ธนาคารกรุงเทพ ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% มีผล 14 ส.ค.68

ธนาคารกรุงเทพปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2568

วันที่ 13 ส.ค.68 นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ M Rate ทั้ง MLR MOR MRR ลดลง 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ (MLR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) เป็น 6.50% ต่อปี เอ็มโออาร์ (MOR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) เป็น 6.75% ต่อปี และเอ็มอาร์อาร์ (MRR) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) เป็น 6.65% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม 2568

โดยการปรับลดในครั้งนี้ สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุน การบริโภค และลดต้นทุนทางการเงิน รวมทั้งบรรเทาภาระหนี้ของภาคธุรกิจและประชาชน จากผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงตา มการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรงขึ้น

 

"ธนาคารกรุงเทพ" งวดแรกปี 68 กำไร 24,458 ล้าน โต 9.5% บริหารสินทรัพย์ท่ามกลางความท้าทายทาง ศก.หลายด้าน

"ธนาคารกรุงเทพ" งวดแรกปี 68 กำไร 24,458 ล้าน โต 9.5% บริหารสินทรัพย์ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายด้าน

วันที่ 18 ก.ค.68 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ในไตรมาส 2/68 ธนาคารมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,840 ล้านบาท อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ลดลง 6.2% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยสาเหตุมาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน  และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิที่ลดลง จากค่าธรรมเนียมการอำนวยสินเชื่อและค่าธรรมเนียมบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมซึ่งเป็นไปตามฤดูกาล ขณะที่ธนาคารยังคงมีการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง ทั้งนี้ธนาคารพิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง กำไรสุทธิสำหรับงวดแรกปี 2568 อยู่ที่ 24,458 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารสินทรัพย์ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจหลายด้าน โดยธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 63,614ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ 2.85% ลดลงตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ย 

สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน และกำไรจากเงินลงทุน ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงส่วนใหญ่จากการบริการธุรกรรมผ่านธนาคาร สุทธิกับรายได้จากบริการการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ธนาคารมีการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการบริหารค่าใช้จ่าย ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ในระดับที่ 45.3% สำหรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในงวดแรกปี 2568 อยู่ที่ 19,807 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับงวดแรกปีก่อน

#ธนาคารกรุงเทพ #BBL #กำไรสุทธิ #การเงิน #รายงานผลประกอบการ #เศรษฐกิจไทย #การบริหารสินทรัพย์ #ค่าธรรมเนียมบริการ #รายได้ดอกเบี้ย

ธ.กรุงเทพ ผนึกพลัง แบงก์เพอร์มาตา ล็อกเป้า! อินโดนีเซีย ตลาดศักยภาพสูงแห่งอาเซียน หนุนธุรกิจไทยสร้างความแข็งแกร่งและยั่งยืน

ธนาคารกรุงเทพ และ ธนาคารเพอร์มาตา บริษัทในเครือธนาคารกรุงเทพ เปิดเวทีเจาะลึก ‘อินโดนีเซีย’ ตลาดใหญ่ที่มั่นคง กับเป้าหมายการก้าวขึ้นเป็นเศษฐกิจสำคัญอับดับ 4 ของโลกภายในปี 2588 พร้อม เดินหน้าหนุนผู้ประกอบการไทยคว้าโอกาสทองทางธุรกิจ ด้วยศักยภาพเครือข่ายธนาคารเพอร์มาตากว่า 200 สาขาในอินโดนีเซีย ครอบคลุมลูกค้าบุคคล ธุรกิจในประเทศ และบริษัทต่างชาติที่ต้องการลงทุนในอินโดนีเซีย ตอกย้ำบทบาท ‘ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค’ เชื่อมโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

วันที่ 2 กรกฎาคม 2568 นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวจาก 3,370 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 4,980 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 แสดงให้เห็นถึงระดับความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น ทำให้อินโดนีเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุน โดยธนาคารกรุงเทพมีความพร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย ด้วยประสบการณ์ ความเข้าใจ และเครือข่ายท้องถิ่น ในฐานะหนึ่งในบริษัทไทยกลุ่มแรกที่เข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย ตั้งแต่ปี 2511 และในปี 2563 ยังได้ตอกย้ำความมั่นใจในศักยภาพของอินโดนีเซียด้วยการลงทุนมูลค่า 2.3 พันล้านดอลาร์สหรัฐในธนาคารเพอร์มาตา ซึ่งนับเป็นการเข้าซื้อกิจการธนาคารในอาเซียนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ปัจจุบันธนาคารเพอร์มาตา ก้าวขึ้นจากธนาคารอันดับ 12 สู่การเป็นหนึ่งใน 10 อันดับแรก ด้วยเครือข่ายกว่า 200 สาขา ให้บริการครอบคลุมทั้งลูกค้าบุคคล ธุรกิจในประเทศ และบริษัทต่างชาติที่ต้องการลงทุนในอินโดนีเซีย

