“ผยง ศรีวณิช” ชูแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand ผนึกภาครัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนอนาคตไทยยั่งยืน

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดมุมมองการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน “Reinvent Thailand for a Sustainable Future” ภายในงาน “Future Forum 2025 : The Great Transformation” จัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 โดยเสนอแนวทางขับเคลื่อนประเทศสู่อนาคต ผ่านความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ภายใต้แพลตฟอร์ม “Reinvent Thailand” 

นายผยง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่ากลุ่มอาเซียน กลุ่มตะวันออกกลาง จีน และอินเดีย และยังเผชิญความไม่แน่นอนสูง จากอุปสรรคและความท้าทายใน 3 ด้าน คือ 1. โครงสร้างเศรษฐกิจเปราะบางและเหลื่อมล้ำสูง คนไทยเพียง 10% ที่มีรายได้สูงสุด ครองสัดส่วนรายได้กว่า 52% ของประเทศ ขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่เพียง 1% มีบทบาทต่อ GDP มากถึง 65% ประเทศไทยยังมีเศรษฐกิจนอกระบบสูงเป็นลำดับต้นๆ ในเอเชียที่ราว 48% ของ GDP ทำให้รัฐจัดเก็บภาษีได้จำกัดและส่งเสริมการพัฒนาได้ไม่ทั่วถึง อีกทั้ง หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง เมื่อรวมหนี้นอกระบบ เกิน 100% ของ GDP กระทบการบริโภคและการลงทุนในอนาคต

 2. ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง การผลิตส่วนใหญ่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มได้น้อย ศักยภาพแรงงานยังไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัล และอาจมีการว่างงานแฝงจำนวนมาก โดยเฉพาะในภาคเกษตร นอกจากนี้ การลงทุนต่ำเพียง 23% ของ GDP ลดลงจาก 41% ก่อนวิกฤตปี 2540 ขณะเดียวกันการลงทุนด้าน ESG ไม่เพียงพอ ท่ามกลางกระแสโลกที่เร่งก้าวสู่ Green Economy 

3.ความท้าทายของภาครัฐ มีกฎระเบียบจำนวนมากถึงกว่า 100,000 ฉบับ บางส่วนล้าสมัยและซ้ำซ้อน การคลังอยู่ในภาวะตึงตัว ขณะที่รายจ่ายด้านสวัสดิการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดย IMF ชี้ว่าหนี้สาธารณะของไทยค่อนข้างสูงเทียบกับประเทศอื่นที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกัน รวมถึงแนะนำให้ไทยเพิ่มความระมัดระวังในด้านการคลังเพื่อความมั่นคงระยะยาว

ทั้งนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยและทุกภาคส่วนเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนท่ามกลางความท้าทาย จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ ด้วยวิธีคิดและรูปแบบใหม่ๆ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้หารือกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อหาทางออกของประเทศ จากผลกระทบเชิงโครงสร้างและนโยบายการค้าสหรัฐฯ นำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์ม “Reinvent Thailand – A Platform for Policy Co-Creation and Execution” ซึ่งเป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืน เน้นการมีส่วนร่วม ออกแบบและขับเคลื่อนนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง ใช้ข้อมูล (Data-Driven) และผลลัพธ์เป็นตัววัด (Result-Oriented) เพื่อพลิกฟื้นศักยภาพการแข่งขันและใช้เป็น “เข็มทิศ” ให้กับทุกรัฐบาล

โครงการนี้ จะผลักดันนโยบายเร่งด่วน 2 เรื่องสำคัญ คือ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ผ่านการบูรณาการข้อมูลและขยายการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ เพื่อลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และ การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเอกชน ด้วยการลงทุนเทคโนโลยี สร้างห่วงโซ่อุปทานในประเทศ ยกระดับทักษะแรงงานและการจ้างงานคนไทย สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่แข่งขันได้ พร้อมมาตรการจูงใจจากรัฐ เช่น สิทธิพิเศษในการจัดซื้อจัดจ้าง เพื่อสร้างตลาดใหม่อย่างยั่งยืน 

“Reinvent Thailand ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง ที่ไม่ใช่เพียงการขอให้ภาครัฐช่วยเหลือ แต่เป็นการสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยยึดหลัก “Doing Well by Doing Good” สร้างมูลค่าทางธุรกิจ และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ขณะที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การวิจัยและพัฒนา (R&D) ส่งเสริมการลงทุนที่นำไปสู่การยกระดับผลิตภาพ และจัดลำดับความสำคัญในการจัดสรรทรัพยากรใหม่สู่ภาคส่วนที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับระบบเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนและ SMEs โดยแพลตฟอร์มนี้ เปิดกว้างให้ทุกคนมีส่วนร่วมเสนอแนวทาง ร่วมกันออกแบบอนาคตเศรษฐกิจไทย ให้เติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน” 

EXIM BANK ปลื้ม ออกพันธบัตรสกุลบาท มูลค่า 6,000 ล้าน ตอกย้ำบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการ และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า EXIM BANK ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการเสนอขายพันธบัตรสกุลบาท จำนวน 2 ชุด เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2568 โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ (II/HNW) อย่างท่วมท้น ด้วยยอดจองซื้อรวมสูงกว่า 2.4 เท่าของมูลค่าเสนอขายรวม 6,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง สนับสนุนการดำเนินภารกิจสนับสนุนและส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศของผู้ประกอบการไทย ขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

การออกพันธบัตรในครั้งนี้เป็นการเสนอขายพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) รุ่นแรกของธนาคาร จำนวน 3,000 ล้านบาท สานต่อการเสนอขายพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน มูลค่ารวม 14,500 ล้านบาท ตอกย้ำบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและโลกโดยรวม

การออกพันธบัตรมีธนาคารออมสินและธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายพันธบัตร โดยแบ่งเป็น 2 ชุด ได้แก่
• พันธบัตรเพื่อความยั่งยืนของ EXIM BANK ครั้งที่ 1/2568 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2571 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.78% ต่อปี มูลค่า 3,000 ล้านบาท
• พันธบัตรของ EXIM BANK ครั้งที่ 1/2568 ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2573 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.90% ต่อปี มูลค่า 3,000 ล้านบาท 

“พันธบัตรเพื่อความยั่งยืนในครั้งนี้เป็นการระดมทุนเพื่อนำไปใช้ขับเคลื่อนธุรกิจสีเขียว (Green Bond) ผนวกกับการระดมทุนเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม (Social Bond) เพื่อนำไปใช้สนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และธุรกิจ SMEs ของไทยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและแข่งขันได้ในเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ต่อยอดความเข้มแข็งตั้งแต่เศรษฐกิจฐานรากเชื่อมโยงกับ Global Supply Chain” นายบัณฑิต กล่าว

 

ธปท.ดัน "คุณสู้ เราช่วย" เฟส 2 ขยายเวลาช่วยลูกหนี้รายย่อย–SMEs เพิ่มมาตรการใหม่ ช่วยฟื้นตัว-ปิดหนี้เร็วขึ้น

ธปท.ดัน "คุณสู้ เราช่วย" เฟส 2 ขยายเวลาช่วยลูกหนี้รายย่อย–SMEs เพิ่มมาตรการใหม่ ช่วยฟื้นตัว-ปิดหนี้เร็วขึ้น

วันที่ 1 ก.ค.68 ตามที่กระทรวงการคลัง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจที่มิใช่สถาบันการเงิน (Non-Banks) บางแห่ง ออกมาตรการชั่วคราวเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและลูกหนี้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เฉพาะกลุ่ม ภายใต้โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" (โครงการฯ) นั้น

ตั้งแต่เริ่มเปิดโครงการฯ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 จนถึงล่าสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ลงทะเบียนทั้งสิ้น 1.4 ล้านราย ครอบคลุม 1.9 ล้านบัญชี และจากการสำรวจข้อมูลการคัดกรองคุณสมบัติลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ณ วันที่ 15 มิถุนายน 2568 พบว่าลูกหนี้ที่ลงทะเบียนมีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการฯ ได้ มีจำนวน 6.3 แสนราย (คิดเป็นร้อยละ 32 ของลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 1.9 ล้านราย) เป็นยอดหนี้ 4.6 แสนล้านบาท (คิดเป็นร้อยละ 52 ของยอดหนี้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด 8.9 แสนล้านบาท) ทั้งนี้ สถาบันการเงินจะต้องเร่งติดต่อลูกหนี้เพื่อดำเนินการทำข้อตกลงในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือลูกหนี้เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดต่อไป

อย่างไรก็ตาม ภายใต้เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ยังมีลูกหนี้กลุ่มเปราะบางจำนวนมากที่มีปัญหาในการชำระหนี้ และพบว่าลูกหนี้ยังให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการฯ อย่างต่อเนื่อง แต่บางส่วนไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้เนื่องจากมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด กระทรวงการคลัง สศช. ธปท. ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ จึงเห็นควรขยายระยะเวลาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ระยะที่ 1 (จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568) และให้ความช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติม ภายใต้โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ระยะที่ 2 ที่ยังคงยึดหลักการสำคัญเช่นเดียวกับโครงการฯ ระยะที่ 1 ได้แก่ การช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางที่มีโอกาสรอดให้สามารถฟื้นตัวกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ เมื่อรายได้ฟื้นตัวในระยะข้างหน้า หรือให้สามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น โดยออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เฉพาะกลุ่มเป็นการชั่วคราว และมีแนวทางป้องกันมิให้ลูกหนี้เสียวินัยในการชำระหนี้ (moral hazard) ควบคู่ไปด้วย จึงยังคงการพิจารณาคุณสมบัติของลูกหนี้ไว้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 เช่นเดียวกับโครงการฯ ระยะที่ 1

โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ระยะที่ 2 ได้ปรับปรุงเงื่อนไขของมาตรการเดิม และมีมาตรการใหม่เพิ่มเติม เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางได้ครอบคลุมมากขึ้น สำหรับลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และผู้ประกอบธุรกิจ Non-bank ที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ ดังนี้

มาตรการที่ 1 "จ่ายตรง คงทรัพย์" ขยายคุณสมบัติลูกหนี้ที่เข้ามาตรการให้ครอบคลุมถึง 1) ลูกหนี้ที่มีวันค้างชำระเกิน 365 วัน และ 2) ลูกหนี้ที่เคยมีประวัติค้างชำระน้อยกว่าที่กำหนดในระยะที่ 1 คือ เคยค้างชำระ 1 - 30 วัน และเคยปรับโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่วงเงินไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้

มาตรการที่ 2 "จ่าย ปิด จบ" ขยายเพดานภาระหนี้ของลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) เพื่อให้ความช่วยเหลือเพิ่มขึ้น โดย 1) สินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน (unsecured loan)  เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต ขยายเพดานภาระหนี้คงค้างเป็นไม่เกิน 10,000 บาทต่อบัญชี และ 2) สินเชื่อที่มีหลักประกัน (secured loan) ซึ่งได้มีการบังคับหลักประกันแล้ว และมีวงเงินสินเชื่อไม่เกินกว่าที่กำหนด (วงเงินสินเชื่อบ้าน หรือ สินเชื่อ SMEs ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อบัญชี สินเชื่อรถยนต์ไม่เกิน 800,000 บาทต่อบัญชี สินเชื่อรถจักรยานยนต์ไม่เกิน 50,000 บาทต่อบัญชี) ขยายเพดานภาระหนี้คงค้างเป็นไม่เกิน 30,000 บาทต่อบัญชี เพื่อให้ลูกหนี้เหล่านี้สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นหนี้ จาก "หนี้เสีย" เป็น "ปิดจบหนี้" และเริ่มต้นใหม่ได้เร็วขึ้น

