“นิด้าโพล” เปิดผลสำรวจ “คนไทย” อยากเห็น “อภิสิทธิ์” นั่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่

“นิด้าโพล” เปิดผลสำรวจ “คนไทย” อยากเห็น “อภิสิทธิ์” นั่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “ประชาธิปัตย์ ผลัดใบอีกแล้ว” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-16 กันยายน 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเลือกผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ที่ประชาชนต้องการในการเลือกตั้งครั้งหน้า เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์

เมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนต้องการให้เป็นผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า

ร้อยละ 32.90 ระบุว่าเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ร้อยละ 18.09 ระบุว่าเป็น นายชวน หลีกภัย

ร้อยละ 16.72 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ร้อยละ 9.24 ระบุว่า ใครก็ได้ในพรรคประชาธิปัตย์

ร้อยละ 8.17 ระบุว่าเป็น ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (ดร.เอ้)

ร้อยละ 4.20 ระบุว่าเป็น นายกรณ์ จาติกวณิช

ร้อยละ 2.82 ระบุว่าเป็น นางวทันยา บุนนาค (มาดามเดียร์)

ร้อยละ 2.21 ระบุว่าเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

ร้อยละ 1.68 ระบุว่าเป็น นายบัญญัติ บรรทัดฐาน

ร้อยละ 1.45 ระบุว่าเป็น นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน

ร้อยละ 1.15 ระบุว่าเป็น คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช

ร้อยละ 0.84 ระบุว่าเป็น นายเดชอิศม์ ขาวทอง

ร้อยละ 0.53 ระบุว่าเป็น นายชัยชนะ เดชเดโช

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงแนวโน้มที่ประชาชนจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า หากพรรคประชาธิปัตย์เลือกผู้นำตามที่ประชาชนแนะนำ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.58 ระบุว่า ไม่แน่ใจ รองลงมา ร้อยละ 35.75 ระบุว่า เลือกแน่นอน และร้อยละ 26.67 ระบุว่า ไม่เลือกแน่นอน

#นิด้าโพล #ประชาธิปัตย์ #อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ #ชวนหลีกภัย #การเมืองไทย #หัวหน้าพรรค

“นิด้าโพล”ชี้ ปชช.กังวล “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ภายใต้การนำของ “อนุทิน” ขาดเสถียรภาพสูงสุด 35.88%

“นิด้าโพล”ชี้ ปชช.กังวล “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ภายใต้การนำของ “อนุทิน” ขาดเสถียรภาพสูงสุด 35.88% สุดท้ายขัดแย้ง “ปชน.-ฉีกMOA”

วันที่ 14 กันยายน 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 8-9 กันยายน 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนต่อ "รัฐบาลเสียงข้างน้อย" ภายใต้การนำของ "นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล" เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์

เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อรัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาชน พบว่า

 ร้อยละ 35.88 ระบุว่า รัฐบาลจะไม่มีเสถียรภาพทำงานด้วยความยากลำบาก เพราะต้องเจรจากับพรรคประชาชนตลอด

 ร้อยละ 30.31 ระบุว่า การตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้

 ร้อยละ 23.66 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย

 ร้อยละ 23.21 ระบุว่า เห็นด้วยกับรัฐบาลเสียงข้างน้อย

 ร้อยละ 23.05 ระบุว่า รัฐบาลจะมีเสถียรภาพ ทำงานได้ราบรื่น จากการสนับสนุนของพรรคประชาชน

 ร้อยละ 21.45 ระบุว่า ในท้ายที่สุด รัฐบาลจะขัดแย้งกับพรรคประชาชน

 ร้อยละ 10.61 ระบุว่า ในท้ายที่สุด ข้อตกลงระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน จะถูกฉีก

 ร้อยละ 10.53 ระบุว่า รัฐบาลอยู่ไประยะหนึ่ง จะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากเอง

 ร้อยละ 8.17 ระบุว่า คุณอนุทิน ควรรอเป็นนายกฯ ของรัฐบาลเสียงข้างมาก หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า

 ร้อยละ 5.34 ระบุว่า พรรคประชาชนควรเข้าร่วมรัฐบาลด้วย เพื่อเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก

 ร้อยละ 4.12 ระบุว่า ในท้ายที่สุด พรรคประชาชนจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยล้มรัฐบาล

 ร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อระยะเวลาในการบริหารรัฐบาลเสียงข้างน้อยของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล พบว่า

 ร้อยละ 56.26 ระบุว่า รัฐบาลจะอยู่ครบ 4 เดือนตามข้อตกลง

 ร้อยละ 27.79 ระบุว่า รัฐบาลจะอยู่ได้นานกว่า 4 เดือน

 ร้อยละ 14.58 ระบุว่า รัฐบาลจะอยู่ไม่ถึง 4 เดือน

 ร้อยละ 1.37 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการที่พรรคประชาชนสนับสนุนคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พบว่า

 ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย

 ร้อยละ 23.36 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย

 ร้อยละ 23.13 ระบุว่า เห็นด้วยมาก

 ร้อยละ 22.67 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย

 ร้อยละ 0.46 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการที่พรรคประชาชนไม่เข้าร่วมรัฐบาล พบว่า

 ร้อยละ 32.98 ระบุว่า เห็นด้วยมาก

 ร้อยละ 23.35 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย

 ร้อยละ 22.52 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย

 ร้อยละ 19.39 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย

ร้อยละ 1.76 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

#นิด้าโพล #รัฐบาลเสียงข้างน้อย #อนุทินชาญวีรกูล #การเมืองไทย #เลือกตั้ง #พรรคประชาชน

“นิด้าโพล”เผย “ปชช.”กว่า 59% หนุน “ยุบสภา” โดยเร็วที่สุด ไม่ต้องรอ 4 เดือน พร้อมชี้ชัดต้องการแก้รธน. รายมาตรา

