"แบงก์ชาติ" ย้ำ เร่งปลดบัญชีม้า สร้างความมั่นใจให้ร้านค้า สิ้น ก.ย.รู้ผล 

ธปท.กำชับทุกหน่วย กำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีม้าแล้วเสร็จภายในสิ้นก.ย.นี้  สร้างความมั่นใจรับโอนเงินซื้อขายสินค้า    

วันที่ 15 กันยายน 2568 นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  เผยว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรม และระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชี ช่วงเดือนกันยายน 2568 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ  ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน  ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ 

"ธปท. ธนาคาร ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่น วเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จ คาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 วัน"

นางสาวดารณี กล่าวว่า ธปท. มุ่งเน้นมาตรการจัดการบัญชีม้า โดยได้หารือกับหน่วยงานต่าง ๆ และเร่งแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ แนวคิดของมาตรการแก้ปัญหาบัญชีม้าที่ต้องมีการตามอายัด หรือระงับธุรกรรมทุจริต ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการทั้งหมดต้องรักษาสมดุลระหว่างการช่วยเหลือเหยื่อให้สูญเสียให้น้อยที่สุด กับความสะดวกในการใช้บริการ Mobile banking ของประชาชนทั่วไป หากรู้ตัวเองว่าสุจริตให้โทรแจ้ง 1441 แจ้งเลขบัญชี ธนาคารเจ้าของบัญชี และบัตรประชาชน เพื่อให้พิจาณาปลดออกจากการระงับ ซึ่งยอมรับที่ผ่านมา แจ้งเข้ามา 100 สาย พิจารณาปลดให้ได้เพียง 11 ราย เท่านั้น 

"ที่ผ่านมามาตรการแก้ไขบัญชีม้ามีออกมาต่อเนื่อง แต่ยังมีผู้เสียหายจำนวนมาก ดังนั้นศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.)  และ ธพ. ได้เพิ่มประสิทธิภาพแก้ปัญหาบัญชีม้า ด้วยการขยายขอบเขตการติดตามเส้นเงินในการทำทุจริต เพื่อกักเงินมาคืนเหยื่อ/ผู้เสียหายให้ได้มากที่สุด ทำให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในเส้นเงินมากขึ้น ซึ่งยอมรับมีบัญชีม้าโทรเข้ามาแจ้งไปยังหลายแบงก์พร้อมกัน เพื่อขอให้ปลดด้วยเช่นกัน แต่ทางการมีข้อมูล จึงปลดให้ไม่ได้" 

อย่างไรก็ตาม ธปท. ได้หารือกับ ศปอท. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) และ ธพ. เห็นชอบร่วมกัน เพื่อปรับแนวทางการระงับธุรกรรม และกระบวนการปลดการะงับ เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์  โดยลดระยะเวลาการปลดการระงับให้เร็วขึ้น ไม่ต้องรอให้ถึง 72 ชั่วโมง หรือ 7 วัน แล้วแต่กรณี ตามที่กำหนดใน พ.ร.ก. โดย ธพ.จะตรวจสอบข้อมูลของผู้ได้รับผลกระทบที่ได้รับจาก ศปอท. โดยเร็วที่สุด ไม่เกินกว่า 2 ชั่วโมง (วันละ 3 รอบ) เพื่อส่งกลับให้ศปอท. ประมวลผล (ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และส่งกลับมาแจ้ง ธพ. เพื่อปลดกธุรกรรม เร่งปรับการแจ้งผู้ถูกระงับธุรกรรมให้มีความชัดเจน ถึงลักษณะการถูกระงับ และสิ่งที่ผู้ได้รับผลกระทบนั้นต้องทำต่อ และให้เป็นมาตรฐานยิ่งขึ้น

ทั้งนี้การถูกอายัดบัญชีในกรณีการกระทำทุจริตทางการเงิน จะต้องเป็นผู้ที่มีหมายอายัดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ปปง. ได้พิสูจน์ความผิดแล้ว โดยการปลดอายัดในกรณีนี้จะมีกระบวนการที่ต่างออกไปจากการถูกระงับธุรกรรมข้างต้น สำหรับการพิจารณาระงับธุรกรรมในเส้นเงิน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งปรับกระบวกลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์โดยเร็ว

หารือด่วน! "ดีอี" ถกร่วม "ธปท.-สถาบันการเงิน-ตร.ไซเบอร์" แก้ปัญหาบัญชีม้า ยอดต่ำกว่า3,000 ไม่ตามต่อ

 

วันที่ 14 กันยายน 2568 ดร.เอกพงษ์ หริ่มเจริญ ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เผยถึงกรณีอายัดบัญชีม้า ว่า การประชุมเบื้องต้นในช่วงเช้า ระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.)  กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และ ตัวแทนสถาบันการเงิน ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ( บช.สอท.) เสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นในช่วงบ่าย จะมีการประชุมออนไลน์ร่วมกันอีกครั้งกับธนาคารทุกธนาคาร เพื่อหาทางแก้ปัญหากรณีดังกล่าว

