อย่าหลงเชื่อ!จนท.ธ.กรุงไทย โทรติดต่อลูกค้า ให้ยืนยันข้อมูลส่วนตัว อ้างมีผู้รับมอบอำนาจมาถอนเงิน

จากกรณี เจ้าหน้าที่ ธ.กรุงไทย โทรติดต่อลูกค้า ให้ยืนยันข้อมูลส่วนตัว อ้างมีผู้รับมอบอำนาจมาถอนเงิน นั้น 

จากกรณีดังกล่าว ทางเพจ ด้านเว็บไซต์ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย Anti-Fake News Center Thailand ได้ออกมาเตือนในกรณีดังกล่าวโดยระบุว่า

รู้ให้ทันกลโกงมิจฉาชีพ… หากได้รับสายโทรศัพท์ที่อ้างว่า เป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย ติดต่อมาแจ้งว่า มีการมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปถอนเงินในบัญชีของเรา โปรดอย่าหลงเชื่อ เพราะ “ธนาคารกรุงไทย ไม่มีนโยบายสอบถามข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์” การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นการกระทำของมิจฉาชีพ จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวัง

หากไม่แน่ใจสามารถติดต่อสอบถามธนาคารได้โดยตรง ที่ Krungthai Contact Center โทร 02 111 1111

อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพสายตรงมาหลอก

หน่วยงานที่ตรวจสอบ https://krungthai.com/th/personal

กรุงไทยเปิดตัว บัญชีเงินฝากออมทรัพย์คู่บัตรเดบิต เอาใจสายมู “เทพคุ้มครอง ออมคุ้มค่า บัตรคุ้มภัย” ครบทุกมิติ

ธนาคารกรุงไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ บัญชีเงินฝากออมทรัพย์แบบมีประกันอุบัติเหตุ (Krungthai Care Savings) จับคู่ บัตรเดบิตกรุงไทย อัลตร้าแคร์ (Krungthai Ultra Care) ภายใต้แนวคิด “เทพคุ้มครอง ออมคุ้มค่า บัตรคุ้มภัย” เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ด้วยผลตอบแทนการออมที่คุ้มค่า พร้อมความอุ่นใจจากความคุ้มครองอุบัติเหตุ และเสริมสิริมงคลด้านต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น

               สำหรับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์แบบมีประกันอุบัติเหตุ (Krungthai Care Savings) สามารถออมเงินอย่างมั่นใจ ได้ทั้งดอกเบี้ยและความคุ้มครองอุบัติเหตุ ผู้ฝากเงินมีอายุตั้งแต่ 15 - 69 ปี รับความคุ้มครองถึงอายุ 70 ปี ยอดเงินฝากตั้งแต่ 1,000 - 100,000 บาท มอบความคุ้มครองอุบัติเหตุ 25 เท่า ของยอดเงินฝากคงเหลือในบัญชี 1 วัน ก่อนวันประสบอุบัติเหตุ สูงสุด 2.5 ล้านบาทต่อคน รับประกันภัยโดย บมจ.แอกซ่าประกันภัย

                 ส่วนลวดลายบนสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์แบบมีประกันอุบัติเหตุ (Krungthai Care Savings) จะเป็นลวดลายมงคลที่คนไทยนับถือเพื่อเสริมความเป็นสิริมงคล 4 ลายได้แก่

  • ท้าวเวสสุวรรณ มีความหมายถึง ความสิริมงคลด้านเพิ่มพูนอำนาจบารมี ปัดเป่าอุปสรรคเรื่องร้าย
  • พญานาค มีความหมายถึง ความสิริมงคลด้านหนุนโชคลาภวาสนา
  • ไอ้ไข่ วัดเจดีย์ มีความหมายถึง ความสิริมงคลด้านค้าขายรุ่งเรืองร่ำรวยทรัพย์สิน
  • พระอาทิตย์ทรงรถ ได้รับการออกแบบโดยศิลปินแห่งชาติ “อาจารย์จักรพันธุ์ โปษยกฤต”มอบความเป็นสิริมงคล ความรุ่งโรจน์ และความสำเร็จ ทั้งนี้เป็นความเชื่ส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ

