“กลุ่มบริษัทเอ็มมีเน้นซ์” คว้ารางวัลรับรองมาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจ มุ่งมั่นผลงานโปร่งใสและยั่งยืน

กลุ่มบริษัทเอ็มมีเน้นซ์ ซึ่งประกอบด้วย บริษัท เอ็มมีเน้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดเอ็มมีเน้นซ์ ซึ่งเป็นองค์กรชั้นนำด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศไทย ล่าสุดได้รับการรับรอง มาตรฐานธรรมาภิบาลธุรกิจ จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ประจำปี 2568 ซึ่งโอกาสนี้ คุณสุชานันท์ อัจฉริยสุชา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทเอ็มมีเน้นซ์ ได้เข้ารับโล่เชิดชูเกียรติจาก คุณฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

คุณสุชานันท์ อัจฉริยสุชา กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทเอ็มมีเน้นซ์ เปิดเผยว่า รางวัลนี้นับเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจของพวกเราทุกคน ตลอดเวลากว่า 50 ปี กลุ่มบริษัทเอ็มมีเน้นซ์ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด ไม่เพียงเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและคู่ค้า แต่ยังเป็นแนวทางที่ทำให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางการแข่งขันในระดับสากล

คุญสุชานันท์ กล่าวว่า ความสำเร็จครั้งนี้เกิดจากความร่วมแรงร่วมใจของผู้บริหาร ทีมงาน พนักงาน และพันธมิตรทุกฝ่ายที่ยึดมั่นในค่านิยมความซื่อสัตย์และความรับผิดชอบ จนกลายเป็นรากฐานของการดำเนินงานที่แข็งแรง และเป็นแรงผลักดันให้พัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง

“เราจะเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการแพทย์และยกระดับมาตรฐานการดำเนินธุรกิจด้านการแพทย์อย่างไม่หยุดยั้ง เป้าหมายของเราคือการเป็นผู้นำที่ไม่เพียงสร้างคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังใส่ใจต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชนที่เราอยู่ร่วมด้วย” คุณสุชานันท์กล่าวทิ้งท้าย

บี.กริม เพาเวอร์ คว้า 5 รางวัลความเป็นเลิศระดับเอเชีย  จากเวที “Asian Excellence Award 2025”  ตอกย้ำองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีธรรมาภิบาล

บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM รับรางวัลความเป็นเลิศระดับเอเชีย ประจำปี 2568 ในงานประกาศรางวัล 15th Asian Excellence Award 2025 จัดโดย Corporate Governance Asia นิตยสารด้านการเงินชั้นนำของฮ่องกงและเอเชีย ตอกย้ำองค์กรที่มีการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล และมีความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม สร้างประโยชน์และความยั่งยืนให้แก่สังคม โดยมี นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร งานการเงินและบัญชี บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนรับรางวัล ณ โรงแรม JW Marriott Hong Kong เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 รับรางวัลความเป็นเลิศระดับเอเชีย 5 รางวัลในงานประกาศรางวัล

สำหรับรางวัลที่ได้รับจำนวน 5 รางวัล ประกอบด้วยรางวัลประเภทบุคคล 3 รางวัล ได้แก่ รางวัลซีอีโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Asia’s Best CEO) ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน), รางวัลซีเอฟโอยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Asia’s Best CFO) นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร งานการเงินและบัญชี และรางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย (Best Investor Relations Officer) นางสาวณัฐชนน ชวินสิทธางกูร ผู้จัดการแผนกนักลงทุนสัมพันธ์ และรางวัลประเภทองค์กร 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลความยั่งยืนแห่งเอเชีย (Sustainable Asia Award) และ รางวัลบริษัทนักลงทุนสัมพันธ์ยอดเยี่ยม (Best Investor Relations Company)

โดยการมอบรางวัลความเป็นเลิศแห่งเอเชีย ประจำปี 2568 (15th Asian Excellence Award) มีการพิจารณารางวัลจากข้อมูลองค์กรร่วมกับผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุน นักวิเคราะห์ และผู้ทรงคุณวุฒิ ทั่วภูมิภาคเอเชีย โดยมอบให้กับองค์กรที่มีธรรมาภิบาล มีแนวทางการดำเนินงานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน มีการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส และมีการดูแลผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนอย่างดีเยี่ยม ในส่วนของรางวัลประเภทบุคคลนั้น เป็นการพิจารณามอบให้แก่ผู้นำองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ มีความสามารถด้านการบริหารจัดการด้านการเงิน และมีความสามารถในการสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนดีเยี่ยมในระดับสากล
 

ปมปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบพ่นพิษ! ประธาน กสทช. เสี่ยงขัดหลักธรรมาภิบาล

