวัลด้านปรับปรุงกระบวนการ Process Improvement 

สำหรับรางวัล Business Development ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ โครงการต่อยอดกระบวนการเก็บหนี้ให้รวดเร็วมากขึ้น รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ โครงการ Data Center Multiverse (DCM) และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ โครงการพัฒนารูปแบบการให้บริการผ่าน Digital Platform

สำหรับรางวัล Process Improvement ผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ โครงการปรับปรุงกระบวนการ Auto Approve For Fast and First รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ โครงการปรับปรุงกระบวนการจ่ายค่าประกันชดเชย และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ โครงการ Data Automation ซึ่งแต่ละทีมล้วนแสดงแนวคิดใหม่ๆ ซึ่งสามารถต่อยอดสู่กระบวนการทำงานได้ในอนาคต

นอกจากเวทีการประกวดผลงานแล้ว ในงานยังมีกิจกรรมยกย่องชมเชยทีมงานขับเคลื่อนด้านการจัดการความรู้นวัตกรรมในด้านต่างๆ ของ บสย. ได้แก่ KM&IM Team, Dream Team และ F.A. Certification รวมถึงมีบูธกิจกรรมให้ความรู้ทั้ง GRC, TCG Fast & First และ ESG 

SCBX ดึง AI พัฒนาศักยภาพบุคลากร พร้อมยกระดับกระบวนการทำงานด้าน HR ขับเคลื่อนเป้าหมายองค์กรสู่ AI-first Organization

SCBX ประกาศความสำเร็จ คว้า 3 รางวัลความเป็นเลิศด้านทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย ได้แก่ รางวัลสรรหาบุคลากรยอดเยี่ยม ระดับ Gold (Excellence in Talent Acquisition) รางวัลกลยุทธ์การบริหารค่าตอบแทนรวมยอดเยี่ยม ระดับ Silver (Excellence in Total Rewards Strategy) และรางวัลยอดเยี่ยมด้าน AI โซลูชันสำหรับทรัพยากรบุคคล ระดับ Bronze (Excellence in AI-Powered HR Solutions) จากเวที HR Excellence Awards Thailand 2024 ซึ่งจัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเชิดชูความสำเร็จขององค์กรที่มีกลยุทธ์และนวัตกรรมด้านการบริหารบุคลากรโดดเด่น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกลุ่ม SCBX ในการนำเทคโนโลยี AI มายกระดับประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพและเสริมทักษะพนักงานขององค์กรให้สามารถอยู่ในกระแสความต้องการของโลกปัจจุบัน

นางพัตราภรณ์ สิโรดม Chief Talent Officer บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBX กล่าวว่า “SCBX มุ่งมั่นเดินหน้าสู่การเป็นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีทางการเงินชั้นนำระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายหลัก คือ การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย AI อย่างแท้จริง หรือ  AI-first Organization การบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลจึงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ เราจึงมีการประยุกต์นำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้เพื่อช่วยยกระดับกระบวนการทำงานด้าน HR ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยโซลูชันที่ช่วยเฟ้นหาบุคลากรที่เหมาะสมกับองค์กร ลดเวลาและต้นทุนการทำธุรกิจ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี เพื่อรักษาและดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ (Talent) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร อีกทั้งยังสามารถสร้างแรงจูงใจในการสร้างผลงานให้กับองค์กรได้อย่างต่อเนื่อง โดยภายในสิ้นปี 2024 พนักงานกว่า 80% ขององค์กรต้องมีความเข้าใจพื้นฐานด้าน AI จึงได้จัดทำหลักสูตรออนไลน์และสื่อการฝึกอบรมด้าน AI ให้กับพนักงาน รวมถึงบริษัทยังสนับสนุนเครื่องมือ AI ให้กับพนักงาน เพื่อปลูกฝังและสร้าง AI Culture หรือวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่อง AI อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการสร้างบุคลากรคนรุ่นใหม่ให้เหมาะสมกับความต้องการของโลกการทำงานแห่งอนาคต”

โดยรางวัล HR Excellence Awards Thailand ประจำปี 2024 ครั้งที่ 4 ซึ่งจัดโดย Human Resources Online ประเทศสิงคโปร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องความสำเร็จและนวัตกรรมที่โดดเด่นของบริษัทชั้นนำในประเทศไทยที่มีการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ยอดเยี่ยม ภายใต้ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปของการจัดการทรัพยากรบุคคลในประเทศไทย โดยมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาตัดสินจากหลักเกณฑ์ภายใต้ 38 หมวดหมู่ ครอบคลุมวิสัยทัศน์ เป้าหมายองค์กร การดำเนินธุรกิจ และแนวทางการพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรในมิติต่างๆ

 

"ไทยสมายล์บัส" พร้อมรับบุคลากรกว่า 1,000 อัตรา งาน JOB EXPO THAILAND 2024

นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด หรือ TSB ผู้นำในธุรกิจรถเมล์ไฟฟ้าและเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 100% เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบประมาณพัฒนารถเมล์โดยสารพลังงานไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันมีรถที่พร้อมให้บริการกว่า 2,350 คันแล้ว อย่างไรก็ตามการจะยกระดับการให้บริการรถโดยสารสาธารณะได้อย่างแท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีหรือตัวรถเท่านั้น แต่เราเล็งเห็นถึงความสำคัญของการเสริมทีมงาน บุคลากรที่มีคุณภาพ บริษัทจึงต้องการสรรหาบุคลากรเพิ่มเติม ทั้งทีมเดินรถ ไปจนถึงพนักงานออฟฟิศ เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ไทย สมายล์ กรุ๊ป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการแก่พี่น้องประชาชนทั่วกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล

สำหรับตำแหน่งที่เปิดรับของกลุ่ม ไทย สมายล์ บัส ที่ร่วมออกบูธในครั้งนี้ ประกอบด้วย ผู้จัดการสาขา, กัปตันเมล์, บัสโฮสเตส, นายท่า, เจ้าหน้าที่การเงินสาขา, พนักงานบุคคลและทรัพย์สิน, เจ้าหน้าที่วิเคราะห์และบริหารข้อมูล, เจ้าหน้าที่บริการลูกค้า, เจ้าหน้าที่บัญชี, เจ้าหน้าที่สรรหาบุคลากร, เจ้าหน้าที่สวัสดิการ, เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงอุปกรณ์เดินรถ, เจ้าหน้าที่พัฒนาระบบ ขณะเดียวกัน บริษัท ออโต้บัส เซอร์วิส จำกัด เปิดรับทีมงานวิศวกรผู้ดูแลระบบชาร์จ รวมถึงเจ้าหน้าที่ดูแลระบบรถเมล์ไฟฟ้า อีกหลายอัตราเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ใครกำลังมองหางานที่ใช่ อาชีพมั่นคง สามารถเข้าไปพบกันได้ที่บูธของ ไทย สมายล์ บัส ในงาน JOB Expo Thailand 2024 วันที่ 28 - 30 มิ.ย.นี้ ฮอลล์ 6 บูธ C6 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ อีกหนึ่งช่องทงสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ผ่านออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ https://jobs.myempeo.com/tbsgroup