“ธนาคารกรุงเทพ เชื่อมั่นในศักยภาพของอินโดนีเซียมาโดยตลอด ที่ผ่านมาเราได้สั่งสมความรู้ ความเข้าใจ และเครือข่ายในท้องถิ่น พร้อมทั้งส่งเสริมให้บริษัทไทยอื่น ๆ เห็นถึงโอกาสในอินโดนีเซียผ่านการแบ่งปันประสบการณ์และความสำเร็จของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันการดำเนินธุรกิจในยุคที่มีแรงกระเพื่อมจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ และการย้ายฐานการผลิตรวมถึงกระแสย้อนกลับของโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้การดำเนินนโยบายของประเทศขนาดใหญ่ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก จึงเชื่อมั่นว่าอาเซียนยังคงเป็นศูนย์กลางแห่งความสงบ ซึ่งไทยและอินโดนีเซียในฐานะสองเศรษฐกิจใหญ่ของภูมิภาค มีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสที่มั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบจากกระแสเศรษฐกิจโลก และยังช่วยเชื่อมโยงนักลงทุนกับโอกาสในอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ อีกด้วย” นายชาติศิริ กล่าว

นางเมลิสา รุสลี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพอร์มาตา อินโดนีเซีย ในเครือธนาคารกรุงเทพ  กล่าวว่า อินโดนีเซียมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ มีจำนวนประชากรสูงถึง 281 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีสัดส่วนถึง 68% ที่อยู่ในกลุ่มวันทำงาน ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคม ในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า โดยเฉพาะการดำเนินยุทธศาสตร์ “Golden Indonesia 2045” ของรัฐบาลอินโดนีเซียที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนโครงการเศรษฐกิจสีเขียว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และโครงการเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่จะเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลกภายในปี 2588 รัฐบาลอินโดนีเซียยังมีนโยบายเชิงรุกในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการสนับสนุน ทั้งในด้านกฎหมาย สิทธิประโยชน์ และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อภาคธุรกิจ ทั้งนี้ธนาคารเพอร์มาตาพร้อมผลักดันลูกค้าและพันธมิตรในภูมิภาคเพื่อคว้าโอกาส ผ่านบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างครบวงจร พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึกด้วยเครือข่ายกว่า 240 สาขาที่ครอบคลุม 82 เมืองสำคัญทั่วอินโดนีเซีย ให้ทุกธุรกิจดำเนินการได้อย่างราบรื่น

“ธนาคารกรุงเทพและธนาคารเพอร์มาตา พร้อมใช้ศักยภาพเครือข่าย บริการ และความเชี่ยวชาญในพื้นที่ ให้คำปรึกษาและสนับสนุนสร้างความเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนสู่ประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นโอกาส อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า 2.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงและวัตถุดิบจากไทยยังเป็นที่นิยมบริโภคของคนอินโดนีเซียและมีการนำเข้าสูงเป็นอันดับต้นๆ จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสของผู้ประกอบการไทย ในการเข้ามาทำตลาดหรือการค้าในอิโดนีเซียมากยิ่งขึ้น” นางเมลิสา กล่าว

"ธนาคารกรุงเทพ" Q1/68 กำไร 12,618 ล้านบาท พุ่ง 19.9%

"ธนาคารกรุงเทพ" Q1/68 กำไร 12,618 ล้านบาท พุ่ง 19.9%

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 มีกำไรสุทธิ 12,618 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่จากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 31,909 ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ 2.89% ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาด

สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น จากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี ประกอบกับกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาด

ขณะเดียวกัน ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้ความสำคัญในการบริหารค่าใช้จ่าย ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 45.5% ทั้งนี้ ธนาคารตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2568 จำนวน 9,067 ล้านบาทอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน

โดย ณ สิ้นเดือน มี.ค.2568 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,720,983 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% จากสิ้นปีก่อน จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.0% ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 300.3% เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง

ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือน มี.ค.2568 จำนวน 3,225,131 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.8% จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 84.4% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 21.0% 16.5% และ 15.8% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำหนด

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/2568 เริ่มมีสัญญาณชะลอตัว โดยมีสาเหตุหลักจากการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ภาคการผลิตยังคงเผชิญแรงกดดัน แม้ว่าการผลิตในกลุ่มยานยนต์จะเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวแต่ระดับการผลิตโดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ

ขณะที่ภาคบริการยังคงขยายตัว แม้จะได้รับแรงกดดันจากการปรับลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจีนและค่าใช้จ่ายต่อหัว อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวจากสัญชาติอื่นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยพยุงภาคการท่องเที่ยวในภาพรวม ภาคการส่งออกเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว แม้จะยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ส่วนแรงกดดันด้านราคายังคงอยู่ในระดับต่ำสะท้อนอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังไม่เข้มแข็ง

ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา ความผันผวนของราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และระดับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจมีผลกระทบในระดับที่สำคัญต่อกำลังซื้อของประชาชนและความเชื่อมั่นของภาคเอกชน

ธนาคารกรุงเทพตระหนักถึงความท้าทายที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินธุรกิจ และเข้าใจถึงความไม่แน่นอนทางธุรกิจที่ต้องเผชิญอยู่ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักการปรับเปลี่ยนนโยบายและกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น รวมถึงความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ผลักดันให้ธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อก้าวทันโลกยุคดิจิทัล

ธนาคารกรุงเทพพร้อมยืนเคียงข้างลูกค้าในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” จึงยังคงเน้นการให้คำปรึกษาและดูแลลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสม ทั้งด้านเงินทุนและองค์ความรู้ที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมสนับสนุนลูกค้าให้ได้ประโยชน์จากโอกาสในการขยายกิจการไปยังต่างประเทศ รวมทั้งยังมุ่งมั่นให้บริการทางการเงินที่รับผิดชอบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน ธนาคารยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง พร้อมทั้งยึดมั่นแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible lending) โดยให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

ธนาคารไทยพาณิชย์-ธนาคารกรุงเทพ ครองแชมป์ Bank of the Year 2025

วารสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนเมษายน 2568 ประกาศผลการจัดอันดับ ธนาคารแห่งปี 2568  Bank of the Year 2025 โดยใช้ผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ 12 แห่ง ในรอบปี 2567 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-31 ธันวาคม 2567 มาพิจารณาจัดอันดับ ปรากฏว่า ธนาคารแห่งปี 2568 Bank of the Year 2025 ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ และ ธนาคารกรุงเทพ 

ธนาคารไทยพาณิชย์ ครองแชมป์ธนาคารแห่งปี 3 สมัยซ้อน 2566-2568
ปีนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้เป็นแชมป์ ธนาคารแห่ง 2568 Bank of the Year 2025 ซึ่งเป็นการครองแชมป์ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 คือในปี 2566, 2567 และ 2568 โดยในปี 2567 ธนาคารไทยพาณิชย์ สามารถสร้างกำไรสุทธิได้สูงเป็นอันดับ 1 ของระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดที่ 49,232.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,274.35 ล้านบาท หรือ 2.66% จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เติบโตสูงขึ้นมาอยู่ที่ 104,600 ล้านบาท โดยธนาคารใช้กลยุทธ์เลือกการเติบโตของสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนบนความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Loan Optimization) และการมีวินัยทางด้านราคา ในส่วนของเงินฝากขยายตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะบัญชีเงินฝากลูกค้าธุรกิจ 

ในด้านของความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) สูงถึง 18.92% หรือ 453,365 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 17.82% หรือ 427,000 ล้านบาท และเงินกองทุนชั้นที่ 2 อยู่ที่ 1.10% หรือ 26,364 ล้านบาท และมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูง ที่ 152.3% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2567 จากการพิจารณาตามหลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้น

สำหรับนโยบายการดำเนินงานใน ปี 2568 ธนาคารไทยพาณิชย์ จะมุ่งเน้นเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจใน 3 ด้าน ดังนี้
1. Value Driven Customer Strategy with Credit Efficiency Focus : การนำเสนอโซลูชั่นทางการเงินอย่างเหมาะสมกับความต้องการ มูลค่า และระดับความเสี่ยงของลูกค้าเป้าหมาย เพื่อให้ธนาคารสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และตรงจุด ควบคู่ไปกับการรักษาคุณภาพสินเชื่อ การบริหารต้นทุนสินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ และการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการ

