ลุ้นชี้ชะตา29สิงหาฯ “อิ๊งค์”คุย”ฮุนเซน”

“ศาลรัฐธรรมนูญ”ไต่สวน “นายกฯอิ๊งค์ -เลขาสมช.” คลี่ปมคลิปเสียงจ้อ “ฮุน เซน” พร้อมสั่งเลื่อนยื่นคำแถลงปิดคดี 25 สิงหาฯนี้ เตือนห้ามเผยแพร่ข้อมูลการไต่สวน คงกำหนดนัดชี้ชะตา 29 ส.ค.”ภูมิธรรม” ยันส่งทนายฟ้อง “ธนพร”ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมือง ข้อหาหมิ่นประมาท เหตุทำลายเกียรติยศ-เกียรติภูมิของผู้อื่น บอกไม่รับคำขอโทษ จับตาคดีชั้น 14! "นิพิฏฐ์" ชี้ หากศาลฎีกาฟันธง "ทักษิณ" ยังไม่รับโทษ อาจต้องกลับเรือนจำ

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.68 เมื่อเวลา 09.20 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.วัฒนธรรม เดินทางถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเข้ารับการไต่สวนพยานบุคคลกรณีที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของส.ว.จำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรี ของน.ส.แพทองธาร  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร และสมเด็จฯฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยมี นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และทีมทนายความส่วนตัวเดินทางมาด้วย

นอกจากนี้ยังมี นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามี และน.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว ได้เดินทางมาให้กำลังใจ โดย น.ส.แพทองธาร มีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า วันที่ 20 ส.ค. ไปทำบุญวันเกิดมากำลังใจดีใช่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ไม่ตอบคำถามเพียงแต่ยิ้ม และได้ยกมือสวัสดีทักทายสื่อมวลชน

ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์ไต่สวน โดยนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ชี้แจงกระบวนการพิจารณา ว่าวันนี้เป็นการนัดไต่สวนพยานบุคคลที่เรียกมาให้ถ้อยคำในคดีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม มาตรา 82  ว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ทั้งนี้ ศาลไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงในการไต่สวน เนื่องจากพยานบุคคลที่มาให้ถ้อยคำเป็นพยานคู่ และเป็นคดีที่เป็นความลับเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศ  ห้ามไม่ให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญนำข้อความการไต่สวนออกไปเผยแพร่และห้ามไม่ให้บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมายในลักษณะการสร้างความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน

จากนั้นเจ้าหน้าที่ศาลได้มีการรายงานผู้มาศาลของคู่กรณีว่า ฝ่ายผู้ร้องทางประธานวุฒิสภามอบฉันทะให้ผู้แทนมาศาลประกอบด้วย 1.พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา 2.พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สว. 3.นายชนินทร์ แก่นหิรัญ 4. นายตฤณ แก่นหิรัญ 5. นายอมร สุวรรณโรจน์

ส่วนผู้ถูกร้อง คือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และพยานบุคคล คือ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

จากนั้นนายนครินทร์ แจ้งว่าในการไต่สวนศาลได้มอบหมายให้นายวิรุฬห์ แสงเทียน และนายนภดล เทพพิทักษ์ เป็นผู้ดำเนินการไต่สวน และมีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านอื่นร่วมซักถาม โดยนายวิรุฬห์ ได้ขอไต่สวนนายฉัตรชัยเป็นปากแรก และขอให้น.ส.แพทองธาร ออกไปรอด้านนอก

ทั้งนี้ แจ้งว่าหากฝ่ายผู้ร้องหรือทนายต้องการซักถามพยานจะต้องได้รับการอนุญาตจากองค์คณะตุลาการศาลก่อน

ต่อมาเวลา 13.02 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญได้ไต่สวนพยาน 2 ปาก ในราย น.ส.แพทองธาร และนายฉัตรชัย แล้วเสร็จในคดีที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของสว.จำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรี ของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 106 (4) และ (5) หรือไม่ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงบทสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร และสมเด็จฯฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่งใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่า

นายนครินทร์ ได้ย้ำตอนหนึ่งระหว่างอ่านรายงานกระบวนวิธีพิจารณาคดีว่า ห้ามมิให้ผู้เข้ารับฟังการไต่สวนนำข้อมูลการไต่สวนไปเผยแพร่และบิดเบือนข้อมูลที่จะทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิด และตามที่ศาลได้สั่งให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีในวันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568 และนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติในวันที่ 29 สิงหาคมเวลา 09.30 น.และอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟังในเวลา 15.00 น.นั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า ตุลาการแต่ละท่านมีเวลาทำคำวินิจฉัยส่วนตนเพียง 1 วันเพื่อให้การวินิจฉัยของศาลเป็นไปอย่างรอบคอบและครบถ้วน อาศัยอำนาจตามพ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 31 ให้คู่กรณียื่นคำแถลงปิดคดีเสนอต่อศาลภายในวันที่ 25 ส.ค.68 หากไม่ยื่นถือว่าไม่ติดใจยื่น ส่วนการนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือและลงมติ และนัดฟังคำวินิจฉัยให้เป็นไปตามกำหนดเดิม คือ 29 ส.ค.68

ส่วนที่ลานประชาชน อาคารรัฐสภา กลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ปกป้องอธิปไตย ได้นัดชุมนุมเพื่อแสดงพลังเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณายกเลิกบันทึกความเข้าใจ (MOU) ฉบับปี 2543 และ 2544 เนื่องจากวาระการประชุมสภาในวันนี้จะมีการพิจารณาเรื่องดังกล่าว

บรรยากาศการชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้ามีมวลชนเดินทางมาปักหลักรับฟังการปราศรัย พร้อมโบกธงชาติไทยและชูป้ายข้อความเรียกร้องให้ยกเลิก MOU ดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกด้วย

สำหรับกำหนดการในวันนี้ แกนนำจะสลับกันขึ้นปราศรัย อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายพิชิต ไชยมงคล, นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ และ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม โดยจะยุติการชุมนุมในเวลา 17.00 น. พร้อมกันนี้จะมีการยื่นหนังสือถึงประธานสภาฯ และตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อขอให้ยกเลิก MOU 43 - 44

ด้าน นายพิชิต ไชยมงคล หนึ่งในแกนนำ เปิดเผยว่า การชุมนุมในวันนี้เพื่อสื่อสารถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจาก ส.ส. ของพรรคภูมิใจไทยจะเสนอเรื่องขอให้ยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 ต่อที่ประชุมสภาฯ ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของกลุ่มฯ ที่มองว่า MOU ดังกล่าวทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนและข้อพิพาทกับกัมพูชา จึงควรมีการเจรจาใหม่แบบทวิภาคี โดยให้ทางการไทยเสนอแผนที่มาตราส่วน 1:50,000

นายพิชิตยังกล่าวถึงกรณีคลิปเสียงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ที่พรรคเพื่อไทยชี้แจงว่าเป็นเจตนาดีต่อประเทศชาติว่า เป็นเรื่องที่ประชาชนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการลาออกจากตำแหน่ง “น.ส.แพทองธารปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะประชาชนได้รับฟังและตัดสินไปแล้ว คำพูดในคลิปไม่ได้เป็นผลดีต่อประเทศไทย ดังนั้นในทางการเมืองนายกฯ ไม่ต้องรอให้ศาลตัดสิน สามารถลาออกได้ทันที” นายพิชิตกล่าว

ส่วนกรณีที่มีการชี้แจงว่าเป็น "เทคนิคการเจรจา" นั้น นายพิชิตมองว่า "เป็นข้ออ้าง" เพราะไม่ใช่เทคนิคการเจรจาเพื่อประเทศชาติที่ควรจะมาด้อยค่าบุคลากรภายในประเทศตัวเอง แต่เป็นเทคนิคในการรักษาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของตนเองมากกว่า

เมื่อถูกถามว่านายกรัฐมนตรีจะลาออกก่อนมีคำพิพากษาในวันที่ 29 ส.ค. นี้หรือไม่ นายพิชิต ระบุว่า "ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีควรจะลาออก ซึ่งเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ให้ลาออกเสมือนเป็นเอกฉันท์ไปแล้ว"

นายพิชิต ยังได้ย้ำว่า สภาฯ ควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจาก MOU ดังนั้นฝ่ายนิติบัญญัติควรจะมีท่าทีและวางกรอบกติกาใหม่โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ และหากที่ประชุมสภาฯ ไม่สามารถยกเลิก MOU ดังกล่าวได้ กลุ่มฯ ก็จะยกระดับการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องต่อไป เนื่องจาก MOU นี้ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบอย่างมาก

วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการมอบอำนาจทนายความยื่นฟ้องนายธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมือง ในฐานความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ถ้านายธนพรขอโทษ จะเลิกแล้วต่อกันหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ทางการเมือง เมื่อเป็นการขอโทษผ่านสื่อจะยุติกันไปนั้น ว่า เป็นเรื่องของทนายเพราะมอบหมายทนายแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ (20 ส.ค.)

