"TDRI" แนะแนวทางไทยเจรจาภาษีทรัมป์ ต้องไปไกลกว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

"TDRI" แนะแนวทางไทยเจรจาภาษีทรัมป์ ต้องไปไกลกว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Somkiat Tangkitvanich ระบุว่า ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผมต่อกรอบแนวทางในการเจรจา 5 ข้อของไทยกับสหรัฐ - ต้องไปให้ไกลกว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยมุ่งสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

รัฐบาลไทย วางกรอบแนวทาง 5 ข้อ ในการเจรจากับสหรัฐ ประกอบด้วย 1.การเน้นความร่วมมือในอุตสาหกรรมที่เกื้อหนุนกัน เช่น การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง 2. การเปิดตลาดสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดให้สหรัฐ โดยใช้โควตานำเข้าแบบยืดหยุ่น 3.การเพิ่มการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นจากสหรัฐ เช่น ก๊าซธรรมชาติ และเครื่องบินพาณิชย์ 4.การคัดกรองสินค้าส่งออก เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์จากประเทศที่สาม และ 5.การเพิ่มการลงทุนของไทยในอุตสาหกรรมแปรรูปในสหรัฐ

โดยรวมแล้ว เห็นด้วยกับกรอบแนวทางในการเจรจาดังกล่าว และเห็นว่าน่าจะพอตอบโจทย์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้บ้าง เพราะจะช่วยลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐได้ระดับหนึ่ง ที่สำคัญกว่านั้น คือหลายเรื่องในกรอบการเจรจาก็เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว เพราะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยเองในหลายด้าน ไม่ว่าจะมีการเจรจากับสหรัฐหรือไม่ก็ตาม

อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมต่อแนวทางในการเจรจา และการกำหนดนโยบายที่จะตามมาของรัฐบาลไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว มากกว่าการแก้ไขวิกฤติการค้าเฉพาะหน้า ดังนี้

1.การเปิดตลาดและลดภาษีในสินค้าเกษตร

แนวทางของรัฐบาล คือไทยจะเปิดตลาดและลดภาษีสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดจากสหรัฐ โดยใช้ "โควตานำเข้าแบบยืดหยุ่น" เพื่อรักษาสมดุล ไม่ให้กระทบผู้ผลิตในประเทศ

โดยข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ คือ การปลูกข้าวโพดเพื่อเป็นอาหารสัตว์ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ของไทยเป็นการผลิตที่ไม่สอดคล้องกับความได้เปรียบในเชิงเปรียบเทียบของประเทศ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ และต้องอาศัยการคุ้มครองด้วยโควตานำเข้า ซึ่งเป็นระบบที่ไม่มีความโปร่งใส และอยู่ได้ด้วยการค้ำจุนของกลุ่มผลประโยชน์ในธุรกิจเมล็ดพืช ปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช ซึ่งมีเกษตรกรเป็นลูกค้า

โดยผลของการปลูกข้าวโพดในประเทศไทย ซึ่งภายหลังขยายไปประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากจะไม่มีประสิทธิภาพ และทำให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว ยังทำให้เกิดปัญหาการเผาแปลงเกษตรในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหา PM 2.5 ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง และทำลายการท่องเที่ยวซึ่งเป็นธุรกิจหลักของประเทศ

ทั้งนี้ ธนาคารโลก เคยประเมินว่า เฉพาะความเสียหายด้านสุขภาพของไทยจากปัญหา PM 2.5 ในแต่ละปีก็สูงถึง 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท) หรือ 3.9% ของ GDP แล้ว ดังนั้น การยกเลิกโควตาในการนำเข้าข้าวโพด และถั่วเหลือง จะเกิดประโยชน์มหาศาลต่อทั้งการลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ และยังเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์ การท่องเที่ยว สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือสุขภาพของประชาชน จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม การยกเลิกโควตานำเข้าดังกล่าว จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพดในประเทศไทย รัฐบาลจึงควรให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในการปรับตัวอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้กลุ่มผลประโยชน์ใช้เกษตรกรเป็นข้ออ้างในการขัดขวางการยกเลิกโควตาดังกล่าว