มาตรการที่ 3 "จ่าย ตัด ต้น" ซึ่งเป็นมาตรการใหม่สำหรับหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน (unsecured loan) ที่มียอดหนี้คงค้างไม่เกิน 50,000 บาทต่อบัญชี และเป็นหนี้เสีย (สถานะ NPL) โดยการปรับโครงสร้างหนี้ให้มีเงื่อนไขการผ่อนชำระคืนเป็นงวด (term loan) และผ่อนชำระร้อยละ 2 ของเงินต้นคงค้าง เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งค่างวดที่ชำระจะนำไปตัดเงินต้นทั้งจำนวน สำหรับดอกเบี้ยจะพักแขวนไว้ และจะได้รับยกเว้นดอกเบี้ยในระหว่างมาตรการหากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดได้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ให้กับลูกหนี้ทั้งในปัจจุบันและระยะต่อไปได้

ลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการภายใต้โครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 สามารถศึกษารายละเอียดและสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ที่ https://www.bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 หรือติดต่อสาขาของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call center ของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือ BOT contact center ของ ธปท. โทร. 1213

#คุณสู้เราช่าย #แบงก์ชาติ #ธนาคาร #ลูกหนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

"จุลพันธ์ รมช.คลัง" ร่วมประชุมรมว.คลัง และผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ที่อิตาลี 

วันที่ 5 พฤษภาคม 2568 นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง แถลงว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2568 นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 (ASEAN+3 Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting: AFMGM+3) (การประชุมฯ) ครั้งที่ 28 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางมาเลเซียและสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นประธานร่วมของการประชุม ทั้งนี้ รายละเอียดการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้

1. การประชุม AFMGM+3 ครั้งที่ 28 ที่ประชุมได้หารือและแสดงความเห็นในประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน+3 โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคอาเซียน+3 ในปี 2568 และ 2569 ยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการดำเนินมาตรการทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะส่งผลกระทบทางลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกและภูมิภาคอาเซียน+3 อย่างมีนัยสำคัญ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2568 ร้อยละ 3.3 ลดลงเหลือร้อยละ 2.8 นอกจากนี้ สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน+3 (ASEAN+3 Macroeconomic Research Office: AMRO)  ยังได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจภูมิภาคอาเซียน+3 ในปี 2568 และ 2569 จากเดิมที่คาดว่าจะมีการขยายตัวร้อยละ 4.2 และ 4.1 ตามลำดับ ลดลงเหลือร้อยละ 3.8 และ 3.4 ตามลำดับ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายทางการคลังเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนการบูรณาการทางการค้าและบริการภายในภูมิภาคให้มีประสิทธิภาพเพื่อกระจายการส่งออกและลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ติดตามความคืบหน้าการดำเนินนโยบายด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินในกรอบอาเซียน+3 ได้แก่ ทิศทางการดำเนินการในอนาคตของโครงสร้างความช่วยเหลือทางการเงินของภูมิภาค การเสริมสร้างประสิทธิภาพของมาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคี การจัดหาเงินทุนเพื่อรองรับความเสี่ยงจากภัยพิบัติ การดำเนินการของ AMRO มาตรการริเริ่มพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย และข้อริเริ่มภายใต้กรอบความร่วมมือทางการเงินอาเซียน+3 

2. การประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการคลังระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 นอกจากการประชุม AFMGM+3 ครั้งที่ 28 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์) ได้เข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการคลังระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน+3 เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และความคิดเห็นในการดำเนินนโยบายของประเทศสมาชิกอาเซียน+3 ใน 2 หัวข้อหลัก ประกอบด้วย (1) การส่งเสริมการเติบโตควบคู่กับการรักษาความยั่งยืนทางการคลัง (Promoting Growth While Maintaining Fiscal Sustainability) และ (2) การรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ (Addressing Population Aging)  ในการนี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์) ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วมและยั่งยืน ควบคู่กับการรักษาวินัยทางการคลัง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยใช้ยุทธศาสตร์ 3 ด้าน ได้แก่ การเพิ่มรายได้ภาครัฐ การส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชน และการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวคิดเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (Bio - Circular - Green (BCG) Economy) พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับความร่วมมือระดับภูมิภาคผ่านความร่วมมืออาเซียน+3 เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน และการเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืนร่วมกัน นอกจากนี้ ในประเด็นการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ ประเทศไทยเผชิญความท้าทายด้านโครงสร้างจากปัญหาสังคมสูงวัย ซึ่งในปี 2567 ผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนเกินร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลต่อกำลังแรงงาน และภาระทางการคลังที่เพิ่มขึ้น ประเทศไทยจึงดำเนินกลยุทธ์หลายด้าน เช่น การจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ การส่งเสริมการจ้างงานและพัฒนาทักษะผู้สูงวัย การลงทุนในระบบสุขภาพเพื่อผู้สูงอายุ การส่งเสริมการออมโดยสมัครใจพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี และการเปิดตัวสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณเพื่อกระตุ้นการออมระยะยาว ทั้งนี้ ประเทศไทยเห็นความสำคัญของความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อรับมือกับปัญหาสังคมสูงวัยร่วมกันอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

3. การประชุมหารือทวิภาคี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) ได้หารือทวิภาคีกับนาย Scott Morris รองประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ABD) ถึงแนวทางในการเร่งผลักดันการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและ ADB ที่มีความสำคัญ ได้แก่ โครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา และโครงการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขเพื่อก่อสร้างอาคารและขยายเตียงการให้บริการรองรับผู้ป่วย รวมทั้งโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการเกษตรระหว่าง ADB กองทุน Climate Investment Funds (CIF) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศ (ธพว.) ตลอดจนความเป็นไปได้ในการกระชับความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 