ทั้งนี้เบื้องต้นต้องคุยเรื่องกรอบวงเงินให้ชัดเจน เช่นว่า หากยอดเงินการโอนต่ำกว่า 3,000 บาท จะไม่มีติดตามต่อแล้ว เพราะที่ผ่านมา เราตามทุกเส้นทางการเงิน เราพยายามอายัดทุกบัญชี จึงอาจกระทบกับคนที่หาเช้ากินค่ำ หรือผู้ประกอบการรายเล็ก

สำหรัยมาตรการต่อจากนี้ จะให้เจ้าหน้าที่ธนาคาร ทุกๆ ธนาคาร มานั่งที่ศูนย์ AOC เพื่อดูรายละเอียดและนั่งพิจารณาบัญชีของแต่ละบุคคล และจะเร่งปลดอายัดให้เร็วที่สุด เข้าใจความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ยืนยันว่าจะเร่งแก้ปัญหาให้ได้โดยเร็ว

ธปท.สั่งแบงก์คุม "โอนเงิน-ชำระเงิน" ไม่เกิน 5 หมื่น/วัน บล็อคมิจฉาชีพหลอก

ธปท. เปิดยอดถูกหลอกผ่านมิจฉาชีพยังพุ่ง เตรียมคลอดมาตรการลดความเสียหายจากการถูกหลอก กำชับแบงก์กำหนดการโอนเงิน หรือ ชำระเงินขั้นต่ำไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวัน

วันที่ 20 สิงหาคม 2568 นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงิน และคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ด้วยแนวโน้มการถูกมิจฉาชีพ หรือแก็งคอลเซนเตอร์ หลอกลวงให้โอนเงินต่างๆ ยังอยู่ระดับสูง ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสียหายจากการที่ประชาชนถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพ ในการหลอกให้โอนเงินผ่านบัญชีม้า ซึ่งมาตรการที่ ธปท.จะทำในระยะข้างหน้าคือ การจำกัดความเสียหายจากการโอนเงิน ก่อนที่เหยื่อหรือผู้โอนจะรู้ตัว โดย ธปท.จะออกมาตรการ การจำกัดวงเงินการโอนเงิน หรือการชำระเงิน ได้แก่  1. จำกัดไม่ให้มิจฉาชีพสามารถโอนเงินออกจากบัญชีได้ครั้งละจำนวนมาก เพื่อป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพถ่ายโอนเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดได้เร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสที่จะกักเงินของผู้เสียหายไว้ได้ทัน

และ 2. จำกัดความเสียหายของประชาชนที่อาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของมิจฉาชีพ โดยธนาคารจะพิจารณากำหนดวงเงินการโอน และชำระเงินต่อวันให้เหมาะสมกับความเสี่ยง และพฤติกรรมการทำธุรกรรมในอดีตของลูกค้า โดยวงเงินเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อวัน ซึ่งการจำกัดการโอนเงิน และการชำระเงินนั้น จะถูกจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เช่นอายุเกิน 65 ปี และอายุต่ำกว่า 15 ปี ที่จะจำกัดการโอนเงิน เพื่อช่วยปกป้องไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ หรือเมื่อตกเป็นเหยื่อ และมีการโอนเงินออกไปแล้ว ไม่ให้เสียหายมากเกินไป 

ทั้งนี้การจำกัดหรือกำหนดการโอนเงิน หรือชำระเงินต่อวันลดลง สำหรับลูกค้าบางคน จะต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสม และการทำธุรกรรมของลูกค้าแต่ละคนด้วย และการจะไปกำหนดวงเงินไม่ให้ออกจากบัญชีเกิน 5 หมื่นบาท เป็นสิ่งสำคัญมาก ที่แบงก์ต้องดูตามความเหมาะสม เช่น หากเป็นลูกค้าที่ไม่เคยเปิดบัญชีมาก่อน กลุ่มนี้แบงก์อาจกำหนดการโอนเงินขั้นต่ำไว้ก่อนที่ไม่เกิน 5 หมื่นบาทต่อวันสำหรับทุกกลุ่ม แต่หากเขาใช้ไปสักพัก และแบงก์มองว่าเป็นลูกค้าปกติ อาจให้กลุ่มนี้ออกจากกลุ่มเสี่ยงที่ต้องสงสัยได้ แล้วอาจกำหนดวงเงินขึ้นไปเพิ่มเติมได้ 

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลดวงเงินการโอนเงินนั้น ธนาคารจะเป็นผู้แจ้งให้กับลูกค้ารับทราบล่วงหน้า ซึ่งการกำหนดวงเงินการโอน และชำระเงินจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแบงก์ที่จะพิจารณา โดยดูจากพฤติกรรม และการทำธุรกรรมการเงินในอดีต 