เมื่อถามว่า จะมีการฟ้องร้องคนอื่นเพิ่มเติมหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า อะไรที่เกินเลย พูดแล้วไม่รับผิดชอบ ทำลายเกียรติยศเกียรติภูมิของผู้อื่น ก่อให้เกิดความสับสน ต่อปัญหาของประเทศ ก็คงจะฟ้อง

เมื่อถามว่า ที่ผ่านมาการวิจารณ์ทางการเมือง จะไม่ค่อยมีการฟ้องร้องกัน นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่จริง เพราะมีการฟ้องร้องไปเยอะแล้ว ย้ำว่าไม่จริง ถ้าไปทำลายเกียรติภูมิครอบครัวเขาเขาก็ฟ้องร้องทั้งนั้น ถ้าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตไม่เป็นไร แต่ถ้าวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่สุจริตและนำข้อมูลอันเป็นเท็จ เป็นเรื่องที่ควรรับผิดชอบ และต้องไปถามผู้ที่วิจารณ์ ว่าวิจารณ์ไปโดยไม่มีข้อเท็จจริง ไม่มีข้อมูลที่เป็นที่ประจักษ์ ทำได้หรือไม่ ไม่ใช่มาถามผู้เสียหาย

ส่วน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ระบุว่า ชั้น 14 รพ.ตำรวจ มีคนถามว่า ในกรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าศาลฎีกามีคำวินิจฉัยว่าคุณทักษิณยังไม่ได้รับโทษตามคำพิพากษา ผลจะเป็นอย่างไร ผมตอบว่า ตามความเห็นผม การที่ศาลมีคำสั่งให้คุณทักษิณและผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มาฟังคำวินิจฉัยด้วยตนเอง หากศาลวินิจฉัยว่าคุณทักษิณยังไม่ได้รับโทษจริง ก็สามารถสั่งให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นำตัวคุณทักษิณไปจำคุกได้ เพราะเป็นการบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลฎีกา นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์ของผม ผิดหรือถูกไม่รู้

 

“อิ๊งค์”เมินตอบชิงลาออก

“อุ๊งอิ๊งค์” บอกคิดถึงนะ หลังถูกซักกระแสลาออกก่อน ศาลรธน.ฟันคดีคลิปเสียงคุย “ฮุน เซน” ด้าน “สรวงศ์” ยัน "เพื่อไทย" ไม่กังวล กำลังใจยังดี “อนุทิน” คาดเลือกตั้งปี 69 ยังไม่มีอะไรชัด จะยุบสภาฯก็ไม่ได้ เหตุนายกฯ หยุดปฎิบัติหน้าที่อยู่ อุบ “นิพนธ์” ย้ายซบ “ภูมิใจไทย” บอกการเมืองควรจะให้เป็นไปตามที่เป็นอยู่  ส่วน “สว.สีน้ำเงิน” ปัดข่าว “วุฒิฯ”จ่อโหวตคว่ำงบฯ69 ยันไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ

เมื่อเวลา 07.50 น. วันที่ 12 ส.ค.68. ที่ท้องสนามหลวง ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.วัฒนธรรม ถึงกระแสข่าวการลาออกก่อนศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โดยน.ส.แพทองธารไม่ได้ตอบคำถาม เพียงแต่หันมายิ้มให้สื่อมวลชน  และกล่าวว่า “คิดถึงนะคะ” ผู้สื่อข่าวพยายามถามอีกว่าอยากชี้แจงกระแสข่าวนี้หรือไม่ น.ส.แพทองธาร ไม่ตอบคำถามดังกล่าวและได้เดินฝ่าวงล้อมสื่อมวลชน เพื่อไปขึ้นรถเดินทางออกจากสนามหลวง

ด้าน นายสรวงศ์  เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีดังกล่าว โดยยืนยันว่า ทางพรรคไม่ได้กังวล รวมไปถึงไม่ได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้ เรื่องดังกล่าวไม่ได้ทำให้ทางพรรคเพื่อไทยเสียกำลังใจ และกำลังใจยังดีอยู่"   เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าว พร้อมทั้งยกนิ้วโป้งทั้งสองข้าง ให้สื่อ

ขณะที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกล่าวถึงกรณีที่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ไปกินข้าวกับนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย และอดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ อย่างชื่นมื่น จะย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทยใช่หรือไม่ ว่า เป็นการไปอวยพร ขอให้ไปถามนายพิพัฒน์ ส่วนมีความเป็นไปได้หรือไม่ ตอนนี้นายนิพนธ์ ยังเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่ ที่สำคัญช่วงนี้การเมืองควรจะให้เป็นไปตามที่เป็นอยู่ อย่าเพิ่งนั่งคิด เพราะการเลือกตั้งไม่ได้เกิดขึ้นเร็วๆนี้ 

เมื่อถามว่า ตอนนี้นายนิพนธ์รับบทตอบโต้แทนพรรคภูมิใจไทย เรื่องเขากระโดง นายอนุทิน กล่าวว่า ที่พูดเพราะเคยเป็น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กำกับดูแลกรมที่ดิน และเป็นผู้ใหญ่ทางการเมืองมากๆ 

ส่วนเหตุใดจึงวิเคราะห์ว่าการเลือกตั้งไม่ได้ใกล้ในเวลานี้ ทั้งที่เดือนนี้และเดือนหน้าจะมีคดีสำคัญ หลายคดี นายอนุทิน กล่าวว่า 

"วันนี้ถามว่าจะใกล้เลือกตั้งได้อย่างไร ไม่มีความชัดเจนอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะวันนี้นายกรัฐมนตรียังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ มีการทักท้วงว่าการยุบสภา เป็นอำนาจของนายกเท่านั้น จึงยังไม่ได้ใกล้จุด นั้นเลย ขณะที่สภาฯก็เกิน 2 ปีมาแค่ 3 เดือน ทุกคน จึงคิดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปีหน้า บรรดาพรรคการเมือง ก็คงไม่ได้คิดว่าจะต้องเลือกตั้งกลางปี 70 ถามคอการเมืองนักวิเคราะห์การเมืองก็ตอบว่าปี 69 พรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ได้คิดต่างกัน "

เมื่อถามว่ามองกระแสข่าวที่นายกรัฐมนตรีจะลาออก ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน อย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า  เป็นกระแสข่าว ไม่มีทางรู้ การตัดสินใจอะไรต่างๆ ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน ทุกคนก็คิดวิเคราะห์กันไป แต่พรรคภูมิใจไทยเราก็ทำหน้าที่ฝ่ายค้าน คนที่เคยปรามาส ว่าพรรคภูมิใจไทย เป็นฝ่ายค้านไม่เป็น ไม่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มีคุณภาพ แต่วันนี้ก็ทำหน้าที่ได้ตามบทบาท ที่เขาได้รับมอบหมายได้อย่างดี
เมื่อถามว่าจุดยืนของพรรคภูมิใจไทยมองว่านายกรัฐมนตรีคนลาออกหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ตอนนี้เป็นขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกฯก็หยุดปฏิบัติหน้าที่ นายกฯก็ทำตามกฎหมายทุกอย่าง ดังนั้น ถ้าทุกฝ่ายทำตามกฎหมาย จะไปบอกให้ใครทำอะไร ก็ไม่ถูก ก็ขอให้ทำตามกฎหมายให้ดีที่สุด และวันนี้เราก็ให้กำลังใจทุกคนที่เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองอยู่แล้ว

ส่วน นายอลงกต วรกี  สว. ฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 คนที่หนึ่งวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ถึงการติดตามการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ69 ซึ่งสภาฯ เตรียมพิจารณาวาระสองและวาระสาม ในวันที่ 13-15 ส.ค. นี้ ว่า จะมีการติตามขณะเดียวกันในส่วนของกมธ.ของวุฒิสภา ยังมีการพิจารณาเนื้อหาและรายละเอียด โดยเชิญหัวหน้าส่วนราชการเข้ามาชี้แจงรายละเอียด และสว.มีหน้าที่ทำข้อสังเกต โดยวันที่ 13 ส.ค. นี้ กมธ.ของวุฒิสภา ได้เชิญหน่วยงานมหาดไทยเข้ามาชี้แจงในรายละเอียด ทั้งนี้การพิจารณารายละเอียดของสว. ไม่สามารถตัดหรือเปลี่ยนแปลงได้ มีหน้าที่เพียงตั้งข้อสังเกต หากพบว่างบบางตัวมีความแปลก เช่น งบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ ที่ตั้งงบไว้สูงเพื่อใช้ทวงหนี้ผู้ที่ผิดนัดชำระเงินกู้ กยศ. หรือ งบประมาณบางหมวดที่เป็นเบี้ยหัวแตก งบการแก้ปัญหาทุจริตที่มีกระจายอยู่ในหน่วยงานต่างๆ  เป็นต้น

เมื่อถามว่าฝ่ายกมธ.ของสภาฯ ปรับลดงบประมาณของกระทรวงมหาดไทยสูงเป็นอันดับหนึ่ง มากถึง  2,148 ล้านบาท นายอลงกต กล่าวว่า เป็นปัญหาของรมว.มหาดไทย และเป็นปัญหาของพรรครัฐบาล ไม่เกี่ยวกับสว. เพราะสว.มีหน้าที่ให้ข้อสังเกต

เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตว่ามีการโยกงบให้ท้องถิ่นบางพื้นที่ที่เป็นสายการเมือง นายอลงกต กล่าวว่า  ตามกระบวนการ งบท้องถิ่นมี 2 กรณี คือ ตั้งปกติ และเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ โดยทั้ง 2 กรณีนั้นเสนอมาตามกระบวนการของจังหวัดและกระทรวง ส่วนจะมีใบสั่งหรือไม่ ตนไม่เห็นภาพลักษณ์ใบสั่ง ทั้งนี้มองว่าจากกรณีที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน อดีตรองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง ที่ถูกให้พ้นจากสส. และ ตัดสิทธิการเมือง เพราะมีประเด็นผิดมาตรา 144 นั้น ตนเชื่อว่าเขาจะมีความวิตกจริต และใช้ความละเอียดรอบคอบ ไม่กระจุกอยู่พรรคไหน แต่ส่วนตนไม่ได้ดูรายละเอียดเชิงลึก  และการเปลี่ยนแปลงงบประมาณนั้นเป็นหน้าที่ที่ สส.พิจารณา ขณะที่สว.ทำเพียงการเสนอข้อสังเกต

เมื่อถามถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า สว. อาจไม่เห็นชอบกับร่างพ.ร.บ.งบฯ69 นายอลงกต กล่าวว่า  ไม่มีไม่เห็นชอบแน่นอน ขอให้คิดดูว่า หากสว.ไม่เห็นชอบ จะใช้มูลเหตุอะไรไม่เห็นชอบ และส่วนตัวได้คุยกับหลายคนเห็นว่า หากสว.ไม่เห็นชอบกระบวนการต้องย้อนไปสส.อีก ดังนั้นสว.จะยื้อทำไม ยิ่งในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน หากสามารถนำเงินเข้าระบบได้เร็วเท่าไรยิ่งดี

"ผมมองว่า ไม่มีเหตุผลยับยั้ง แต่มีข้อสังเกตได้ แต่ไม่ควรที่จะชะลอการผ่านงบประมาณในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ งบประมาณอนุมัติเร็ว เท่ากับจ่ายเร็ว ส่วนที่บอกว่างบประมาณกระจุกตัวบางจังหวัด เช่น  อุบลราชธานี ขอนแก่น เชียงใหม่ แต่งบเหล่านั้นกระจายตัวในพื้นที่” นายอลงกต กล่าว

เมื่อถามย้ำว่าข่าวลือที่ผ่านงบ นั้นไม่จริงใช่หรือไม่ นายอลงกต กล่าวว่า  “ไม่ผ่าน ได้ประโยชน์อะไร เพราะเงินเข้าระบบช้า  ทำให้สังคมมองว่าสว.ดึง ไม่มีประโยชน์"

เมื่อถามถึงการตั้งข้อสังเกตว่างบจังหวัดอาจมีเงินทอนขึ้นได้ นายอลงกต กล่าวว่า “สว.ไม่มีอำนาจยับยั้ง ลด หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ไม่เหมือนกับ สส. ดังนั้นเงินทอนจะอยู่ที่ไหน”

เมื่อถามย้ำว่าแสดงว่าส่วนตัวไม่กังวลใช่หรือไม่  นายอลงกต กล่าวว่า  เป็นเรื่องของสส. ไมใช่เรื่องที่สว. กังวล เพราะ สว.ต้องรอพิจารณาจากสส. ดังนั้นความกังวลคือ สส. และหน่วยงาน สว. มีหน้าที่ตั้งข้อสังเกต หากหน่วยงานที่มาชี้แจงตอบไม่ได้ สว.ทำได้แค่ตั้งสังเกต และนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภา ช่วงวันที่ 25-26 ส.ค. นี้

"พันแสง" ชี้ "เพื่อไทย" สู้ในสมรภูมิอย่างโดดเดี่ยว "ศึกกัมพูชา" บี้ "นายกฯอิ๊งค์" ให้ถอยร่น !

หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ยืนหยัดฟันฝ่า ทุกอุปสรรค ทุ่มเท ทำงานรับใช้สังคม นำเสนอความจริง ผลงานก้าวสู่ปีที่ 76 เป็นเครื่องพิสูจน์ ...*...

“วิกฤต” ย่อมเป็นได้ทั้ง “โอกาส” หรือ “หายนะ” สุดแท้แต่การบริหารจัดการ สุดแท้แต่การคลี่คลาย “ปัญหาใหญ่” ให้ลุล่วงลงได้ สิ่งที่ “พรรคเพื่อไทย” กำลังเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้ เหมือนยืนอยู่อย่าง “โดดเดี่ยว” กลางสมรภูมิรบ ...*...

ปมประเด็นทางการเมืองในสถานะ “รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ” ยังสู้เกมในสภาฯได้ยาก  เมื่อ “ฝ่ายค้าน” ใช้วิธีขอนับองค์ประชุม เช็กเสียง ปรากฏว่าแทบไม่เหลือสส.ฟากรัฐบาลอยู่ในห้อง ด้วยเหตุนี้ แม้ “พรรคเพื่อไทย” จะครองเก้าอี้ “รองประธานสภาฯ” เอาไว้ได้ถึง 2 เก้าอี้ จะไปมีประโยชน์อันใด นอกเสียจาก เร่งตัดสินใจ “สั่งปิดประชุม” หนีปัญหา “สภาล่ม” กันเป็นรอบๆไป  ...*...

ขณะที่ ปัญหา “ชายแดนไทย-กัมพูชา” ยังไม่สะเด็ดน้ำ เนื่องจากวันนี้แม้พี่น้องประชาชน ทั้ง 4 จังหวัดได้ทยอยกลับเข้าบ้านเรือนแล้วก็ตาม แต่มีใครไม่หวาดผวา ว่าเมื่อไหร่ “ทหารกัมพูชา” จะทำปืนลั่น เข้ามาอีก เมื่อวันนี้ “เขมร”  โดยเฉพาะ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ผู้อยู่เบื้องหลังบัญชาการรบ คือคนสับปลับ กลับกลอก แถมเขมรยังเป็นฝ่ายไม่ยอมรับ นั่นคือการไม่ยอม “เก็บทุ่นระเบิด”  โดย “ฝ่ายไทย” ได้เสนอในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย - กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 7 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ...*...

ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 ส.ค.68 เกิดเหตุ “3 ทหารไทย” เหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บ ขณะลาดตระเวนในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กำลังพลได้รับบาดเจ็บ คือจ่าสิบเอก ธานี พาหา ซึ่งมีอาการบาดเจ็บรุนแรง ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด ส่วนพลทหาร ภาคภูมิ ไชยสุระ  บาดเจ็บที่แขนและด้านหลัง  และ พลทหาร ธนันชัย ไกรวงค์  โดนแรงอัด, เจ็บแก้วหูอาการปลอดภัย  ซึ่งเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 ...*...

การบาดเจ็บของ “ทหารไทย” ทั้งการสูญเสียชีวิต และอวัยวะ จากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา  เข้าใจว่า “รัฐบาล” และ “ทีมเจรจา” ที่นำโดย “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะรักษาการรมว.กลาโหม ได้ใช้ความพยายามและทุ่มเททุกสรรพกำลังในการทำงาน ทั้งก่อนและหลังการเจรจา GBC จบลงที่ประเทศมาเลเซีย แต่การเจรจากับ “กัมพูชา” โดยเฉพาะ “ฮุน เซน” ที่ตัดสินใจและลงมือกระทำการใดๆ เพื่อตัวเอง มากกว่าประชาชนชาวกัมพูชา ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ราบรื่นนัก เมื่อ “ไทย” ยึดกรอบและหลักการ แต่ “ฮุน เซน” ยึด “หลักกู” เล่นนอกกติกาตลอดเวลา และพร้อมที่จะเอาชีวิตของ พี่น้องทหารกัมพูชา เป็นด่านปกป้องตัวเอง มากกว่าพลเมืองและประเทศชาติ ...*...

ตราบใดที่ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่จบ และอาจมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น เพราะดูเหมือนว่า “กัมพูชา” ไม่ได้สนใจหรือให้ความสำคัญ “ข้อตกลง” ในการประชุมGBC  ย่อมส่ง “แรงกระทบ”ไปถึง “รัฐบาล” โดยเฉพาะ “พรรคเพื่อไทย” ลามไปถึง “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯและรมว.วัฒนธรรม  โดยปริยาย ยิ่งเธอเองไม่ปรากฎตัว สู่สาธารณะ ยิ่งทำให้ “ข่าวลือ” กระพือสะพัดว่า วันนี้ เธอยังอยู่ดีหรือไม่ แล้วเก้าอี้ “รมว.วัฒนธรรม” ที่สู้อุตส่าห์ ยึดเอาไว้เพื่อเป็นที่นั่งสำรอง เอาไว้รับมือ “คำสั่ง” ของศาลรัฐธรรมนูญ ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นั้น วันนี้ได้ทำงานในฐานะ “รมว.วัฒนธรรม” บ้างหรือยัง จะว่าไปก็แปลกใจอยู่ บรรดา “นักเรียกร้อง” ทั้งด้อมส้ม ด้อมแดง ทั้งหลายที่เคยเรียกร้อง “ภาษีกู” หายไปไหนกันหมด ไม่ออกมาทวงถามเรื่องความคุ้มค่า จาก “ภาษีประชาชน” กันแล้วหรือ !?...*...