ทรูย้ำ! ลูกค้าไม่ต้องกังวล หากไม่ได้รับแจ้งเตือนจากธนาคาร ยังสามารถใช้งานโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ

ทรู คอร์ปอเรชั่น ยืนยันว่า ลูกค้าทรูและดีแทคยังสามารถใช้งานบริการโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ หากไม่ได้รับข้อความแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั่นธนาคาร  ก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินการใด ๆ 

วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ตามแนวทางความปลอดภัยทางไซเบอร์ของภาครัฐ ธนาคารจะเป็นผู้แจ้งเตือนเฉพาะลูกค้าที่ชื่อผู้ลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ไม่ตรงกับชื่อผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ให้ดำเนินการภายในวันที่ 30 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา หากลูกค้าไม่ได้รับแจ้งเตือนจากธนาคาร ก็สามารถใช้งานโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติโดยไม่ต้องดำเนินการใด ๆ  และขณะนี้เนื่องจากเลยกำหนดดังกล่าวแล้ว หากลูกค้ายังมีความกังวล หรือต้องการอัปเดตชื่อเจ้าของเบอร์ให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง สามารถติดต่อทรูช็อปหรือดีแทคช็อปทุกสาขาเพื่อดำเนินการได้ และหลังจากดำเนินการอัปเดตชื่อแล้ว ลูกค้าควรแจ้งธนาคารเจ้าของบัญชีเพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า  ที่ผ่านมา มีลูกค้าจำนวนมากเดินทางเข้ามาติดต่อที่ทรูช็อป เพื่อสอบถามและดำเนินการเกี่ยวกับการลงทะเบียนซิมให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง   ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอเรียนแจ้งให้ลูกค้ามั่นใจว่า หากไม่ได้รับข้อความแจ้งเตือนจากธนาคารผ่านแอปพลิเคชั่น (Push Notification)ของธนาคาร ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเร่งดำเนินการใดๆ จะสามารถใช้งานบริการโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ   

ขณะเดียวกันทรูยังพร้อมอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการอัปเดตข้อมูลชื่อเจ้าของหมายเลขให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งานโมบายแบงค์กิ้ง โดยยังสามารถดำเนินการได้ที่ทรูช็อป และศูนย์บริการดีแทคทั่วประเทศ  อีกทั้งลูกค้าแบบเติมเงิน สามารถอัปเดตข้อมูลได้ด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ทรูแอปพลิเคชั่น ลูกค้าทรู: https://ss.true.th/s/3aCz และลูกค้าดีแทค: https://dtac.co.th/s/d3aCz

อย่างไรก็ตามเนื่องจากพ้นกำหนดเวลาที่ธนาคารกำหนดแล้วคือ 30 เมษายน 2568  ต้องขอความร่วมมือลูกค้าหลังจากดำเนินการอัปเดตชื่อแล้ว ควรแจ้งธนาคารเจ้าของบัญชีเพื่อยืนยันการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง   เพื่อความมั่นใจในการใช้บริการทางการเงินของธนาคารต่อไป

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถตรวจสอบความเป็นเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ได้ด้วยตนเอง ดังนี้
• ลูกค้าทรูแบบรายเดือน: กด *179*หมายเลขบัตรประชาชน# โทรออก
• ลูกค้าทรูแบบเติมเงิน: กด *153# โทรออก
• ลูกค้าดีแทค ทั้งแบบรายเดือนและเติมเงิน: กด *120# โทรออก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร ทรู 1242 หรือ ดีแทค 1678

"ธนาคารไทยเครดิต" Q1/68 กำไร 903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.8%

ธนาคารไทยเครดิต Q1/68 กำไร 903 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.8%

วันที่ 21 เมษายน 2568 ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ประกาศผลกำไรสุทธิประจำไตรมาสแรกของปี 2568 อยู่ที่ 903.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 100.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ร้อยละ 42.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการบริหารจัดการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของธนาคาร การออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ต่อเนื่อง และการเพิ่มจำนวนพนักงานเก็บเงินและเร่งรัดหนี้สินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คุณภาพของสินทรัพย์ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม NPL Coverage Ratio ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 150.7 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินงานที่ยังมุ่งเน้นความระมัดระวัง

ทั้งนี้ถึงแม้ว่าประเทศไทยเผชิญกับนโยบายการปรับเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงปลายไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารยังสามารถรักษาการเติบโตของกำไรได้ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง และการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ยอดเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 165,889.6 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากปีก่อน นอกจากนี้ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ตามการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ ในขณะเดียวกัน ธนาคารยังสามารถควบคุมคุณภาพของสินทรัพย์จากการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยคงอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (Gross NPLs ratio) ที่ร้อยละ 4.4 ขณะที่อัตราส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin: NIM) ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 7.9 สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธนาคาร

นายรอยย์ ออกุสตินัส กุนารา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT เปิดเผยว่า “แม้จะอยู่ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ ธนาคารไทยเครดิตยังคงดำเนินกลยุทธ์ที่เน้นความรอบคอบและมีวินัยทางการเงิน โดยให้ความสำคัญกับการบริหารคุณภาพของสินเชื่ออย่างเข้มงวด พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในสภาพแวดล้อมแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยให้ธนาคารสามารถรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”