ในระยะเปลี่ยนผ่าน นโยบายที่เหมาะสมของรัฐบาลไม่ควรเป็นการใช้ "โควตานำเข้าแบบยืดหยุ่น" เนื่องจากโควตาเป็นระบบที่มีปัญหามากในตัวเอง เพราะต้องพิจารณาว่าใครจะได้ผลประโยชน์จากโควตา ซึ่งเปิดช่องให้เกิดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐในการแสวงหาประโยชน์ และ "ความยืดหยุ่น" ที่มีอาจจะมากจนกลับไปเป็นโควตาแบบเข้มงวดได้อีกในอนาคต จึงควรเปลี่ยนโควตาเป็น "ภาษีนำเข้า" ซึ่งมีความโปร่งใสมากกว่า เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์น้อยกว่า และยังสร้างรายได้ให้แก่ภาครัฐ

2.คัดกรองสินค้าส่งออก

แนวทางของรัฐบาล คือไทยจะคัดกรองสินค้าส่งออก เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์จากประเทศที่สาม ทั้งการตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบและโรงงานผลิต เน้นความโปร่งใส และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์สากล เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในฐานะคู่ค้า

โดยข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ คือเป็นความจริงที่การสวมสิทธิ์สินค้าที่นำเข้าจากประเทศที่สามให้กลายเป็นสินค้าไทย เพื่อหลบเลี่ยงภาษีในระดับสูงในการส่งออกไปสหรัฐ มีส่วนทำให้ไทยเกินดุลการค้าสหรัฐมาก จนเป็นเป้าหมายในการถูกเก็บภาษีนำเข้า

อย่างไรก็ตาม "การคัดกรองสินค้าส่งออก" เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ง่าย และอาจทำให้การส่งออกโดยรวมประสบปัญหาล่าช้าไปด้วย นอกจากนี้ หากรัฐบาลมุ่งคัดกรองเฉพาะสินค้าที่ส่งออกไปสหรัฐ แต่ไม่คัดกรองสินค้าที่ส่งออกไปตลาดอื่น เช่น ยุโรป ในอนาคตสินค้าไทยก็อาจจะเป็นเป้าหมายในการกีดกันการค้าจากตลาดดังกล่าวเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ทางเลือกที่น่าจะเหมาะสมกว่า และเป็นการแก้ไขปัญหาที่ต้นทางคือ "การคัดกรองการลงทุน" ที่ย้ายมาประเทศไทยเพื่อหลบเลี่ยงภาษีของประเทศปลายทาง เช่น สหรัฐ ซึ่งทำให้เกิดการนำเข้าวัตถุดิบและชิ้นส่วนจำนวนมากมาดำเนินการเล็ก ๆ น้อย ๆ ในประเทศไทยก่อนจะส่งออกไปปลายทาง ทั้งนี้ การลงทุนที่ทำให้เกิดปัญหาส่วนหนึ่งอาจเป็นการลงทุนที่ได้รับการ "ส่งเสริม" จากรัฐบาลไทยด้วย

ดังนั้น บีโอไอ ควรใช้หลักเกณฑ์ที่เข้มงวดมากขึ้นในการคัดกรองการลงทุนจากต่างประเทศ โดยให้การส่งเสริมเฉพาะโครงการที่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยอย่างแท้จริง เช่น สร้างงานรายได้ดีจำนวนมากแก่คนไทย คุ้มค่ากับภาษีที่ยกเว้นหรือลดหย่อนให้

โดยการดำเนินการดังกล่าว จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งด้านการค้า โดยทำให้ประเทศไทยเกินดุลการค้าต่อสหรัฐลดลง สินค้าที่ผลิตในไทยอย่างแท้จริง ไม่ตกเป็นเป้าหมายที่ถูกเก็บภาษีในระดับสูง และช่วยให้ประเทศไม่สูญเสียรายได้ภาษีจากการส่งเสริมการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มเพียงพอ

นอกจากคัดกรองการลงทุนใหม่แล้ว หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องควรเร่งตรวจสอบและเพิกถอนบัตรส่งเสริมการลงทุนที่ออกไปแล้ว หากพบว่าโรงงานถูกใช้ในการสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก ตลอดจนเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานที่ผลิตสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพ เช่น เหล็กที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือโรงงานที่มีปัญหาสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอุบัติเหตุโรงงานบ่อยครั้ง