ที่มา:พันแสง (11/08/68)

ให้กำลังใจอิ๊งค์สู้ศึกนอก-ศึกใน

ภท. ซัด ภูมิธรรม อย่าจ้องล้างแค้น ใช้อำนาจโยกย้ายข้าราชการ ย้อนผลงานสมัยนั่ง "รมว.กลาโหม"  ถูกเขมรหยามหนัก บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ด้าน เศรษฐา ให้กำลังใจ นายกฯอิ๊งค์ ลุกขึ้นสู้หลังเจอศึกนอก ศึกใน เชื่อนายกฯ มีกำลังใจเต็มเปี่ยม ชี้คดี นายกฯอิ๊งค์" ปล่อยตามกระบวนการ 
       
         เมื่อวันที่ 10 ก.ค.68 นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาญัตติเสนอให้วุฒิสภาตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาที่มีความสำคัญ 4 ด้าน  ประกอบด้วย1. กมธ.วิสามัญศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน  หลังรัฐบาล ไม่สามารถแก้ปัญเศรษฐกิจ  เพื่อสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ ดังที่ประกาศไว้เช่นโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่ชะลอโครงการ เฟส 3 ออกไป หรือ จะผลักดัน การสร้างสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ก็ยังพบว่า มีเสียง คัดค้านจากหลายภาคส่วนในสังคมเนื่องจากกังวลถึงผลลัพธ์ที่ตามมา
       
  นอกจากนี้ ยังเจอปัญหาภายนอก เรื่องภาษีสหรัฐอเมริกา ภาวะสงครามในหลายพื้นที่ ราคาน้ำมันโลกและพลังงานที่ผันผวน ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจไทยต่ำกว่าคาดการณ์ สร้างผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งระบบ
         
2.กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของคนไทยในปัจจุบัน  เนื่องจากกลไกของรัฐไม่สามารถ จัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ได้แก่ ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายกับปัญหาการพนันออนไลน์และยาเสพติด ทำให้จำนวนคดีอาชญากรรม สูงขึ้นมา 3.กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาและติดตามตรวจสอบการแก้ไขปัญหาความมั่นคงตามแนวชายแดนของประเทศไทยแบบบูรณาการ หลังประสบปัญหา  เช่น บริเวณชายแดนประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งมีกลุ่มว้าแดง (กองกำลังสหรัฐว้า หรือ UWSA) มีการรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่อธิปไตยของไทย  หรือบริเวณชายแดนประเทศไทยและราชอาณาจักรกัมพูชา ที่มีความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดน  รวมถึงสถานการณ์ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีการก่อเหตุรุนแรงเพิ่มขึ้นและผู้ก่อความไม่สงบสามารถหลบหนีการจับกุมไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้ง่าย 
       
  4.กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย  เพื่อหาแนวทางแก้ไข หลัง เกิดจากธรรมชาติและเกิดจากมนุษย์ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง  เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง ดินหรือโคลนถล่ม พายุ ไฟป่าและหมอกควัน หรือแม้กระทั่งแผ่นดินไหวรุนแรง
       
  โดยแต่ละคณะมีจำนวน 29 คน และกำหนดเวลาการพิจารณาศึกษา 90 วัน โดยจะนำมา4 กมธ.ฯ เข้าสู่การพิจารณา ในการประชุมวุฒิสภา ในวันที่ 15 ก.ค.นี้ 
      
   นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาระเบียบวาระการประชุมวุฒิสภา ในวันจันทร์ที่ 14 และวันอังคารที่ 15 ก.ค. 2568 มีวาระการพิจารณาน่าสนใจ ได้แก่ การให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด
       
  ด้าน นายสนอง เทพอักษรณรงค์  สส.บุรีรัมย์  พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า  ปัจจุบันพรรคภูมิใจไทยทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์ หลังตัดสินใจถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา เนื่องจากมีความเห็นไม่ตรงกับนโยบายของรัฐบาลในหลายประเด็น โดยเฉพาะกรณีผลักดันเปิดกาสิโน มองว่ายังไม่มีความชัดเจน เสี่ยงต่อการเป็นช่องทางฟอกเงินของกลุ่มทุนสีเทา และส่งผลกระทบต่อศีลธรรมอันดีของสังคมไทย ฟางเส้นสุดท้ายคือ คลิปเสียงนายกรัฐมนตรี สนทนากับสมเด็จฮุน เซน ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนอย่างรุนแรง พรรคจึงเห็นว่าควรแยกทางเพื่อรักษาจุดยืนและทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่
    
   พรรคภูมิใจไทยไม่คิดแย่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอนุทินก็ยืนยันหลายครั้งแล้วว่า ไม่เคยตอบรับเรื่องการนั่งนายกฯ ชั่วคราว เพราะเรารู้ดีว่าในวันนี้ ประเทศไทยยังมีนายกรัฐมนตรีชื่อแพทองธาร ชินวัตร แม้จะถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ แต่ตำแหน่งยังไม่ได้ว่าง พรรคเราไม่เคยคิดทำอะไรนอกเหนือจากรัฐธรรมนูญ ขอให้พรรคเพื่อไทยหยุดระแวงและเอาเวลาไปแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนจะดีกว่า นายสนอง กล่าว
        
 นายสนองยังกล่าวถึงนายภูมิธรรม  เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่าแทนที่จะใช้โอกาสในการบริหารงานเพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข กลับใช้เวลาไปกับการโยกย้ายข้าราชการเพื่อหวังล้างแค้นทางการเมือง
      
 ท่านกำลังแบ่งขั้วแบ่งข้างในกระทรวงมหาดไทย แทนที่จะรวมพลังข้าราชการเพื่อช่วยเหลือประชาชน กลับเลือกใช้อำนาจในทางที่สร้างความแตกแยก เหล่านี้คือสิ่งที่ประชาชนจับตา และมองว่าไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นายสนอง กล่าว
       
  ในส่วนกรณีเขากระโดง นั้น นายสนอง ระบุว่า หากจะตรวจสอบก็ขอให้ทำอย่างตรงไปตรงมา อย่าเลือกปฏิบัติ พร้อมทวงถามถึงความคืบหน้าในคดีสนามกอล์ฟอัลไพน์ และสนามกอล์ฟเทมส์วัลเล่ย์ ที่เขาใหญ่ ซึ่งมีข้อสงสัยในเรื่องกรรมสิทธิ์เช่นกัน
       
  นายสนอง ยังกล่าวถึงผลงานเก่าของนายภูมิธรรม ว่า ตอนเป็น รมว.พาณิชย์ ราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ชาวบ้านเดือดร้อนทั้งประเทศ พอไปเป็น รมว.กลาโหม ก็ถูกกัมพูชาเล่นงานสารพัด จนเกิดกรณีพิพาทชายแดนที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบหลายปี ยุคนายภูมิธรรมความขัดแย้งหนักมาก บ้านเมืองลุกเป็นไฟ เพราะไม่มีบารมีให้กัมพูชาเกรงใจ จนดินแดนที่เป็นของเรากำลังถูกท้าทาย โชคดีที่ยังมีทหารช่วยประคองสถานการณ์ไว้ได้
       
  สนายสนองย้ำว่า พรรคภูมิใจไทยไม่เคยเรียกร้องตำแหน่ง ไม่คิดทำผิดกติกา และยังยึดมั่นในบทบาทฝ่ายค้านที่ตรวจสอบอย่างสร้างสรรค์ ขอเพียงรัฐบาลอย่าจ้องล้างแค้น อย่าบิดเบือนข้อเท็จจริง และอย่าทำลายความศรัทธาของประชาชนให้มากไปกว่านี้
     
    ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงเสถียรภาพทางการเมืองในขณะนี้ พรรคเพื่อไทยยังจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้หรือไม่ว่า ตนมองว่าหลายคนพูดไปแล้วเรื่องนี้ แน่นอนว่าการเมืองเป็นส่วนที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ความมั่นใจต่อนักลงทุนและความมั่นใจต่อประชาชนทั่วไป ก็ต้องให้การเมืองมีเสถียรภาพ เรื่องที่ต้องขณะนี้ยังมีเรื่องอีกสองสามเรื่องที่จะต้องเดินไปข้างหน้า อย่างเช่นคดีต่างๆที่จะทำให้คน wait and see
       
  เมื่อถามว่าได้ให้กำลังใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตรนายกฯ และ รมว.วัฒนธรรมที่เจอทั้งศึกนอกและศึกในอย่างไรบ้าง นายเศรษฐา กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยและบอกให้ลุกขึ้นสู้ ท่านเองก็กำลังใจเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว แล้วตนเชื่อว่าท่านก็สู้อยู่แล้ว
   
      เมื่อถามถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคภูมิใจ โพสต์เฟซบุ๊กโดยระบุว่าที่นักท่องเที่ยวจีนหาย เป็นเพราะรัฐบาลจะเดินหน้าโครงการเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ซึ่งมีกาสิโนรวมอยู่ด้วย นายเศรษฐา กล่าวว่า มันไม่ใช่ จริงๆแล้วกาสิโนยังไม่เกิด นักท่องเที่ยวจะเป็นห่วงเรื่องนี้ได้อย่างไร เมื่อวานนี้ น.ส.แพทองธารก็ตอบอย่างชัดเจนแล้ว เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นในเรื่องของความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องมีความเข้มในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ขณะที่เมื่อสามวันก่อน น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก็ไปลงพื้นที่สุขุมวิทเพื่อดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งคิดว่าน่าจะทำเป็นสุขุมวิทโมเดล ซึ่งจะมีการจัดระเบียบในเรื่องของแผงลอย สินค้าที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเซ็กส์ทอย ยาเสพติด กัญชา เรื่องเหล่านี้เป็นอีกหลายเรื่องที่นักท่องเที่ยวเฝ้าดูอยู่ ซึ่งโมเดลนี้จะกระจายไปอีกในหลายพื้นที่ อย่างเช่นประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ ที่ ถ.บางรา ป่าตอง จ.ภูเก็ต รวมถึงเยาวราชด้วย เพราะเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยว
      