ทั้งนี้ ธปท.ก็ตระหนักว่าธุรกรรมดังกล่าว อาจกระทบต่อการทำธุรกรรมสำหรับลูกค้าบางคน หรือบางกลุ่มได้ ดังนั้นการกำหนดวงเงินการโอนเงิน จะขึ้นอยู่การพิจารณาของแบงก์ โดยดูจากพฤติกรรม และธุรกรรมการเงินในอดีตร่วมด้วย ซึ่งหากเป็นคนที่เคยโอนเงินปกติในระดับดังกล่าว แบงก์ก็อาจขยายวงเงินการโอนเงินเพิ่มขึ้นได้ โดยอาจไม่ต้องโทรศัพท์หาคอลเซนเตอร์ หรือขอเอกสารเพิ่มเติม แต่บางกลุ่มที่ต้องการขยายวงเงินจากวงเงินขั้นต่ำที่กำหนด อาจต้องมีการติดต่อคอลเซนเตอร์เพื่อขยายวงเงินชั่วคราว หรือแบงก์อาจขอเอกสารเพิ่มเติม ถึงความจำเป็นในการโอนเงินได้ 

“มาตรการนี้เราก็ตระหนัก และไม่ให้กระทบลูกค้าดีมากเกินไป ดังนั้น ธปท.จึงกำหนดมาตรการดังกล่าวสำหรับลูกค้าปัจจุบันภายในสิ้นปี 2568 แต่สำหรับลูกค้าใหม่ มาตรการนี้จะมีผลบังคับใช้ทันที เพื่อคุ้มครองลูกค้าได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ทั้งหมดนี้หากธนาคารใดมีความพร้อมสามารถดำเนินมาตรการดังกล่าวได้ทันที" 

สำหรับแนวโน้มการถูกทุจริตการเงิน พบว่า ความเสียหายจากการถูกหลอกโอนเงินยังอยู่ระดับสูง โดยยังไม่ได้ลดลงหากเทียบกับอดีต โดยเฉพาะการถูกหลอกให้โอนเงินให้มิจฉาชีพเอง ที่พบว่าความเสียหาย ในไตรมาสที่ 2 ยังอยู่ระดับสูงที่ 6,000 ล้านบาท เฉลี่ย 2,000 ล้านต่อเดือน ลดลงจากไตรมาส 2/2567 มีมูลค่าความเสียหาย 8,590 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน ณ เดือนกรกฎาคม 2568 สามารถระงับบัญชี 3 ล้านบัญชี คิดเป็นรายชื่อม้า 1.77 แสนรายชื่อ ทั้งนี้หากดูข้อมูลความเสียหายจากการหลอกลวงในเดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวนความเสียหาย 24,500 เคส ความเสียหายรวม 2,800 ล้านบาท เฉลี่ย 114,000 บาทต่อเคส โดยยอดโอนเงินสูงสุดอยู่ที่ 4.9 ล้านบาท และหากดูธุรกรรมที่เหยื่อโอนเข้าบัญชีม้ามูลค่าสูงกว่า 5 หมื่นบาท โอนเงินภายใน 3 นาที ประมาณ 50% ของมูลค่าความเสียหาย โดยที่เหยื่อจะแจ้งข้อมูลเข้าระบบภายใน 19-25 ชั่วโมง
 

HSBC คาด ธปท. ลดดอกเบี้ย 0.25% หลังผลเจรจาภาษีทรัมป์ดีขึ้น ไม่เสียเปรียบภูมิภาค

HSBC คาด ธปท.ลดดอกเบี้ย 0.25% หลังผลเจรจาภาษีทรัมป์ดีขึ้น ไม่เสียเปรียบภูมิภาค

วันที่ 11 ส.ค.68 นายอาริส ดาคาเนย์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารเอชเอสบีซี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศจะจัดเก็บอัตราภาษีนำเข้าจากไทยที่ระดับ 19% เมื่อวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายนและ 9 กรกฎาคม 2568 ที่กำหนดอัตราภาษีนำเข้าไว้ที่ 36% นอกจากนี้ อัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่อไทยที่ 19% ยังอยู่ในระดับเดียวกับอัตราที่สหรัฐฯ เก็บจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ และต่ำกว่าอัตราภาษีนำเข้า 20% ที่จัดเก็บจากเวียดนามเล็กน้อย

ทั้งนี้ ไทยจะยกเว้นภาษีให้สหรัฐฯ สำหรับสินค้านำเข้าประมาณ 10,000 รายการเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน รวมทั้งจะลดอุปสรรคในการนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ที่นอกเหนือจากการยกเว้นภาษีนำเข้าอีกด้วย อีกทั้งสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทยหรือ BOI จะอำนวยความสะดวกให้บริษัทจากสหรัฐฯ ในภาคพลังงานหมุนเวียน เซมิคอนดักเตอร์ และโลจิสติกส์เข้ามาลงทุนในไทย ตลอดจนไทยยังได้ตกลงที่จะลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลง 70% (จาก 120 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ภายในปี 2573 (The Nation, 1 สิงหาคม 2568)