ติดตามหนี้ (Collection Efficiency) เพื่อลดความเสี่ยงด้านสินเชื่อและเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับธนาคารในระยะยาว 
ภายใต้กลยุทธ์นี้ ธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจะเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่ธนาคารให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง โดยคาดหวังการเติบโตของรายได้จากค่าธรรมเนียมอย่างมีนัยสำคัญ

2. Productivity Optimization : การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เพื่อควบคุมอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ พร้อมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของธนาคารในระยะยาว ผ่านการเพิ่มผลิตภาพและการบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพใน 2 ด้านสำคัญ ได้แก่ 
(1) ด้านพนักงาน ผ่านการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการทำงานควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะและการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี และ (2) ด้านไอที มุ่งเน้นการสร้างความเป็นเลิศในด้านเสถียรภาพของระบบธนาคาร ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และคุณภาพการให้บริการด้วยการปรับรูปแบบการทำงานเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบไอทีให้ทันสมัยภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม และปรับสัดส่วนกระบวนการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติ (Process Automation) มากขึ้นด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้

3. AI-First Bank : การเป็นธนาคารที่ขับเคลื่อนด้วย AI เป็นหลัก โดยดำเนินการลงทุนเพื่อวางรากฐานให้องค์กรสามารถนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ได้ในทุกส่วนงาน ทั้งระบบ Core bank และการพัฒนาฐานข้อมูลกลางของธนาคารให้มีความถูกต้อง ปลอดภัย และมีความเป็นปัจจุบัน (Real-time) พร้อมการต่อยอดด้วย AI ที่จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์และใช้ประโยชน์จากข้อมูลธนาคารที่มีจำนวนมาก 

นอกจากนี้ ธนาคารยังดำเนินการนำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลายส่วนงานสำคัญของธนาคาร อาทิ การอนุมัติสินเชื่อ การติดตามหนี้ การตรวจสอบความเสี่ยงด้าน Fraud การเพิ่มผลิตภาพของพนักงาน และการพัฒนาความเข้าใจลูกค้าอันนำไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการเฉพาะตัวบุคคล (Hyper-Personalization) ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งการนำ AI มาใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนธนาคารจะช่วยตอบโจทย์ทั้งในด้านการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าและพนักงาน ไปจนถึงการสร้างโอกาสในการหารายได้ใหม่เพิ่มเติม
    
ธนาคารกรุงเทพ สร้างผลงานเด่น คว้าตำแหน่งธนาคารแห่งปี 2568 
ปีนี้ ธนาคารกรุงเทพ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ ธนาคารแห่งปี 2568 Bank of the Year 2025 โดยโชว์ผลประกอบการในปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิ 45,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,575.63 ล้านบาท หรือ 8.59% สูงเป็นอันดับ 3 ของระบบธนาคารพาณิชย์ และมีกำไรสุทธิต่อหุ้นสูงสุดเป็นอันดับ 1 ที่ 23.69 บาท จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.3% จากการขยายตัวของเงินให้สินเชื่อ และมีรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธุรกิจบัตรเครดิต และบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี 

นอกจากนี้ ธนาคารยังยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 334.3% ขณะที่ดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น 20.35% แบ่งเป็น เงินกองทุนขั้นที่ 1 ที่16.96% และเงินกองทุนขั้นที่ 2 ที่ 3.39% 

สำหรับยุทธศาสตร์ของธนาคารกรุงเทพ ในปี 2568  ประกอบด้วย 
1. การเติบโตอย่างมีคุณภาพ (Quality Growth) ธนาคารมุ่งสร้างความเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดและขยายธุรกิจอย่างรอบคอบระมัดระวัง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนลูกค้าที่แสวงหาโอกาสใหม่ๆ หรือต้องการย้ายฐานการผลิตในภูมิภาคอาเซียนและเอเชียที่ธนาคารกรุงเทพมีสาขา หรือธนาคารในเครือ ซึ่งได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (ประเทศจีน) Bangkok Bank Berhad ในมาเลเซีย และธนาคารเพอร์มาตา ในอินโดนีเซีย 

นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตอย่างยั่งยืน เช่น พลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียน รวมถึงเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio, Circular and Green Economy) ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ Sustainable Banking และ Responsible Lending