   เมื่อถามว่าขณะนี้ น.ส.แพทองธารถูกสั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นหลังจากนี้จะสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างไรหากมีนายกฯ คนต่อไปมาจากพรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนเชื่อและอยากให้มองข้ามช็อต ขณะนี้ปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมทำงานไปก่อน ขณะที่น.ส.แพทองธารเตรียมข้อชี้แจง แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยยังมีสามคน คือนายชัยเกษม นิติสิริ
       
  เมื่อถามว่าได้มีการพูดคุยกับนายชัยเกษมบ้างหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ได้พูดคุย แต่ครั้งล่าสุดที่เจอคือในที่ประชุมพรรคเพื่อไทย แค่ทักทายสวัสดี แต่ท่านยังดูแข็งแรงและสดชื่นดี
       
  เมื่อถามถึงกรณีที่ปรากฏภาพนายชัยเกษมออกมาตีกอล์ฟนั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า นายชัยเกษมก็ตีกอล์ฟอยู่เป็นประจำ และตีเก่งอยู่แล้ว แต่ที่มีการปรากฏภาพเพราะมีคนนำภาพไปโพสต์
      
   เมื่อถามถึงกรณีที่มีการเตรียมแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายเศรษฐาส่ายหัว พร้อมกับกล่าวสั้นๆ ว่า ตนไม่ทราบ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
   

"นายกฯอิ๊งค์"-"เศรษฐา" ร่วมยินดี "ทัศนพล" คว้าแชมป์ฟอร์มูล่าทรี คนแรกของไทย

จากกรณีที่ ทัศนพล อินทรภูวศักดิ์ นักแข่งรถชาวไทย สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการมอเตอร์สปอร์ตไทย ด้วยการคว้าแชมป์ในรายการ เอฟไอเอ ฟอร์มูล่าทรี บริติช ราวด์ สปริ้นท์เรซ 2025 ที่สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งทัศนพลเป็นนักแข่งไทยคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์ในรายการนี้ได้สำเร็จ

ล่าสุด น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพื่อร่วมยินดีกับทัศนพล โดยระบุว่า “ยินดีกับชัยชนะของคุณเติ้ล ทัศนพล อินทรภูวศักดิ์ กับการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ คว้าชัยชนะเอฟไอเอ ฟอร์มูล่าทรี แชมเปี้ยนชิพ บริติช ราวด์ สปริ้นท์เรซ 2025 ณ สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เป็นคนแรกของไทยที่รับชัยชนะนี้ ความพยายาม-อดทน-ตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนัก เป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทย ดิฉันขอสนับสนุนอย่างเต็มที่ ให้ทุกๆ ความฝันของนักกีฬาไทยมีโอกาสและทำให้เป็นจริง” พร้อมกับแฮชแท็ก #Silverstone #CheerThai #BritishGP

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีและนักธุรกิจชื่อดัง ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพื่อร่วมยินดีด้วย โดยกล่าวว่า “เด็กไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ครับ ‘เติ้ล – ทัศนพล’ คว้าแชมป์ฟอร์มูล่าทรีได้สำเร็จ ปีที่แล้ว ตอนที่ผมไปเยือนอิตาลี นอกจากภารกิจจีบผู้บริหาร F1 ถึงสนามแข่ง ก็ได้พบหนุ่มน้อยคนหนึ่งมาขอถ่ายรูปด้วย เขาบอกว่ากำลังตระเวนแข่งที่ยุโรปเพื่อยกระดับฝีมือตัวเอง และมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น ‘นักแข่งรถสูตร 1’ ตามที่ฝันไว้ วันนี้เติ้ลคว้าแชมป์ฟอร์มูล่าทรีเรียบร้อย ยินดีด้วยมากๆ ครับ ผมจะรอเชียร์จนถึงวันที่เติ้ลได้ลงแข่งในสนาม F1 ครับ”

การคว้าแชมป์ในครั้งนี้ของทัศนพลเป็นก้าวสำคัญในเส้นทางอาชีพของเขา และถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเปิดโอกาสให้กับนักกีฬาไทยในเวทีโลก โดยทัศนพลยังคงตั้งเป้าหมายในการก้าวสู่การแข่งขัน ฟอร์มูล่า 1 (F1) ในอนาคต
 
  

“หัวหน้าอิ๊งค์”เก็บตัวเงียบ ไม่เข้าประชุม สส.เพื่อไทย ขณะที่“ภูมิธรรม”เผย นายกฯเข้มแข็งเชื่อที่ผ่านมาทำดีสุดแล้ว

“หัวหน้าอิ๊งค์”เก็บตัวเงียบ ไม่เข้าประชุม สส.เพื่อไทย ขณะที่“ภูมิธรรม”เผย นายกฯเข้มแข็งเชื่อที่ผ่านมาทำดีสุดแล้ว พร้อมสู้ต่อ ฝากบอกสส.สู้ไปด้วยกัน  ขอทุกคนจับมือฝ่าวิกฤต ลั่นไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ด้าน“วิสุทธิ์” ย้ำ สส.ห้ามขาด ห้ามตาย  ป่วยก็ให้อดทนกินยา ป้องกันองค์ประชุมล่ม แนะ รมต.ที่เป็น สส.ทุกพรรค หอบงานมาทำ เชื่อ อยู่ได้ ถ้ารักกันจริง จ่อ ทำความเข้าใจ เพิ่มเวลาหลังเรียกประชุม 20-30 นาที หวั่น สส.วิ่งหกล้ม 

วันที่ 2 ก.ค.2568 ที่พรรคเพื่อไทย มีการประชุม สส.พรรคเพื่อไทย โดยมีนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ  ประธาน สส.พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ประธานการประชุม  และมีนายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ  รักษาราชการนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมนั่งหัวโต๊ะด้วย

ขณะที่น.ส.แพทองธาร  ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี  ในฐานะหัวหน้าพรรค เดิมทีแจ้งว่าจะเข้าร่วมประชุมด้วย แต่หลังจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ก็ได้ยกเลิกภารกิจทั้งหมด รวมถึงยกเลิกการเข้าร่วมประชุมสส. พรรคเพื่อไทยด้วย

ด้านนายภูมิธรรม กล่าวในที่ประชุมว่า  เราเข้มแข็งอยู่แล้ว  เราไม่ใช่เพิ่งเผชิญกับสภาพปัญหาแบบนี้ แต่เราเผชิญมาตลอดและฝ่าฟันมาได้จนถึงวันนี้  ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นปัญหาความไม่เข้าใจหรือความรู้สึกของพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้  แต่สิ่งที่สำคัญคือเราต้องยืนยันในความตั้งใจจริงของพวกเราทุกคน 
นายภูมิธรรมกล่าวอีกว่า  เมื่อวานนี้ตนมีโอกาสที่ได้เจอนายกรัฐมนตรี หลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ และมีการนั่งคุยกันรวมถึง นายแพทย์ พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช  เลขาธิการนายกรัฐมนตรี  นางสาวจิราพร  สินธุไพร  รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอีกหลายคน   ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีเข้มแข็ง  สิ่งที่ท่านคุยกับพวกเราคือทำดีที่สุดแล้ว  จึงเชื่อว่าผลที่ออกมาน่าจะต้องดีด้วย  เพราะสิ่งที่ทำสำหรับท่านนายกฯไม่ได้มีเจตนาร้ายกับบ้านเมือง  หวังเพื่อแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา  ไม่เกิดความรุนแรงและแก้ปัญหาที่อาจจะทำให้เสียชีวิต เสียเลือดเสียเนื้อของทหารและประชาชนที่อยู่ในบริเวณชายแดน ดังนั้นสิ่งที่ท่านคุยเป็นการแก้ปัญหาซึ่งอาจจะมีคำพูดที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ต้องไม่ตัดตอนให้ดูภาพรวมทั้งหมด