ขณะที่หลายฝ่ายคาดหวังผลการเจรจาภาษีที่แย่กว่านี้ เพราะการประกาศภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ เมื่อ 2 เมษายนและ 9 กรกฎาคมทำให้ไทยเสียเปรียบทางการค้า เนื่องจากถูกกำหนดอัตราภาษีนำเข้าถึง 36% จากการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งขณะนั้นหลายฝ่ายต่างเชื่อว่าไทยจะต้องมีข้อเสนอที่มากกว่านี้เพื่อใช้ในการเจรจาลดอัตราภาษีนำเข้าลง แต่การที่ภาครัฐของไทยแสดงจุดยืนชัดเจนว่าต้องการปกป้องอุตสาหกรรมบางประเภทจากการนำเข้าของสหรัฐฯ และความตึงเครียดล่าสุดของไทยกับกัมพูชา ทำให้การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ล่าช้าจนถึงนาทีสุดท้าย และเมื่อนาทีสุดท้ายก่อนกำแพงภาษีจะบังคับใช้มาถึง อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่เก็บจากไทยกลับกลายเป็นดีกว่าที่คาดการณ์โดยรวม อีกทั้งความเสี่ยงที่ไทยจะสูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ก็ลดลง อัตราภาษีนำเข้าที่ 19% แม้จะสูงกว่าความคาดหวังของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ 18% แต่อัตราภาษีนำเข้าที่ 19% ของไทยไปยังสหรัฐฯ ก็เท่ากับอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ และต่ำกว่าอัตราภาษีนำเข้าของเวียดนามที่ 20% เล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดนี้หมายความว่าไม่มีประเทศใดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในอาเซียนที่มีข้อเสียเปรียบหรือข้อได้เปรียบเมื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ

"เราไม่ได้กล่าวว่าอัตราภาษีตอบโต้ไม่มีผลกระทบใดๆ กับไทย เพราะแท้จริงก็มีผลกระทบ โดยเรายังคงคาดการณ์ว่าไทยจะสูญเสียการเติบโตที่ 0.9pppt จากผลกระทบโดยตรงของภาษีนำเข้าไปยังสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นที่ 19% นอกจากนั้นการเติบโตตลอดปี 2568 จะอ่อนลงเหลือ 1.7% แต่อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านลบต่อการประมาณการนี้ตอนนี้ยังจำกัดเนื่องจากอัตราภาษีตอบโต้ทั่วภูมิภาคไม่ได้สร้างแรงจูงใจให้มีการทดแทนกันระหว่างสินค้าจากตลาดเกิดใหม่ในอาเซียนหรือการจัดสรรส่วนแบ่งตลาดใหม่ในสหรัฐฯ"

โดยแท้จริงแล้ว เราคาดว่าความเชื่อมั่นที่ปรับตัวสูงขึ้นนี้ส่งผลต่อความเสี่ยงด้านบวกหรือโอกาสการเติบโตแก่ภาพรวมเศรษฐกิจไทย เพราะนักลงทุนและผู้ประกอบการชะลอการลงทุนนับตั้งแต่การเลือกตั้งสหรัฐฯ จนถึงการประกาศภาษีนำเข้าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลอดจนความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคเอกชนผู้ผลิตไม่เติมสินค้าคงคลังแม้จะมีการสั่งซื้อล่วงหน้า ดังนั้น สัดส่วนใหญ่ของการส่งออกในอนาคตน่าจะมาจากการผลิตสินค้าใหม่ ไม่ใช่การนำสินค้าคงคลังทีมีอยู่เดิมไปส่งออก อีกทั้งการเปิดเครื่องจักรและสายการผลิตอีกครั้งจะสามารถนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ระดับสินค้าคงคลังที่เพิ่มสูงขึ้นล่าสุด (หลังจากติดลบเป็นเวลา 6 เดือนติดต่อกัน) เป็นสัญญาณบวกที่บอกได้ว่าภาคเอกชนผู้ผลิตในไทยอาจมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในอนาคต ตลอดจนการลงทุนในประเทศและต่างประเทศจะกลับมาหลังมีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายการค้าโลก

ทั้งนี้ เราไม่เชื่อว่าสินค้าสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดภายในประเทศของไทย ภายหลังจากไทยเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เนื่องจากสินค้าสหรัฐฯ ที่นำเข้ามายังไทยส่วนใหญ่อยู่ในกล่มธุรกิจพลังงานและสินค้าประเภทปัจจัยการผลิตชั้นสูง ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิตอยู่แล้ว นอกจากนั้น ข้อมูลยังแสดงว่าไทยจัดหาสินค้านำเข้าส่วนใหญ่จากจีนแผ่นดินใหญ่ (ที่มีแรงกดดันการแข่งขันต่อเนื่อง) ซึ่งหากตัดสินค้าในกลุ่มพลังงานออกไป จะพบว่าไทยนำเข้าสินค้าจากจีนแผ่นดินใหญ่มากกว่าจากสหรัฐฯ ถึงสี่เท่า ส่วนในประเด็นอื่นๆ นั้น เราเคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าข้อจำกัดการนำเข้าชิปชั้นสูงโดยสหรัฐฯ มายังไทย จะไม่ทำลายขีดความสามารถในการส่งออกของไทย ในทางกลับกัน นโยบายการเงินกลับเป็นเรื่องที่ซับซ้อน โดยเราคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25bp หรือ 0.25% ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนสิงหาคม แต่อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่ ธปท.จะคงท่าทีทางการเงินด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75%