2. พันธมิตรด้านแพลตฟอร์ม (Platform Partner) ธนาคารสนับสนุนการขายสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์ โดยการร่วมมือกับพันธมิตรที่เป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้ธนาคารเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการแพลตฟอร์มต่างๆ และเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าอย่างทันสถานการณ์ เป็นการสร้างระบบนิเวศที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่

3. ความมั่งคั่งและมั่นคงทางการเงิน (Wealth and Wellness) ธนาคารนำเสนอบริการที่ช่วยให้ลูกค้าขยายผลต่อยอดความมั่งคั่งและคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อความมั่นคงทางการเงินสำหรับครอบครัวในอนาคต ซึ่งเป็นเรื่องที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากขึ้น และสอดคล้องกับสภาพสังคมของประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัย เช่นเดียวกับอีกหลายๆ ประเทศ โดยธนาคารมีผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกช่วงชีวิต ตั้งแต่การออม การสร้างหลักประกันทางการเงิน ไปจนถึงการลงทุนเพื่อสะสม Wealth ด้วยเครื่องมือทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้นไปเป็นลำดับ

4. องค์กรอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพ (Data-driven Organization) ธนาคารมุ่งเสริมสร้างศักยภาพด้านข้อมูล โดยการพัฒนาระบบ Data Lake อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้ธนาคารเข้าใจความต้องการของลูกค้า ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ในแต่ละช่วงชีวิตได้อย่างถูกต้อง และทำให้ธนาคารเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของลูกค้า พร้อมทั้งปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยด้านข้อมูลของลูกค้า 

5. การเสริมสร้างรากฐานองค์กร (Strengthened Foundation) ธนาคารมุ่งพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมทั้งความรู้ ทักษะและความสามารถที่เพียงพอและเท่าทันสำหรับยุคแห่ง Disruption ของเทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งการประสานความร่วมมือในการทำงานที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน รวมทั้งนำเสนอบริการดิจิทัลที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตออนไลน์ของลูกค้า ซึ่งจะทำให้บุคลากรของธนาคารเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ให้คำแนะนำและให้บริการที่มีมูลค่าที่สูงขึ้น

#ธนาคารไทยพาณิชย์ #ธนาคารกรุงเทพ #วารสารการเงินธนาคาร #ข่าววันนี้ #ธนาคารแห่งปี2568 #BankoftheYear2025

 

"ธนาคารกรุงเทพ" ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี มีผล 5 มี.ค.68

"ธนาคารกรุงเทพ" ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ต่อปี เพื่อช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น มีผลตั้งแต่ 5 มี.ค.68

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.68 นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อปรับลดลงสูงสุด 0.25% โดยอัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ (MLR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate) ปรับเป็น 6.825% ต่อปี เอ็มโออาร์ (MOR) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) เป็น 7.10% ต่อปี และเอ็มอาร์อาร์ (MRR) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (Minimum Retail Rate) เป็น 6.95% ต่อปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคม 2568

โดยการปรับลดในครั้งนี้ เพื่อตอบสนองต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุน การบริโภค รวมถึงการรับมือและป้องกันภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และลดภาระหนี้ของภาคธุรกิจและประชาชน ที่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

#ธนาคารกรุงเทพ #ลดดอกเบี้ย #ข่าววันนี้ #กระตุ้นเศรษฐกิจ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

"ธนาคารกรุงเทพ" ปรับลดดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก มีผล 24 ต.ค.67

ธนาคารกรุงเทพปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินกู้และเงินฝาก มีผลตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2567

นายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก โดยอัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อปรับลดลงสูงสุด 0.20% สำหรับเงินกู้อัตราดอกเบี้ยเอ็มแอลอาร์ / MLR (Minimum Loan Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา ลดลง 0.20% เป็น 6.90% ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยเอ็มโออาร์ / MOR (Minimum Overdraft Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (Minimum Overdraft Rate) ลดลง 0.20% เป็น 7.35% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเอ็มอาร์อาร์ / MRR (Minimum Retail Rate) หรืออัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดีปรับลดลง 0.05% เป็น 7.00% ต่อปี ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงเทพก็ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MRR ไปแล้ว 0.25% ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาภาระหนี้และต้นทุนทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ

ขณะที่ส่วนเงินฝากลูกค้าบุคคลธรรมดา อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสะสมทรัพย์ เป็น 0.25 - 0.30% ต่อปี เงินฝากประจำ 3 เดือน เป็น 1.00% ต่อปี เงินฝากประจำ 6 เดือน เป็น 1.10% ต่อปี เงินฝากประจำ 12 เดือน เป็น 1.45% ต่อปี เงินฝากประจำ 24 เดือน เป็น 1.70% ต่อปี และเงินฝากประจำ 36 เดือน เป็น 1.75% ต่อปี ส่วนเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Saving วงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาท 1.50% ต่อปี และวงเงินส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท 0.45% ต่อปี

#ธนาคารกรุงเทพ #ลดดอกเบี้ย #ข่าววันนี้ #เงินกู้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

 

กรุงเทพประกันชีวิต และ ธนาคารกรุงเทพ ร่วมจัดงานขอบคุณลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจ ใช้บริการวางแผนความคุ้มครองและการออมยาวนานกว่า 20 ปี

 

กรุงเทพประกันชีวิต เดินหน้าผนึกความร่วมมือ ธนาคารกรุงเทพ ตอกย้ำความสำเร็จในบริการวางแผนความคุ้มครองและการออมผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ในช่องทางของธนาคาร พร้อมจัดงาน Age of Happiness: Thank You Event for Our Valued Customers เพื่อแสดงความขอบคุณลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ให้ความไว้วางใจมากกว่า 20 ปีผ่าน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ 1st ทั้ง Gain 1st ประกันสะสมทรัพย์ เพื่อสนับสนุนการออม Credit 1stประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อธุรกิจ และ Home 1stสำหรับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้ทั้งความคุ้มครองชีวิตและโรคร้ายแรง โดยมีกรมธรรม์ที่ส่งมอบให้กับลูกค้าธนาคารกรุงเทพกว่า 1.2 ล้านราย พร้อมส่งมอบความ “ใส่ใจ” พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ และ ส่งมอบสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ ตามไลฟ์สไตล์ภายใต้ BLA Happy Life Club

นายโชน โสภณพนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงาน Age of Happiness: Thank You Event for Our Valued Customers ว่า นอกจากเป็นการแสดงความขอบคุณลูกค้าของธนาคารกรุงเทพ ที่ให้ความไว้วางใจในการวางแผนความคุ้มครองและการออมผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตมาตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปีแล้ว ยังตอกย้ำถึงพลังความร่วมมือระหว่างสององค์กรที่ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่เหมาะสมให้กับลูกค้าจนเป็นที่ยอมรับและไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้ามาอย่างยาวนาน

นายโชนกล่าวว่า ปัจจุบันกรุงเทพประกันชีวิต  ได้มอบความคุ้มครองชีวิตและการออมให้กับลูกค้าธนาคารกรุงเทพ ผ่านผลิตภัณฑ์ 3 กลุ่ม คือ ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อเพื่อปกป้องความเสี่ยงซึ่งมี 2 แบบคือ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต Credit 1st สำหรับคุ้มครองสินเชื่อธุรกิจ และ ผลิตภัณฑ์ Home 1st คุ้มครองสินเชื่ออยู่อาศัย นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ Gain 1st  ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี และได้รับความไว้วางใจในการทำประกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยกรุงเทพประกันชีวิตมีกรมธรรม์ที่ส่งมอบให้กับผู้เอาประกันภัยผ่านธนาคารกรุงเทพจำนวน 1.24 ล้านราย คิดเป็นจำนวนเงินเอาประกันภัยรวมทั้งสิ้นมากกว่า 500,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ Gain 1st ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือการออมระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนดี  ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี  ทั้งเบี้ยประกันชีวิตที่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และผลตอบแทนจากกรมธรรม์ที่ยังได้รับการยกเว้นภาษี  และที่สำคัญมีความปลอดภัยสูง สามารถส่งต่อสู่ทายาทได้ โดยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ Gain 1st มีหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความเหมาะสมของลูกค้าแต่ละราย ตั้งแต่ Gain 1st Speed Up ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่กำลังมองหาแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองและผลตอบแทนรายปีสูงถึงปีละ 10%  หรือ ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ Gain 1st 525 (มีเงินปันผล) ที่เหมาะสำหรับผู้ต้องการออมเงินก้อน จนถึง Gain 1st Simple ที่สามารถออมเริ่มต้นเพียงเดือนละ 500 บาท คุ้มครองยาวนาน 15 ปี  และล่าสุด ยังได้เปิดตัวแบบประกันใหม่ Gain 1st e-Savings 10/5 ซึ่งมีจุดเด่นที่ชำระเบี้ยสั้น 5 ปี คุ้มครอง 10 ปี และการันตีผลตอบแทนปีละ 5% เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้ลูกค้าธนาคารกรุงเทพที่ต้องการวางแผนความคุ้มครองและการออม

