ส.ค.68 สุดพีค เดือนเดียวต่างชาติลงทุนในไทยกว่า 6.6 หมื่นล้าน รวม 8 เดือน แตะ 2.26 แสนล.

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า 8 ดือน ปี 2568 (มกราคม - สิงหาคม) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542  จำนวน 687 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 181 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 506 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 225,536 ล้านบาท โดยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 

 1. ญี่ปุ่น 125 ราย คิดเป็นร้อยละ 18 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 71,844 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ  
  - ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
  - ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ 
  - ธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพสินค้าประเภทเครื่องประดับ
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรทุกประเภท ชิ้นส่วนพลาสติกทุกประเภท ตัวถัง (frame) รวมทั้ง ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถบ้าน และรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร

 2. สหรัฐอเมริกา 105 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 3,433 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ  
  - ธุรกิจนายหน้าหรือตัวแทนในการรับจองห้องพัก โรงแรม และกิจกรรมนันทนาการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
  - ธุรกิจโฆษณา
  - ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและคำแนะนำด้านการบริหารจัดการธุรกิจ
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ และ Captive Screw for PCB

3. สิงคโปร์ 93 ราย คิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 68,495 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 
  - ธุรกิจนายหน้าและตัวแทนสำหรับการจองและซื้อขายโทเคนดิจิทัล (Digital Token) สำหรับโทเคนดิจิทัลที่ออกและดำเนินการโดยกระทรวงการคลัง
  - ธุรกิจบริการบริการ Data Center
  - ธุรกิจบริการให้ใช้ระบบบริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานพาหนะ ชิ้นส่วนสำหรับ Optical Device และ Terminal Connector

4. จีน 87 ราย คิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 20,785 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 
- ธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
  - ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า
  - ธุรกิจบริการรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรอัตโนมัติที่มีขั้นตอนการออกแบบระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมการปฎิบัติงานด้วยสมองกลเอง ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์จากผงโลหะ และ Motor สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า

5. ฮ่องกง 74 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 12,372 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 
  - ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานและสัญญาแบ่งปันผลผลิตในอ่าวไทย
  - ธุรกิจบริการรับจ้างตัดโลหะ
  - ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานพาหนะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า ผลไม้แปรรูป และ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม

ถือได้ว่าการเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทยในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมข้างต้น มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการขุดเจาะปิโตรเลียม องค์ความรู้เกี่ยวกับการบำรุงรักษาสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว องค์ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการคลังสินค้า เป็นต้น 

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 152 ราย (เพิ่มขึ้น 28%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 อนุญาต 687 ราย / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 อนุญาต 535 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 125,474 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 125%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 ลงทุน  225,536 ล้านบาท / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 ลงทุน 100,062 ล้านบาท) รวมถึง มีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น 2,394 คน (เพิ่มขึ้น 96%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 จ้างงาน 4,895 คน / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 จ้างงาน 2,501 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน 

อธิบดีอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 8 เดือน ปี 2568 (มกราคม - สิงหาคม) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC 197 ราย คิดเป็น 29% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 34 ราย (เพิ่มขึ้น 21%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 ลงทุน 197 ราย / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 ลงทุน 163 ราย) โดยมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 74,792 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจาก *จีน 48 ราย ลงทุน 14,862 ล้านบาท *ญี่ปุ่น 47 ราย ลงทุน 27,153 ล้านบาท *สิงคโปร์ 21 ราย ลงทุน 12,940 ล้านบาท และ ประเทศอื่นๆ 81 ราย ลงทุน 19,837 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ 
* ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
* ธุรกิจบริการออกแบบ จัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบเครื่องจักรและระบบการทำงานต่างๆ สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว
* ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์
* ธุรกิจบริการเขต Data Center
* ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าไมโครเวฟ ชิ้นส่วนยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป เป็นต้น

 ทั้งนี้ เฉพาะเดือนสิงหาคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย 104 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 31 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 73 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 66,076 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก ญี่ปุ่น  ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ มีการจ้างงานคนไทย 810 คน รวมถึง มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการโปรแกรมออกแบบและพัฒนาเครื่องประดับ องค์ความรู้เกี่ยวกับแม่พิมพ์และการออกแบบ องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมกระบวนการผลิตด้วยหลักสถิติ เป็นต้น

สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในเดือนสิงหาคม 2568 ได้แก่  
* ธุรกิจนายหน้าและตัวแทนสำหรับการจองและซื้อขายโทเคนดิจิทัล (Digital Token) สำหรับโทเคนดิจิทัลที่ออกและดำเนินการโดยกระทรวงการคลัง
* การจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
* บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้คำปรึกษาด้านเทคนิค และการออกแบบและการวางระบบทำความเย็น เป็นต้น 
* บริการ Data Center
* บริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนสำหรับระบบใยแก้วนำแสง  Motor สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

 

“พาณิชย์”ปลื้ม! ลงทุนพื้นที่อีอีซี คึกคัก 10 เดือน มูลค่าการลงทุนกว่า 4.5 หมื่นล้าน

“พาณิชย์”ปลื้ม! ลงทุนพื้นที่อีอีซี คึกคัก 10 เดือน “นักลงทุนต่างชาติ” เพิ่มขึ้น 128% มูลค่าการลงทุนกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท

วันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย. 2567 เวลา  09.30 น. นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่ากรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานผลการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวน 251 ราย คิดเป็น 32% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ เพิ่มขึ้น 128% มูลค่าการลงทุน 45,739 ล้านบาท คิดเป็น 28% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้น 146%