นอกจากนี้ ในปี 2568 ธนาคารไทยเครดิตได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ภายใต้ชื่อ “SME กล้าสู้” โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการไมโครเอสเอ็มอี ให้สามารถก้าวข้ามอุปสรรคและความท้าทายทางธุรกิจได้อย่างมั่นใจและมีความมั่นคง สอดคล้องกับจุดยืนของธนาคารที่พร้อมยืนหยัดเคียงข้างผู้ประกอบการในทุกช่วงเวลา (“STANDBY เคียงข้าง SME ทุกช่วงเวลา”) สินเชื่อ “SME กล้าสู้” ถือเป็นครั้งแรกที่ธนาคารนำโมเดลการพิจารณาสินเชื่อแบบอิงความเสี่ยง (Risk-based Pricing) มาใช้กับกลุ่มลูกค้าไมโครเอสเอ็มอี ที่มีความยืดหยุ่น สามารถคำนวณอัตราดอกเบี้ยตามระดับความเสี่ยงของผู้ประกอบการแต่ละราย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับเงื่อนไขสินเชื่อที่เหมาะสมยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ธนาคารยังคงเดินหน้าผลักดัน “สินเชื่อเถ้าแก่ใหญ่” อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มทุนหมุนเวียนและเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย สามารถต่อยอดกิจการเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว รองรับความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจ

สำหรับกลยุทธ์สำคัญที่ธนาคารใช้ในการขับเคลื่อนเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 ประกอบด้วย

-การขยายสินเชื่อในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก

-การพัฒนาและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

-การสร้างและพัฒนาธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มแหล่งรายได้ในอนาคต

-กลยุทธ์ทั้งสามด้านนี้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานระยะยาวของธนาคาร ซึ่งมุ่งสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว

“ธนาคารมุ่งมั่นยกระดับการให้บริการทางการเงินอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับการวางรากฐานที่มั่นคงผ่านการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการรับมือกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังถือเป็นการยกระดับระบบและแพลตฟอร์มของธนาคารให้สมบูรณ์แบบและตอบรับกับกระแสดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมการเงินทั้งในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนี้ ธนาคารยังมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายจุดให้บริการลูกค้าผ่านการเปิด Business Center ในจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าให้มีความสะดวกครอบคลุมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นายรอยย์กล่าว

#ธนาคารไทยเครดิต #ข่าววันนี้ #ธนาคาร #ภาษีทรัมป์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

“ล้มบัญชีม้า” รัฐบาล เปิดยุทธการ ผนึก “ธนาคาร-ค่ายมือถือ”

รัฐบาลเปิดยุทธการจัดการ “ล้มบัญชีม้า”ผนึกธนาคาร-ค่ายมือถือ สกัดบัญชีม้า วางเดดไลน์ 30 เมษายนนี้ หากผู้ใช้เบอร์โทรไม่ตรงกับแบงค์กิ้ง รีบติดต่อด่วน

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 09.30 น. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยกระดับความปลอดภัยในการใช้ “Mobile Banking” ในการสกัดกั้นบัญชีม้าที่เป็นเส้นทางก่ออาชญากรรมของมิจฉาชีพ โดยจะกำหนดให้ชื่อผู้ใช้งานตรงกับชื่อเจ้าของซิมมือถือ โดยกำหนดให้ธนาคารดำเนินการแจ้งผู้ใช้ หากตรวจพบรายชื่อเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์มือถือไม่ตรงบัญชี Mobile Banking ผู้ใช้จะต้องได้รับข้อความผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร ระหว่างวัน 1-28 ก.พ.68 เพื่อให้ยืนยันตัวตนผ่านศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ ภายในวันที่ 30 เม.ย. 68

ในปีที่ผ่านมาได้มีนโยบายการ Cleaning Mobile Banking ซึ่งเป็นการปรับข้อมูลผู้ใช้งานให้ตรงกับเจ้าของซิมโดย กสทช. และ ผู้ให้บริการโทรคมนาคมทุกเครือข่าย รวมทั้งสำนักงาน ปปง. ธปท. และธนาคารทุกแห่ง ได้ดำเนินการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์จำนวนกว่า 120 ล้านหมายเลขแล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่ผ่านมาซึ่งได้แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม (M) (N) และ (P)  คือกลุ่มที่ 1 เป็นลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งเป็น M คือ ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ตรงกัน มีจำนวนประมาณ 75.8 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 63.02

กลุ่มที่ 2 คือลูกค้าที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งเป็น N คือ ชื่อเจ้าของซิม และ Mobile Banking ไม่ตรงกัน มีจำนวนประมาณ 30.9 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 25.68 ได้แก่ บัญชีต่างชาติ กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566 สามารถดำเนินการ โดยติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือ เพื่อเปลี่ยนเจ้าของซิม หรือติดต่อธนาคารที่ใช้งาน Mobile Banking เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ผูกกับ Mobile Banking ของธนาคาร เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking ภายในวันที่ 30 เม.ย 68 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน

กลุ่มที่ 3 คือลูกค้าที่ ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แจ้งกลับมาเป็น P คือไม่พบชื่อเจ้าของซิม/ไม่มีข้อมูล มีจำนวน 13.5 ล้านหมายเลข คิดเป็นร้อยละ 11.29 ได้แก่ กลุ่มลูกค้าที่เปิดบัญชีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และเปิดใช้งาน Mobile Banking ก่อนปี พ.ศ. 2566  ที่ตรวจสอบจากค่ายมือถือแล้ว แต่ไม่พบชื่อเจ้าของซิม (ดำเนินการพร้อมกัน 2.4 ล้านเลขหมาย) โดยกรณีหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ใช้ลงทะเบียนกับธนาคารมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ สามารถติดต่อศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือที่ใช้บริการด้วยตนเอง เพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ ลงทะเบียนชื่อเจ้าของซิมให้ตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ตามเงื่อนไขของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือ (ธนาคารไม่สามารถดำเนินการในส่วนนี้แทนได้) พร้อมบัตรประชาชน เพื่อดำเนินการให้ข้อมูลชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อที่ใช้งาน Mobile Banking  ภายในวันที่ 30 เม.ย. 68 หากไม่ดำเนินการภายในกำหนด บริการ Mobile Banking อาจถูกระงับการใช้งาน ทั้งนี้ ลูกค้าที่ได้รับแจ้ง (P) ต้องดำเนินการอัปเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในวันที่ 30 เม.ย. 68 หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป

“ในส่วนของขั้นตอนการดำเนินการธนาคารจะดำเนินการแจ้งประชาชน [ลูกค้าในกลุ่มที่ 2 (N) และกลุ่มที่ 3 (P)] ผ่านช่องทาง Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร ภายในวันที่ 1 ก.พ. 68 โดยประชาชนที่ได้รับแจ้งต้องดำเนินการอัพเดตข้อมูลชื่อเจ้าของซิม  และชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ให้ตรงกัน ภายในเวลา 90 วัน (สิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย. 68) หากไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ปปง. ธปท. และ กสทช. จะพิจารณาระงับการใช้งาน Mobile Banking เป็นการชั่วคราวต่อไป”

ทั้งนี้ มาตรการ Mobile Banking พิจารณายกเว้นกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มที่มีข้อจำกัดในการปฏิบัติตามมาตรการโดยมีรายละเอียดดังนี้

1. เบอร์มือถือที่จดทะเบียนในชื่อหน่วยงานราชการ (เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด) หรือองค์กรที่ใช้โดยพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ จะได้รับการพิจารณาเป็นข้อยกเว้น และไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามมาตรการนี้

2. ลูกค้าที่มีความจำเป็น หรือข้อจำกัดเฉพาะ เช่น ไม่สามารถเปลี่ยนเบอร์มือถือได้ เนื่องจากข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือเอกสาร สามารถยื่นคำขอยกเว้น พร้อมเอกสารประกอบแสดงเหตุผลต่อธนาคาร

3. กลุ่มบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อ แม่ บุตร พี่น้อง ปู่ ย่า ตายาย คู่สมรส (จดทะเบียน) โดยจะต้องแสดงเอกสารความสัมพันธ์ต่อธนาคาร ได้แก่ เอกสารที่ออกโดยหน่วยงานราชการ เช่น ทะเบียนบ้าน สูติบัตร ทะเบียนสมรส เป็นต้น และเอกสารแสดงความเป็นเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ เช่น ใบกำกับภาษี ใบเสร็จ ค่าโทรศัพท์

4. นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทเอกชน หรือนิติบุคคลตามกฎหมาย (กรณีที่ลงทะเบียนในนามนิติบุคคล และให้พนักงานในองค์กรใช้งาน) จะต้องมีเอกสารรับรองจากบริษัท ที่มีข้อความระบุชื่อ เบอร์โทรศัพท์ และอนุญาตให้ใช้เบอร์โทรศัพท์ผูก Mobile Banking

5. ผู้ที่ต้องได้รับความดูแลตามกฎหมาย ได้แก่ ผู้ไร้ความสามารถ ผู้เสมือนไร้ความสามารถ และผู้พิการ จะต้องนำเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้อนุบาล หรือเอกสารตามคำสั่งศาลแต่งตั้งผู้พิทักษ์ บัตรผู้พิการ หรือเอกสารที่หน่วยงานราชการออกให้ มายื่นแสดงต่อธนาคาร

“รัฐบาลกำชับให้ธนาคาร และผู้ให้บริการโทรคมนาคม สกัดบัญชีม้าเต็มรูปแบบ เริ่ม 1 ก.พ. 68 นี้ โดยประชาชนจะได้รับแจ้งเตือนผ่านแอปฯธนาคาร Mobile Banking เท่านั้น ไม่แจ้งเตือนผ่านช่องทางอื่น ต้องตรวจสอบว่าตนเองอยู่ในกลุ่มใด และปฏิบัติตามคำแนะนำ พร้อมอัปเดตข้อมูลให้ชื่อเจ้าของซิมตรงกับชื่อผู้ใช้งาน Mobile Banking ภายใน 90 วัน (สิ้นสุด 30 เม.ย. 2568) มิฉะนั้นอาจถูกระงับการใช้งานชั่วคราว ทั้งนี้ หากไม่ได้รับแจ้งเตือน สามารถใช้งาน Mobile Banking ได้ตามปกติ ส่วนสมุดบัญชียังคงใช้งานได้ทุกกรณี ”  นายคารม ย้ำ

"ธปท." ยกระดับป้องกันบัญชีม้า ระงับโอนเงิน-เปิดบัญชี ผลักดันแนวทางแบงก์ร่วมรับผิดชอบ 

"ธปท." ยกระดับป้องกันบัญชีม้า ระงับโอนเงิน-เปิดบัญชี ผลักดันแนวทางแบงก์ร่วมรับผิดชอบ

เมื่อวันที่ 30 ม.ค.68 นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินมาอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมามีการดำเนินการสำคัญ อาทิ การกำกับดูแลให้สถาบันการเงินมีมาตรฐานการให้บริการ mobile banking ที่ปลอดภัยมากขึ้น การยกระดับการจัดการบัญชีม้าจากระดับบัญชีเป็นระดับบุคคล ซึ่งช่วยให้บัญชีม้าถูกระงับเป็นจำนวนมากและเปิดใหม่ได้ยากขึ้น อย่างไรก็ดี รูปแบบและพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนไปต่อเนื่อง ทำให้ความเสียหายจากภัยทุจริตทางการเงินไม่ได้ลดลง ในครั้งนี้ ธปท. จึงยกระดับมาตรการเชิงป้องกัน โดยเพิ่มความเข้มข้นและขยายผลการจัดการบัญชีต้องสงสัย เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการเชิงรุกในการป้องกันความเสี่ยงและแก้ปัญหาภัยทุจริตทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน กล่าวว่า มาตรการยกระดับการจัดการบัญชีม้าเพิ่มเติม ประกอบด้วย 1) การกวาดล้างบัญชีม้าให้ได้มากขึ้น โดยปรับเงื่อนไขการเข้าข่ายเป็นบัญชีม้าให้เข้มขึ้น โดยคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆเพิ่มเติม เช่น พฤติกรรมการโอนของบัญชีม้า มูลค่าของธุรกรรม เพื่อให้ครอบคลุมพฤติกรรมของมิจฉาชีพที่เปลี่ยนไป รวมทั้งสามารถดำเนินการกับบัญชีม้าได้แม้ยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย เพื่อยกระดับการจัดการบัญชีม้าแต่ละระดับให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