ตุลาการผู้แถลงคดีชี้ชัด ประธาน กสทช. ละเลยต่อหน้าที่โดยไม่ดำเนินการตามมติคณะกรรมการ เสนอให้ศาลมีคำสั่งเร่งรัดถอดถอนรักษาการเลขาธิการฯ และตั้งคณะกรรมการสอบวินัยภายใน 60 วัน เพื่อยืนยันหลักการบริหารจัดการภาครัฐตามกฎหมายและธรรมาภิบาล

วันที่ 3 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จำนวน 4 ราย ได้แก่ พลอากาศโท ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ, รองศาสตราจารย์ ดร.พิรงรอง รามสูต, รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย และรองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ได้ยื่นฟ้อง ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1764/2566 โดยระบุว่าผู้ถูกฟ้องละเลยต่อหน้าที่ในการไม่ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล และไม่แต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ รองเลขาธิการฯ ให้รักษาการแทน ตามมติที่ประชุม กสทช. ครั้งที่ 13/2566 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2566

ต่อมาในการไต่สวนครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ตุลาการผู้แถลงคดีได้เสนอข้อวินิจฉัยต่อองค์คณะตุลาการศาลปกครองกลาง โดยแบ่งประเด็นสำคัญออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

ประเด็นที่หนึ่ง กรณีประธาน กสทช. ไม่ลงนามในคำสั่งที่เป็นไปตามมติคณะกรรมการ ทั้งในเรื่องการสอบสวนทางวินัยและการเปลี่ยนตัวรักษาการเลขาธิการ ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยชัดแจ้ง ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ได้กำหนดให้ กสทช. เป็นองค์กรอิสระที่ดำเนินการโดยระบบคณะกรรมการร่วม ซึ่งประธานไม่มีอำนาจตัดสินใจเพียงลำพัง เว้นแต่ได้รับมอบหมายอย่างถูกต้องตามขั้นตอนทางกฎหมาย มติของคณะกรรมการจึงมีผลผูกพันสูงสุดในทางปฏิบัติ

ประเด็นที่สอง มติของที่ประชุมครั้งที่ 13/2566 วาระ 5.22 ซึ่งเสนอแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ภูมิศิษฐ์ ให้รักษาการแทนนั้น ยังไม่ถูกยกเลิกหรือเพิกถอน การที่ประธาน กสทช. ไม่ดำเนินการแม้มีหนังสือแจ้งเตือนถึงสองครั้ง จึงเป็นการละเมิดต่ออำนาจตามกฎหมาย และบ่อนทำลายหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการองค์กรสาธารณะอย่างมีนัยสำคัญ

จากข้อวินิจฉัยดังกล่าว ตุลาการผู้แถลงคดีเสนอให้ศาลมีคำสั่งให้ดำเนินการตามมติคณะกรรมการ กสทช. ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วันนับแต่มีคำพิพากษา ได้แก่ ถอดถอนนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ออกจากตำแหน่งรักษาการเลขาธิการ กสทช.และแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนายไตรรัตน์ให้เป็นไปตามมติที่ประชุม

สำหรับกรณีการแต่งตั้งผู้ช่วยศาสตราจารย์ภูมิศิษฐ์ ซึ่งได้เกษียณอายุราชการแล้ว เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีคำสั่งบังคับอีกต่อไป

อย่างไรก็ดี แม้คำแถลงของตุลาการผู้แถลงคดียังไม่ใช่คำพิพากษาสุดท้าย แต่ตามหลักการของกระบวนการยุติธรรมทางปกครอง ศาลมีหน้าที่ต้องจัดพิมพ์และเผยแพร่ทั้งคำพิพากษาและความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดีต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นหลักประกันให้การใช้อำนาจรัฐอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างแท้จริง

"ซีพี" ขยับทัพเดินหน้าธรรมาภิบาลทั่วทั้งเครือ 21 ประเทศ จัดประชุมใหญ่ ซีอีโอมาครบ

เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ผนึกกำลังครั้งสำคัญ เปิดตัว “CP-CG Day” ภายใต้หัวข้อ “Toward Excellence: The Next Era of CG” เพื่อยกระดับมาตรฐานธรรมาภิบาล (Corporate Governance - CG) ในทุกกลุ่มธุรกิจทั่วโลก โดยมีผู้บริหารระดับสูงและพนักงานจาก 21 ประเทศเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ ห้องประชุมออดิทอเรียม ทรู ดิจิทัล พาร์ค กรุงเทพฯ พร้อมถ่ายทอดสดไปยังทุกสำนักงานทั่วโลก

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวถึงวิสัยทัศน์และทิศทางของเครือฯ โดยเน้นย้ำว่า “ธรรมาภิบาลและความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน” เพราะเป็นรากฐานของการดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรม โปร่งใส และคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งเสนอ 5 หลักการสำคัญ ในการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อให้ CG เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่:

1. ความโปร่งใส – เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ และเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดมีความเชื่อมั่น