รายงานการประชุม กนง. ครั้งล่าสุดระบุชัดเจนถึงความตั้งใจของ ธปท.ในการลดอัตราดอกเบี้ยลงเพิ่มเติมว่า จะเป็นเพียงการปรับลดในจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับนโยบายการค้าโลก เนื่องจากในการประชุมครั้งล่าสุด ธปท.ได้คาดว่าอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่เก็บจากไทยจะอยู่ที่ 18% ขณะที่ประเทศอื่นๆ จะมีอัตราภาษีนำเข้าเพียง 10% กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ธปท.ประเมินว่า ไทยจะมีข้อเสียเปรียบด้านภาษีเมื่อเทียบกับตลาดอาเซียนอื่นๆ

อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนได้บรรเทาลง และผลการเจรจาภาษีออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ เนื่องจากประเทศตลาดเกิดใหม่ในอาเซียนมีอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 19% -20% ทำให้ไทยไม่ต้องเผชิญข้อเสียเปรียบด้านภาษีนำเข้าจากประเทศอื่นๆในอาเซียน ดังนั้น เมื่อความเสี่ยงด้านลบต่อการเติบโตลดลง จึงทำให้ ธปท. มีแรงกดดันในการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมที่เคยระบุไว้ในการประชุมครั้งสุดท้ายของ ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ในฐานะผู้ว่าการ ธปท. ลดลงไปด้วย

ทั้งนี้ ความท้าทายยังคงมีอยู่และเศรษฐกิจไทยยังต้องหาหาจุดยืนเมื่อเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างต่างๆ ในอนาคต แต่อย่างไรก็ดี อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศออกมาก็ช่วยลดอุปสรรคและความกังวลต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยไปได้มาก 

#ธปท #ดอกเบี้ย #เศรษฐกิจไทย #ภาษีทรัมป์ #HSBC #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

เงินบาทอ่อนค่าหลังเงินเฟ้อลด ธปท.อาจหั่นดอกเบี้ย ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นตามกระแสเงินทุน

Pi Daily เงินเฟ้อไทยต่ำและอาจต่ำต่อในเดือน ส.ค. เพิ่มโอกาสลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย บวกกับกลุ่มการเงินและอสังหาฯ ส่วนตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นจาก Flow แต่พื้นฐานยังไม่ตามมาเท่าใดนัก จึงไม่ควรประมาทกับการลงทุน

วันที่ 7 ส.ค.68 ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 81 จุด (+0.18%) ได้แรงหนุนจากหุ้น Apple หลังประกาศแผนลงทุนครั้งใหม่ในสหรัฐฯรวมไปถึงผลประกอบการบริษัทอื่นๆ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1.1% หลังจากทรัมป์เผยถึงความคืบหน้าในการเจรจากับรัสเซียเพื่อยุติสงครามในยูเครน

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานตัวเลขเศรษฐกิจเพียงแค่สต็อกน้ำมันดิบที่พบว่าลดลง 3 ล้านบาร์เรล ดีกว่า Bloomberg Consensus ประเมินว่าสต็อกน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.2 ล้านบาร์เรล แต่อย่างไรก็ตามไม่มีผลอย่างมีนัยยะกับราคาน้ำมันเพราะนักลงทุนไปให้น้ำหนักกับการเจรจาระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซีย หลัง Trump ระบุว่าการเจรจากับรัสเซียมีความคืบหน้าอย่างมาก ในขณะเดียวกันสหรัฐฯยังคงโจมตีอินเดียต่อเนื่องด้วยมาตรการภาษี วานนี้ประกาศว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอินเดียอีก 25% เมื่อรวมกับอัตราภาษีเดิมที่ 25% ทำให้สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากอินเดียเป็น 50% ทางอินเดียระบุว่าจะดำเนินมาตรการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติ สำหรับอินเดียส่งออกไปยังสหรัฐฯหลักๆจะได้แก่เพชร เสื้อผ้า ยา และอุปกรณ์เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ อาจเป็นบวกต่อหุ้นอิเล็อทรอนิกส์ไทยและนิคมในเชิงจิตวิทยา

ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้กระทรวงพาณิชย์รายงานเงินเฟ้อไทยประจำเดือน ก.ค. พบว่าลดลง (-0.7%YoY) ผลจากราคาพลังงานและผลไม้สด รวมถึงค่ากระแสไฟฟ้า พร้อมเน้นย้ำว่ายังไม่ใช่ภาวะเงินฝืด แต่เป็นเพราะราคาพลังงานและผักสดปรับลง สภาพอากาศปีนี้ทำให้ผลผลิตออกมาสู่ตลาดมากขึ้น โดยแนวโน้มเงินเฟ้อ ส.ค. ประเมินว่ายังน่าจะอยู่ระดับต่ำคล้ายกับเดือน ก.ค. ตามราคาพลังงานพร้อมกับค่าไฟฟ้าที่ FT ปรับลงในช่วง พ.ค. - ส.ค. เมื่อผสานกับการเติบโตเศรษฐกิจไทยที่ยังต่ำ อาจทำให้มีแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า (13 ส.ค.)