”นิด้า“ เผย ปชช.59.24% เห็นว่าควรยุบสภาโดยเร็วไม่ต้องรอ4 เดือน ส่วน ความต้องการแก้รัฐธรรมนูญ 37.56% -74.39% ให้แก้ไขรายมาตรา

วันนี้ (7 ก.ย.68)  ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “ยุบสภาใน4เดือนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 กันยายน 2568 จากประชาชน

จำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนต่อข้อเสนอให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน4เดือน

จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับข้อเสนอให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรภายในสี่เดือนพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.24 ระบุว่า ควรยุบสภาฯ โดยเร็วที่สุด ไม่ต้องรอ4เดือน รองลงมา ร้อยละ 27.17 ระบุว่า เห็นด้วยกับการยุบสภาฯ ภายในสี่เดือน ร้อยละ 9.54 ระบุว่า ไม่ควรยุบสภาฯ แต่ควรรอให้สภาฯ ชุดนี้หมดวาระ ในปี 2570 ร้อยละ 2.52 ระบุว่า ควรยุบสภาฯ ภายในหกเดือน ร้อยละ 0.92 ระบุว่า ควรยุบสภาฯ ภายในหนึ่งปี  และร้อยละ 0.61 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ด้านความต้องการของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.56 ระบุว่า ต้องการมาก รองลงมา ร้อยละ 28.17 ระบุว่า ไม่ต้องการเลย ร้อยละ 21.76 ระบุว่า ค่อนข้างต้องการ ร้อยละ 9.99 ระบุว่า  ไม่ค่อยต้องการ และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ท้ายที่สุดเมื่อสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่ระบุว่าต้องการมากและค่อนข้างต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  

จากจำนวน 777 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับรูปแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ประชาชนต้องการ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 74.39 ระบุว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา รองลงมา ร้อยละ 24.71 ระบุว่า ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และร้อยละ 0.90 ระบุว่า ไม่ตอบ

"นิด้า โพล" เปิดผลสำรวจ เผยเลือกตั้งใหม่คนไทยเทใจอยากได้ "นักธุรกิจ-Gen X" นั่งนายกฯ

 

วันที่ 31 ส.ค. 2568 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “สนใจไหม นายกใหม่ พรรคการเมืองใหม่” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 25-26 ส.ค. 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความต้องการของประชาชนในการได้นายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งครั้งหน้า

จากการสำรวจเมื่อถามถึงอาชีพของบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.44 ระบุว่า นักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ รองลงมา ร้อยละ 24.05 ระบุว่า ทหาร ร้อยละ 19.54 ระบุว่า นักการเมืองอาชีพระดับชาติ ร้อยละ 16.26 ระบุว่า นักกฎหมาย (เช่น ทนาย อัยการ ผู้พิพากษา เป็นต้น) ร้อยละ 16.11 ระบุว่า ข้าราชการ ร้อยละ 14.89 ระบุว่า ผู้บริหารองค์การภาคธุรกิจ (ที่ไม่ใช่เจ้าของ หรือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการ)

และนักวิชาการ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 12.75 ระบุว่า นักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง (SME) ร้อยละ 11.83 ระบุว่า นักการเมืองอาชีพระดับท้องถิ่น ร้อยละ 7.18 ระบุว่า ผู้ทำอาชีพอิสระ (เช่น ฟรีแลนซ์ อินฟลูเอนเซอร์ เน็ตไอดอล นักเขียน เป็นต้น)

ร้อยละ 6.18 ระบุว่า คนในวงการ NGO อาสาสมัครเพื่อสังคม ร้อยละ 4.81 ระบุว่า ตำรวจ ร้อยละ 3.21 ระบุว่า พ่อค้า แม่ค้าในตลาด ร้อยละ 3.13 ระบุว่า ไม่ตอบ ร้อยละ 3.05 ระบุว่า แพทย์ พยาบาล ร้อยละ 2.82 ระบุว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร้อยละ 1.98 ระบุว่า มนุษย์เงินเดือนในบริษัทเอกชน ร้อยละ 0.84 ระบุว่า คนในวงการบันเทิง ดารา นักร้อง นักแสดง และร้อยละ 0.61 ระบุว่า คนในวงการไฮโซ

ด้านช่วงอายุ (เจเนอเรชัน) ของบุคคลที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 65.57 ระบุว่า Gen X (อายุระหว่าง 45–60 ปี) รองลงมา ร้อยละ 24.96 ระบุว่า Millennials หรือ Gen Y (อายุระหว่าง 29–44 ปี) ร้อยละ 9.24 ระบุว่า Baby Boomers (อายุระหว่าง 61–79 ปี) และร้อยละ 0.23 ระบุว่า Silent Gen (อายุระหว่าง 80–100 ปี)

สำหรับแนวโน้มในการเลือก สส. ระบบเขตเลือกตั้ง จากพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่มี สส. อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบัน หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.21 ระบุว่า ไม่แน่ใจ แต่มีแนวโน้มที่จะเลือกผู้สมัคร สส. จากพรรคการเมืองใหม่

รองลงมา ร้อยละ 31.76 ระบุว่า เลือกผู้สมัคร สส. จากพรรคการเมืองใหม่แน่นอน ร้อยละ 17.48 ระบุว่า ไม่เลือกผู้สมัคร สส. จากพรรคการเมืองใหม่แน่นอน ร้อยละ 11.15 ระบุว่า ไม่แน่ใจอะไรเลย และร้อยละ 7.40 ระบุว่า ไม่แน่ใจ แต่มีแนวโน้มที่จะไม่เลือกผู้สมัคร สส. จากพรรคการเมืองใหม่

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงแนวโน้มในการเลือก สส. ระบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมืองใหม่ ที่ไม่มี สส. อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบัน หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.75 ระบุว่า เลือกพรรคการเมืองใหม่แน่นอน