                 นอกจากนี้ธนาคารยังได้เพิ่มความคุ้มครองครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ใน บัตรเดบิตกรุงไทย อัลตร้า แคร์ (Krungthai Ultra Care) ซึ่งมี 4 แบบ ลวดลายมงคลเดียวกับสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์แบบมีประกันอุบัติเหตุ (Krungthai Care Savings) คุ้มครองอุบัติเหตุ 24 ชม.ทั่วโลก สูงสุด 1 ล้านบาท คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 20,000 บาทต่อครั้ง โดยไม่ต้องสำรองจ่าย ไม่จำกัดจำนวนครั้ง คุ้มครองการโจรกรรมจากตู้ ATM สูงสุด 5,000 บาทต่อครั้ง คุ้มครองความเสียหายของสินค้าที่ซื้อผ่านบัตรสูงสุด 35,000 บาทต่อชิ้น (2 ชิ้นต่อปี) และบริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน รับประกันภัยโดย บมจ.กรุงไทยพานิชประกันภัย ซึ่งมีค่าธรรมเนียมออกบัตร 100 บาท และค่าธรรมเนียมรายปี 1,599 บาท พร้อมรับสิทธิประโยชน์ จากร้านค้าชั้นนำมากมาย ทั้งชำระสินค้าและบริการ หรือใช้จ่ายออนไลน์กับร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ VISA ทั่วประเทศ

                ผู้ที่สนใจสามารถเปิดบัญชีเงินฝากเงินฝากออมทรัพย์แบบมีประกันอุบัติเหตุ (Krungthai Care Savings) คู่กับบัตรเดบิตกรุงไทย อัลตร้า แคร์(Krungthai Ultra Care) ได้ที่สาขาธนาคารกรุงไทย เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันวินาศภัย ผู้ชี้ช่องให้ทำประกันวินาศภัยเท่านั้น ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัย ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://krungthai.com/link/caresaving-mutelu-siamrath หรือสอบถามที่ Krungthai Contact Center โทร. 02-111-1111

เงินบาทเปิด 32.27 ทรงตัว นักลงทุนจับตาเฟดลดดอกเบี้ย-ราคาทองคำ

เงินบาทเปิด 32.27 ทรงตัว นักลงทุนจับตาเฟดลดดอกเบี้ย-ราคาทองคำ

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.23-32.33 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกันของทั้งเงินดอลลาร์และราคาทองคำ อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบกับช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ “ลดดอกเบี้ย 0.25%” สู่ระดับ 1.50% ตามที่ตลาดคาด จะเห็นได้ว่า เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง แม้มติดังกล่าวของ กนง. จะมีส่วนหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น ทว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติต่างขายหุ้นไทยออกมา คิดเป็นการขายสุทธิราว 6.7 พันล้านบาท สะท้อนว่า ผลการประชุม กนง. ดังกล่าวไม่ได้มีผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ ปัจจัยหลักหนุนการแข็งค่าของเงินบาท คือ การทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดบ้าง ซึ่งบางส่วนก็เริ่มคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน นี้ อนึ่ง การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทยังคงเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในจังหวะย่อตัว นอกจากนี้ เรามองว่า การปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ (นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงราว -10%) อาจทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมที่เกี่ยวกับน้ำมันดิบ อาทิ Buy on Dip น้ำมันดิบ เข้ามาช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากความหวังว่า เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยตั้งแต่การประชุม FOMC เดือนกันยายน และมีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.32% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.54% หนุนโดยความหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึง ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่จะมีสหรัฐฯ เป็นตัวกลางในการช่วยเจรจา นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนบรรยากาศตลาดหุ้นยุโรป 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลง เข้าใกล้โซน 4.23% ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มมองว่า เฟดอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย 50bps ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควร ทำให้ควรระวังความเสี่ยงที่ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรือบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด (คาดว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยจนถึงระดับ 3.00-3.25%)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways แม้จะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่า การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI รวมถึง รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 97.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.6-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวลดลงบ้าง ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ของตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้จำกัดการปรับตัวขึ้นราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ทำให้ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถว โซน 3,410-3,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์   

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดติดตามได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ล่าสุดผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด 