“นอกจากนี้นายกฯยังได้กำชับให้เราพูดคุยกับผู้แทนราษฎรของเราว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติปกติธรรมดาสำหรับการเมืองไทยฉะนั้นสิ่งสำคัญคือต้องสู้ไปและท่านก็จะสู้ด้วย  และนายกฯยังบอกว่าพี่อ้วน คุณหมอ ไม่เป็นไรอย่างมากที่สุด เราก็แค่ต้องทำคำชี้แจงเข้าไป และดูผลอีกครั้ง แต่สิ่งที่เป็นอยู่และที่สำคัญคือรัฐมนตรี สส. ของเราทุกคนต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่  แล้วท่านเองก็ไม่ได้ถูกยุติการปฎิบัติหน้าที่ทุกอย่าง ท่านยุติเฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และยังมีความเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ และที่มีการแต่งตั้งใหม่ รัฐมนตรีใหม่ท่านก็ยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ตรงกับที่ท่านอยากทำคือการขับเคลื่อนซอฟพาวเวอร์  และเราทั้งหมดที่มีการปรับเปลี่ยนไปบ้างเข้ามาใหม่บ้างจากพรรคร่วมรัฐบาล แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ครบถ้วนเหมือนเดิม  ซึ่งเราพร้อมทำงานและในวันพรุ่งนี้จะมีการถวายสัตย์ และรัฐมนตรีทุกคนก็พร้อมที่จะเข้าทำงานอย่างเต็มที่  ยืนยันว่างานต้องเดินหน้าต่อไป  ไม่ให้สิ่งที่เกิดปัญหาขณะนี้มาทำให้การทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนในการแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศชาติต้องยุติหรือสะดุดลง  ฉะนั้นตรงนี้อยากฝากคำพูดที่ท่านนายกฯพูดว่าแม้ว่าท่านจะทำหน้าที่นายกฯตอนนี้ไม่ได้แต่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมได้แล้วจะทำหน้าที่ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่จะทำให้เราช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤต  ใครเห็นไม่เห็นแต่เราเห็น เราทำงานแก้ไขปัญหาพี่น้องประชาชน”
นายภูมิธรรมกล่าวต่อว่า พวกเราทุกคนไม่มีปัญหา กำลังใจดี เข้มแข็ง  และท่านนายกฯไม่ได่ไปไหนยังนั่งอยู่ในครม.ประชุมกับพวกเราเหมือนเดิม  ซึ่งตนเชื่อว่าทุกคนจะให้กำลังใจท่านนายกฯและตนเชื่อว่าเรื่องคราวนี้เราจะผ่านไปได้ เพราะเจตนาทั้งหลายไม่มีเจตนาที่ไม่ดี   อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้เมื่อเราถวายสัตย์เสร็จเรียบร้อยทุกคนพร้อมเข้ากระทรวงและทำงานอย่างเต็มที่ ตนได้รับมอบหมายให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีและต้องรักษาการนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมนัดพิเศษพร้อมทำงานอย่างเต็มที่  ไม่ให้ทุกอย่างสะดุดหยุดลง และนายกรัฐมนตรียังเป็นนายกฯที่ให้คำปรึกษาให้คำแนะนำเวลาตนติดขัดซึ่งจะทำตามกรอบศาลให้อำนาจไว้

นายภูมิธรรมกล่าวต่อว่า ตนพร้อมเข้าไปเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยและพร้อมกันเลือกตั้งและทำงานให้กับประเทศทุกๆอย่าง  เรามีเวลาอีกประมาณสองปียังไม่ใช่ปัญหา  หน้าที่ของเราวันนี้คือทำให้ผลงานปรากฏชัดให้ประชาชนได้ตระหนักเข้าใจและสนับสนุนเราต่อไปอย่างเต็มที่  ทั้งหมดอยู่กับคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ  และผู้แทนราษฎรของเราทุกคน  รวมถึงคณะกรรมการบริหารพรรคที่พร้อมจะจับมือและเดินหน้าต่อไปไม่กลัวอะไรทั้งสิ้นเพราะเราผ่านมาเยอะแล้ว 

ด้านนายวิสุทธิ์  ได้กำชับให้ สส.พรรคเข้าร่วมประชุมสภาฯ อย่างพร้อมเพรียง จนกว่าจะเลิกประชุม ขอระบุว่าวันพุธพฤหัสบดี ห้ามป่วย ห้ามตาย ห้ามลา ห้ามขาด อนุญาตให้ป่วยได้เฉพาะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันอื่นให้อดทนกินยามาก่อน และมาที่สภาก็มีนายแพทย์ เชิดชัย ตันติศิรินทร์ สส.พรรคเพื่อไทยดูแลอยู่แล้ว  เพื่อให้การประชุมสภาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ขอให้ช่วยกัน ส่วนใครที่เป็นมาธิการก็ขอให้รอฟังสัญญาณจากวิปให้รีบลงมา ซึ่งตนก็จะไปทำความเข้าใจ กับรองประธานสภาที่ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมให้เข้าใจตรงกันว่าอาจจะต้องใช้เวลา 20 ถึง 30 นาที การเดินมาห้องประชุม เพราะหากรีบวิ่งอาจจะอันตราย หกล้มได้  พร้อมขอให้ทุกคนมีกำลังใจในการทำหน้าที่ในสภาซึ่งตนเชื่อมั่นว่า หากเราร่วมมือร่วมใจกันแบบนี้  หากรักกันจริงช่วยกันจริง  เชื่อว่าอยู่ได้ 

นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือจากรัฐมนตรีที่เป็นผู้แทนอยู่ ให้กรุณาเอาแฟ้มเอกสารเอาเจ้าหน้าที่มาทำงานที่สภาฯ เพราะสภากว้างใหญ่ไพศาล สามารถมาทำงานที่ไหนก็ได้ ขอให้นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและนางสาวธีรารัตน์ สำเร็จวานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปช่วยประสานรัฐมนตรีคนอื่น ให้เข้ามาร่วมประชุมเพราะจะมีกระทู้ถามสดด้วย 

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากปฏิบัติกันตามนี้ทุกพรรค องค์ประชุมไม่ใช่ปัญหาของเราเลย  ตนเชื่อมั่นว่าครบและการประชุมจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย  และการทำงานครั้งนี้ยิ่งเหลือน้อย ยิ่งต้องรักกันมากความสามัคคีเกิด ปัญหาองค์ประชุมล่มจะไม่มี เชื่อว่าทุกคน พร้อมที่จะทำงานกันเต็มที่ และนำความไม่สบายใจมาหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเป็นพลังให้ได้ เพื่อขับเคลื่อนสภา และสนับสนุนงานของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ เชื่อมั่นในจิตใจและพลังของเราที่มีความเข้มแข็ง
 

กลุ่ม สอส.เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าฯพัทลุง เรียกร้องกล่าวโทษ "นายกฯอิ๊งค์"

กลุ่มสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน สภาประชาชน 4 ภาค หรือ สอส.เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ "นางสาวแพทองธาร ชินวัตร" ปฏิหน้าที่โดยมิชอบ

วันที่ 23 มิ.ย.2568 เวลา 13.10 น.ที่ผ่านมา นางพิธยา สิงหพล ประธานกลุ่มสภาเครือข่ายประชาชนอีสาน สภาประชาชน 4ภาค หรือ สอส.และเหล่าสมาชิก จำนวน 14 คน เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ กล่าวโทษ"นางสาวแพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ป.อาญามาตรา 157 กรณีที่มีคลิปเสียงหลุดการเจรจากับผู้นำของกัมพูชา 

ซึ่งทางกลุ่ม สอส.มองว่าการพูดคุยดังกล่าว เป็นการด้อยค่าของทหารไทย และยอมให้ทางผู้นำกัมพูชาเข้ามาครอบครองอธิปไตยของประเทศไทย

สำหรับในส่วนของหนังสือทาง นายรัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้มอบหมายให้ นายสมสิน ไชยรัตน์ นักวิชาการนโยบายและแผน เป็นตัวแทนเข้ารับหนังสือจากกลุ่มผู้ร้องเรียน ก่อนจะแยกย้ายกัน.

อศมร. ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นายศิริมงคล อินทร์แก้ว นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง และคณะกรรมการองค์การนักศึกษา ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากที่มีคลิปเสียงหลุดออกมา สร้างความกังวลใจให้คนไทยทั้งประเทศ  ณ ลานพ่อขุนฯ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

แถลงการณ์องค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหงเรื่อง ขอให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง

องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ในนามของเยาวชนและนักศึกษาผู้ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และผลประโยชน์ของประเทศชาติ ขอออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนถึงภาวะวิกฤตทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่กำลังสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อประชาชนและประเทศชาติโดยรวมภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดปัจจุบัน นำโดยนายกรัฐมนตรีได้เกิดปัญหาหลากหลายที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็น
1. ความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งนำไปสู่ภาวะค่าครองชีพสูง รายได้ลดลง หนี้สินครัวเรือนพุ่งสูงและ โอกาสทางเศรษฐกิจที่ไม่กระจายตัว
2. การบริหารจัดการปัญหาในพื้นที่ชายแดนและประเด็นความมั่นคง ที่ขาดความชัดเจน
3. กรณีมีการเผยแพร่ คลิปเสียงที่ถูกกล่าวอ้างว่าเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจโดยมิชอบ ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยอย่างกว้างขวาง และมีนัยยะสำคัญต่อจริยธรรมของผู้นำประเทศ


จากเหตุผลข้างต้น องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง เห็นว่า นายกรัฐมนตรีได้หมดความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ และไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เราขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบโดยการลาออกจากตำแหน่งโดยทันที และพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคมีความรับผิดชอบโดยตรงในฐานะผู้ร่วมบริหารประเทศ หาก ยังคงดำรงอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ ย่อมเท่ากับการสมยอมต่อความผิดพลาด และละเลยต่อเสียงเรียกร้องของประชาชน ที่กำลังเสื่อมศรัทธาอย่างรุนแรงเราจึงขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลพิจารณาถอนตัวออกจากการร่วมบริหารประเทศในทันที เพื่อแสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อหลักจริยธรรมและความรับผิดชอบทางการเมืองเพื่อเปิดทางให้มี การ จัดตั้งรัฐบาลที่ยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง และสามารถฟื้นฟูศรัทธา ความมั่นคง และความยุติธรรมใน สังคมไทยได้พร้อมกันนี้ เราย้ำว่า เสียงของประชาชนคือรากฐานของประชาธิปไตย การรับฟังการเคารพ และการตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชน คือหน้าที่ของผู้นำที่แท้จริง


องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง จะยังคงยืนหยัดเคียงข้างประชาชนและเดินหน้าผลักดันการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติ เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของประเทศ ด้วยจิตสำนึกต่อหน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคม จึงขอเชิญและเรียกร้องให้ นักศึกษา ประชาชนที่มีแนวคิดอุดมการณ์เดียวกันร่วมกันเรียกร้อง ร่วมกันขับเคลื่อน กับการแสดงพลังใหญ่ที่อนุสาวรียชัยสมรภูมิ วันที่ 28 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา16.00 น.เป็นต้นไป