2. มุมมองระยะยาว – การดำเนินธุรกิจต้องสร้างคุณค่าให้กับสังคมและผู้มีส่วนได้เสียอย่างยั่งยืน

3. ภาวะผู้นำ – ผู้นำที่ดีต้องมีคุณธรรม จริยธรรม และความสามารถในการปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง

4. นวัตกรรมและเทคโนโลยี – การใช้เทคโนโลยี เช่น AI และดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใสขององค์กร

5. Empowerment – การส่งเสริมให้บุคลากรในองค์กรมีบทบาทในการขับเคลื่อน CG ให้เกิดขึ้นจริงในทุกระดับ

“เครือซีพีและทุกบริษัทในเครือฯ ต้องร่วมกันปฏิรูปผ่าน 5 หลักการสำคัญนี้ เพื่อให้ CG เป็นมากกว่ากฎเกณฑ์ และยกระดับให้เป็นวัฒนธรรมองค์กรที่จะช่วยให้เราสามารถส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสีย และสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมได้อย่างยั่งยืน” นายศุภชัยกล่าว พร้อมตอกย้ำว่าการขับเคลื่อน CG และ ESG ไม่ใช่เพียงเป้าหมายขององค์กร แต่เป็นพันธกิจที่เราต้องทำให้เกิดขึ้นจริง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม

นางสาวเพียงพนอ บุญกล่ำ กรรมการ สมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรชั้นนำ ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับธรรมาภิบาลของบริษัทขนาดใหญ่ โดยกล่าวว่า “ไม่มีใครจะให้ความสำคัญกับ CG ได้มากไปกว่าคนในองค์กรเอง” การสร้างวัฒนธรรม CG ที่แข็งแกร่งต้องเริ่มจากภายในองค์กรก่อน เพื่อให้พนักงานเข้าใจและสามารถสื่อสารไปยังบุคคลภายนอกได้อย่างถูกต้อง

นอกจากนี้ ยังเน้นถึงความสำคัญของการบริหารจัดการ Subsidiary Governance หรือการกำกับดูแลบริษัทในเครือ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงด้านชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือขององค์กร “CG ในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของกฎระเบียบ แต่เป็นเรื่องของการสื่อสาร การมีส่วนร่วม และการบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมทุกมิติขององค์กร”

ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ตอกย้ำแนวทางของซีอีโอ ซีพี โดยกล่าวเสริมว่า CG และความยั่งยืนเป็นเรื่องเดียวกัน และต้องกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กร ไม่ใช่แค่ข้อบังคับ

ทั้งนี้เครือซีพีมุ่ง “เปลี่ยนจากการมี CG สู่การใช้ CG” ผ่าน 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1. ฝัง CG เป็นวัฒนธรรมองค์กร – โปร่งใส มีภาวะผู้นำ ใช้เทคโนโลยี 2. ใช้ CG สร้างขีดความสามารถ – ลดความเสี่ยง ขับเคลื่อนนวัตกรรม 3. ยกระดับมาตรฐานต่อเนื่อง – จากมาตรฐานไทยสู่มาตรฐานโลก

“CG ที่แท้จริงคือการสร้างความโปร่งใส แข็งแกร่ง และยั่งยืน เครือซีพีต้องเป็นผู้นำ ไม่ใช่แค่ผู้ตาม” ดร.ธีระพลกล่าว

ขณะที่ นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)  หรือ ซีพีเอฟ ระบุว่า CG มีบทบาทสำคัญในการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน และเน้นย้ำว่า ESG เป็นพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ และเป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรในระดับโลก

นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ย้ำว่า กลุ่มทรูให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล (CG) และ ESG ในทุกมิติ ทรูไม่ได้มอง ESG เป็นเพียงแนวทาง แต่เป็นพันธกิจที่ต้องขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม ตั้งแต่ผู้นำสูงสุดคือประธานกรรมการ บอร์ดบริหาร ไปจนถึงพนักงานทุกคน

นอกจากนี้ ซีอีโอ กลุ่มทรู ได้กล่าวต่อไปว่า “เราไม่ได้แค่ให้คนไทยเข้าถึงดิจิทัล แต่เรากำลังสร้างสังคมดิจิทัลที่เท่าเทียมและปลอดภัย”  พร้อมระบุว่ากลุ่มทรูมุ่งมั่นลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ขยายโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยี และส่งเสริมการศึกษาเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมรับมือกับอนาคต

“ในบทต่อไปของอุตสาหกรรมโทรคมนาคม ทรูจะเป็นผู้นำด้าน Cyber Security สร้างความมั่นคงทางดิจิทัลให้กับประชาชนและประเทศ”  ซีอีโอ กลุ่มทรู กล่าวเสริม พร้อมเน้นว่า CG ที่ดีไม่ได้เป็นเพียงหลักการบริหารองค์กร แต่เป็นกลไกสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับธุรกิจและสังคมไทย