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 จากทั้งอังกฤษและยูโรโซน พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม พัฒนาการของแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และในฝั่งเอเชีย ช่วงราว 6.50 น. ของเช้าวันศุกร์ 15 สิงหาคม นี้ ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทยังมีกำลังอยู่ในช่วงนี้ ทว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ตราบใดที่ ผู้เล่นในตลาดไม่ได้ปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเราประเมินว่า จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจและปัจจัยในระยะสั้นนี้ อาจยังไม่สามารถทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญได้ โดยเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจต้องการรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงานสัมนาวิชาการประจำปีของเฟด ที่เมือง Jackson Hole, Wyoming รวมถึงรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งจะรับรู้ในช่วงต้นเดือนกันยายน ทำให้ในระยะสั้นนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทจะมีความเสี่ยง Two-way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) แต่เราอาจมองว่า เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวกับด้านเงินเฟ้อ อย่าง ดัชนีราคาผู้ผลิต PPI รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ PCE และ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) ที่จะรับรู้ก่อนข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ 

อย่างไรก็ดี หากเงินบาทอ่อนค่าลงบ้าง การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดและมีแนวโน้มจะติดแถวโซนแนวต้านตั้งแต่โซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ จนถึงโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งต้องลุ้นข้อมูลการจ้างงานใหม่ของสหรัฐฯ หรือเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติม จากปัญหาความวุ่นวายการเมืองในประเทศ (ซึ่งเรามองว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวก็มีไม่มากนัก) 

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของทั้งราคาทองคำและสกุลเงินเอเชีย อย่าง เงินหยวน (CNY) เนื่องจากทั้งสองสินทรัพย์ เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทในระดับสูงพอสมควร (High correlation) โดยในฝั่งของราคาทองคำนั้น อาจพอประเมินได้ว่า ถ้าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ถูกจำกัดไว้แถวโซนแนวต้าน เช่น โซน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ การแข็งค่าของเงินบาทก็จะเป็นไปอย่างจำกัดได้ 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.40 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาท #ค่าเงิน #ดอลลาร์ #ทองคำ #KrungthaiGlobalMarkets #ตลาดหุ้น #บอนด์ #เศรษฐกิจโลก #FOMC #PPI

 

เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เปิดที่ 32.28 บาท/ดอลลาร์ ตลาดระวัง Two-Way Risk

เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เปิดที่ 32.28 บาท/ดอลลาร์ ตลาดระวัง Two-Way Risk

วันที่ 8 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 32.27-32.39 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 3,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยแม้ว่าบรรดาผู้เล่นในตลาดจะยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญ (ให้โอกาสเฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ราว 42% และโอกาสลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 3 ครั้ง ในปีหน้า ราว 79%) ทว่า เงินดอลลาร์ก็เผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 5-4 ให้ลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.00% ตามคาด (ต้องมีการโหวตถึง 2 รอบ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การประชุม BOE) และส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวัง (ไม่ลดดอกเบี้ยเร็วหรือมากเกินไป) ทำให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า การลดดอกเบี้ยครั้งนี้ของ BOE คือ Hawkish Cut และปรับมุมมองใหม่ว่า BOE มีโอกาสราว 71% ที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันจากประเด็นการแต่งตั้ง Board of Governor (BoG) ของเฟด คนใหม่ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะมาแทน Adriana Kugler ที่ลาออกไป โดยผู้เล่นในตลาดมองว่า BoG คนใหม่ อาจมีแนวโน้มสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด และสะท้อนความพยายามเข้ามาแทรกแซงการทำงานของธนาคารกลางจากฝั่งการเมืองสหรัฐฯ 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว และยังไม่รีบเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม และผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เลือกจะทยอยขายทำกำไรออกมาบ้าง นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นบริษัทยาขนาดใหญ่ อย่าง Eli Lilly -14.1% หลังบริษัทรายงานผลการทดลองยาลดน้ำหนักที่น่าผิดหวัง ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.08% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +0.92% โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน รวมถึงหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML +3.0% นอกจากนี้ ข่าวผลการทดลองยาลดน้ำหนักของ Eli Lilly ที่ออกมาน่าผิดหวัง ได้หนุนให้ ราคาหุ้นบริษัทยาคู่แข่ง อย่าง Novo Nordisk พุ่งขึ้น +6.7% หนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ขณะเดียวกัน ความหวังต่อแนวโน้มการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ก็มีส่วนช่วยหนุนบรรยากาศโดยรวมของตลาดหุ้นยุโรป 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย แต่โดยรวมยังอยู่แถวระดับ 4.20%-4.25% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม นอกจากนี้ ผลการประมูลบอนด์ 30 ปี ซึ่งสะท้อนความต้องการของผู้เล่นในตลาดที่น้อยลง ก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นบ้าง แต่การปรับตัวขึ้นก็เป็นไปอย่างจำกัด ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด อีกทั้ง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงชัดเจน อนึ่ง เรามองว่า ควรระวังความเสี่ยงที่ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หรือบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตอบรับการลดดอกเบี้ย Hawkish Cut ของ BOE ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดมองว่า BOE อาจยังไม่เร่งรีบเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม สวนทางกับเฟดที่มีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง ของเฟดในปีนี้ และลดดอกเบี้ยอีกเกือบ 3 ครั้ง ในปีหน้า ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.0-98.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ บรรยากาศระมัดระวังตัวของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวสูงขึ้นสู่โซน 3,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ แม้จะไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ BOE และในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน 