นายศิริมงคล อินทร์แก้ว

นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง

ชาวระนอง รวมตัวกันยื่นแถลงการณ์ต่อผู้ว่าฯ  ไม่พอใจการปฎิบัติงานของนายกฯ เรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลประกาศถอนตัว

ชาวระนองกว่า 300 คน รวมตัวกันยื่นแถลงการณ์ ต่อพ่อเมืองระนอง  ไม่พอใจการปฎิบัติงานของนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล พร้อมให้กำลังใจต่อแม่ทัพภาคที่ 2

       เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568  เวลา 10.00 น.  ที่หน้าศาลากลางจังหวัดระนอง กลุ่มประชาชนชาวระนองกว่า 300 คน ได้รวมตัวกันเดินถือแผ่นป้ายข้อความเคลื่อนไหวกดดันให้  นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง พร้อมแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ หลังจากเกิดเหตุการคลิปเสียงพูดคุยระหว่างนายฮุนเซ็นและนางสาวแพทองธารถูกเผยแพร่โดยพุ่งเป้าไปที่การขับไล่นายกรัฐมนตรีและเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลประกาศถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล พร้อมให้กำลังใจต่อแม่ทัพภาคที่ 2   และทหารทุกเหล่าทัพผู้ปฎิภารกิจ ธำรงรักษาอธิปไตย และผลประโยชน์ของประเทศ

 ว่าที่ ร.ต.กมล วิภาดาพิสุทธิ์  แกนนำผู้ประท้วง อาชีพทนายความจังหวัดระนอง เป็นคนอ่านคำแถลงการณ์ดังกล่าว โดยมี นายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร ผู้ว่าราชการจังหวัดระนองเป็นผู้รับหนังสือ  ซึ่งข้อเรียกร้องมี 2 เรื่อง คือ ให้พรรคร่วมรัฐบาลแสดงจุดยืนไม่เข้าร่วมรัฐบาลอีกต่อไป และให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกพ้นจากตำแหน่งในทันที จากกรณีที่มีคลิปหลุดการเจรจากันระหว่างผู้นำไทย และอดีตผู้นำกัมพูชา ซึ่งคลิปดังกล่าวสร้างความกังวลให้คนไทยทั้งประเทศ ทั้งที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของประเทศไทย กลับมีการกระทำที่เอาใจเขมรทั้งที่เขมรกระทำการละเมิด MOU และอธิปไตยของไทยหลายครั้ง และเป็นที่น่าสงสัยว่าในช่วงที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีอาจจะนำความลับของทางราชการไปบอกผู้นำเขมร ลักษณะผู้นำไทยและใจเขมร รวมถึงภาวะการเป็นผู้นำของนางสาวแพทองธารไม่ได้ดำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิของประเทศไทย พร้อมทั้งให้กำลังใจ  พลโทบุญสิน  พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และเหล่าทหารทุกเหล่าทัพผู้ปฎิบัติภารกิจ ธำรงรักษาอธิปไตยดินแดนและประโยชน์ของประเทศไทย  ผ่านทางผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง

 จากนั้น  นายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง กล่าวว่า ก็รับทราบและเข้าใจความรู้สึกไม่สบายใจของประชาชนชาวระนองซึ่งทุกคนมาด้วยความรักชาติบ้านเมืองก็ให้ทุกคนใจเย็นๆและปฎิบัติตนให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม

 นายสิทธิรัตน์  พรหมมา  ผู้ร่วมชุมนุมชาวระนอง กล่าวว่า  พวกเรามารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย  แต่ดูทางสื่อทีวีแล้วมันอึดอัดใจ กับสภาวะผู้นำ  การเมืองเล่นไป ชาวระนองก็ไม่ได้ติดใจอะไร  แต่นี้รู้สึกว่าเป็นการก้าวล่วง เป็นปรปักษ์แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ผมว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรี มันเป็นการกระทำที่จะทำให้พี่น้องเราแตกแยกกัน  พวกเราทนไม่ได้ก็มาแสดงออกกัน เพื่อแสดงเจตจำนงว่า เรารักและหวงแหนแผ่นดินไทย พอรู้ข่าวก็เดินทางมากัน ต้องการให้นายกลาออก  ลาออกไปเลย อยู่ไปก็หนักเปล่าๆ  

​​​​​​​ ​​​​​​​

“อิ๊งค์”น้ำตาคลอ ขออภัย!ปชช.

“นายกฯ”น้ำตาคลอเบ้า แถลงขอภัยคลิปคุย “ฮุน เซน”ลั่นคุย “แม่ทัพภาคที่ 2” ทำความเข้าใจกองทัพแล้ว ยินดีสนับสนุนทุกรูปแบบ ย้ำเป็นหนึ่งเดียวกันจะร่วมกันปกป้องอธิปไตย ต่อไปจะระวังคำพูด ด้าน “ผบ.ทบ.” สยบข่าวรัฐประหาร! ย้ำจุด  ยืนหนุนประชาธิปไตย พร้อมปกป้องอธิปไตยชาติ ลั่น“คนไทยต้องสามัคคี”ส่วน “บัวแก้ว”ประท้วง “กัมพูชา”ทำลายจรร  ยาบรรณผิดมารยาท ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างร้ายแรง“กมธ.ทหาร-สว.”จ่อชงศาลรธน.-ป.ป.ช.ถอดถอน“นายกฯ”พ้นจากตำแหน่ง ซัดผิดจริยธรรมร้ายแรง ด้าน“ณัฐพงษ์”จี้“นายกฯอิ๊งค์” ยุบสภาคืนความชอบธรรม  ให้ประชาชน 

ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.68 พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. ในฐานะประธานกรรมาธิการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา พร้อมคณะสว.แถลงเรียกร้องขอให้น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สบายใจต่อพฤติการณ์ของผู้นำรัฐบาล ที่แสดงออกถึงการด้อยความสามารถ ขาดภาวะผู้นำ หลัง น.ส.แพทองธารออกยอมรับว่า คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน เป็นของจริง และมีเนื้อหาพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า เป็นคน ฝ่ายตรงข้าม ด้อยค่า ไม่ให้เกียรติทหาร กองทัพที่ทำหน้าที่ รักษาอธิปไตย อีกทั้งการสนทนาเป็นการยินยอม อ่อนข้อ และอ่อนน้อม ให้อริราชศัตรูผู้รุก รานต่อแผ่นดินไทย แสดงท่าทีพร้อมตอบสนองความต้องการที่สมเด็จฮุนเซนเรียกร้อง จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกมธ.ทหาร และสว. ขอเรียกร้องให้น.ส.แพทองธารลาออกจากตำแหน่งนายกฯ และยุติการปฏิบัติหน้าที่ทันที

“กมธ.ไม่อาจปล่อยให้บุคคลที่เป็นฝั่งตรงข้ามประเทศไทย บริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ แม้แต่วินาทีเดียว จึงมีความจำเป็นต้องยื่นถอดถอนน.ส.แพทองธาร เนื่องจากขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา160 ไม่ซื่อสัตย์สุจริต และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง โดยจะไปยื่นถอดถอนต่อศาลรัฐธรรมนูญ และป.ป.ช. ในวัน ที่ 19 มิ.ย.ต่อไป” 

ขณะเดียวกัน พรรคประชาชน นำโดย นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.)แถลงเรียกร้องให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง โดยการยุบสภาคืนอำนาจประชาชน
“เหตุการณ์เมื่อวานนี้ เป็นอีกหนึ่งเหตุวิกฤติของตัวผู้นำ ซึ่งจุดยืนของตน จุดยืนของพรรค จึงขอเรียกร้องให้นายกฯ ใช้อำนาจในการยุบสภาฯ เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนในการเลือกตั้งครั้งใหม่ เลือกนายกฯคนใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับประเทศ ส่งข้อเรียกร้องไปยังพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบัน ที่ยังไม่ได้ถอนตัวร่วมรัฐบาล ถ้าคิดเห็นตรงกัน เช่นเดียวกับพวกเรา ว่าการใช้อำนาจนอกระบบไม่ใช่ทางออก เปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯไม่ใช่ทางออก ถ้าไม่ต้องการอยู่ในอำนาจต่อ เพื่อต่อรองตำแหน่งต่าง ๆ เล็งเห็นทางออกไทยสำคัญมากกว่า สร้างรัฐบาลที่ชอบธรรมมากกว่า เรียกร้องให้หลายพรรคที่ประชุมวันนี้ ประกาศถอนตัวร่วมรัฐบาลเช่นเดียวกัน” 

ส่วน นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี และแกนนำพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า หลังได้ฟังคลิปเสียงการสนทนาในเบื้องต้นแล้ว ไม่กล้าฟังต่อ เพราะรู้สึกไม่ดี สงสารคนที่คุยกัน เหมือนคุยในที่ลับ แล้วมาเปิดเผยในที่แจ้งเป็นความรู้สึกที่เราดีกับเขา แต่เขาเลวกับเรา เป็นความรู้สึกที่ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่มิตรภาพ เป็นการทำร้ายกันมากกว่า 