ขณะเดียวกัน นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) สะท้อนแนวทางของเครือซีพี ว่า ธรรมาภิบาล (CG) ไม่ใช่แค่กรอบนโยบาย แต่ต้องถูกนำไปปฏิบัติจริง ท่ามกลางความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ไม่ว่าจะเป็นความซับซ้อนของซัพพลายเชน หรือความคาดหวังจากสังคมที่เพิ่มสูงขึ้น

“หัวใจสำคัญคือ ‘คน’” นายเกรียงชัยกล่าว “ทั้งพนักงานและผู้มีส่วนได้เสียต้องมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อน CG ให้เกิดผลลัพธ์จริง” ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของซีอีโอที่เน้น การทำให้ธรรมาภิบาลเป็นวัฒนธรรมองค์กร โดยการ เปลี่ยนจากคำพูดเป็นการลงมือทำ เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับสังคมและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในระยะยาว

ด้านนางศิริพร เดชสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - สายงานความยั่งยืนและสื่อสารองค์กร บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เน้นว่าการขับเคลื่อน CG ต้องเริ่มจากภายใน แม็คโครและโลตัสมีรากฐานด้านธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง แต่ความท้าทายคือ การส่งต่อ DNA นี้ไปยังพนักงานทุกระดับ ผ่านการเรียนรู้และสร้างวัฒนธรรมองค์กรร่วมกัน

นอกจากนี้ ยังชี้ว่า CG ของเครือซีพีต้องไปไกลกว่าความคาดหวังของสังคม ไม่ใช่แค่ปฏิบัติตามมาตรฐาน แต่ต้องยกระดับและสร้างมาตรฐานใหม่ที่โปร่งใสและเป็นรูปธรรม พร้อมเน้นว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจากภายในองค์กรสู่สังคม เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นต่อแนวทาง CG ของเครือซีพี

 “CP-CG Day” ที่เครือซีพี Kick off ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงความมุ่งมั่นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในการผลักดันธรรมาภิบาลให้เป็นรากฐานของการดำเนินธุรกิจ เครือฯ เชื่อมั่นว่า CG ที่ดีไม่ใช่เพียงกฎเกณฑ์ แต่ต้องเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ทุกคนยึดมั่นและปฏิบัติจริง เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อองค์กร สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

"บี.กริม เพาเวอร์" ครองตำแหน่งเรตติ้งสูงสุด SET ESG Rating ระดับ AAA และอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน 7 ปีซ้อน 

บี.กริม เพาเวอร์ ครองตำแหน่งเรตติ้งสูงสุด SET ESG Rating ระดับ AAA และอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน 7 ปีซ้อน  ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่ความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.67 บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ยังคงเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง ด้วยการติดอันดับสูงสุด AAA ในการประเมิน "SET ESG Ratings" ประจำปี 2567 และอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี (Doing Business with Compassion) โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ บี.กริม ยึดถือมาตลอด 146 ปี 

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทที่มุ่งสร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี (Empowering the World Compassionately) เพื่อสร้างคุณค่าให้กับสังคม พร้อมเติบโตเคียงคู่ไปกับประเทศไทยและภูมิภาค ผ่านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ภายใต้หลักบรรษัทภิบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนการเรียนรู้แก่เยาวชนในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์ (STEM) ผ่านโครงการ B.Grimm School Camp โครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยแห่งประเทศไทย และโครงการอาชีวศึกษาทวิภาคี ซึ่งได้สร้างโอกาสให้เยาชนรวมกว่า 178,794 คน ในการเข้าถึงองค์ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้โครงการ Save the Tigers ยังเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ บี.กริม เพาเวอร์ในการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและฟื้นฟูระบบนิเวศ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ” 

โดยในปีนี้ บี.กริม เพาเวอร์ เป็นหนึ่งใน 56 บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับสูงสุด AAA จากทั้งหมด 228 บริษัทจดทะเบียนที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน SET ESG Ratings โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผลประเมินนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ลงทุนใช้ควบคู่กับข้อมูลอื่นๆในการวิเคราะห์ความเสี่ยงและโอกาสการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งในขณะเดียวกันปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) ยังคงมีบทบาทเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในการส่งเสริมศักยภาพในการเติบโตขององค์กร ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของการลงทุนอย่างยั่งยืน (Sustainable Investment) ที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ตลอดปีที่ผ่านมา บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับการยอมรับในระดับประเทศและระดับสากลผ่านการจัดอันดับและรางวัลด้านความยั่งยืนจากองค์กรและหน่วยงานชั้นนำด้านความยั่งยืนทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ อาทิ  การจัดอันดับใน S&P Global Sustainability Yearbook 2023 ด้วยคะแนน Top 10% ของกลุ่มบริษัทผู้นำระดับโลก การได้รับอันดับความน่าเชื่อถือระดับ BBB จาก MSCI ESG Rating นอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน “FTSE4Good Index Series” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 และได้รับรางวัล Sustainability Disclosure Awards จากสถาบันไทยพัฒน์ ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 ตลอดจนได้รับการประเมินโครงการ CGR ในระดับดีเลิศ โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ติดต่อกันเป็นปีที่ 5 ด้วยปรัชญาและความมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี บี.กริม เพาเวอร์ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon Emissions) ภายในปี พ.ศ.2593 เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโลกและคนรุ่นหลังต่อไป