2) การจัดการบัญชีม้าระดับบุคคลที่เข้มข้นขึ้น โดยธนาคารต้องขยายให้การระงับการโอนเงินออกจากบัญชีม้าและการปฏิเสธการเปิดบัญชีใหม่ ครอบคลุมไปถึงกรณีของบัญชีที่มีความเสี่ยงสูงว่าจะเป็นบัญชีม้า (แต่ยังไม่ถูกแจ้งว่าทำให้เกิดความเสียหาย) เพิ่มเติมด้วย รวมทั้งต้องกันเงินไม่ให้เข้าไปยังบัญชีของม้าทุกประเภทที่ระบุได้ชัดเจนว่ามีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ธนาคารต้องแจ้งเตือนให้ผู้โอนรู้ตัวว่าอาจกำลังโอนเงินไปยังบัญชีม้า เพื่อป้องกันความเสียหายตั้งแต่ต้น และผู้ถูกหลอกไม่ต้องเสียเวลาในการดำเนินการทางกฎหมายเพื่อรับเงินคืน

3) การขยายการจัดการในวงที่กว้างขึ้น โดยกำหนดให้ธนาคารต้องแลกเปลี่ยนรายชื่อบุคคลที่ธนาคารตรวจสอบว่ามีพฤติกรรมต้องสงสัยระหว่างกันเพิ่มเติมแม้ยังไม่ได้รับแจ้งจากผู้เสียหาย จากเดิมที่แลกเปลี่ยนกันเฉพาะรายชื่อบุคคลที่เข้าข่ายการกระทำความผิดตามฐานข้อมูลสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และรายชื่อบุคคลที่ถูกแจ้งความหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในเส้นทางการเงินทุจริตเท่านั้น เพื่อให้ธนาคารดำเนินการป้องกันภัยทุจริตได้ครอบคลุม รวดเร็ว เป็นมาตรฐานเดียวกันมากขึ้น

นอกจากนี้ ธปท. ยังกำหนดให้ธนาคารต้องพัฒนาการจัดการบัญชีม้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดความเสี่ยงจากรูปแบบการหลอกลวงและพฤติกรรมของมิจฉาชีพในอนาคต เช่น การปรับปรุงเงื่อนไขการตรวจจับบัญชีม้าให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ การพัฒนาระบบการตรวจจับบัญชีม้าและพฤติกรรมผิดปกติของลูกค้า เพื่อให้ธนาคารสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับพฤติกรรมรายบุคคลอย่างรวดเร็ว ตลอดจนร่วมมือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้กำกับดูแลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในการปิดช่องโหว่เส้นทางเงินที่สำคัญของมิจฉาชีพ

ทั้งนี้ ธปท. เห็นว่าการแก้ไขปัญหาภัยทุจริตทางการเงินให้ได้อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งภาคธนาคาร ผู้ให้บริการโทรคมนาคม (Telco) หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนผู้ใช้บริการ ในการรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองตามขอบเขตมาตรฐานที่ผู้กำกับดูแลกำหนดไว้อย่างชัดเจน หากฝ่ายไหนละเลยการปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด ควรที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น (Shared responsibility) โดย ธปท. จะประกาศกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบที่ธนาคารพึงปฏิบัติให้ชัดเจน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับผู้กำกับดูแลด้านอื่นๆต่อไป

#ธปท #ข่าววันนี้ #บัญชีม้า #ธนาคาร #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

ธปท.หนุนพ.ร.ก.ป้องกันภัยไซเบอร์ ธนาคารต้องร่วมชดใช้ เล็งประกาศกำหนดหน้าที่-ความรับผิดชอบ 

ธปท.หนุนพ.ร.ก.ป้องกันภัยไซเบอร์ ธนาคารต้องร่วมชดใช้ เล็งประกาศกำหนดหน้าที่-ชดเชยค่าเสียหาย 

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.68 นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุม ครม. วันที่ 28 มกราคม 2568 มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... นั้น ธปท. สนับสนุนหลักการของร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าว และได้ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความเห็นเพื่อปรับร่าง พ.ร.ก.ฃ ให้สามารถนำมาใช้ในการยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น รวมถึงการกำหนดกลไกที่ผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้องต้องร่วมรับผิดชอบและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นหากละเลยการปฏิบัติตามมาตรฐานที่หน่วยงานกำกับดูแลกำหนด ซึ่งเป็นทิศทางนโยบายที่ ธปท. ให้ความสำคัญและอยู่ระหว่างการผลักดันร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนมาต่อเนื่อง

โดยในส่วนของ ธปท.จะมีการประกาศกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบที่สถาบันการเงินพึงปฏิบัติให้ชัดเจน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับผู้ให้บริการด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้องภายใต้ พ.ร.ก.ฉบับนี้และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป

#ธปท #ข่าววันนี้ #ป้องกันภัยไซเบอร์ #ธนาคาร #คอลเซ็นเตอร์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

Money20/20 Asia ยกระดับความสำเร็จสุดยิ่งใหญ่ เพิ่มทัพวิทยากรจากหน่วยงานกำกับดูแลการทำธุรกรรมและการเงิน ธนาคาร ผู้นำอุตฯแถวหน้าของเอเชีย