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯ คนที่ 2 ได้แถลงลาออกจากตำแหน่งรองประธานสภาฯหลังพรรคภูมิใจไทย ออกแถลงการณ์ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อคืนอำนาจให้กับสภาฯในการสรรหาคนที่มีความเหมาะสมต่อไปและขอย้ำว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่มีใบสั่ง ส่วนพรรคอื่นจะถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของแต่ละพรรค

ทางด้าน นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา พร้อมด้วย นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา และ นายคมสัน โพธิ์คง นักวิชาการกฎหมาย เข้าแจ้งความดําเนินคดี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หมวด 3 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชาและเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ความยาว 17.06 นาที ซึ่งมีพฤติกรรมล่อแหลมส่งผลทําให้ประเทศชาติเสียหาย

นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกทันทีเพราะถือเป็นความผิดส่วนตัว หากไม่ลาออกปัญหาจะบานปลายส่วนพรรคร่วมรัฐบาลก็จะต้องถอนตัวเช่นกัน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศอย่างร้ายแรงและขอเตือนไปยังฝ่ายค้านด้วยว่าอย่าอาศัยจังหวะนี้ในการเรียกร้องให้มีการยุบสภาทเพราะจะยิ่งทําให้เกิดความวุ่นวายเพิ่มขึ้น ซึ่งในวันนี้พวกเราไม่สามารถให้นายกทําหน้าที่ต่อได้เพราะเกรงว่าจะมีข้อสั่งการที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศอีกหรือไม่รวมถึงยังไม่ทราบว่าทางฝั่งกัมพูชาจะมีคลิปสนทนาอีกกี่ 10 คลิปที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

อย่างไรก็ตามส่วนตัวเชื่อว่าทหารไม่ได้อยากปฏิวัติและเชื่อว่าคนไทยทั่วประเทศรู้สึกโกธรกับคลิปเสียงดังกล่าวรวมถึงการแถลงด่วนของนายกฯเมื่อวานนี้ก็ฟังไม่ขึ้นและการด้อยค่าแม่ทัพภาคที่ 2 เปรียบเสมือนการตัดหัวแม่ทัพให้ฝ่ายตรงข้าม ส่วนมาตรการต่างๆ อาทิ ปิดด่านชายแดน ตัดนํ้า ตัดไฟ นั้น ตนเองมองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องโดยไม่ต้องสู้รบแต่นายกฯกลับไปเผยแพร่ความลับของประเทศให้ฝ่ายตรงข้ามซึ่งถือเป็นความผิดชัดเจน
ส่วนการจะไปยื่นที่ ป.ป.ช. เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งเป็นในเรื่องของอนาคต ขณะนี้ขอให้ทางตำรวจดําเนินการในส่วนของคดีอาญาก่อน

ด้านทนายนกเขา ระบุว่า คลิปเสียงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองอย่างแน่นอน เนื่องจากประมุขฝ่ายบริหารทําตัวเป็นภัยต่อประเทศชาติ โดยในวันพรุ่งนี้ 20 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. จะมีเรียกประชุมจากภาคประชาชนที่รักประเทศชาติ เพื่อเรียกร้องให้นายกลาออก ส่วนจะมีการนัดรวมพลชุมนุมใหญ่หรือไม่นั้นหากที่ประชุมมีความเห็นพ้องต้องกันก็อาจจะมีการเรียกชุมนุมใหญ่ แต่ขอรอดูท่าทีหลังออกแถลงการณ์ให้นายกฯลาออกและพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวเสียก่อน

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม พร้อมด้วย ผบ.ทบ. แถลงว่า วันนี้เชิญหน่วยงานความมั่นคง ต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยสถานการณ์ชายแดน

“วันนี้ขออภัย พี่น้องประชาชนในกรณีมีคลิปเสียงหลุดออกมาในระหว่างที่คุยกับผู้นำกัมพูชา ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้น ต้องขออภัย ทำให้เกิดความไม่สบายใจ ตนได้คุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 และกองทัพแล้ว โดยอธิบายว่าเป็นเทคติกของการสื่อสาร ซึ่งแสดงเจตนาเพื่อให้เข้าใจเขาก่อน เพื่อให้การปะทะหยุดลง ให้เกิดความสงบสุข โดยไม่ทราบจริงๆ ว่ามีการอัดคลิปและเผยแพร่ ตนได้ทำความเข้าใจกับกองทัพแล้ว วันนี้เราต้องร่วมมือกันผนึกกำลังเอาไว้ คนไทยก็ต้องร่วมกัน”

น.ส.แพทองธาร ระบุว่า วันนี้ทุกภาคส่วนสรุปว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่ภัยเล็กๆ ของประชาชน ที่พูดว่ารัฐบาลกับกองทัพต้องสู้กัน วันนี้ไม่มีเวลาจะมาสู้กัน รัฐบาลยินดีซัพพอร์ตกองทัพทุกรูปแบบ ไม่ว่าอะไรที่กองทัพต้องการ เราตั้งใจจะทำร่วมกัน
“วันนี้เราจะออกมาทำอะไรหรือตัดสินใจในมิติต่างๆ เราต้องคิดถึงคนไทยในกัมพูชาด้วย แน่นอนประชาชนชายแดนด้วย ต้องให้ความมั่นใจกับประชาชน วันนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ย้ำการดำเนินการโดยสันติวิธี ผ่านทวิภาคี เชิญทูตของกัมพูชาที่ประจำประเทศไทย มายื่นหนังสือประท้วง เพื่อแสดงความผิดหวังงอย่างยิ่งต่อการกระทำของผู้นำกัมพูชา ซึ่งไม่มีประเทศไหนในโลกที่ผู้นำคุยกันโดยไม่บอกก่อนว่าจะมีการอัดคลิป ทราบว่ามีการอัดคลิปเกิดขึ้น แต่อันนี้เป็นการคุยส่วนตัว มือถือส่วนตัว ถือเป็นการกระทำที่ไม่ยอมรับทั่วโลก” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า รัฐบาลและกองทัพขอแสดงคามรับผิดชอบต่อการปกป้องอธิปไตย ยืนยันอีกครั้งรัฐบาลและกองทัพเป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีป้องกันประเทศ เวลานี้ไม่ใช่เราจะมาสู้กันเอง สิ่งที่เกิดขึ้น ดิฉันขออภัย ไม่ทราบจริงๆ ว่ามีการอัดคลิปเกิดขึ้น
“ต่อจากนี้ตนจะระวังในเรื่องการพูดคุยให้มากขึ้น แน่นอนว่าที่เราพูดคุยกันกับกองทัพ เรารวมเป็นหนึ่ง เราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันได้อย่างแข็งแรง” น.ส.แพทองธาร กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายกฯแถลงข่าวมีสีหน้าเศร้า และมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ตลอดเวลา ในการแถลงข่าว 

ด้าน นายนิกรเดช พรางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า การที่มีการเปิดเผยบทสนทนาส่วนตัวระหว่างนายกฯกับ สมเด็จฮุน เซน ต่อสาธารณชนโดยฝ่ายกัมพูชาถือว่าขัดต่อจรรยาบรรณและมารยาทพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และความพยายามที่จะใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ไขปัญหาของทั้งสองฝ่ายตามแนวปฏิบัติสากลและการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี

“วันนี้กระทรวงการต่างประเทศจึงได้มีหนังสือประท้วงกรณีดังกล่าวผ่านช่องทางทางการทูต โดยได้เชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมารับหนังสือดังกล่าว และจะมีการเปิดเผยเนื้อหาต่อสาธารณะชนเพื่อแจ้งว่าการกระทำข้างต้น ของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ถือว่าผิดมารยาทพื้นฐานของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐและถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างร้ายแรง รวมทั้งการใช้การสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียโดยมุ่งหวังเพื่อปลุกระดมความนิยมจากประชาชนและสร้างความแตกแยกให้กับสังคมของทั้งสองประเทศหรือของประเทศอื่น ซึ่งแสดงถึงการไม่เคารพหลักการในการเพื่อนบ้านที่ดีและการกระทำเช่นนี้ไม่ควรได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากประชาคมระหว่างประเทศ”

นายนิกรเดช กล่าวว่า ตนขอย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของประชาชนต่อประชาชน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องรัฐต่อรัฐ อย่างไรก็ดี ตนได้ให้ความมั่นใจ ใจว่าสถานเอกอัครราชทูตติดต่อประสานงานกับคนไทยอย่างใกล้ชิด ตนคิดว่าไม่เป็นกังวล อะไร เราได้ดำเนินการตามมาตรการทางการทูตทำอย่างโปร่งใส ใช้วิจารณญาณคิดดีแล้ว และไม่คาดหวังว่าจะมีผลกระทบอะไรกับคนไทย แต่อย่างไรก็ดีเราก็ได้มีการเตรียมการไว้แล้ว

ส่วนที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันที่ปรากฏข้อมูลหรือการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่หลากหลายและส่งผลกระทบต่อสังคม พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้แสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์ ในประเทศที่เกิดขึ้น โดยขอให้คนไทย เชื่อมั่นในกองทัพบก ที่มีจุดยืนในการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และพร้อมทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติอย่างสุดความสามารถ ภายใต้กลไกที่มีอยู่และได้เน้นย้ำว่า หากพิจารณาอย่างรอบด้านแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในห้วงเวลานี้คือ “คนไทยต้องสามัคคี” ร่วมกันปกป้องอธิปไตยจากผู้ไม่หวังดี โดยยึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