สพป.ร้อยเอ็ด เขต 1 จัดโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล

สพป.ร้อยเอ็ด เขต 1 จัดโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล พร้อมบูรณาการเปิดโลกนวัตกรรมประวัติศาสตร์วิถีใหม่ วิถีอนาคต และโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. 

     

วันนี้ 26 กรกฎาคม 2567 เวลา 10.00 น. นายนพดล จอมเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด   เปิดกิจกรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การนำเสนอผลงาน กิจกรรมการเรียนรู้ ภายใต้โครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมและ ธรรมาภิบาลในสถานศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (โครงการโรงเรียนสุจริต) บูรณาการโครงการเปิดโลกนวัตกรรมประวัติศาสตร์วิถีใหม่ วิถีอนาคต และโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ.  ณ ศูนย์ประชุมสาเกตุฮอล์  อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารหน่วยงานทางการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา ครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก
         

นายสุชาติ พุทธลา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 กล่าวว่า  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ดำเนินโครงการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมและ ธรรมาภิบาลในสถานศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (โครงการโรงเรียนสุจริต) เพื่อพัฒนานักเรียน ครู ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา ให้เกิดคุณลักษณะ 5 ประการของโรงเรียนสุจริต ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย

สืบเนื่องจาก กระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายในการขับเคลื่อนโรธเรียนคุณธรรม
จริยธรรมให้กับนักเรียนในสังกัด เพื่อมุ่งปลูกฝังให้ผู้บริหาร ครู นักเรียนและบุคลากรทางการศึกษา
ได้รับการปลูกฝังคุณธรรม 5 ประการ ของโรงเรียนคุณธรรรม สพฐ. โครงการขับเคลื่อนวิชาประวัติศาสตร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ร้อยเอ็ด เขต 1 จึงมีการพัฒนานวัตกรรม กระบวนการเรียนรู้ให้ทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 มีความสัมพันธ์กับสังคม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย และการเผยแพร่และขยายผลให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 1 จึงได้จัดกิจกรรมขึ้น เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนำเสนอผลการดำเนินกิจกรรมที่มีความโดดเด่นประจักษ์เครือข่ายโรงเรียนสุจริตตามโครงการโรงเรียนสุจริต โครงการเปิดโลกประวัติศาสตร์วิถีใหม่ วิถีอนาคต และโครงการโรงเรียนคุณธรรม สพฐ. และเผยแพร่ผลงาน นวัดกรรม และยกย่องเชิดชูเกียรติ ผู้บริหารการศึกษาผู้บริหารสถานศึกษา บุคลากร นักเรียนและสถานศึกษา ที่มีผลการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศ
         

กิจกรรมประกอบด้วย การแสดงผลงานทางวิชาการ ของครูและบุคลากรทางการศึกษา นักเรียน การมอบรางวัลต่างๆ จากผลงานที่โดดเด่นตามโครงการฯ  จำนวนมาก ผู้เข้าร่วมนำเสนอผลงาน และเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งสิ้น 800 คน

LHFG ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ปี 2567

LHFG ได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลปี 2567

นายฉี ชิง-ฟู่ กรรมการผู้จัดการ และ นายวิเชียร อมรพูนชัย กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHFG) รับมอบประกาศนียบัตร “ESG100 Certificate” จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ ในฐานะที่บริษัทได้รับคัดเลือกให้อยู่ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) ปี 2567

บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (LHFG) ติดอันดับ ESG100 ประจำปี 2567 และเข้าอยู่ในทำเนียบ ESG100 เป็นปีที่ 9 โดยสถาบันไทยพัฒน์ได้คัดเลือกจาก 920 หลักทรัพย์จดทะเบียน ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ซึ่งตลอดเวลาการดำเนินงาน LHFG และกลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน การดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี และมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีเจตนารมณ์ในการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม อาทิ สินเชื่อ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green) สินเชื่อเพื่อการปรับตัว (Transformation Loan) ตลอดจนการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending)”

 

มองธุรกิจอย่างเข้าใจ ใส่ใจคุณภาพและสิ่งแวดล้อม ก้าวสู่ธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืน

หากจะพูดถึง “แร่ทรายแก้ว” ทุกคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วแร่ทรายแก้วนั้นอยู่ใกล้ตัวมาก เนื่องจากเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตอุปกรณ์ที่ใช้อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่เช้าจรดคำ่อันได้แก่อ่างล้างหน้า โถชักโครก ส่วนผสมในยาสีฟัน หลอดไฟ ประตูหน้าต่าง แก้วน้ำ จานชาม ขวด กระเบื้องปูพื้น กระจกรถยนต์และกระจกอาคารซึ่งล้วนแต่มีส่วนผสมของแร่ทรายแก้วทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นวัตถุดิบหลักที่สำคัญในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ต้นน้ำ ซึ่งถือว่าเป็น 1 ใน 3 อุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีในประเทศ

“การทำเหมืองแร่” หากใครได้ยิน สิ่งแรกที่จะนึกถึงคือการสร้างมลพิษและการทำลายสิ่งแวดล้อม จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับเจ้าของเหมืองทุกคน ที่จะต้องวางโครงสร้างทางวิศวกรรมและมีทิศทางในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ชัดเจน อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงคุณภาพภายใต้มาตรฐานของการทำเหมืองแร่ที่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติแร่ด้วย

การขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการผลิตแร่ทรายแก้ว นอกจากจะต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและคุณภาพเป็นสำคัญแล้ว ยังต้องยึดหลักธรรมาภิบาลคือการบริหารจัดการที่ดี มีความเป็นธรรม ความสุจริต ความมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีความโปร่งใส มีความรับผิดชอบในภาพรวมทั้งต่อตนเองและลูกค้าสามารถตรวจสอบได้ ในส่วนของการทำเหมืองแร่นี้จำต้องให้ความสำคัญรวมถึงการดูแลคุณภาพชีวิตของพนักงาน ชุมชนในพื้นที่และสิ่งแวดล้อมที่จะส่งผลให้เกิดการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรแร่อย่างคุ้มค่าและเกิดอรรถประโยชน์สูงสุด

นายวัลลภ การวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธรรมชาติทรายแก้ว จำกัด ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายทรายแก้วคุณภาพดีให้กับลูกค้าเล่าว่า ก่อนหน้านี้เคยดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการรับซื้อพืชผลการเกษตรมาก่อน ในปี 2528 เมื่ิอรัฐบาลมีโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ Eastern Seaboard Development Program (ESB) ส่งผลให้ที่ดินในจังหวัดระยองมีราคาสูงขึ้น ชาวบ้านบางส่วนขายที่ดินทำการเกษตรในราคาสูงให้กับกลุ่มนายทุน เกิดโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ๆ ทำให้แรงงานหลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่ พื้นที่ที่เคยทำการเกษตรจึงลดน้อยลง จึงมองหาโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ

“ปี 2520 พื้นที่ที่มีแร่ทรายแก้วไม่มีราคา เพราะเป็นพื้นที่ที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้เลย เนื่องจากดินไม่มีสารอาหารที่จะเอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืช จึงมองหาโอกาสที่จะทำธุรกิจเหมืองแร่ทรายแก้วที่มีคุณภาพดีและรองรับการทำแก้วใสเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค ทำการศึกษาค้นคว้าและวิจัยว่าหากจะผลิตแร่ทรายแก้วคุณภาพดีที่ยังไม่มีใครผลิตซึ่งเป็นช่องว่างทางการตลาดที่สามารถเจริญเติบโตทางธุรกิจได้ในอนาคตจะต้องวางแผนดำเนินการอย่างไรตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การควบคุมคุณภาพให้คงที่จวบจนการขนส่งแร่ทรายแก้วถึงมือผู้ใช้ที่จะต้องดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติแร่ สิ่งแวดล้อมและชุมชนให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขนั้นมีความจำเป็นต้องวางแผนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง(conceptual skill)เพื่อมิให้เกิดรอยต่อสะดุดระหว่างทาง

เมื่อเรียนรู้ข้อจำกัดต่างๆ จึงเริ่มวางภูมิทัศน์ และเทคโนโลยีทางวิศวกรรมที่ปลอดภัยสำหรับโรงแต่งแร่ การทำเหมืองแร่ทรายแก้วที่ไม่ให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ แล้วจึงดำเนินการการก่อสร้างตามลำดับขั้นตอน พร้อมศึกษาผลกระทบอย่างครบถ้วนมีความรัดกุมเพื่อให้สามารถผลิตแร่คุณภาพควบคู่ไปกับการอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

การทำธุรกิจแรกเริ่มนั้น บริษัทฯ เริ่มส่งแร่ทรายแก้วให้กับอุตสาหกรรมผลิตหลอดไฟ และเริ่มขยายตลาดด้วยการควบคุมการผลิตแร่ทรายแก้วคุณภาพคงที่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี บริษัทฯ สามารถส่งสินค้าเข้าสู่อุตสาหกรรมแก้วใส อุตสาหกรรมกระจกรถยนต์และกระจกอาคาร อุตสาหกรรมเซรามิก อุตสาหกรรมหล่อโลหะ และอุตสาหกรรมเคมี

