รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯเผยตั้งตารอร่วมงานนายกฯ"อนุทิน"

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 เพจเฟซบุ๊กสถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เผยแพร่ข้อความระบุว่า นายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในโอกาสที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย อย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568

ในแถลงการณ์ รัฐมนตรีรูบิโอระบุว่า สหรัฐฯ ตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีอนุทินและรัฐบาลชุดใหม่ เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

“เราตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับนายกรัฐมนตรีอนุทินและรัฐบาลของท่าน เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนที่แนบแน่นของเราซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน” รูบิโอกล่าว

นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และไทยจะยังคงเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพ ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ และเสรีภาพทั่วทั้งภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

 

#การเมือง #สหรัฐอเมริกา #อนุทิน #นายกรัฐมนตรี 

"ดร.สุวิทย์"ฝากถึงนายกฯ"อนุทิน"แก้3วิกฤติเร่งด่วน พลิกฟื้นประเทศ

เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568 ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า  “3 วิกฤตเร่งด่วน พลิกฟื้นประเทศได้ทันที ไม่ต้องรอ 4 เดือน”

โจทย์ที่ท้าทายของนายกรัฐมนตรีท่านใหม่ คือ จะพลิกฟื้นและขับเคลื่อนประเทศไทยอย่างไร ในท่ามกลางพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์โลกที่เชี่ยวกราก และต้องเผชิญกับความเสี่ยงในหลากหลายมิติ ภัยคุกคามไม่ตามแบบ และวิกฤติเชิงซ้อนที่ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วงและไม่หยุดยั้ง

ประเทศไทยอ่อนแอถึงที่สุดแล้ว ในฐานะผู้นำประเทศ ท่านต้องใช้ความกล้าหาญทางการเมือง “ปลดล็อค” ประเทศไทย ใน “สามวาระวิกฤต” (Critical Agenda)

1. ลดทอนความขัดแย้ง เปลี่ยนจากการเผชิญหน้า เป็นการหันหน้าเข้าหากัน ปลุกจิตสำนึกของความเป็นชาติ โดยยึดผลประโยชน์ชาติเป็นสำคัญ

2. ทำกระบวนการยุติธรรมให้ยุติธรรม กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ยึดมั่นในนิติรัฐ นิติธรรม

3. ไม่ประนีประนอมกับคอร์รัปชันที่มีอยู่ดาษดื่นทุกหย่อมหญ้า

สามวาระวิกฤติดังกล่าวเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นและพอเพียง ในการ “ซ่อม เสริม สร้าง” ฐานรากของประเทศ (National Foundation) ให้กลับมามั่นคงแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง

หากทำสามวาระวิกฤตนี้สำเร็จ วาระการขับเคลื่อนประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ การพัฒนาคน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ยาก แม้จะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง

ผมเคยฝากสามวาระวิกฤตนี้ ไว้กับคุณแพทองธาร ตอนที่ท่านรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ พอดีท่านต้องลงจากตำแหน่งเสียก่อน จึงขอฝากเรื่องดังกล่าวให้กับท่านนายกฯ อนุทิน ด้วยนะครับ

“ไม่มีที่ว่างสำหรับฝันเล็กๆ” (No Room for Small Dreams) สำหรับการเป็นผู้นำประเทศไทยในชั่วโมงนี้ !"

 

 

"น้าหงา” เตือนนายกฯ ชายแดนเสี่ยงสงคราม หลังตะโกนผ่านรั้วบ้าน

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สุรชัย จันทิมาธร หรือ หงา คาราวาน ศิลปินเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดน โดยระบุว่า "อวิชชาชายแดนแสนวิตก เมื่อนายกฯหน่อไผ่ไม่เดียงสา ตะโกนผ่านรั้วบ้านกันไปมา จะนำพาอาเพศเหตุสงคราม"

ข้อความดังกล่าวสะท้อนถึงความห่วงใยของหงา คาราวาน ต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในระดับชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน ซึ่งหงากังวลว่าการใช้ท่าทีที่ไม่เหมาะสมจากผู้นำประเทศ อาจทำให้สถานการณ์บานปลายและนำไปสู่การเกิดสงครามได้ หากการสื่อสารหรือการเจรจาระหว่างประเทศขาดความเข้าใจและความรอบคอบ

#หงาคาราวาน #สถานการณ์ชายแดน #ความกังวลสงคราม #นายกรัฐมนตรี #การเมืองไทย #ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