รองลงมา ร้อยละ 32.06 ระบุว่า ไม่แน่ใจ แต่มีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคการเมืองใหม่ ร้อยละ 18.09 ระบุว่า ไม่เลือกพรรคการเมืองใหม่แน่นอน ร้อยละ 11.15 ระบุว่า ไม่แน่ใจอะไรเลย และร้อยละ 5.95 ระบุว่า ไม่แน่ใจ แต่มีแนวโน้มที่จะไม่เลือกพรรคการเมืองใหม่

"นิด้าโพล" เผยประชาชนยังไม่วางใจ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ "เขมร" ไม่น่าคบ

 

วันที่ 24 สิงหาคม 68 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุการณ์ปกติ ” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป 

กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล”

จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินไปตามปกติ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 44.96 ระบุว่า เหตุการณ์ไม่ปกติเลย และน่ากังวล รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่า เหตุการณ์ปกติ แต่ยังไม่น่าไว้วางใจ

ร้อยละ 23.74 ระบุว่า เหตุการณ์ยังคงไม่ปกติเท่าไรนัก และร้อยละ 2.14 ระบุว่า เหตุการณ์ปกติจริง ไม่มีอะไรน่ากังวล

ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 64.73 ระบุว่า ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง เพราะต้องการผลประโยชน์รองลงมา 

ร้อยละ 17.10 ระบุว่า ไทยควรปฏิเสธการเข้ามาแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ ร้อยละ 8.85 ระบุว่า ประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซง เพราะต้องการให้เกิดสันติภาพจริง ๆ ร้อยละ 6.11 ระบุว่า ไม่เชื่อว่าประเทศมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจัง และร้อยละ 3.21 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

นอกจากนี้เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อประเทศกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านของไทยจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในขณะนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 54.12 ระบุว่า เป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ควรคบด้วย รองลงมา 

ร้อยละ 29.39 ระบุว่า เป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้ แต่ไม่ควรไว้วางใจ ร้อยละ 14.20 ระบุว่า เป็นฝั่งตรงข้าม ร้อยละ 1.91 ระบุว่า ยังคงเป็นเพื่อบ้านที่คบกันได้เหมือนเดิม และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ทั้งนี้ นิด้าโพลใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
 

คนไทยไว้ใจกองทัพ

คนไทยไว้ใจ กองทัพมากกว่ารัฐบาล ปชช.โหวตไม่ควรรับเขมรรักษาในไทย ด้าน กองทัพเรือสูญเสียวีรบุรุษกล้า เรือตรี ภัทราวุธ รัตนวงษ์ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเตรียมอาวุธที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วน ศบ.ทก.รายงานเหตุชายแดนปกติ เผย ทภ.2 ดูแลทหารเหยียบกับระเบิดใกล้ชิด ย้ำพื้นที่ลาดตระเวนอยู่เขตไทย 100% เตรียมประท้วงนานาชาติ เขมรใช้ทุ่นระเบิด

         เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 มีรายงานว่า พลเรือตรี ปารัช รัตนไชยพันธ์ รองโฆษกกองทัพเรือ แถลงยืนยันเช้านี้ระบุว่า เรือตรี ภัทราวุธ รัตนวงษ์ เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จากอุบัติเหตุระหว่างเตรียมอาวุธเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568
       
  ทั้งนี้ เรือตรี ภัชทราวุธ รัตนวงษ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเขาสมิงวิทยาคมรุ่นที่17 เสียสละแม้ชีพเพื่อผืนแผ่นดินไทยเพื่อคนไทย ที่สมรภูมิจังหวัดสุรินทร์ เมื่อวันที่ 28 กรกฏาคม 2568  เสียชีวิต เวลา 22.30 น. เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568
         
ด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย  กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงดึกของคืนที่ผ่านมา (วันเสาร์ที่ 9 ส.ค.2568) จนถึงช่วงเช้า (วันอาทิตย์ที่ 10 ส.ค.2568) เวลา 07.00 น. สถานการณ์ตามแนวชายแดน 7 จังหวัดไม่มีเหตุการณ์ปะทะใด ๆ
        
 ขณะที่ วานนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้รับรายงานจาก ศบ.ทก. ว่าได้มีทหารออกลาดตระเวน บริเวณพื้นที่รอยต่อ โดนเอาน์ - กฤษณา เหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ที่ชายแดน จ.ศรีสะเกษ ซึ่งได้สั่งการให้กองทัพภาคที่ 2 ดูแลทหารกล้าที่จะได้รับบาดเจ็บอย่างใกล้ชิด
        
 นายจิรายุ กล่าวต่อไปว่า ศบ.ทก ยืนยันว่าพื้นที่ที่ทหารลาดตระเวนนั้น อยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทย 100% ซึ่งทำให้เชื่อได้ว่า กองทัพกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดอธิปไตยเข้ามาวางกับระเบิดในช่วงก่อนการหยุดยิง
       
  ทั้งนี้ ได้เตรียมการประท้วงทั้งระดับชายแดน และระดับนานาชาติกรณีที่กัมพูชาใช้ทุ่นระเบิด ซึ่งขัดต่อข้อตกลงสนธิสัญญาออตตาวา อย่างชัดเจน
       
  ขณะที่ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง สถานการณ์ไทย-กัมพูชา ไปต่อแบบไหนดี ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-5 สิงหาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความไว้วางใจและความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ นิด้าโพล สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
      
   จากการสำรวจเมื่อถามถึงความไว้วางใจต่อภาคส่วนต่าง ๆ ว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้ จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 75.73 ระบุว่า ไว้วางใจมาก รองลงมา ร้อยละ 19.31 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 3.66 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
      
   กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 41.76 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ 33.28 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 19.23 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 4.89 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 54.58 ระบุว่า ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมา ร้อยละ 29.01 ระบุว่า ไม่ค่อยไว้วางใจ ร้อยละ 11.45 ระบุว่า ค่อนข้างไว้วางใจ ร้อยละ 4.66 ระบุว่า ไว้วางใจมาก และร้อยละ 0.30 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
      