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอแถวโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทดสอบโซนแนวต้าน ซึ่งหากราคาทองคำไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ชัดเจน เนื่องจากขาดปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม เรามองว่า จังหวะการย่อตัวลงบ้างของราคาทองคำก็อาจพอช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้ และหากราคาทองคำปรับตัวลงชัดเจน ก็จะสามารถเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน ซึ่งภาพดังกล่าวอาจเกิดขึ้น ในจังหวะที่ตลาดการเงินกลับมาเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง หรือผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะหนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน โดยเรามองว่า อาจต้องรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด 

ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวน Two-Way risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ขึ้นกับการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด  ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทยังคงมีโซนแนวรับแถว 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 32.10 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวต้านได้ขยับลงมาแถว 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซน 32.65 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านถัดไป  เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.20-32.40 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาท #ค่าเงินบาทวันนี้ #อัตราแลกเปลี่ยน #KrungthaiGlobalMarkets #ตลาดเงิน #เศรษฐกิจโลก #ดอกเบี้ยเฟด #ตลาดหุ้น #ทองคำ #ความผันผวนเงินบาท

เงินบาทเปิดแข็งแตะ 32.30 บาท/ดอลลาร์ หนุนจากทองคำพุ่ง-เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งปีนี้

เงินบาทเปิดแข็งแตะ 32.30 บาท/ดอลลาร์ หนุนจากทองคำพุ่ง-เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งปีนี้

วันที่ 5 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.48 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสถึง 98% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และมีโอกาสราว 52% ที่จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ สอดคล้องกับ ถ้อยแถลงล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Mary Daly (San Francisco Fed) ที่ระบุว่า เฟดอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย “มากกว่า 2 ครั้ง” ในปีนี้ 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ จากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.95% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.47% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.90% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ออกมาสดใส นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบิน-ทหาร ก็ยังคงช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรป 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 4.19% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายได้ โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-98.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจมากขึ้น ว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนการปรับตัวขึ้นของ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) โดยล่าสุด ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 3,430-3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 52% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ (ทุกการประชุม FOMC ที่เหลือของปีนี้) 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนี S&P PMI ภาคการบริการของจีน (เดิม คือ Caixin PMI) ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน 