อย่างไรก็ดี แทนที่จะคัดกรอง "สินค้าส่งออก" ไปสหรัฐอย่างเข้มข้นเพื่อประโยชน์ด้านการค้า รัฐบาลควรคัดกรอง "สินค้านำเข้า" มาไทยจากประเทศที่มีประวัติการผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน เช่น มีสารตกค้างในระดับสูงและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เช่น ผักและผลไม้จำนวนมากที่ อย. เคยตรวจพบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐาน แต่ก็ยังปล่อยให้นำเข้ามาไทยอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับสินค้าอุตสาหกรรมที่ไม่ได้มาตรฐาน มอก. ที่สร้างความเสียหายแก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการไทยที่ถูกตัดราคาโดยไม่เป็นธรรม

3.ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะอื่น ๆ

รัฐบาลใช้รายงาน National Trade Estimate 2025 ของสหรัฐ ซึ่งประเมินอุปสรรคทางการค้าของไทย เป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดกรอบการเจรจา ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะสม แต่ยังไม่ได้พิจารณาอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนของไทยในอีกหลายเรื่องที่มีความสำคัญมากที่ระบุในรายงานดังกล่าว รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ ในการลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนของไทยตามที่ระบุในรายงานดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะช่วยในการเจรจากับสหรัฐแล้ว ยังจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยเอง ดังนี้

-ยกเลิกการให้สินบน 30% จากเงินค่าปรับจากการทำผิดกฎหมายศุลกากร ซึ่งเป็นเหตุให้มีกรณีที่เจ้าหน้าที่บางคนแสวงหาผลประโยชน์ในทางไม่ชอบ โดยการยกเลิกสินบนดังกล่าว จะทำให้ระบบศุลกากรของไทยมีความโปร่งใสมากขึ้น และเอื้อต่อการทำธุรกิจของประชาชน

-ทบทวนกฎระเบียบด้านการนำเข้าและส่งออกสินค้าในหมวดปศุสัตว์ ซึ่งถูกสหรัฐตั้งข้อสังเกตมาก และหลายเรื่องก็เป็นเรื่องที่ภาคธุรกิจไทยเคยร้องเรียน โดยทบทวนให้กฎระเบียบเหล่านั้น อยู่บนพื้นฐานของหลักวิทยาศาสตร์ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่างแท้จริง ทั้งในส่วนบทบัญญัติและกระบวนการออกกฎระเบียบ เช่น สหรัฐฯ ชี้ว่าไทยประกาศใช้กฎระเบียบ ทั้งที่การรับฟังความคิดเห็นต่อกฎระเบียบนั้นยังไม่เสร็จสิ้น

-เปิดเสรีภาคบริการ โดยเฉพาะบริการโทรคมนาคมให้แก่สหรัฐและประเทศอื่น เพื่อเพิ่มการแข่งขันในสาขาดังกล่าว ซึ่งมีการควบรวมกิจการ ทำให้ค่าบริการแพงขึ้นจากการแข่งขันที่ลดลง และควรปฏิรูปกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวที่ใช้มานาน โดยเปลี่ยนจากแนวทางที่ให้นักลงทุนต่างชาติประกอบธุรกิจบริการได้เฉพาะที่ระบุไว้ (positive-list approach) มาเป็นการเปิดให้นักลงทุนต่างชาติประกอบธุรกิจบริการได้ทั้งหมด เว้นแต่ที่ระบุห้ามไว้ (negative-list approach)

-ขยายขอบเขตของการลดภาษี และเลิกโควตานำเข้ากับสินค้าอีกหลายรายการ เช่น กาแฟ ซึ่งทำให้ประเทศไทยขาดโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรมคั่วเมล็ดกาแฟพันธุ์ดีสำหรับธุรกิจ Specialty Coffee ซึ่งในปัจจุบันต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วจากประเทศในอาเซียนที่สามารถนำเข้าได้อย่างเสรี