ปัจจัยติดตามวันนี้ได้แก่การส่งออกของจีนในเช้านี้ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 5.6%YoY วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1255 – 1275 ตลาดอาจเริ่มพักตัวหลังปรับขึ้นมาเมื่อวาน +1.4% และจากจุดต่ำสุดราว 19% ได้แรงหนุนจากกระแสเงินทุนต่างชาติเป็นหลักเพราะปัจจัยพื้นฐานยังไม่ขยับตามมาเท่าใดนัก แม้จะมีปัจจัยหนุนจากการปรับประมาณการขึ้นเศรษฐกิจไทยของ กกร. สู่ระดับ 1.8-2.2% จากเดือนก่อนที่ 1.5 – 2%YoY (แต่ยังเป็นระดับที่ต่ำ) ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเป็นเพียงแค่ Trading ระยะสั้นเพราะ Valuation เริ่มสูง โดยเลือกหุ้นที่ยังปรับขึ้นน้อย อาทิ CPALL KTB KBANK BDMS MINT BJC ICHI กลุ่มการเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) ปัจจัยหนุนด้านดอกเบี้ยที่อาจปรับลง นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) 

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 48.00 บาท) 
กำไรสุทธิใน 2Q25 ออกมาตามคาดที่ 1.65 พันลบ. (+14% YoY, +5% QoQ) การเติบโตหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ขณะที่สำรองหนี้ลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ ล้อกับที่สินเชื่อขยายตัว คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2H25 ขยายตัวต่อเนื่องหนุนจากสินเชื่อขยายตัว และต้นทุนการเงินลดลงจากทิศททงดอกเบี้ยลดลง

WHA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 5.3 บาท) 
การขายที่ดินยังทำได้ดี โดยคาดว่าจะออกมาเกินกว่าเป้าที่บริษัทคาดไว้ หลังจากในช่วง 1H25 ทำได้กว่า 1,200 ไร่ และมีการเจรจารอเซ็นสัญญาอีกกว่า 1,400 ไร่  ซึ่งยังไม่รวมลูกค้าในกลุ่ม Data Center ที่มีการเจรจาอีกกว่า 1,000 ไร่ 

#เงินบาท #ธปท #เงินเฟ้อ #ตลาดหุ้นไทย #การลงทุน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

"วรวงศ์" ทวง ธปท.ขยับนโยบายเงิน รับมือสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าไทย 19%

"วรวงศ์" ทวง ธปท. ขยับนโยบายเงิน รับมือสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าไทย 19% พรุ่งนี้มีผลบังคับใช้

วันที่ 6 ส.ค.68 นายวรวงศ์ รามางกูร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา หรือ U.S. Reciprocal Tariff ที่มีต่อไทย ซึ่งทำเนียบขาวประกาศอัตราภาษี 19% เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้นั้น นายวรวงศ์ กล่าวว่า ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณและขอแสดงความดีใจกับทีมไทยแลนด์ที่ประสบความสำเร็จในการเจรจา แม้ว่าอัตราภาษีสูงถึง 19% แต่ก็ลดลงจากเดิมที่กำหนดไว้ในอัตรา 36% และดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพราะจะส่งผลถึงประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นกว่าประมาณการเดิม ขอปรบมือให้คณะเจรจาทุกท่านที่ทำงานกันอย่างหนักตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นการเจรจาตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกาเป็นต้นมา แต่อย่างไรก็ตาม ชาวไทยได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีศุลกากรครั้งนี้เป็นจำนวนมากและเป็นวงกว้างครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ มีสัดส่วนถึง 18% ของการส่งออกทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าเกือบ 2 ล้านล้านบาท

โดยปัญหาที่จะเกิดขึ้นในระยะใกล้คือ อุปสงค์ (Demand) ภายในสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลง ขณะที่ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น เนื่องจากมีภาษีศุลกากรช่วยกั้นสินค้านำเข้าไว้ ซึ่งตรงตามจุดประสงค์การขึ้นอัตราภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อช่วยผู้ประกอบการและเกษตรกรภายในประเทศให้มีพื้นที่เพียงพอสามารถแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศได้ มีการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น เป็นการเอาใจฐานเสียงของตนเอง แต่ฟากประเทศผู้ส่งออกราคาสินค้าส่งออกจะปรับตัวลดลง