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นมีกำลังมากกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกับกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยง Two-Way risk (พร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง แข็งค่าต่อ หรือ พลิกกลับมาอ่อนค่าลง) ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเรามองว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจยังไม่ได้เลวร้ายมากนัก อย่างที่ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดสะท้อนออกมา และเรามองว่า การจ้างงานที่แย่ลงในช่วงหลายเดือนก่อนนั้น ก็อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จนทำให้ภาคธุรกิจชะลอการจ้างงานลง เพื่อรอความชัดเจน ซึ่งล่าสุด ทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็มีความชัดเจนมากขึ้น หลังสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า ทำให้เรามองว่า ภาคธุรกิจสหรัฐฯ อาจเริ่มกลับมาจ้างงานมากขึ้นในระยะข้างหน้าได้ ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะทยอยเห็นชัดในรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และ PCE ในระยะข้างหน้า ทำให้ เราคงมองว่า เฟด อาจยังไม่รีบลดดอกเบี้ยลงอย่างที่ตลาดคาดหวังได้ (แต่ยอมรับว่า ความเสี่ยงเฟดลดดอกเบี้ยเร็วและมากกว่าคาด ก็เพิ่มสูงขึ้น) ซึ่งเราจะรอติดตามข้อมูลตลาดแรงงาน อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะรับรู้ รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เพิ่มเติม 

โดยหากเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ซึ่งต้องติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และงานสัมนาประจำปีของเฟด ที่เมือง Jackson Hole รัฐ Wyoming ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม อีกทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใส และรายงานอัตราเงินเฟ้อก็สูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะกลับมาหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้ กดดันราคาทองคำและเงินบาท

นอกจากนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า หลังราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด โดยเฉพาะหากบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) โดยหากประเมินจากความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำ เรามองว่า หากราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แล้วไม่ผ่าน เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นราว 15-20 สตางค์ และอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์

#ค่าเงินบาท #เงินบาทวันนี้ #ดอกเบี้ยเฟด #ราคาทองคำ #ทองคำพุ่ง #ตลาดเงิน #ตลาดทุน #KrungthaiGlobalMarkets #เงินบาทแข็งค่า #เศรษฐกิจโลก #ดอลลาร์อ่อนค่า #เฟดลดดอกเบี้ย

 

เงินบาทอ่อนค่าเร็ว! หลุด 32.80 หลัง GDP สหรัฐโตแรง เฟดคงดอกเบี้ย

เงินบาทอ่อนค่าเร็ว! หลุด 32.80 หลัง GDP สหรัฐโตแรงเฟดคงดอกเบี้ย

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2568

•กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.55-32.80บาท/ดอลลาร์

•เงินบาทอ่อนค่าเร็วจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นตามเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดี และ Fed คงดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50% โดยที่ยังไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยในครั้งหน้า ทำให้ Treasury yields ปรับลดลง และหุ้นลง

•GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯ ออกมาที่ 3.0% annualized สูงกว่าตลาดคาดที่ 2.6% ส่วนเลขจ้างงาน (ADP) ออกมาที่ 104,000 ตําแหน่งสูงกว่าคาดเช่นกัน

•นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีนำเข้าจากอินเดีย 25% แต่จะเก็บภาษีจากเกาหลีใต้เพียง 15% 

#ค่าเงินบาท #เงินบาทวันนี้ #ดอลลาร์แข็งค่า #Fedคงดอกเบี้ย #GDPสหรัฐ #เศรษฐกิจโลก #ตลาดเงิน #SCBMarketUpdate #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้


 

เงินบาทแกว่งไซด์เวย์! เปิด 32.28 บาท หลังดอลลาร์แข็งค่าจากข้อมูล ศก.สหรัฐฯ

เงินบาทแกว่งไซด์เวย์! เปิด 32.28 บาท หลังดอลลาร์แข็งค่าจากข้อมูล ศก.สหรัฐฯ

วันที่ 25 กรกฎาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงเคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.21-32.33 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวไร้ทิศทางเช่นกัน ของเงินดอลลาร์และราคาทองคำ อย่างไรก็ดี เงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่ออกมาสดใส อาทิ ดัชนี PMI ภาคการบริการเดือนกรกฎาคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.2 จุด ดีกว่าคาด ส่วน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims) ก็อยู่ที่ระดับ 2.17 แสนราย และ 1.955 ล้านราย ดีกว่าคาด ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังเงินยูโร (EUR) ยังพอได้แรงหนุน หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) คงดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 2.00% ตามคาด ส่วนประธาน ECB ก็ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อรอประเมินสถานการณ์และปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาส ECB เดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ เหลือ 66% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทก็เป็นไปอย่างจำกัด 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Alphabet +1.0% ที่ออกมาดีกว่าคาด หนุนให้บรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ต่างปรับตัวขึ้น อาทิ Nvidia +1.7% ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงหนักของ Tesla -8.2% หลัง บริษัทรายงานผลประกอบการน่าผิดหวังและทาง Elon Musk CEO ของบริษัทยังได้เตือนว่าผลประกอบการในระยะข้างหน้าอาจเผชิญแรงกดดัน หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ลดการสนับสนุนอุตสาหกรรม EV ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดเพียง +0.07%  