หากรัฐบาลดำเนินนโยบายได้อย่างเหมาะสมตามข้อเสนอข้างต้น ประเทศไทยจะไม่เพียงแก้ไขปัญหาวิกฤติการส่งออกเฉพาะหน้าที่เผชิญอยู่ แต่จะยังสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างในบางด้าน ซึ่งทำได้ยากในสถานการณ์ปกติ แต่สามารถทำได้ในสถานการณ์พิเศษเช่นในปัจจุบัน

#ทีดีอาร์ไอ #ข่าววันนี้ #ภาษีทรัมป์ #สมเกียรติตั้งกิจวานิชย์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"ดร.สันติธาร" โพสต์แนะ "ไทย" ตั้งวอร์รูมด่วน! หลังโดน "ทรัมป์" รีดภาษี 36

เมื่อวันที่ 3 เม.ย.68 ดร.สันติธาร เสถียรไทย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจอนาคต (Future Economy) ของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) โพสต์เฟซบุ๊กแจ้งข่าวพร้อมบทวิเคราะห์กรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีเมื่อ 3 เมษายน เวลาไทย ระบุว่า รัฐบาลอเมริกาเพิ่งประกาศกำแพงภาษีครั้งใหญ่ที่เปรียบเสมือนเป็น 'แผ่นดินไหว' ช็อคการค้าไปทั้งโลกก็ว่าได้ ซึ่งทุกประเทศโดนภาษีอย่างน้อย 10% และอีก 60ประเทศโดนภาษี 'หมัดสวน' (reciprocal tariff) ที่ประเทศไทยจะโดนถึง 36% สูงกว่าหลายประเทศ

อาฟเตอร์ช็อคของมาตราการครั้งนี้อาจจะรุนแรงและซับซ้อน เพราะว่า:

1) หลายประเทศอาจเลือกที่จะใช้ไม้แข็งตั้งกำแพงภาษีกลับ สู้กันไปมา ทำให้การค้าโลกโดยรวมทรุดกว่าที่คิด

2)บางประเทศอาจเสี่ยงตกเข้าภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ความเสี่ยงของอเมริกาเองก็เพิ่มขึ้น)

3) เมื่อตลาดอเมริกาเหมือนจะกลายเป็น เมืองล้อมด้วยกำแพง ที่สินค้าเข้าไม่ได้หรือยากขึ้น ทุกประเทศก็จะคิดคล้ายๆกันคือต้องส่งออกไปตลาดอื่น ดังนั้นการแข่งขันจะเข้มข้นขึ้นทั้งสำหรับการส่งออกของไทยในตลาดที่ 3 และสินค้านำเข้าจากประเทศต่างๆอาจทะลักเข้ามาในไทยมาขึ้น

4) เดิมการลงทุนที่ไทยได้จากการหลบเลี่ยงสงครามการค้าระหว่าง จีนและสหรัฐฯ อาจชะงักหรือชะลอเพราะตอนนี้ไทยเองก็โดนภาษีในระดับสูงเช่นกัน (แม้ว่าเวียดนามขะโดนมากกว่า)

5) แน่นอนว่า ยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายอย่าง เช่นว่ากำแพงภาษีทั้งหมดนี้เจรจาได้แค่ไหน แต่ความไม่แน่นอนนี่เองก็จะทำให้ธุรกิจต่างๆทั่วโลกต้องหยุดเพื่อรอดู ปรับแผน มีผลลบกับเศรษฐกิจการลงทุนทันที

6) ตอนนี้ยังฝุ่นตลบผมจะพยายามคอยเอาบทวิเคราะห์ดีๆมาแปะไว้ด้านล่างด้วย แต่สำหรับผมเชื่อว่านี่คือ 'แผ่นดินไหว'ทางการค้าโลกที่มีผลกระทบต่อไทยอย่างมาก (และมากกว่าที่คนส่วนใหญ่เคยคิดกัน) แน่นอน

ทั้งนี้ ดร.สันติธาร มองว่า จำเป็นต้องมีห้องบัญชาการสถานการณ์ หรือวอร์ รูม ( War Room) ทีมพิเศษที่มีทั้งภาครัฐและเอกชนเตรียมรับมือเรื่องนี้และให้เป็นเรื่องเร่งด่วนพิเศษ