ทั้งนี้จากงานศึกษาวิจัยหลายชิ้นบ่งชี้ว่าผู้ส่งออกจะรับเอาภาษีไว้มากกว่าผู้บริโภค ดังนั้นเท่ากับว่าประเทศผู้ส่งออกสินค้าเป็นผู้แบกรับต้นทุนภาษีศุลกากรที่เพิ่มขึ้นมากกว่าประเทศปลายทาง ต้นทุนเหล่านี้จะถูกส่งต่อมายังผู้ผลิต ทำให้ราคาผู้ผลิตตกต่ำลงอย่างหนัก รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft loans) งบประมาณสนับสนุน SME และเกษตรกร รวมถึงการช่วยผู้ประกอบการขยายตลาดใหม่ เป็นต้น ซึ่งสามารถเยียวยาผลกระทบได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้ตามทฤษฎี เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่สามารถช่วยเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ที่เหมาะสม คือ การแทรกแซงค่าเงิน (Exchange rate intervention) โดยนำเงินบาทซื้อดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้ค่าเงินอ่อนค่าลง จุดประสงค์คือการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ ป้องกันความผันผวนระยะสั้น พยุง GDP ให้สามารถเติบโตได้ตามเดิม ทั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเอื้อการส่งออกโดยตรง จึงไม่ผิดกติการะหว่างประเทศ นอกจากนั้นการลดค่าเงินยังช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจอื่น ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ปัญหาค่าแรงต่ำ หนี้ภาคครัวเรือนสูง

สำหรับพรุ่งนี้ (7 ส.ค.) ภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา อัตราใหม่ 19% จะมีผลบังคับใช้เป็นวันแรก แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีสัญญาณจากผู้บริหารระดับสูงของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าจะมีมาตรการใดช่วยผู้ส่งออกเลย วันนี้ผมจึงขอทวงคำสัญญา “พร้อมขับเคลื่อน ธปท. เชิงรุก เปิดใจชูจุดยืนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย” โปรดอย่าลอยตัวเหนือปัญหา เนื่องจากธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้กำหนดนโยบายการเงิน มีหน้าที่สำคัญในการลดผลกระทบผู้ประกอบการและลดทอนความเสียหายต่อประชาชน ธปท. จึงควรพิจารณามาตรการเชิงรุกเพื่อรักษาเสถียรภาพและการเติบโตของเศรษฐกิจไทย

นายวรวงศ์ กล่าวทิ้งท้าย “ในสถานการณ์ที่ภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางเศรษฐกิจ การไม่ขยับนโยบายการเงินเลยอาจสะท้อนความเฉื่อยชาทางนโยบายมากกว่าความเป็นอิสระของธนาคารกลาง”

#ขึ้นภาษีสหรัฐ #USReciprocalTariff #ส่งออกไทย #ภาษีนำเข้า #ธปท #วรวงศ์รามางกูร #เงินบาท #นโยบายการเงิน #เศรษฐกิจไทย #ข่าวเศรษฐกิจ

บอร์ดออมสินตั้ง “วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ” สรรหาผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่ หลัง “วิทัย” ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าธปท.

บอร์ดออมสินตั้ง “วินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ” สรรหาผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่ หลัง “วิทัย” ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ว่าธปท.

วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะกรรมการธนาคารออมสินได้แต่งตั้งนายวินิจ วิเศษสุวรรณภูมิ รองปลัดกระทรวงการคลัง และกรรมการธนาคารออมสิน เป็นประธานกรรมการสรรหาผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่ หลังจากนายวิทัย รัตนากร ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

นายลวรณ กล่าวว่า ผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนปัจจุบันจะลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 เพื่อดำเนินการเสนอชื่อผู้แทนขึ้นทูลเกล้าฯ รับตำแหน่งผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยให้เป็นไปตามขั้นตอน

นายลวรณ ยืนยันว่า กระบวนการสรรหาผู้อำนวยการธนาคารออมสินคนใหม่จะดำเนินการอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงานของธนาคารและนโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อบุคคลที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน โดยคณะกรรมการสรรหาจะพิจารณาเลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุด

#ออมสิน #ธนาคารออมสิน #ผู้อำนวยการออมสิน #ธปท #การคลัง #สรรหาผู้อำนวยการ #ข่าวการเงิน #การเมือง #ประเทศไทย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

 

"ผู้ว่า ธปท." แนะไทยเร่งเจรจาภาษีทรัมป์ให้จบเร็ว-ออกมาตรการเยียวยาผลกระทบ 

"ผู้ว่า ธปท." แนะไทยเร่งเจรจาภาษีทรัมป์ให้จบเร็ว-ออกมาตรการเยียวยาผลกระทบ 

วันที่ 16 กรกฎาคม 2568 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในพิธีมอบรางวัล MONEY & BANKING AWARDS 2025 ว่า เศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน รวมถึงความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มสูงขึ้น และปัญหาทางโครงสร้างของเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยที่สำคัญในการก้าวผ่านสถานการณ์นี้คือความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการเงิน เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงกรณีการเจรจากับสหรัฐฯ เรื่องนโยบายภาษีว่า ไม่ได้อยู่ในทีมเจรจา หรือทีมไทยแลนด์ จึงไม่ทราบรายละเอียด แต่จากการที่เริ่มเห็นข่าวเกี่ยวกับผลการเจรจาของประเทศอื่นๆ ทยอยออกมา สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่ไทยจะต้องเจรจาให้ครบ จบ และชัดเจน เมื่อมีรายละเอียดต่างๆออกมาแล้ว ไทยต้องออกมาตรการมารองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่น SMEs