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.24% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป รวมถึงรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนกรกฎาคม ของยูโรโซน ที่ปรับตัวสูงขึ้น ดีกว่าคาด อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันบ้าง จากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปที่ออกมาผสมผสาน อีกทั้ง ECB ก็ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อรอประเมินสถานการณ์ โดยเฉพาะแนวโน้มนโยบายการค้าของสหรัฐฯ 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนแถวโซน 4.40% แม้จะมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น เข้าใกล้โซน 4.45% ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ทยอยออกมาดีกว่าคาด ทว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็ยังคงเลือกทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับเฟด รวมถึงความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจน และเราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นได้ชัดเจนอีกครั้ง (หรืออาจจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง) ในช่วงสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคมที่ตลาดจะรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls)  ซึ่งเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ออกมาดีกว่าคาด ทยอยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงบ้าง ตามแรงขายปรับสถานะของผู้เล่นในตลาดบางส่วน อีกทั้งเงินยูโร (EUR) ก็พอได้แรงหนุนบ้าง หลัง ECB ส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม พร้อมคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมล่าสุด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 97.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.1-97.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้จะเผชิญแรงกดดันจากจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ยังพอได้รับแรงหนุนจากโฟลว์ซื้อ Buy on Dip จากบรรดาผู้เล่นในตลาดแถวโซนแนวรับ 3,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นบ้าง สู่โซน 3,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ และยูโรโซน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ ในเดือนมิถุนายน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ รวมถึง รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Business Climate) เดือนกรกฎาคม  

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มภาคการผลิตของสหรัฐฯ ผ่านรายงานข้อมูลยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) เดือนมิถุนายน และรอลุ้น รายงานคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 โดย เฟด สาขา Atlanta (GDPNow) 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน พร้อมรอติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งและการสู้รบตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน 


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาทจะเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ส่วนราคาทองคำก็ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ท่ามกลางความหวังแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า (เรามองว่า ประเด็นความขัดแย้งและการสู้รบตามแนวชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ส่งผลเล็กน้อยต่อการอ่อนค่าของเงินบาท) ทว่า การอ่อนค่าลงของเงินบาทก็ดูจะเป็นไปอย่างจำกัด โดยบรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง หากเงินบาท (USDTHB) อ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะเดียวกัน เราประเมินว่า การย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับของราคาทองคำในช่วงนี้ ยังคงสะท้อนว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว (Buy on Dip) ทำให้ ราคาทองคำก็อาจมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง และโดยรวมก็ยังคงอยู่ในแนวโน้มการแกว่งตัวในกรอบ Sideways ซึ่งจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ 

นอกจากนี้ เรามองว่า การเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์อาจเป็นไปอย่างจำกัด และเงินดอลลาร์ก็พร้อมเคลื่อนไหวได้สองทิศทาง (Two-Way Risk) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น ผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า รวมถึง รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ซึ่งเรามองว่า จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ชะตาแนวโน้มเงินดอลลาร์ในระยะสั้นได้ 

ขณะเดียวกัน หากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ไม่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เรามองว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่มีเหตุผลในการเทขายสินทรัพย์ไทย กลับกัน ความหวังการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ และแนวโน้มรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงระดับ Valuation ของหุ้นไทย จำนวนมากที่อยู่ในระดับที่น่าสนใจ ก็อาจทำให้ บรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยเข้าซื้อหุ้นไทยได้ 

โดยรวมแม้เราจะยังคงประเมินว่า เงินบาทมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ หากเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ในกรณีที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสดใส ส่วนราคาทองคำก็ถูกกดดันจากบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยง แต่เราจะมั่นใจมากขึ้น ว่าเงินบาทได้กลับสู่แนวโน้มการอ่อนค่าลง หากเงินบาท (USDTHB) ได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.50 บาทต่อดอลลาร์ อย่างชัดเจน ตามการประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following  