"ธุรกิจต่างๆเองก็คงต้องเตรียมรับมือแรงกระแทกและปรับกลยุทธ์หาโอกาสในวิกฤตเช่นกัน เพราะช็อคครั้งนี้อาจไม่ใช่กระแทกระยะสั้นแต่จะมีผลปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจการค้าโลกระยะยาวด้วย" ดร.สันติธาร ระบุ


 

"นักวิชาการทีดีอาร์ไอ" เปิด 3 แนวทางช่วยแก้ปัญหาหนี้เสีย

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เผย 3 แนวทางช่วยแก้ปัญหาหนี้เสีย แนะดึงงบโครงการเงินดิจิทัลเฟส 3 ช่วยค้ำประกันให้เอกชนช่วยบริหารจัดการปัญหาหนี้เสีย

เมื่อวันที่ 19 มี.ค.68 นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวในรายการ "มุมการเมือง" ทางไทยพีบีเอส ถึงแนวคิดการซื้อหนี้ประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เสียว่า ปัญหาหนี้ก้อนใหญ่เกิดขึ้นมาภายหลังช่วงโควิด-19 โดยพื้นฐานหากไม่นับสถานการณ์พิเศษโดยทั่วไป การดำเนินธุรกิจโดยปกติก็จะมีผู้ที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จก็จะทำให้หนี้เสีย (NPL) และหนี้ที่ใกล้จะเสีย (PM) อยู่แล้ว

โดยตามปกติจะมีกลไกตลาดในการจัดการปัญหาดังกล่าว เช่น ธนาคารจะแยกหนี้เหล่านี้เป็นหนี้เสีย เพราะการดำเนินการฟ้องร้องต่อไปก็อาจจะไม่คุ้มค่า รวมถึง ธนาคารอาจขายหนี้เหล่านี้ให้มืออาชีพ เช่น บริษัทรับจัดการหนี้ไปบริหารจัดการ ซึ่งอาจต้องมีการเจรจาเพื่อลดมูลหนี้ที่ติดค้างกันไว้ลง เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ที่ค้างไว้ได้ โดยไม่ต้องเป็นหนี้สูญ (แฮร์คัตหนี้) จากนั้นบริษัทที่รับจัดการหนี้จะไปเจรจากับลูกหนี้และหากำไรจากตรงนั้น

ทั้งนี้ประเด็นปัญหาคือ มีกลไกอยู่แล้ว แต่มีหนี้จากโควิดระบบกลไกต่างๆก็ทำงานอยู่ แต่สางปัญหาได้ช้า ผลที่ตามมาจึงทำให้เกิดปัญหากองหนี้ใหญ่และส่อจะไม่ได้รับการชำระคืนหนี้ และทำให้ธนาคารไม่ค่อยปล่อยกู้ เศรษฐกิจก็จะชะลอตัว ทำให้ธุรกิจชะงักงัน ปัญหาหนี้สะสมเหล่านี้ก็พอกพูนไปอีก

นายนณริฏ กล่าวอีกว่า กองหนี้เหล่านี้หากปล่อยไว้โดยไม่ดำเนินการจะใช้เวลาแก้ปัญหาหนี้ราว 3-5 ปี แต่หากตามที่นายทักษิณ ชินวัตรต้องการแก้ไขปัญหาให้เร็วกว่านี้ จึงจะเสนอกลไกเหล่านี้เข้ามาโดยซื้อกองหนี้ไปบริหารจัดแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะออกมาในรูปแบบใด โดยอาจมี 3 แนวทางคือ 1.ดำเนินการโดยเอกชน 100 % ซึ่งจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะหากภาคเอกชนจะทำกำไร ขณะนี้ก็มีหนี้เหล่านี้ให้ภาคเอกชนเลือกมาบริหารจัดการเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีข้อดีคือ ไม่กระทบงบประมาณรัฐ โดยภาครัฐอาจต้องไปหาแรงจูงใจมาให้เอกชน ซึ่งอาจได้ยาก การให้เอกชนมาดำเนินการ กรณีที่ดีที่สุดคือ แต่ปกติในตลาดมีกระบวนการเหล่านี้อยู่แล้วการนำหนี้มาบริหารจัดการ แต่ขนาดของปัญหากองหนี้นั้นใหญ่มาก เอกชนทำเต็มที่และใช้เวลาในการจัดการ ซึ่งมันทำได้แต่ไม่อาจเห็นผลว่า เอาหนี้ทั้งระบบที่เป็นปัญหาออกไปเพราะเยอะกว่าที่ภาคเอกชนจะจัดการเองได้ทั้งหมด