โดยก่อนหน้านี้ ธปท.ได้ประเมินผลกระทบของนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ว่า จะส่งผลกระทบในหลายช่องทาง ได้แก่ กลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐโดยตรง ,กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากจากการเปิดตลาด และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจากต่างประเทศที่ทะลักเข้ามา ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. เคยแสดงความกังวลว่า กลุ่ม SMEs จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก จากสินค้าจากต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาในประเทศ

นายเศรษฐพุฒิ ยังกล่าวถึงกรณีที่ไทยจำเป็นต้องเปิดตลาดให้สหรัฐฯ เช่นเดียวกับเวียดนามและอินโดนีเซียหรือไม่ว่า การเปิดตลาดเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศต้องดูสถานการณ์ของตัวเอง ขณะนี้ผลการเจรจาของบางประเทศยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนในบางเรื่อง เช่น ประเด็นการสวมสิทธิ์สินค้า หรือ Transshipment อย่างกรณีของเวียดนามที่ยังไม่มีรายละเอียดว่า Transshipment คืออะไร และนิยามอย่างไร จึงต้องรอดูปัจจัยและรายละเอียดตรงนี้ก่อน

สำหรับกรณีที่ธุรกิจ SMEs ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ นายเศรษฐพุฒิระบุว่า ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากมาตรการของธปท. แต่เกิดจากมุมมองของสถาบันการเงินที่มองว่า การปล่อยสินเชื่อให้ SMEs มีความเสี่ยงสูง และจำเป็นต้องแก้ไขที่ต้นเหตุ เช่น การค้ำประกันสินเชื่อ

สำหรับในส่วนของข้อเรียกร้องให้ ธปท. ปรับลดอัตราดอกเบี้ย และดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เป็นเรื่องปกติที่ ธปท.ต้องเตรียมมาตรการรับมือสถานการณ์ต่างๆ การที่ ธปท.ประเมินภาพรวมเศรษฐกิจนั้นได้มีการพิจารณาปัจจัยต่างๆแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ได้เคยมีการชี้แจงอย่างต่อเนื่อง และในระยะต่อไปจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือน ส.ค.จะมีการพิจารณาข้อมูลต่างๆประกอบด้วย โดยอยากย้ำว่าการตัดสินใจใช้นโยบาย หรือมาตรการต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีมาตรการอื่นๆที่ต้องพิจารณาด้วย

#ธปท #เศรษฐกิจไทย #SMEs #ภาษีสหรัฐฯ #ความร่วมมือ #เศรษฐกิจโลก #นโยบายการเงิน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

เคทีซีคว้ารางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2568 หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์จากเวที Money & Banking Award 2025

เคทีซีคว้ารางวัลบริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2568 หมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์จากเวที Money & Banking Award 2025

นางพิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร "เคทีซี" หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับรางวัล “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2568” ในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ (Best Public Company of the Year 2025 – FIN Sector) จากดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีนายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานบรรณาธิการ วารสารการเงินธนาคาร ร่วมแสดงความยินดีในงาน Money & Banking Awards 2025 ซึ่งจัดโดยวารสารการเงินธนาคาร ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพฯ สุขุมวิท

รางวัลดังกล่าวสะท้อนถึงความสำเร็จของเคทีซีในการดำเนินธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยในปี 2567 บริษัทมีรายได้รวม 27,456 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 7,437 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 27.1% อีกทั้งยังมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) สูงสุดในหมวดธุรกิจเงินทุนและหลักทรัพย์ อยู่ที่ 128,916.70 ล้านบาท

พิทยา วรปัญญาสกุล กล่าวว่า “เคทีซีรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัลอันทรงคุณค่านี้ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นเครื่องยืนยันถึงความทุ่มเทของทีมงานในการสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและยั่งยืน การได้รับรางวัลนี้จะเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจให้เคทีซีเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยความยืดหยุ่น ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน”

เงินบาทปิดแข็งค่า 32.42 หลัง ครม.ยังไม่เคาะผู้ว่า ธปท.คนใหม่ คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.30-32.55

เงินบาทปิดแข็งค่า 32.42 หลัง ครม.ยังไม่เคาะผู้ว่า ธปท.คนใหม่ คาดกรอบพรุ่งนี้ 32.30-32.55

วันที่ 15 ก.ค.68 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดที่ 32.42 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.48 บาท/ดอลลาร์ หลังเปิดตลาดบาทเคลื่อนไหวในทิศทางอ่อนค่า โดยอยู่ในระดับอ่อนค่าสุดในภูมิภาค ก่อนกลับมาแข็งค่าหลังมีข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยังไม่ได้พิจารณาเรื่องผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ และสถานการณ์ราคาทองในตลาดโลก ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.40 - 32.52 บาท/ดอลลาร์ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.30 - 32.55 บาท/ดอลลาร์ 

#เงินบาท #ธปท #ข่าววันนี้ #แบงก์ชาติ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์