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.15-32.35 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาท #KrungthaiGlobalMarkets #พูนพานิชพิบูลย์ #USDTHB #Sideways #เศรษฐกิจสหรัฐ #ECB #ข่าวเศรษฐกิจ #วิเคราะห์ค่าเงิน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

กรุงไทยปิดชั่วคราว 14 สาขาในพื้นที่เสี่ยงชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ 24 ก.ค. 68

กรุงไทยปิดชั่วคราว 14 สาขาในพื้นที่เสี่ยงชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่ 24 ก.ค. 68

วันที่ 24 ก.ค.68 ธนาคารกรุงไทยขอแจ้งปิดบริการ สาขาในพื้นที่เสี่ยงเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อความปลอดภัยของลูกค้า และ ประชาชน ประกอบด้วย 14 สาขา ดังนี้

สาขากันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ

สาขาขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ

สาขาปราสาท จ.สุรินทร์

สาขาสังขะ จ.สุรินทร์

สาขาบุณฑริก จ.อุบลราชธานี

สาขาละหานทราย จ.บุรีรัมย์

สาขาตาพระยา จ.สระแก้ว

สาขาวัฒนานคร จ.สระแก้ว

สาขาอรัญประเทศ จ.สระแก้ว

สาขาสอยดาว จ.จันทบุรี

สาขาโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

สาขาตราด จ.ตราด

สาขาคลองใหญ่ จ.ตราด

สาขาร้านสหกรณ์จังหวัดตราด จ.ตราด

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถใช้บริการได้ที่สาขาใกล้เคียง โดยค้นหาสาขาได้ที่ https://krungthai.com/th/contact-us/ktb-location หรือทำธุรกรรมผ่าน Krungthai NEXT หรือ ตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย

ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้

#CambodiaOpenedFire #กองทัพบก #กองทัพอากาศ #ธนาคารกรุงไทย #ปิดสาขา #ความปลอดภัย #ชายแดนไทยกัมพูชา #บริการธนาคาร #สาขาชั่วคราว #Krungthai #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

ระวังมิจฉาชีพ! สร้างบัญชี TikTok ปลอม แอบอ้างกรุงไทยปล่อยกู้ หลอกขอข้อมูลส่วนตัว/การเงินและให้โอนเงินเพื่อทำธุรกรรม

"กรุงไทย" ระวังมิจฉาชีพ! สร้างบัญชี TikTok ปลอม แอบอ้างกรุงไทยปล่อยกู้ หลอกขอข้อมูลส่วนตัว/การเงินและให้โอนเงินเพื่อทำธุรกรรม

วันที่ 23 ก.ค.68 ธนาคารกรุงไทย แจ้งเตือนระวังมิจฉาชีพ! สร้างบัญชี TikTok ปลอม แอบอ้างกรุงไทยปล่อยกู้ หลอกขอข้อมูลส่วนตัว/การเงินและให้โอนเงินเพื่อทำธุรกรรม

Social Media ธนาคารกรุงไทยของจริง สังเกตได้จากสัญลักษณ์ verified และจำนวนผู้ติดตาม

ลูกค้ากรุงไทยสอบถามหรือแจ้งเหตุได้ที่ โทร. 02-111-1111 กด 108 ตลอด 24 ชั่วโมง

#Krungthai #กรุงไทย #ทันมุกทุกมิจ #มิจฉาชีพ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

เงินบาทแข็งค่าเปิดที่ 32.17 บาท/ดอลลาร์ รับแรงหนุนทองคำ-ดอลลาร์อ่อน กรอบวันนี้ 32.10-32.30

เงินบาทแข็งค่าเปิดที่ 32.17 บาท/ดอลลาร์ รับแรงหนุนทองคำ-ดอลลาร์อ่อน กรอบวันนี้ 32.10-32.30

วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.15-32.31 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่เผชิญแรงกดดันจากจังหวะการปรับตัวลดลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ (ใกล้ถึงกำหนดเส้นตาย 1 สิงหาคม ที่สหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่ที่ได้ประกาศไป หากไม่มีการบรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า) นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม ในช่วงเช้าของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยแข็งค่าขึ้น เข้าใกล้โซน 146 เยนต่อดอลลาร์ ตอบรับข่าวสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น ลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 15% จาก 25% ซึ่งภาพดังกล่าวยังหนุนให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในปีนี้ บ้าง โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมอง BOJ มีโอกาส 75% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ (ในการประชุมปลายปี) และนอกเหนือจากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังได้อานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะ หุ้นเทคฯ ใหญ่ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.06%  

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.41% กดดันโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาน่าผิดหวัง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า สหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU) อาจไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ก่อนกำหนด 1 สิงหาคม และอาจนำไปสู่การใช้มาตรการตอบโต้จากฝั่งสหภาพยุโรป ซึ่งอาจกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปได้ 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวเพิ่มเติม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แม้ว่าโดยรวมบรรดาผู้เล่นในตลาดจะยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.36% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยจังหวะการทยอยเข้าซื้อดังกล่าวอาจกลับมาอีกครั้ง ในช่วงสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคมที่ตลาดจะรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับจังหวะปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันเพิ่มเติม จากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย ตอบรับข่าวสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น บรรลุข้อตกลงการค้า ลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 15% จาก 25% ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 97.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.3-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กอปรกับความต้องการถือทองคำ ในช่วงตลาดเผชิญความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) สามารถปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 3,440-3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ ทั้งยอดการยืนขอสินเชื่อบ้าน (Mortgage Applications) และยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) ในเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดน้ำมัน ก็จะรอลุ้น รายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังสหรัฐฯ โดย EIA 

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนกรกฎาคม 
 
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ อย่าง Alphabet และ Tesla ซึ่งรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้  


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทยังคงได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้น ตามแนวโน้มการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ อีกทั้ง ในช่วงนี้ บรรดานักลงทุนต่างชาติก็ทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นไทย อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แม้จะยังมีโมเมนตัมอยู่บ้าง ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด โดยในส่วนของราคาทองคำนั้น เรามองว่า หากบรรดาประเทศคู่ค้าต่างๆ ทยอยบรรลุข้อตกลงการค้า ลดระดับอัตราภาษีนำเข้าลงจากที่ทางการสหรัฐฯ ได้ขู่ไว้ ก็อาจทำให้ บรรดาผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ ขณะเดียวกัน หากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ออกมาสดใส โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ ก็น่าจะยิ่งทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งควรจะกดดันราคาทองคำให้ย่อตัวลง โดยเฉพาะในจังหวะที่ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า ในภาพดังกล่าว ราคาทองคำก็อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หรือไม่ได้ปรับตัวลดลงหนัก หากเงินดอลลาร์ย่อตัวลงหรือแกว่งตัว Sideways (จนกว่าตลาดจะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างชัดเจน) ทั้งนี้ จากการคำนวณของเราล่าสุด พบว่า เงินบาทมีความอ่อนไหว (Beta) กับการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำอยู่ราว 0.3 ทำให้ หากราคาทองคำมีการย่อตัวลงมาทดสอบโซนแนวรับอีกครั้ง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงทยอยออกมาสดใส รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด และหนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน โดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้า อาจรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าว และจากการประเมินค่าเงินบาทในเชิง Valuation โดยใช้ทั้ง โมเดล REER และ BEER ของเรา พบว่า เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาพอสมควรในระดับมากกว่า +1.0 SD ซึ่งมักจะสะท้อนว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงมาได้บ้าง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทควรจะเป็นไปอย่างจำกัด และมีโอกาสที่เงินบาทเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้างจากระดับปัจจุบัน ในช่วงระยะสั้นนี้ 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.10-32.30 บาท/ดอลลาร์

#ค่าเงินบาทวันนี้ #เงินบาทแข็งค่า #KrungthaiGlobalMarkets #ข่าวการเงิน #เศรษฐกิจโลก #ทองคำ #ดอลลาร์อ่อนค่า #อัตราแลกเปลี่ยน #ตลาดการเงิน #เงินบาท2568 #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้