'นิด้าโพล' ชี้ 'เท้ง'นำขาด ขึ้นแท่นนายกฯ ตัวเต็ง

วันที่ 29 มิ.ย.68 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 2-2568” สำรวจระหว่างวันที่ 19-25 มิถุนายน 2568 รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,500 หน่วยตัวอย่าง

ทั้งนี้ จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า

อันดับ 1 ร้อยละ 31.48 ระบุว่าเป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน) เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ที่กล้าแสดงออก มีแนวคิดที่ชัดเจนและทันสมัย อีกทั้งยังแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา อันดับ 2 ร้อยละ 19.88 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 3 ร้อยละ 12.72 ระบุว่าเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเป็นบุคคลที่พูดจริงทำจริง ตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ

อันดับ 4 ร้อยละ 9.64 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะมีความกล้าตัดสินใจ และมีประสบการณ์ในการบริหารประเทศ

อันดับ 5 ร้อยละ 9.20 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะมีความตั้งใจในการทำงาน แม้จะมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์ และต้องการเปิดโอกาสให้ได้แสดงศักยภาพในการบริหารประเทศ

อันดับ 6 ร้อยละ 6.48 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ มีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ และมีประสบการณ์ทางด้านกฎหมาย อันดับ 7 ร้อยละ 6.12 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะเป็นบุคคลที่มีจุดยืนชัดเจน มีประสบการณ์จากการทำงานในรัฐบาลหลายชุด และทำงานอย่างตรงไปตรงมา อันดับ 8 ร้อยละ 1.48 ระบุว่าเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) เพราะเป็นบุคคลที่มีความเด็ดขาด มีความน่าเชื่อถือ สามารถบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 46.08 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชน

อันดับ 2 ร้อยละ 13.24 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ

อันดับ 3 ร้อยละ 11.52 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย

อันดับ 4 ร้อยละ 9.76 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย

อันดับ 5 ร้อยละ 7.72 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้

อันดับ 6 ร้อยละ 4.20 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย

อับดับ 7 ร้อยละ 2.88 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ

อับดับ 8 ร้อยละ 2.68 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์

ร้อยละ 1.76 ระบุอื่นๆ ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนา พรรคกล้าธรรม พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยภักดี และพรรคเพื่อไทยรวมพลัง และร้อยละ 0.16 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

เงินบาทปิด 32.80 การเมืองไทยไม่แน่นอน กดดันบาทอ่อนค่าสวนทางภูมิภาค

เงินบาทปิด 32.80 การเมืองไทยไม่แน่นอน กดดันบาทอ่อนค่าสวนทางภูมิภาค

วันที่ 20 มิถุนายน 2568 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดที่ระดับ 32.80 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 32.70 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.69 - 32.90 บาท/ดอลลาร์ วันนี้เงินบาทอ่อนค่าสวนทางสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เนื่องจากปัจจัยเฉพาะของไทยเอง คือ สถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีความไม่แน่นอน ส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล เงินบาทวันนี้อ่อนค่าสุดในภูมิภาค และเป็นการอ่อนค่าที่สวนทางกับสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาคด้วย จากปัจจัยเรื่องการเมือง ของไทยเอง

ส่วนคืนนี้ ไม่มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญจากสหรัฐฯ ขณะที่สัปดาห์หน้า ตลาดรอติดตามผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตลาดเชื่อว่ารอบนี้ กนง.จะคง ดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75% คาดว่า ต้นสัปดาห์หน้าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.65 - 32.95 บาท/ดอลลาร์

#นายกรัฐมนตรี #เงินบาท #ข่าววันนี้ #แพทองธารชินวัตร #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

หุ้นไทยปิดลบ 1.10 จุด วอลุ่ม 4.9 หมื่นล้าน ขายลดเสี่ยงการเมืองก่อนเข้าวันหยุด

หุ้นไทยปิดลบ 1.10 จุด วอลุ่ม 4.9 หมื่นล้าน ขายลดเสี่ยงการเมืองก่อนเข้าวันหยุด

SET ปิดวันนี้ที่ 1,067.63 จุด ลดลง 1.10 จุด (-0.10%) มูลค่าซื้อขาย 49,577.05 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ช่วงเช้าดัชนีรีบาวด์จากนั้นค่อยๆ ลดช่วงบวกและพลิกมาอยู่ในแดนลบท้ายตลาด โดยทำจุดต่ำสุด 1,066.02 จุด และทำจุดสูงสุดที่ 1,082.90 จุด ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้เพิ่มขึ้น 218 หลักทรัพย์ ลดลง 240 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 191 หลักทรัพย์