สำหรับองค์ประกอบของความสำเร็จในการประกอบธุรกิจนั้น คุณวัลลภ ได้ยึดหลัก 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.ต้องมีใจรักในงานที่ทำ เพราะหากเริ่มต้นไม่มีใจรักแล้วเมื่อประสบปัญหาและอุปสรรคจะท้อถอย 2.ต้องดูตลาดออกแล้วปรับปรุงเทคโนโลยีตามการเปลี่ยนแปลงกระแสธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่งเพื่อมิให้ตกเทรนด์ซึ่งเป็นการอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคู่ค้ามิให้เสียส่วนแบ่งการตลาดเพื่อความเจริญเติบโตเคียงคู่กัน 3.ต้องมีใจเรียนรู้และศึกษาอยู่ตลอดเวลา 4.ต้องศึกษาสภาวะแวดล้อมทั้งภายนอกและสภาวะแวดล้อมภายใน จุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และอุปสรรค และ5.การรักษาบุคลากรให้อยู่นานที่สุด และมีสวัสดิการต่างๆ เมื่อบุคลากรมีความเชื่อมั่นจะตั้งใจทำงานให้บริษัทที่คิดว่ามั่นคงอย่างเต็มความสามารถ


เกือบ 30 ปีนับแต่บริษัทธรรมชาติทรายแก้วจำกัดดำเนินการมา บริษัทฯ มุ่งมั่นในการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายทรายแก้วคุณภาพดีให้กับลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนผ่านรางวัลที่บริษัทฯ ที่ได้รับมากมาย อาทิ รางวัลเหมืองแร่สีเขียว (Green Mining Award) (ตั้งแต่ปี 2554 - ปี 2566) จากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม รางวัล ElA Monitoring Awards ปี 2011 ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้การรับรองระบบบริหารคุณภาพมาตรฐานสากล ISO 9001 : 2015  ได้การรับรองระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมมาตรฐานสากล ISO 14001 : 2015 Certified ISO 14001:2015 และยังคงมุ่งมั่นต่อไปภายใต้ปณิธาน“ผลิตด้วยเทคโนโลยีทันสมัย ใส่ใจคุณภาพทรายทุกเม็ด”เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจตลอดไป

ก.ธ.จ.อยุธยา เตรียมลงพื้นที่ติดตามสอดส่อง 24 โครงการ ให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล งบกว่า 100 ล้าน

ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ประชุมรับทราบและพิจารณาผลการสอดส่องแผนงาน/โครงการ งบประมาณประจำปี 2567 เพื่อรับทราบแนวทางในการสอดส่องแผนงาน/โครงการของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ก.ธ.จ.) หลังจากมีการพิจารณาคัดเลือกโครงการแผนปฏิบัติราชการ  รวม 24 โครงการ งบประมาณ 114,951,600 บาท
         

วันที่ 21 พ.ค.67  ที่ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นประธานการประชุมรับทราบและพิจารณาผลการสอดส่องแผนงาน/โครงการ งบประมาณประจำปี 2567 รวม 24 โครงการ งบประมาณ 114,951,600 บาท
         

นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา เปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 1/2567  เพื่อรับทราบแนวทางในการสอดส่องแผนงาน/โครงการของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ก.ธ.จ.) หลังจากมีการพิจารณาคัดเลือกโครงการแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ 2567  กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน  โครงการงบประมาณเงินอุดหนุนเฉพาะกิจที่ได้รับจัดสรร งบประมาณเงินอุดหนุนที่จัดสรรให้ท้องถิ่น รวมทั้งหมด 24 โครงการ กว่า 100 ล้านบาท  แยกเป็นงบจังหวัด 2 โครงการ งบกลุ่มจังหวัด 3 โครงการ งบท้องถิ่น 19 โครงการ  ซึ่งได้เน้นย้ำถึงโครงการที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเป็นหลัก  เช่น โครงการปรับปรุงถนน โครงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด โครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง
         

นอกจากนี้ ยังได้หารือถึงโครงการปรับปรุงถนนสายบ้านสวนพริก-บ้านโพธิ์สามต้น (ตอนที่1) ของอำเภอพระนครศรีอยุธยา งบ 38 ล้านบาท  ที่กำลังเป็นปัญหา  ทั้งนี้ จะเชิญหน่วยงานที่รับผิดชอบหารืออีกครั้ง  เนื่องจากเป็นเรื่องวิกฤตต้องเร่งรัดให้ดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว เพื่อให้พี่น้องประชาชนสัญจรไปมาอย่างสะดวกและปลอดภัย  พร้อมกำชับ ก.ธ.จ.ให้ลงพื้นที่ติดตามโครงการต่างๆ ที่แล้วเสร็จไปประมาณร้อยละ 30  เพื่อจะได้มีโอกาสแนะนำ ท้วงติง ให้งานนั้นๆ เดินต่อไปด้วยดีมีประสิทธิภาพคุ้มค่ากับงบประมาณที่ได้รับจัดสรรไป