   ด้านความพอใจต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า กองทัพ ตัวอย่าง ร้อยละ 75.42 ระบุว่า พอใจมาก รองลงมา ร้อยละ 19.85 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 3.36 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 1.22 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ กระทรวงการต่างประเทศ ตัวอย่าง ร้อยละ 40.31 ระบุว่า ไม่พอใจเลย รองลงมา ร้อยละ 33.66 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 20.38 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 4.81 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
     
    รัฐบาลไทย ตัวอย่าง ร้อยละ 54.43 ระบุว่า ไม่พอใจเลย รองลงมา ร้อยละ 27.40 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 13.75 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ ร้อยละ 4.27 ระบุว่า พอใจมาก และร้อยละ 0.15 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
     
    ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.98 ระบุว่า เปิดเจรจาทางการทูตสองฝ่ายอย่างจริงจัง รองลงมา ร้อยละ 27.63 ระบุว่า กดดันทางเศรษฐกิจ เช่น การปิดด่านต่อไปอย่างจริงจัง งดการนำเข้าส่งออกในทุกกรณี ร้อยละ 27.10 ระบุว่า เปลี่ยนรัฐบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ร้อยละ 23.97 ระบุว่า เพิ่มกำลังทางทหารชายแดน เพื่อป้องกันประเทศ ร้อยละ 21.30 ระบุว่า กดดัน ฟ้องร้องและประณามกัมพูชาผ่านกลไกระหว่างประเทศ ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ไปต่อแบบไหนก็ได้ แต่ต้องไม่เสียดินแดนและไม่เสียเปรียบให้กัมพูชา ร้อยละ 19.62 ระบุว่า ให้มีประเทศที่สามเป็นตัวกลางในการเจรจาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ร้อยละ 16.49 ระบุว่า รบต่อจนกว่าจะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จ ร้อยละ 11.15 ระบุว่า ไปต่อแบบไหนก็ได้ แต่ขอเพียงแค่ไม่มีการสู้รบกัน ร้อยละ 5.19 ระบุว่า ใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ตามข้อเรียกร้องของกัมพูชา ร้อยละ 2.90 ระบุว่า เปิดด่านทั้งหมดเพื่อให้เศรษฐกิจชายแดนเข้าสู่ภาวะปกติ ร้อยละ 2.67 ระบุว่า แทรกแซงการเมืองภายในประเทศกัมพูชาเพื่อล้มอำนาจ ฮุน เซน และรัฐบาล ฮุน มาเนต ร้อยละ 2.21 ระบุว่า สนับสนุนรัฐบาลปัจจุบันอย่างเต็มที่ ในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา และร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
      
   ท้ายที่สุดเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการปฏิบัติของโรงพยาบาลในการรับผู้ป่วยชาวกัมพูชา เพื่อการรักษาพยาบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 51.37 ระบุว่า ไม่ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยและขอข้ามแดนมาเพื่อการรักษาพยาบาล รองลงมา ร้อยละ 35.81 ระบุว่า ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในไทยเท่านั้น ร้อยละ 11.45 ระบุว่า ควรรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ในไทยหรือขอข้ามแดนมาเพื่อการรักษาพยาบาล และร้อยละ 1.37 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ
     
    เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.70 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.28 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก โดยตัวอย่าง ร้อยละ 47.94 เป็นเพศชาย และร้อยละ 52.06 เป็นเพศหญิง
      
   ตัวอย่าง ร้อยละ 12.13 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.79 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.34 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 25.80 อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยตัวอย่าง ร้อยละ 94.89 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 4.19 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.92 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ
       
  ตัวอย่าง ร้อยละ 34.05 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.89 สมรส และร้อยละ 2.06 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ โดยตัวอย่าง ร้อยละ 0.61 ไม่ได้รับการศึกษา ร้อยละ 16.11 จบการศึกษาประถมศึกษา ร้อยละ 35.11 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 8.86 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 32.06 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 7.25 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
       
  ตัวอย่าง ร้อยละ 9.62 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.18 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 24.27 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 8.40 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 14.81 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.61 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงานและร้อยละ 6.11 เป็นนักเรียน/นักศึกษา
       
  ตัวอย่าง ร้อยละ 20.08 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 3.13 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 13.04 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001-10,000 บาท ร้อยละ 32.44 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 10.46 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.80 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 3.44 ราย ได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001-50,000 บาท ร้อยละ 2.37 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 50,001-60,000 บาท ร้อยละ 0.69 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 60,001-70,000 บาท ร้อยละ 0.46 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 70,001-80,000 บาท ร้อยละ 0.99 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 80,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 7.10 ไม่ระบุรายได้
   

ปชช.หนุนใช้กม.เอาผิดพระฉาว

นิด้าโพล เผย ปชช. 76% มอง ปมฉาวใน พุทธศาสนา มาจาก พระไม่ตัดขาดทางโลกพร้อมหลงลาภยศ ตำแหน่ง ด้าน ซูเปอร์โพล ชี้ ประชาชนพึงพอใจ ตำรวจ สูงสุดในการปกป้องศาสนาจากพวกบ่อนทำลาย ขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมได้คะแนนต่ำสุด สะท้อนวิกฤติศรัทธาที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงเร่งด่วน สึกอีกรูป! "พระธรรมวชิรธีรคุณ" เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ลาสิกขา วัดนครสวรรค์ออกแถลงการณ์ ยันเป็นเรื่องส่วนตัว
       
 จากกรณี พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ตรวจสอบพฤติกรรมไม่เหมาะสมของพระชั้นผู้ใหญ่ทั่วประเทศ โดยล่าสุด ตำรวจกองปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบพระราชาคณะชั้นธรรมรูปหนึ่ง ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างหรือภาคกลางตอนบน กรณีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสีกาฐานะดีมานานกว่า 15 ปี พร้อมกับระบุว่า หญิงคนดังกล่าวมีฐานะดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเศรษฐินี ระดับจังหวัด โดยไม่เป็นที่เคลือบแคลงของชาวบ้านในพื้นที่ ส่งผลให้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า พระธรรมวชิรธีรคุณ เจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง และเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นพระราชาคณะระดับชั้นธรรม อาจเป็นเป้าหมายของการตรวจสอบในครั้งนี้

         ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 วัดนครสวรรค์ ออกแถลงการณ์วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง เรื่อง การลาออกจากตำแหน่ง และการลาสิกขา ของพระธรรมวชิรธีรคุณ อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ และอดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง ระบุว่า เนื่องจากมีข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับพระธรรมวชิรธีรคุณ อดีตเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ และอดีตเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ แพร่หลายในสื่อต่างๆ คณะผู้บริหารวัดนครสวรรค์ จึงขอชี้แจง ข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนดังต่อไปนี้
 
      1.เรื่องการลาออกจากตำแหน่งและการลาสิกขา พระธรรมวชิรธีรคุณได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ และเจ้าอาวาสวัดนครสวรรค์ รวมทั้งมีความประสงค์จะลาสิกขา โดยการตัดสินใจดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัว ท่านจึงขอเสียสละเพื่อความเรียบร้อยดีงามในพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่ควรส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาและคณะสงฆ์
   
    2.เรื่องข้อกล่าวหาเรื่องการเงินเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการใช้เงินอย่างไม่โปร่งใส วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง ขอชี้แจงว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากพระธรรมวชิรธีรคุณ ในฐานะเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ จึงมีตำแหน่งเป็นประธานโครงการก่อสร้างพุทธอุทยานอีกตำแหน่งหนึ่ง โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้ การดำเนินงานก่อสร้างทุกโครงการในพุทธอุทยานนครสวรรค์ได้กระทำในรูปแบบคณะกรรมการ โดยมีคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ร่วมกันในการบริหารจัดการและก่อสร้าง มีการทำเอกสารหลักฐานการเงินและการจัดทำบัญชีที่สามารถตรวจสอบได้ การก่อสร้างมีการโกงเงินตามที่เป็นคดีความ ทางพุทธอุทยานนครสวรรค์ได้ฟ้องร้องและชนะคดีความ โดยผู้ที่โกงเงินไปยังหลบหนีหมายจับและไม่ใช้หนี้ตามคำพิพากษาให้กับโครงการก่อสร้าง จึงเป็นเหตุให้การก่อสร้างล่าช้า
       
  วัดนครสวรรค์ พระอารามหลวง ยืนยันความโปร่งใสในการบริหารจัดการ และพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกระบวนการที่ถูกต้อง เพื่อคลี่คลายข้อข้องใจและรักษาเกียรติภูมิของพระพุทธศาสนา
       
  ทั้งนี้ ขอให้สื่อมวลชนและประชาชนได้ใช้วิจารณญาณในการรับหรือเสนอข่าวสาร และขอความกรุณาไม่นำเสนอข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อพระพุทธศาสนา และวัดนครสวรรค์ ขอให้ช่วยกันปกป้องรักษา เชิดชูพระสัทธรรมคำสอนอันเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธบริษัท สืบไป
     
    ส่วน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง วิกฤตพระพุทธศาสนา ! ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 14-16 กรกฎาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และนับถือศาสนาพุทธ กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง  เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ นิด้าโพล สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0
        
 จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 76.11 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ตัดไม่ขาดจากทางโลก ทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ เช่น เสพยาบ้า ดื่มสุรา เล่นการพนัน ยุ่งสีกา รองลงมา ร้อยละ 45.95 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงในลาภ ยศ สรรเสริญและตำแหน่งทางสงฆ์ ร้อยละ 45.80 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงในวัตถุนิยมหรือบริโภคนิยม   
    
    ร้อยละ 40.00 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ออกบวชเพราะมองว่าพระคืออาชีพหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้   ร้อยละ 29.16 ระบุว่า วัดบางแห่ง มีความเป็นพุทธพาณิชย์   ร้อยละ 27.63 ระบุว่า วัดบางแห่ง มีการบริหารจัดการทรัพย์สิน ที่ไม่โปร่งใส   ร้อยละ 25.42 ระบุว่า องค์กรที่ดูแลพระพุทธศาสนาอ่อนแอขาดประสิทธิภาพในการตรวจสอบป้องกัน   ร้อยละ 23.74 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ไม่อยู่ในหลักพระธรรมวินัยมีพฤติกรรมก้าวร้าว ร้อยละ 16.72 ระบุว่า ญาติโยม/ลูกศิษย์จำนวนหนึ่ง ชอบชักนำให้พระสงฆ์ประพฤติหรือทำกิจกรรมที่ผิดหลักพระธรรมวินัยและการปกครองภายในวัดไม่มีประสิทธิภาพทำให้มีข่าวฉาวเป็นประจำ
    
     ในสัดส่วนที่เท่ากัน ร้อยละ 13.59 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง หลงตัวเอง ชอบโฆษณาอภินิหารเกินความจริง (อวดอุตริมนุสธรรม) ร้อยละ 11.60 ระบุว่า วัดบางแห่ง โฆษณาชวนเชื่อให้คนทำบุญเกินตัว/เกินเหตุจำเป็น ร้อยละ 8.32 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง มีคำสอนที่บิดเบือนคำสอนทางพระพุทธศาสนา ร้อยละ 7.79 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง เน้นพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มากกว่าคำสอนทางพุทธศาสนา ร้อยละ 1.68 ระบุว่า พระสงฆ์จำนวนหนึ่ง ชอบยุ่งการเมือง/เลือกข้าง และร้อยละ 0.46 ระบุว่า พระพุทธศาสนาในปัจจุบันไม่มีปัญหาใด ๆ เลย
   