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ไหลลงมาในภาคบ่ายหลังจากรีบาวด์ได้ในช่วงเปิดตลาดภาคเช้า แม้ว่า SET จะปิดตลาดไม่แตกต่างกับตลาดอื่นในภูมิภาคมาก แต่มีปัจจัยเฉพาะที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองในประเทศที่มีความไม่แน่นอนยังคงกดดัน ทำให้มีแรงขายก่อนเข้าวันหยุด เพราะไม่มั่นใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหรือไม่

สำหรับแนวโน้มสัปดาห์หน้า แนะติดตามความเคลื่อนไหวของรัฐบาลอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเป็นปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยสูงในระยะนี้ พรรคร่วมรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลจะมีทางออกต่อสถานการณ์ที่กดดันนี้อย่างไร รวมถึงติดตามผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) สัปดาห์หน้าด้วยเช่นกัน

ส่วนปัจจัยภายนอกให้ติดตามความขัดแย้งในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน โดยเฉพาะท่าทีของสหรัฐฯ ที่เริ่มมีสัญญาณว่าอาจส่งกองทัพไปเข้าร่วมสงครามโดยตรง พร้อมให้แนวรับ 1,055 จุด และแนวต้าน 1,080 จุด

ขณะที่ บล.ยูโอบี เคย์เฮีน (ประเทศไทย) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในช่วงขาลง แม้จะมีการฟื้นตัวเล็กน้อยในช่วงเช้าจากความคืบหน้าทางการเมืองที่รัฐบาลเดินหน้าต่อได้ แต่สถานการณ์โดยรวมยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ตลาดเผชิญกับแรงเทขายหนักในช่วงเย็น และการ rebalance ของดัชนี FTSE ในขณะที่กลุ่มหุ้นธนาคารทรงตัวได้เล็กน้อยจากความคืบหน้าเรื่อง Virtual Bank ทั้งนี้ การลงทุนในระยะกลางยังคงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

สัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง -55.07 จุด (-4.91% wow) แรงซื้อมาจากกลุ่มธนาคาร (1.04) อสังหาริมทรัพย์ (0.71) และปิโตรเคมี (0.28) แรงขายมาจากกลุ่มพลังงาน (-0.90), สื่อสาร (-0.89) และพาณิชย์ (-0.71)

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

PTT มูลค่าการซื้อขาย 3,177.29 ล้านบาท ปิดที่ 30.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 2,509.87 ล้านบาท ปิดที่ 269.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 2,294.28 ล้านบาท ปิดที่ 151.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท

CPALL มูลค่าการซื้อขาย 2,167.87 ล้านบาท ปิดที่ 42.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,157.05 ล้านบาท ปิดที่ 10.40 บาท ลดลง 0.30 บาท

#นายกรัฐมนตรี #ข่าววันนี้ #หุ้นไทย #อิสราเอล #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 20 มิถุนายน 2568

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 20 มิถุนายน 2568 

-กระทรวงแรงงาน เปิดศูนย์ช่วยเหลือแรงงานไทยในอิสราเอล–อิหร่าน ปลัดกระทรวงแรงงานขอความร่วมมือแรงงานดาวน์โหลดแอป Smart TOEA และเปิดระบบติดตามตำแหน่ง เพื่อให้ติดตามพิกัดของแรงงานได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยให้ทีมช่วยเหลือสามารถให้การดูแลหรืออพยพได้ทันท่วงทีในสถานการณ์ฉุกเฉิน

-กรมบัญชีกลางเตือนอย่าหลงเชื่ออ้างชื่อผู้บริหารแจ้งให้ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และผู้รับบำเหน็จบำนาญ ส่งเอกสารข้อมูลบัญชีเงินฝากที่จะทำการคุ้มครองเงินฝาก เพื่อสร้างหลักประกันคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมาย ย้ำไม่มีนโยบายขอข้อมูลดังกล่าว ชี้เป็นมิจฉาชีพแอบอ้างหลอกขอข้อมูล

-กระทรวงการคลังเกาะติดสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ทั้งนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด พร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทันทีหากเกิดผลกระทบ

 

คลังเกาะติดสงครามอิสราเอล–อิหร่าน/การเมืองไทย สั่งงัดมาตรการกระตุ้น ศก.ถ้ามีผลกระทบ