นางสาวศศิกานต์ กล่าวเพิ่มว่านักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนอันดับ 1 คือ นักลงทุนจากญี่ปุ่น 86 ราย ลงทุน 16,184 ล้านบาท รองลงมาคือ จีน 59 ราย ลงทุน 8,030 ล้านบาท ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,219 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ 88 ราย ลงทุน 16,306 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนใหญ่จะลงทุนในธุรกิจบริการวิศวกรรม  ธุรกิจบริการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์  ธุรกิจบริการติดตั้ง ทดสอบ ซ่อมแซม บำรุงรักษาและฝึกอบรมเกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และระบบการทำงานต่าง ๆ  ธุรกิจบริการระบบซอฟต์แวร์ฐาน และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

สำหรับการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวน 786 ราย ประกอบด้วย 1. การลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 181 ราย 2. การขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) จำนวน 605 ราย เงินลงทุนรวม 161,169 ล้านบาท เกิดการจ้างงานคนไทย 3,037 คน

นางสาวศศิกานต์ กล่าวต่อว่านักลงทุนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ญี่ปุ่น 211 ราย สัดส่วน 27% ลงทุน 91,700 ล้านบาท 2.สิงคโปร์ 110 ราย สัดส่วน 14% ลงทุน 14,779 ล้านบาท 3.จีน 103 ราย สัดส่วน 13% ลงทุน 13,806 ล้านบาท 4.สหรัฐฯ 103 ราย สัดส่วน 13% ลงทุน 4,552  ล้านบาท และ 5.ฮ่องกง 57 ราย สัดส่วน 7% ลงทุน 14,461 ล้านบาท

"​ไทย"เนื้อหอม! นักลงทุนต่างชาติปักหมุดตั้งสำนักงานเพิ่ม

เมื่อวันที่ 3 พ.ค.67 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ธุรกิจตลาดอาคารสำนักงานในไทยเริ่มคึกคักมากขึ้น จากนโยบายสนับสนุนของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายเปิดรับการลงทุนอย่างต่อเนื่อง มุ่งสนับสนุนการใช้ศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติและใช้มาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้ไทยเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่โดดเด่นของภูมิภาค ซึ่งส่งผลให้ตลาดสำนักงานคึกคัก ต่างชาติตั้งสำนักงานในไทยเพิ่ม พร้อมรับข่าวดี ไมโครซอฟท์ประกาศตั้ง Data Center แห่งแรกในไทย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สถานการณ์ของตลาดสำนักงานมีแนวโน้มที่จะมีลูกค้าจากต่างชาติมากขึ้น โดยบริษัท IWG ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบยืดหยุ่น (Flexible Workspace) ได้สำรวจพบว่า มีความต้องการตั้งสำนักงานในไทยเพิ่มขึ้น เนื่องด้วยบริษัทข้ามชาติเล็งเห็นศักยภาพ และข้อได้เปรียบของไทยในการเป็นฐานตั้งสำนักงานใหญ่ในภูมิภาคหลากหลายประการ ทั้งสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน คุณภาพแรงงาน อัตราค่าแรงขั้นต่ำที่เหมาะสม ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษ และทักษะด้านดิจิทัลของบุคลากรไทย รวมถึงค่าครองชีพที่ไม่สูงมาก เป็นต้น ซึ่งได้สร้างความคึกคักให้กับธุรกิจด้านการให้เช่าตลาดอาคารสำนักงานในไทยเป็นอย่างมาก เกิดเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้เช่า ครอบคลุมถึงการจัดทำสัญญาเช่าเป็นระยะสั้นมากขึ้น การพัฒนาออกแบบสำนักงานที่ตอบโจทย์ชีวิตการทำงานมากขึ้น รวมถึงการขยายฐานไปยังกลุ่มผู้เช่าใหม่ผ่านการนำเสนอการให้เช่าพื้นที่แบบ Co-working Space

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดตั้ง Data Center ระดับภูมิภาคแห่งแรกในประเทศไทยของไมโครซอฟท์ และการประกาศพร้อมร่วมพัฒนาศักยภาพ AI ร่วมกับไทย และภูมิภาค ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของไทย ต่อยอดถึงให้กับธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องและเห็นโอกาสในการเลือกไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการตั้งสำนักงาน  ซึ่งก่อนหน้านี้ บอร์ด BOI ได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุน Data Center ในไทยจากบริษัท เน็กซ์ ดีซี จำกัด ผู้ให้บริการ Data Center รายใหญ่ของออสเตรเลีย รวมถึง บริษัท ซีทีอาร์แอลเอส ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการ Data Center รายใหญ่จากอินเดีย มาแล้วด้วย

ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมร่วมมือกับหน่วยงานต่างชาติที่สนใจมาตั้งสำนักงานในไทยเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น เข้าใจความต้องการ และพัฒนาแนวทางที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตในไทยและภูมิภาคต่อไป โดยปัจจุบันรัฐบาลมีมาตรการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติหลายประการ อาทิ อาทิ มาตรการวีซ่าพำนักระยะยาว (Long-term Resident Visa) และการปรับปรุงศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (One Stop Service) มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกิจการผลิตและกิจการ International Business Center (IBC)

“นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าความพร้อมและศักยภาพของไทยสะท้อนเป็นผลความสำเร็จที่ทำให้นักธุรกิจต่างชาติเลือกไทยเป็นที่ตั้งสำนักงาน พร้อมมองว่าการที่ไทยเป็นจุดหมายที่ตั้งของนักธุรกิจต่างชาติถือเป็นโอกาสทองของประเทศในการต่อยอดดึงดูดการลงทุนระดับภูมิภาคของบริษัทใหญ่ รวมทั้งอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ ที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว” นายชัย กล่าว


#เศรษฐาทวีสิน #นักลงทุนต่างชาติ #ข่าววันนี้