2.ภาครัฐดำเนินการเอง อาจจะตั้งหน่วยงานหรือองค์กรขึ้นมา หรือ ผูกติดกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย และรับโอนหนี้ โดนแฮร์คัตหนี้ มาอยู่ในภาครัฐ 

3.ภาครัฐประกันหนี้เพื่อสร้างจูงใจให้เอกชนมาดำเนินการคล้ายกับ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) 3.ภาครัฐต่ำประกันเพื่อจูงใจให้เอกชนมาดำเนินการมากขึ้น เนื่องจากมีปัญหาคือมีหนี้ เอกชนที่ไม่สามารถปล่อยกู้ให้เอสเอ็มอีได้เพราะมีความเสี่ยงสูงเอกชนไม่กล้าปล่อยกู้ ภาครัฐจึงค้ำประกันหนี้เสียให้ 30 % ซึ่งเป็นแนวทางกลางๆ

โดยทางเลือกที่ดีที่สุดและใช้เงินไม่มากแทนที่จะแจกเงินดิจิทัล มาใช้กลไกแนวทาง บสย.มาค้ำประกันให้ 20-30% และให้เอกชนมาบริหารจัดการหนี้เพราะภาคเอกชนทำได้เก่งกว่า ขณะที่การซื้อหนี้โดยภาครัฐนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปคนจะมีทัศนคติว่า รัฐจะมายกหนี้ให้ เช่นกรณีของภาคการเกษตร แง่ดีคือเกิดผลเร็วมาก แต่ท้ายสุดภาครัฐจะแบกรับหนี้ไปทั้งหมด เมื่อเวลาผ่านไปคนจะคุ้นชินและจะเกิดกรณีไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย แบบภาคการเกษตร หรือ กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่หลายคนก็ไม่ยอมจ่าย แม้ว่าจะมีฐานะดีขึ้น

นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญคือ หลักการให้ประเทศเดินหน้าไปต่อคือ มีหนี้ต้องจ่ายหนี้ ซึ่งการสร้างทัศนคติที่อันตราย ในการก่อหนี้แล้วไม่ใช้คืนเพราะคิดว่าภาครัฐจะซื้อหนี้ไป ซึ่งเคยเกิดปัญหามาแล้วกับภาคการเกษตรว่า มีหนี้ไปเรื่อย ๆ จนตาย เมื่อตายก็จะยุติหนี้ ขณะที่หนี้ภาคอื่น ๆ ใหญ่กว่ามาก และจะมีปัญหามากขึ้นหากสร้างทัศนคติแบบนี้

 

 

 

 

ประธานทีดีอาร์ไอฯ มองคดี "พิรงรอง" เชื่ออาจสั่นคลอนระบบยุติธรรมในไทย

ประธานทีดีอาร์ไอ ร่ายผลกระทบคดี "พิรงรอง" ส่อเปิดช่องกลุ่มทุนฟ้องปิดปากผู้มีอำนาจ ส่งผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ หน่วยงานรัฐ และหลักนิติรัฐ มองจะส่งผลกระทบระยะยาว ทำให้ผู้เกี่ยวข้องตกเป็นเหยื่อเกมกฎหมาย เชื่ออาจเป็นจุดเปลี่ยนของระบบยุติธรรมไทย 

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ออกมาแสดงความเห็นต่อคำตัดสินของศาลในคดีที่ทรู ไอดี ฟ้อง นางสาวพิรงรอง รามสูต กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยเขาแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจส่งผลกระทบในวงกว้าง ทั้งต่อระบบยุติธรรมไทย การทำงานของหน่วยงานรัฐ และบทบาทของผู้ที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ 