 

 “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามีความใส่ใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ให้เป็นแบบประกันที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี และมีเบี้ยประกันฯ ที่เหมาะสม ภายใต้แนวคิดประกันชีวิตที่ใส่ใจและให้ความรู้สึกดี โดยธนาคารกรุงเทพมีส่วนสำคัญในการแนะนำเพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการออมเงินเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคต หรือ การสนับสนุนลูกค้าสินเชื่อที่ต้องการให้ธุรกิจและสินทรัพย์นั้นยังคงอยู่กับครอบครัวและทายาทได้ และไม่เป็นภาระให้กับคนรุ่นหลัง จึงขอถือโอกาสนี้ขอบคุณลูกค้าและธนาคารกรุงเทพ ที่ไว้วางใจให้กรุงเทพประกันชีวิตส่งมอบความคุ้มครองสู่ลูกค้าของธนาคารกรุงเทพทุกท่าน” นายโชนกล่าวพร้อมเพิ่มเติมว่า 

ในปีที่ผ่านมากรุงเทพประกันชีวิตยังได้ร่วมกับธนาคารกรุงเทพในการขยายช่องทางการทำประกัน โดยลูกค้าธนาคารสามารถเลือกทำประกันชีวิตได้ทั้งที่สาขาของธนาคารกรุงเทพทั่วประเทศ  หรือ ทำประกันชีวิตด้วยตนเองได้อย่างสะดวกสบายทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านแอปพลิเคชัน Bualuang mBanking  และในปีนี้ กรุงเทพประกันชีวิตยังได้จัดทำสิทธิประโยชน์ใหม่ 5 ด้าน สำหรับลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ ภายใต้ BLA Happy Life Club โดยมีสิทธิประโยชน์ดีๆ ในทุกไลฟ์สไตล์  โดยเฉพาะด้านสุขภาพ

 

ด้านนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้ ธนาคารกรุงเทพ ร่วมกับ กรุงเทพประกันชีวิต ได้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น ภายใต้แนวคิด “3 Gens Solution” เช่น ผลิตภัณฑ์  Home 1st Extra ซึ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา โดยมีจุดเด่นในด้านการคุ้มครองสินเชื่อที่อยู่อาศัย และการเตรียมความคุ้มครองไว้สำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่ครอบคลุมถึงค่ารักษาพยาบาลจากการเจ็บป่วยด้วย 44 โรคร้ายแรง  เป็นต้น สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของธนาคารกรุงเทพ ที่จะเป็น “เพื่อนคู่คิดมิตรคู่บ้าน” ของลูกค้าในทุก Generation ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความมั่นคงของครอบครัว การสั่งสมและส่งต่อ Wealth จากรุ่นสู่รุ่น ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการสืบทอดธุรกิจของครอบครัว และเหนืออื่นใด ธนาคารยังมุ่งมั่นดูแลลูกค้าให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

“ผมขอขอบคุณ ลูกค้าที่มอบความไว้วางใจให้ธนาคารกรุงเทพและกรุงเทพประกันชีวิต ได้ดูแลความมั่นคงและธุรกิจของครอบครัวของท่านตลอดมา และเราพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างเพื่อสนับสนุนลูกค้าทุกท่านให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินของครอบครัวและของธุรกิจ รวมถึงการมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยในอนาคต เรายังมีความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆและบริการที่ดีเพื่อลูกค้าร่วมกัน เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าธนาคารกรุงเทพทุกท่านประสบความสำเร็จในการวางแผนความคุ้มครองและการออมตามเป้าหมายที่วางไว้” นายชาติศิริ กล่าวในที่สุด

 

ธนาคารกรุงเทพนำร่องแบงก์พาณิชย์ ลดดอกเบี้ยกู้ MRR ลง 0.25% นาน 6 เดือน เริ่ม 29 เม.ย.นี้

ธนาคารกรุงเทพนำร่องแบงก์พาณิชย์ ลดดอกเบี้ยกู้ MRR ลง 0.25% นาน 6 เดือน เริ่ม 29 เม.ย.นี้