      เมื่อถามถึงด้านความศรัทธาของประชาชนต่อศาสนาและพระสงฆ์ จากกรณีข่าวฉาวของพระสงฆ์ในปัจจุบัน พบว่า   ความศรัทธาในพระสงฆ์ ตัวอย่าง ร้อยละ 58.40 ระบุว่า ลดลง และร้อยละ 41.60 ระบุว่า เท่าเดิม  ความศรัทธาในศาสนาพุทธ ตัวอย่าง ร้อยละ 68.55 ระบุว่า เท่าเดิม และร้อยละ 31.45 ระบุว่า ลดลง
     
    ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อร่าง พ.ร.บ. ส่งเสริมพุทธศาสนิกชนในการอุปถัมภ์ และคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่กำหนดโทษจำคุก ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ พระสงฆ์และ/หรือฆราวาส ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม  พบว่า   1.พระสงฆ์ที่ต้องอาบัติปาราชิก หรือประพฤติล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ตัวอย่าง ร้อยละ 80.76 ระบุว่า เห็นด้วยมาก   รองลงมา ร้อยละ 13.59 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 3.82 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย 2. หญิงหรือชายสมัครใจเสพเมถุนกับพระภิกษุหรือสามเณร ตัวอย่าง ร้อยละ 17 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 15.03 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 3.97 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.23 ระบุว่า ไม่ตอบ 3. พระสงฆ์อวดอุตริมนุสธรรม ตัวอย่าง ร้อยละ 63 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 17.56 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 8.55 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 4.89 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.37 ระบุว่า ไม่ตอบ 4.ผู้ทำการล้อเลียน ดูหมิ่น ทำให้เข้าใจผิดในสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา ตัวอย่าง ร้อยละ 35 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 19.92 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 10.84 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 4.81 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย และร้อยละ 0.08 ระบุว่า ไม่ตอบ 5.ผู้กล่าวหาพระสงฆ์ให้มีมลทินโดยไม่มีหลักฐาน ตัวอย่าง ร้อยละ 44 ระบุว่า เห็นด้วยมาก รองลงมา ร้อยละ 20.84 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย ร้อยละ 11.76 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย และร้อยละ 4.96 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย
      
   ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง ปกป้องศาสนาและศรัทธาของประชาชน ดำเนินการระหว่างวันที่ 16-19 กรกฎาคม 2568 โดยใช้ทั้งวิธีวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพ จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวน 1,143 คน
    
     ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า เมื่อถามถึงความพึงพอใจต่อหน่วยงานรัฐที่มีบทบาทปกป้องศาสนาและศรัทธาของประชาชน พบว่า ตำรวจ ได้รับความพึงพอใจสูงที่สุด คือ 80.1% ของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งสะท้อนความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อตำรวจในฐานะกลไกหลักของรัฐที่ลงพื้นที่ปฏิบัติการอย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ตามมาในลำดับที่สองด้วย 72.3% แสดงให้เห็นว่าประชาชนตระหนักถึงบทบาทเชิงโครงสร้างของหน่วยงานต่อต้านคอร์รัปชันที่เกี่ยวข้องกับวัดและเงินบริจาค คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้รับความพึงพอใจ 70.6% บ่งชี้ว่าประชาชนยังฝากความหวังไว้กับองค์กรอิสระที่มีหน้าที่ตรวจสอบอำนาจและความโปร่งใส สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้รับความพึงพอใจ 65.8% เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการติดตามเส้นทางการเงินที่ผิดปกติของวัดและพระสงฆ์ และกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งควรเป็นเสาหลักในการส่งเสริมศาสนา กลับได้รับเพียง 41.2% สะท้อนถึงความต้องการการปรับบทบาทให้เข้มแข็งและทันสมัยมากยิ่งขึ้น
      
   ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนให้ความไว้วางใจแก่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและต่อต้านทุจริตมากกว่าหน่วยงานด้านศาสนาโดยตรง นี่คือสัญญาณเตือนให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานศาสนาพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงานใหม่เพื่อให้สามารถฟื้นฟูความศรัทธาของประชาชนได้อย่างแท้จริง ที่น่าสนใจคือในการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อมาตรการเชิงรุกในการจัดการกับพระหรือนักบวช ที่กระทำผิดและส่งผลต่อศรัทธา พบว่า ประชาชนถึง 78.5% พอใจต่อการจับกุมพระหรือบุคคลในสมณเพศที่มีความสัมพันธ์ทางเพศต้องห้ามทางศาสนา ซึ่งถือเป็นการล่วงละเมิดจริยธรรมและศีลธรรมขั้นร้ายแรง 74.2% พอใจต่อการดำเนินคดีทางกฎหมายกับพระสงฆ์ที่ยักยอกเงินวัดหรือเงินบริจาค
      
   แสดงให้เห็นว่าประชาชนให้ความสำคัญต่อความโปร่งใสและความซื่อสัตย์ของผู้รับใช้ศาสนา 73.1% สนับสนุนการตรวจสอบทรัพย์สินของพระสงฆ์และฆราวาสที่เกี่ยวข้องกับวัดเพื่อป้องกันการสะสมทรัพย์เกินควรหรือผิดวัตถุประสงค์ 69.7% พอใจต่อการที่เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบพระสงฆ์หรือนักบวชอย่างรวดเร็วหลังได้รับแจ้งเบาะแส และ 55.2% พอใจต่อการที่รัฐมีมาตรการคุ้มครองพระหรือนักบวชที่เป็นคนดีไม่ให้ถูกรังแกหรือใส่ร้าย ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่าความพึงพอใจในระดับสูงต่อการจัดระเบียบและปราบปรามผู้ที่บ่อนทำลายศาสนาบ่งชี้ถึงแรงกดดันทางสังคมที่ต้องการเห็น การกระทำที่เป็นรูปธรรม มากกว่าคำพูดหรือสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์เพียง เปลือกนอก และพร้อมสนับสนุนให้คุ้มครองพระแท้ที่ปฏิบัติตนตามหลักศาสนาอย่างเข้มงวด
  
       นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบด้วยว่า ประชาชนได้ยกย่องบุคคล 5 อันดับแรกที่มีบทบาทโดดเด่นในการเปิดโปงหรือติดตามข่าวสารเกี่ยวกับพระสงฆ์ที่ทำผิด ได้แก่ อันดับหนึ่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว (บิ๊กเต่า) ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดถึง 74.6% เพราะประชาชนเห็นว่าเป็นตำรวจที่ซื่อสัตย์ กล้าหาญ และเป็นแบบอย่างของ ตำรวจน้ำดี อันดับสองได้แก่ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย ได้รับ 73.4% เนื่องจากเปิดพื้นที่สื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ชี้แจงและติดตามข่าวพระมั่วสีกาอย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง อันดับสาม ได้แก่ แพรรี่ ทิดไพรวัลย์ ได้รับ 69.8% ด้วยบทบาทที่พูดแทน

“นิด้าโพล” ชี้ประชาชนหนุน "บิ๊กตู่" นั่งนายกฯ แทนแพทองธาร ส่วนใหญ่เรียกร้องลาออก-ยุบสภา

“นิด้าโพล” เผยผลสำรวจ “การเมืองไทย ไปต่อแบบไหนดี” พบคนส่วนใหญ่มองนายกฯแพทองธาร ควรประกาศลาออก พร้อมหนุน "บิ๊กตู่" เป็นนายกฯคนใหม่ ขณะที่พรรคประชาชนควรร่วมลงชื่อกับฝ่ายค้านเพื่อขอเปิดซักฟอกรัฐบาล

ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “การเมืองไทย ไปต่อแบบไหนดี” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 4-7 กรกฎาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 42.37 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ควรประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อหานายกฯ คนใหม่ รองลงมา ร้อยละ 39.92 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ควรยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป ร้อยละ 15.04 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ควรบริหารประเทศต่อไปเหมือนเดิม ร้อยละ 1.37 ระบุว่า เรียกร้องให้มีการรัฐประหาร ร้อยละ 0.99 ระบุว่า อย่างไรก็ได้ และร้อยละ 0.31 ระบุว่า ไม่ตอบ

ด้านบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปตามรายชื่อผู้มีสิทธิเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากเผชิญกับปัญหาทางการเมือง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.82 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (องคมนตรี -แต่เป็นแคนดิเดตจากพรรครวมไทยสร้างชาติ) รองลงมา ร้อยละ 27.94 ระบุว่า ไม่สนับสนุนใครเลยตามรายชื่อผู้มีสิทธิเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 11.53 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) ร้อยละ 10.92 ระบุว่าเป็น นายชัยเกษม นิติสิริ (พรรคเพื่อไทย) ร้อยละ 9.77 ระบุว่า ใครก็ได้ตามรายชื่อผู้มีสิทธิเป็นนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 3.82 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) ร้อยละ 1.83 ระบุว่าเป็น นายจุรินทร์ ลักษณวิศษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) ร้อยละ 0.84 ระบุว่าเป็น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) และร้อยละ 0.53 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการที่พรรคประชาชนควรร่วมลงชื่อกับพรรคฝ่ายค้านเพื่อขอเปิดอภิปรายและลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและ/หรือรัฐมนตรี จากสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 64.43 ระบุว่า ควรลงชื่อเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ/หรือ รัฐมนตรี รองลงมา ร้อยละ 26.26 ระบุว่า ไม่ควรลงชื่อเพื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และ/หรือ รัฐมนตรี ร้อยละ 7.48 ระบุว่า อย่างไรก็ได้ และร้อยละ 1.83 ระบุว่า ไม่ตอบ

#นิด้าโพล #แพทองธาร #บิ๊กตู่ #ประยุทธ์จันทร์โอชา #การเมืองไทย #นายกรัฐมนตรี #ยุบสภา #ลาออกนายก #ข่าวการเมือง #โพลล่าสุด #อภิปรายไม่ไว้วางใจ #สยามรัฐออนไลน์ #สยามรัฐ

 

 

'นิด้าโพล'เผย คนไทยไม่เชื่อมั่น “ฮุน เซน” ชี้ทำเพื่อตัวเอง – ทำนายไทยเปลี่ยนนายกฯ คือการ “มั่ว”

วันที่ 6 ก.ค.68 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ฮุน เซน” ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,310 ราย ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ครอบคลุมทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา และอาชีพ

การสำรวจนี้อาศัยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) จากฐานข้อมูลตัวอย่างหลักของนิด้าโพล ผ่านการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ มีค่าความคลาดเคลื่อน ±0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น 97.0%

คนส่วนใหญ่ไม่ไว้วางใจ “ฮุน เซน” – มองทำเพื่อประโยชน์ส่วนตน
เมื่อถามถึงความรู้สึกต่อการเคลื่อนไหวของ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ในกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่า:

ร้อยละ 67.63 ระบุว่า “ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง”

ร้อยละ 57.25 มองว่า “ไม่น่าไว้วางใจ”

ร้อยละ 44.66 ชี้ว่า “คำพูดไม่น่าเชื่อถือ”

ร้อยละ 40.53 ระบุว่า “ยุให้คนไทยแตกแยก”

ร้อยละ 25.34 เชื่อว่า “ต้องการยึดครองดินแดนไทย”

ร้อยละ 18.85 มองว่า “แทรกแซงกิจการภายในไทย”

ร้อยละ 14.12 ระบุว่า “เปิดเผยความลับการเมืองไทย”

เพียง ร้อยละ 9.31 มองว่า “ทำเพื่อผลประโยชน์กัมพูชา”

และมีเพียง ร้อยละ 1.30 เท่านั้นที่มองว่า “คำพูดน่าเชื่อถือ”