“ทริส คอร์ปอเรชั่น” ชี้ภาครัฐตื่นตัวตามกรอบ ยกขีดความสามารถขับเคลื่อนปท.ด้วยข้อมูล

บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัทที่ปรึกษาด้านการพัฒนาองค์กร จัดงานสัมมนา “Exclusive Seminar : Deep Dive Into Data Governance มุ่งสู่องค์กรดิจิทัลยั่งยืนตามกฎหมายใหม่” นำโดยนายสมพร จิตเป็นธม กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยนายสรรเสริญ สงวนศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญ อีกทั้งเป็นการสร้างความตระหนักในการนำแนวคิด “ธรรมาภิบาลข้อมูล” หรือ Data Governance ไปใช้ในการดำเนินงาน และขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ โดยได้รับความสนใจจากผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจำนวน 21 หน่วยงาน เช่น สำนักงบประมาณ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กรมสรรพสามิต กรมขนส่งทางราง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมงานสัมมนาพร้อมแลกเปลี่ยนความเห็นถึงความสำคัญของ Data Governance ในวันพุธที่ 29 มีนาคม 2566 ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ 

นายสมพร จิตเป็นธม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ทริสเป็นบริษัท ที่ปรึกษาที่ให้บริการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดการข้อมูลให้เป็นไปตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูล หรือ Data Governance เพราะข้อมูลถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการองค์กรและการตัดสินใจ จึงจำเป็นต้องมีการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือและทำให้เกิดความมั่นใจในการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ และมีความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล จึงถือเป็นความท้าทายขององค์กร หรือหน่วยงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งมีฐานข้อมูลเกี่ยวกับประชาชนจำนวนมาก ประกอบกับมีกฎหมายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และการกำกับดูแลข้อมูลส่วนบุคคล จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลหรือ Data-Driven Organization เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคดิจิทัล 

นอกจากนี้ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคม รัฐบาลได้ประกาศใช้กฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐนำไปปฏิบัติ ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐจึงต้องให้ความสำคัญในการดำเนินการตามกรอบธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ หรือ Data Governance for Government ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาในเดือนมีนาคม 2563 เป็นต้นมา

“ปัจจุบันทั่วโลกขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลเกือบทั้งหมดแล้ว และเมื่อพูดถึงดิจิทัลก็ต้องพูดถึงข้อมูลการขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลนั้นจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปัจจุบันที่เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐของไทยซึ่งมีหน้าที่ให้บริการประชาชน ต้องตื่นตัวในเรื่องนี้ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลที่ทันสมัย ทั้งการใช้ธรรมาภิบาลข้อมูลภาครัฐ การเปิดเผยข้อมูล ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลและการใช้ประโยชน์จากข้อมูล โดยทุกหน่วยงานภาครัฐต้องพัฒนาหน่วยงานเพื่อการให้บริการที่สะดวก โปร่งใส ทันสมัย ตอบโจทย์ประชาชน และเพื่อเป็นการยกระดับรัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย”นายสมพร กล่าว

ด้านนายสรรเสริญ สงวนศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงความท้าทายของหน่วยงานภาครัฐในการปรับเปลี่ยนองค์กรให้เป็น Data-Driven Organization ซึ่งได้กระตุ้นให้เห็นถึงความสำคัญและการตื่นตัวในการทำ Data Governance  โดยงานสัมมนาในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงข้อคิดเห็นต่างๆ กับท่านผู้บริหาร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกท่าน อันเป็นบุคคลคนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ซึ่งได้รับเกียรติจาก ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด ที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ ด้าน Digital Transformation สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) นางอารีย์พันธ์ เจริญสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ดร.รอยล จิตรดอน กรรมการและเลขาธิการ มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนายเธียรชัย ณ นคร ประธานกรรมการ คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เข้าร่วมเสวนา “ประสบการณ์จริงจากการทำ Data Governance เพื่อรองรับกฎหมายใหม่”  

รวมถึงผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐทั้ง 21 หน่วยงาน ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในช่วงการเสวนาจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าผู้บริหารทั้งของภาครัฐและเอกขนที่มาร่วมงาน ได้ให้ความสำคัญ และส่วนหนึ่งได้ดำเนินการในเรื่องเหล่านี้แล้ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานภาครัฐ และเอกชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมาภิบาลของข้อมูล ซึ่งทริส คอร์ปอเรชั่นหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้จะช่วยจุดประกายและทำให้เกิดการพัฒนาประเทศในด้านธรรมาภิบาลข้อมูล