คลังเกาะติดสงครามอิสราเอล–อิหร่าน/การเมืองไทย สั่งงัดมาตรการกระตุ้น ศก.ถ้ามีผลผลกระทบ

วันที่ 20 มิถุนายน 2568 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สศค.ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงกระทบความเชื่อมั่นของเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ที่จะมีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ซึ่ง สศค.ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด และได้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

โดยขณะนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง รวมถึงนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ได้สั่งการมาแล้วเพื่อให้เตรียมพิจารณาว่าอาจจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อออกมารองรับสถานการณ์ หากมีการประเมินแล้วพบว่าผลจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่เกิดขึ้น จะส่งกระทบกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย รายละเอียดตอนนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณา และต้องติดตามสถานการณ์ทั้งหมดอย่างใกล้ชิด ขณะนี้ได้มีการใช้งบกลางไปแล้วในระดับหนึ่ง และยังมีบางส่วนที่เหลืออยู่ นอกจากนี้ยังมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เข้ามาช่วยเหลือในส่วนนี้กับทางรัฐบาลได้ 

สำหรับก่อนหน้านี้ ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.15 แสนล้านบาท จากทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาท หลักๆจะเป็นโครงการที่จะเข้าไปเสริมเรื่องการลงทุน และอีกส่วนคือเรื่องของการจ้างงานอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 30% ของเม็ดเงินที่ได้รับการอนุมัติ ประเมินว่าจะช่วยให้เกิดการจ้างงานราว 6-7 ล้านคน และส่วนที่เหลือจะเป็นเม็ดเงินที่ใช้ในการสนับสนุนการลงทุนด้านต่างๆ ซึ่งจะมีผลดีต่อภาคการผลิต ขณะเดียวกัน ประเมินว่าเม็ดเงิน 1.15 แสนล้านบาทดังกล่าว จะมีส่วนในการช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ทำให้ GDP เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.4-0.5% เชื่อว่าเพียงพอรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในทุกมิติได้

เมื่อถามว่าส หลายฝ่ายแสดงความกังวลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลที่อาจมีผลต่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 นั้น โฆษกกระทรวงการคลังยืนยันว่า เรื่องนี้ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว อยู่ในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569

#นายกรัฐมนตรี #อิสราเอล #ข่าววันนี้ #กระตุ้นเศรษฐกิจ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 


 

หุ้นไทยปิดเช้าบวก 3.29 จุด วอลุ่ม 1.5 หมื่นล้าน แกว่งขึ้นตอบรับความเสี่ยงการเมืองไปพอสมควร บ่ายผันผวน

หุ้นไทยปิดเช้าบวก 3.29 จุด วอลุ่ม 1.5 หมื่นล้าน แกว่งขึ้นตอบรับความเสี่ยงการเมืองไปพอสมควร บ่ายผันผวน

วันที่ 20 มิถุนายน 2568 SET ปิดเช้าที่ 1,072.02 จุด เพิ่มขึ้น 3.29 จุด (+0.31%) มูลค่าซื้อขายราว 15,392.26 ล้านบาท การซื้อขายช่วงเช้าดัชนีแกว่งไซด์เวย์อัพ โดยทำระดับสูงสุด 1,082.90 จุด และต่ำสุด 1,070.42 จุด

นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าสายงานวิจัย บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ดัชนีแกว่งไซด์เวย์อัพ ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคเช้านี้ส่วนใหญ่ก็บวกในกรอบแคบ แต่บ้านเราบวกมากกว่าบางตลาดเนื่องจากเมื่อวานนี้ลงไปลึกากปัจจัยในประเทศ ตลาดตอบรับความเสี่ยงประเด็นการเมืองไปพอสมควร โดยปรับฐานลงจากจุดพีค -12% ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.-19 มิ.ย. 68 เมื่อเปรียบเทียบกับเหตุการณ์การเมืองในอดีตที่คล้ายกันปรับตัวลงเฉลี่ย -9.2% สะท้อนว่าตลาด Price in ประเด็นการเมืองไปหมดแล้ว

แนวโน้มช่วงบ่ายคาดดัชนีแกว่งผันผวน เนื่องจากวันนี้จะมีการปรับพอร์ตตาม FTSE ซึ่งจะมีผลช่วงท้ายตลาด ทำให้มีเม็ดเงินไหลออกบ้าง โดยให้แนวรับ 1,062 จุดและแนวต้าน 1,085 จุด

หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

KBANK มูลค่าการซื้อขาย 1,265.73 ล้านบาท ปิดที่ 151.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท

ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,059.10 ล้านบาท ปิดที่ 269.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

SCB มูลค่าการซื้อขาย 877.71 ล้านบาท ปิดที่ 116.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท

TRUE มูลค่าการซื้อขาย 772.71 ล้านบาท ปิดที่ 10.70 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง

DELTA มูลค่าการซื้อขาย 624.15 ล้านบาท ปิดที่ 97.25 บาท ลดลง 1.00 บาท

#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #นายกรัฐมนตรี #แพทองธารชินวัตร #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 


 

"พาณิชย์" เร่งระบายผลไม้ 3,000 ตัน หลังปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ผนึกเอกชนผลักดันตลาดในประเทศ

กระทรวงพาณิชย์ เดินหน้าประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน เร่งระบายผลไม้ภาคตะวันออกกว่า 3,000 ตัน สู่ตลาดในประเทศ รับมือสถานการณ์ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา มั่นใจศักยภาพของตลาดภายในช่วยบรรเทาผลกระทบและรักษาเสถียรภาพราคาผลผลิตช่วงปลายฤดูกาล

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้มีการปิดด่านการค้าบางจุด ทำให้การกระจายผลไม้จากจังหวัดภาคตะวันออกที่ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านชะลอลง โดยเฉพาะจุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม และบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี แม้การซื้อขายภายในพื้นที่ยังคงดำเนินได้ตามปกติ แต่เพื่อไม่ให้เกษตรกรได้รับผลกระทบ กระทรวงพาณิชย์จึงได้มอบหมายให้กรมการค้าภายในลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และเร่งผลักดันการระบายผลผลิตภายในประเทศทันที

นายพิชัยกล่าวว่า ขณะนี้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมกับหน่วยงานและภาคเอกชนต่างๆ เร่งกระจายผลไม้จากภาคตะวันออก โดยเฉพาะมังคุดและทุเรียน ซึ่งอยู่ในช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว คาดว่าผลผลิตจะหมดภายในสิ้นเดือนมิถุนายน โดยตั้งเป้าระบายผลไม้ จำนวน 3,000 ตัน ทั้งผ่านห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ในเครือ ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ที่ได้ซื้อมังคุดคัดเกรดขนาดกลางจำนวน 1,000 ตัน เพื่อนำไปจำหน่ายในแม็คโครและโลตัสทั่วประเทศ รวมถึงห้าง GO WHOLESALE ที่เตรียมเข้ามารับซื้อเพิ่มเติม 

นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือจาก บริษัท ไทยแอร์เอเชีย จำกัด ในการร่วมรับซื้อผลไม้ไทยเพื่อนำไปจัดทำเป็นอาหารเพื่อจำหน่ายบนสายการบินของไทยแอร์เอเชีย อีกจำนวน 1,000 ตัน สมาคมธนาคาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงเครือข่ายห้างค้าปลีกท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยกรมการค้าภายในจะจัดกิจกรรม “Thai Fruits Festival” ภายในงาน Phuket City Pride 2025 ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ ณ จังหวัดภูเก็ต เพื่อผลักดันการบริโภคผลไม้ไทยคุณภาพในประเทศ

นายพิชัย กล่าวต่อว่า นอกจากพันธมิตรที่จะมาช่วยรับซื้อผลไม้แล้ว ยังมีสนับสนุนในเรื่องของการจัดส่ง ได้แก่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ในการช่วยเหลือค่าจัดส่งสำหรับการซื้อขายผลไม้ผ่านออนไลน์โดยสามารถส่งฟรีที่ไปรษณีย์ไทยได้ทุกสาขา ทั้งนี้กรมได้ตั้งเป้าปริมาณผลไม้ที่จะกระจายผ่านช่องทางไปรษณีย์อีกถึง 3,000 ตัน

“ขณะนี้เราได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และที่สำคัญคือพี่น้องประชาชนที่ช่วยกันอุดหนุนผลไม้ไทยอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าผลผลิตผลไม้ภาคตะวันออกในช่วงปลายฤดูนี้จะสามารถระบายได้หมด และขอให้เกษตรกรมั่นใจว่า รัฐบาลโดยการนำของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และกระทรวงพาณิชย์ จะอยู่เคียงข้างในการดูแลราคาและตลาดอย่างต่อเนื่อง” นายพิชัย กล่าวทิ้งท้าย

#กระทรวงพาณิชย์ #ข่าววันนี้ #นายกรัฐมนตรี #ผลไม้ไทย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์