คนไทยไม่เชื่อคำทำนาย “เปลี่ยนนายกฯ ภายใน 3 เดือน”
ในส่วนของความคิดเห็นต่อคำทำนายของฮุน เซน ที่ระบุว่าไทยจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีภายใน 3 เดือน และรู้ว่าใครจะมาเป็นนายกฯ นั้น ประชาชนส่วนใหญ่แสดงความไม่เชื่อ โดยผลสำรวจพบว่า:

ร้อยละ 43.05 ระบุว่า “ไม่น่าเชื่อ”

ร้อยละ 34.12 เห็นว่า “เป็นการทำนายมั่ว ๆ”

ร้อยละ 33.97 มองว่า “พยายามยุให้คนไทยตีกัน”

ร้อยละ 30.31 ระบุว่า “การเปลี่ยนตัวนายกฯ อาจเป็นไปได้ แต่ไม่น่ารู้ว่าใครจะมา”

ร้อยละ 25.34 มองว่า “เป็นการวิเคราะห์ตามสถานการณ์”

ร้อยละ 19.01 ชี้ว่า “เป็นการแทรกแซงกิจการไทย”

ร้อยละ 14.66 มองว่า “พูดตามข่าวกรองที่ได้มา”

ร้อยละ 10.69 มองว่า “เป็นการเตือนน.ส.แพทองธาร”

ร้อยละ 7.25 เท่านั้นที่ระบุว่า “น่าเชื่อ”

ข้อมูลพื้นฐานกลุ่มตัวอย่าง
ภูมิภาค:

ภาคอีสานมากที่สุด ร้อยละ 33.28

กรุงเทพฯ ร้อยละ 8.55

เพศ: ชาย ร้อยละ 47.94 / หญิง ร้อยละ 52.06

อายุ:

อายุ 46-59 ปี มากที่สุด ร้อยละ 26.34

รองลงมา อายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 25.80

การศึกษา:

มัธยม ร้อยละ 33.89

ปริญญาตรี ร้อยละ 32.75

อาชีพ:

เจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 25.34

พนักงานเอกชน ร้อยละ 17.48

เกษตรกร/ประมง ร้อยละ 9.16

รายได้:

กลุ่มรายได้ 10,001–20,000 บาทต่อเดือนมากที่สุด ร้อยละ 34.66

ไม่มีรายได้ ร้อยละ 18.47

"วิสุทธิ์" ไม่สน "นิด้าโพล" ชี้ความนิยม "นายกฯ-พท." ลดฮวบ เย้ยม็อบจุดไม่ติด ปรามพรรคร่วมฯอย่ากดดันรัฐบาล

 

วันที่ 29 มิ.ย.2568 นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล) กล่าวถึงกรณีนิด้าโพลเปิดผลสำรวจความเห็นประชานที่คะแนนิยมน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หล่นไปอยู่อันดับ 5 และคะแนนนิยมพรรคเพื่อไทย ตกไปอยู่ที่ 3ว่า ไม่น่าตกใจ เป็นผลพวงจากคลิปสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีกับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่บางกลุ่มยังไม่เข้าใจว่าเป็นเทคนิค ทางการทูต แต่ประชาชนต่างจังหวัดส่วนใหญ่ยังเข้าใจการทำหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี

ผลโพลที่ออกมาดังกล่าวสะท้อนอารมณ์ประชาชนที่สอบถามความรู้สึกในช่วงขณะนั้น แต่อีก 3-4 วันต่อมา อาจเปลี่ยนแปลงได้ หลังจากรัฐบาลได้ชี้แจงทำความเข้าใจ ให้ประชาชนรับทราบข้อมูลมากขึ้น  หลังจากนี้เป็นหน้าที่ครม.ชุดใหม่ ต้องทำงานแก้ปัญหาเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจปากท้องชาวบ้าน มั่นใจว่าคะแนนนิยมนายกฯและพรรคเพื่อไทยจะกลับมาดีขึ้นแน่นอน ไม่ใช่ว่าจะเลือกตั้งในวันพรุ่งนี้ ควรให้กำลังใจนายกฯ  สส.เพื่อไทยยังมั่นใจในคะแนนพรรคว่ายังมั่นคงอยู่

นายวิสุทธิ์กล่าวว่า ส่วนการชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.นั้น คนขึ้นเวทีมีแต่คนหน้าเดิมๆ เป็นพวกขาประจำ แกนนำบางคนยังยุให้ทำรัฐประหาร มีที่ไหนทำกัน อยากให้ประเทศเกิดรัฐประหาร ใช้วิธีโคตรโบราณ พวกที่ขึ้นเวทีอยากกลับมาเป็นสว.หรือมีตำแหน่งทางการเมือง หากมีการปฏิวัติเกิดขึ้น เชื่อว่า ม็อบไม่น่าจะจุดติด แม้แต่ฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนยังคิดได้ ไม่เอาด้วยกับการรัฐประหาร อย่าไปตกใจมากมาย

เมื่อถามว่า หลังปรับครม. ยังมั่นใจ หรือไม่ รัฐบาลจะยังมีเสถียรภาพ จะไม่ถูกพรรคร่วมรัฐบาลกดดันการทำงาน ในช่วงที่มีเสียงปริ่มน้ำ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ทุกพรรคต้องขยันทำงานมากขึ้น เอาสภาฯเป็นตัวตั้ง การประชุมสภาวันพุธ-พฤหัส ควรอยู่ที่สภา ไม่ให้เกิดปัญหาการนับองค์ประชุม ไม่ควรไปอยู่ตามสนามบิน หรืออยู่ในพื้นที่ตัวเอง เพราะสภาฯคือที่ทำงานของสส.

หากพรรคร่วมรัฐบาลใช้วิธีกดดันรัฐบาล จนต้องยุบสภาหรือรัฐบาลเจ๊ง โดยที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2569 ยังไม่ผ่านวาระ 3 ยิ่งเป็นการทำร้ายประเทศ มั่นใจว่า พรรคร่วมรัฐบาลยังมีเสถียรภาพ ไม่ขัดแย้งถึงขั้นนายกฯต้องยุบสภา หรือลาออก