Money20/20  มหกรรมงานฟินเทคชั้นนำระดับโลกสุดยิ่งใหญ่กลับมาอีกครั้งพร้อมเปิดตัวทัพวิทยากรแถวหน้าของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่า 130 ท่าน ที่ตกลงเข้าร่วม ณ ตอนนี้เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกของวงการบนเวทีสุดยิ่งใหญ่ตระการตากว่าเดิมถึงสองเท่าทั้ง 4 เวที ประกอบด้วย the Exchange Stage, the MoneyPot, the Unfiltered Stage และเวทีสุดล้ำ the HumanA.I.ty Stage ที่เสริมความแปลกใหม่ในเวทีปีนี้กับ ‘Aiana’ พิธีกรสาว AI ของ Money20/20 มาสร้างสีสัน โดยงาน Money20/20 Asia ในปีนี้จะจัดขึ้นที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 22-24 เมษายนปีหน้า วิทยากรและจากผู้นำอุตสาหกรรมแถวหน้าที่เกี่ยวข้องในระบบทางการเงินของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกพร้อมตบเท้าเข้าร่วมงานไม่ว่าจะด้านฟินเทค ธนาคารและการเงิน พร้อมทั้งบริษัทสตาร์ทอัพชั้นนำของวงการจากกว่า 25 ประเทศต่างพร้อมร่วมงานมหกรรมทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดของภูมิภาคนี้เพื่อแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจต่าง ๆ อาทิ กรณีศึกษาในโลกของการเงินที่เกิดขึ้นจริง กลยุทธ์เชิงลึกเกี่ยวกับขับเคลื่อนบริการทางการเงินแบบฝังตัวบนแอปต่างๆ (Embedded Finance) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ความก้าวหน้าของบล็อกเชน (blockchain) ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (cyber security) และหัวข้ออื่นๆที่เป็นที่สนใจของวงการอีกมากมาย

โดยงานปีนี้ขนขบวนทัพนักวิทยากรจากแบรนด์ธนาคารเจ้าตลาดยกทัพเข้าร่วมอย่างยิ่งใหญ่กว่าเดิม เช่น คุณ ภิชชา ศิริยะพันธุ์, Head of Payments ของประเทศไทยจาก J.P. Morgan Payments คุณ Simon Loong, Founder & Group CEO ของ WeLab และคุณ Chan Cheong Siew, Group Chief Strategy & Transformation Officer ของ Maybank เสริมทัพด้วยผู้นำของวงการด้านการชำระเงินอย่าง คุณ Lucy Liu, Co-founder และ President ของ Airwallex อีกทั้ง คุณ Martha Sazon, President และ CEO ของ Mynt/GCash ยิ่งไปกว่านั้น ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คุณ Adnan Zaylani, รองผู้ว่าการด้านบริหาร ธนาคารกลางของมาเลเซีย (BNM) และ คุณ Nik Mohamed Din Nik Musa, Director General ของ Labuan FSA ได้ตอบรับการเข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นทั้งหมดเป็นเพียงการตอบรับเบื้องต้นจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินระดับประเทศและภูมิภาค และแน่นอนว่ายังมีอีกหลายท่านที่กำลังพร้อมตอบรับเข้าร่วมอยู่โดยจะมีการประกาศอัพเดทอย่างต่อเนื่องให้ทราบ

คุณ Danny Levy, Managing Director ของ Money20/20 Asia กล่าวถึงมหกรรมงานฟินเทคสุดยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าอย่างมั่นใจว่า “กว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ฟินเทคได้พลิกจากเทรนด์จะเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมสู่ปัจจัยหลักที่เข้ามาผลักดันวงการด้านการเงินทั่วโลก ในขณะที่โลกของการเงินกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในพื้นฐานอย่างมากมาย ธุรกิจต่างๆ ก็ต้องพบเจอกับแรงกดดันรายล้อม ณ ปัจจุบันเฉกเช่นกันในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและส่งมอบผลลัพธ์ที่โดดเด่นในด้านต่างๆ เช่น AI แก่ตลาด ซึ่งในปีนี้ด้วยทัพนักวิทยากรระดับวงการจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตอกย้ำว่างาน Money20/20 Asia จะนำระบบนิเวศการบริการทางการเงินของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดมารวมกันอย่างแท้จริง เพื่อนำเสนอแนวทางและสร้างสรรค์อนาคตของการเงินให้ก้าวหน้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” 

ในปีหน้า Money20/20 มีหัวใจของงานที่เด่นชัดนั้นก็คือการมุ่งในด้านของการเสริมพลังมนุษยชาติผ่านการทำงานร่วมกัน: ผู้บุกเบิกนวัตกรรมฟินเทคที่ปลอดภัย ไร้อุปสรรค และยั่งยืนในเอเชีย หรือ ‘Empowering Humanity Through Collaboration: Pioneering Secure, Frictionless, and Sustainable Fintech Innovation in Asia’ เพื่อเสาะหาแนวทางขับเคลื่อนร่วมกันเพื่อผลักดันเทคโนโลยีทางการเงินที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และยั่งยืน ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะสร้างโลกทางการเงินที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ทุกภาคส่วน

“ภาคฟินเทคมีความก้าวหน้าอย่างเป็นประจักษ์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยปฏิวัติวิธีที่ธุรกิจและผู้บริโภคมีปฏิสัมพันธ์กับเครื่องมือทางการเงิน แต่ศักยภาพที่มีอย่างเปี่ยมล้นของเครื่องมือทางการเงินยังไม่ได้ถูกแสดงออกมาทั้งหมด ซึ่งทำให้ดิฉันตื่นเต้นอย่างมากที่จะมีส่วนร่วมในการอภิปรายเชิงลึก ณ งาน Money 20/20 Asia 2025 และการสร้างเครือข่ายกับผู้นำในอุตสาหกรรมและนักสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะร่วมกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมการเงิน” คุณ Lucy Liu, Co-founder and President ของ Airwallex กล่าวเสริมท้าย