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลง 0.25% ต่อปี สำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ทั้งลูกค้าบุคคล และ SME เป็นระยะเวลา 6 เดือน มีผลตั้งแต่วันที่ 29 เมษายน 2567 ตามที่สมาคมธนาคารไทย (TBA) เห็นถึงความจำเป็นในการออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบางในระหว่างที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่และไม่ทั่วถึง การปรับลด MRR 0.25 % ในครั้งนี้จึงเป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของธนาคารที่จะช่วยเหลือลูกค้าผู้ประกอบการในระหว่างที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อีกทั้งยังเป็นการช่วยกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยภาพรวมในช่วงที่มีความเปราะบางทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้า ครอบคลุมทั้งลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ SME และลูกค้ารายย่อย ซึ่งรวมถึงกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ลูกค้าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโครงการช่วยเหลือลูกค้า SME ด้วยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษภายใต้โครงการ "สินเชื่อบัวหลวงเพื่อการปรับตัวธุรกิจ (Bualuang Transformation Loan)" วงเงินโครงการ 20,000 ล้านบาท โดยพิจารณาให้วงเงินสินเชื่อสูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยพิเศษคงที่ 5% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี ผู้ประกอบการที่สนใจ ทั้งลูกค้าปัจจุบันหรือลูกค้าใหม่ สามารถติดต่อสมัคร สินเชื่อบัวหลวงเพื่อการปรับตัวธุรกิจ ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 - 31 มกราคม 2568 (หรือเมื่อมีลูกค้าใช้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการ) เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจ SME ในการฟื้นฟูธุรกิจและปรับตัวเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน

#ธนาคารกรุงเทพ #แบงก์พาณิชย์ #ลดดอกเบี้ย #ข่าววันนี้

 

 

"ธนาคารกรุงเทพ" กำไร 9 เดือน 32,773 ล้านบาท พุ่ง 50.8% สินเชื่อโต 1.5%

ธนาคารกรุงเทพกำไร 9 เดือน 32,773 ล้านบาท พุ่ง 50.8% สินเชื่อโต 1.5%

ธนาคารกรุงเทพ (BBL) รายงานกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนปี 2566 จำนวน 32,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3 สอดคล้องกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย โดยอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น สุทธิกับการทยอยเพิ่มขึ้นของต้นทุนเงินรับฝากและการปรับอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเข้าสู่ระดับเดิมตั้งแต่ต้นปี 2566 ส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.96  ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  

สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.4 ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจและส่วนหนึ่งจากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานลดลงอยู่ที่ร้อยละ 46.4 ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารมีการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังอย่างต่อเนื่อง จึงมีการตั้งสำรองในไตรมาส 3 ปี 2566 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน โดยสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นใน 9 เดือนปี 2566 มีจำนวน 26,323 ล้านบาท

โดยธนาคารกรุงเทพยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ พร้อมทั้งรักษาเสถียรภาพฐานะการเงิน สภาพคล่อง และเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,723,751 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จากสิ้นปีก่อน ส่วนใหญ่จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ  สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ที่ร้อยละ 3.0  ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 283.3

ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนกันยายน 2566 จำนวน 3,163,297 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.5 จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 86.1  ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ร้อยละ 19.6 ร้อยละ 16.2 และร้อยละ 15.4 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด

โดยในไตรมาส 3 ปี 2566 เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวจากการภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนเป็นหลัก ซึ่งจำนวนนักท่องเที่ยวยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกของประเทศไทยชะลอตัวลง ตามอุปสงค์ประเทศคู่ค้าที่อ่อนตัว ทั้งนี้ ในระยะข้างหน้าเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจโลก เนื่องจากผลกระทบจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและคงไว้ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อของประเทศต่าง ๆ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจกระทบต่อการส่งออกของไทย ตลอดจนปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

ทั้งนี้แม้ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางฟื้นตัว แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยง หรือเกิดโอกาสหรือเป็นความท้าทายทางธุรกิจ โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 ตลาดการเงินโลกมีความผันผวน แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง ความยืดเยื้อของสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความท้าทายจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้บริโภค และการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้หลังโควิด-19  ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของบริบทโลกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลเพิ่มขึ้น ธนาคารกรุงเทพตระหนักถึงความท้าทายในการดำเนินธุรกิจของลูกค้า จึงยังคงมุ่งเน้นการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด ให้คำแนะนำในการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจตามสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง พร้อมทั้งเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ รวมถึงการสนับสนุนการลงทุนใหม่ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างระบบนิเวศด้านความยั่งยืนในระยะยาว