ความแปลกใจและความเศร้าใจ

ทั้งนี้ตนมีความตั้งใจจะเขียนเกี่ยวกับคำตัดสินของศาลตั้งแต่ได้รับทราบคำพิพากษาฉบับเต็ม แต่เนื่องจากติดภารกิจเดินทางไปต่างประเทศ จึงไม่ได้แสดงความเห็นจนถึงปัจจุบัน ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมและวิทยุ-โทรทัศน์มานาน และยังเป็นพยานของจำเลยในคดีนี้ ดังนี้น จึงรู้สึกทั้งแปลกใจและเศร้าใจกับคำตัดสินที่เกิดขึ้น 

เขา ตั้งข้อสังเกตว่า จำเลยถูกลงโทษทั้งที่การดำเนินการของนางสาวพิรงรองเป็นไปในนามสำนักงาน กสทช. และเป็นไปตามกฎหมายที่มีอยู่ ซึ่งก็คือกฎ Must Carry ที่กำหนดให้ผู้ประกอบการโทรทัศน์ต้องเผยแพร่รายการผ่านผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. เท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดคือ ศาลเชื่อว่าจำเลยปลอมแปลงเอกสาร ทั้งที่เอกสารดังกล่าวได้รับการรับรองจากคณะอนุกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้อง 

ผลกระทบต่อสังคมไทยผลพ่วงจากคดี 

แม้ว่าการพิจารณาของศาลในขั้นอุทธรณ์หรือฎีกาอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นคุณต่อจำเลย เช่น อาจมีการยกฟ้องหรือให้รอลงอาญา แต่ผลกระทบต่อสังคมไทยจากคดีนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเรื่องที่ยากจะย้อนกลับ  นายสมเกียรติระบุว่า มีผลกระทบสำคัญอย่างน้อย 3 ประการที่ต้องพิจารณา: 

1. ผลกระทบต่อผู้ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ 

คดีนี้อาจเป็นแบบอย่างที่ทำให้กลุ่มทุนมองว่า สามารถใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการฟ้องร้องบุคคลที่เห็นต่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟ้องร้องหมิ่นประมาทเพื่อปิดปาก (SLAPP) ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทย หลายกรณีได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือ *“เมื่อกฎหมายถูกใช้เป็นอาวุธ”* ของสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน แสดงให้เห็นว่ากฎหมายสามารถถูกใช้เพื่อจำกัดสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและขัดขวางการทำงานเพื่อสังคม 

2. ผลกระทบต่อการทำงานของหน่วยงานรัฐ 

คดีนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำงานในหน่วยงานรัฐอาจต้องเผชิญกับความเสี่ยง หากการตัดสินใจของพวกเขาขัดแย้งกับผลประโยชน์ของกลุ่มทุน อาจมีการฟ้องร้องทางกฎหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานรัฐต้องปรับเปลี่ยนท่าที หรือแม้แต่ละเลยการพิจารณาประเด็นที่อ่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง 

3. ผลกระทบต่อหลักนิติรัฐและความเชื่อมั่น 

นายสมเกียรติแสดงความกังวลว่า คดีนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของกระบวนการพิจารณาคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ศาลตัดสินลงโทษจำเลยโดยไม่ให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่าเหตุใดจึงไม่เชื่อคำให้การของจำเลย ทั้งที่เป็นคดีอาญา ซึ่งโดยหลักแล้วศาลจะต้องพิจารณาโดยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย (Beyond a Reasonable Doubt) 

การพิจารณาคดีเสี่ยงต่อระบบยุติธรรม

นายสมเกียรติ ชี้ให้เห็นว่า ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางใช้วิธีไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากการพิจารณาคดีอาญาทั่วไปที่ใช้ระบบกล่าวหา (Adversarial System) ที่โจทก์และจำเลยสามารถหักล้างกันได้อย่างเท่าเทียม วิธีไต่สวนนี้เปิดโอกาสให้ศาลมีอำนาจในการกำหนดแนวทางของคดีมากขึ้น แต่หากไม่มีการให้เหตุผลที่ชัดเจนเพียงพอ ก็อาจก่อให้เกิดข้อกังขาต่อการใช้ดุลพินิจของศาล เกียรติยังตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักสูตรอบรมของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจเข้าไปมีส่วนร่วมในการอบรมและพบปะกับผู้พิพากษา ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่โปร่งใสและนำไปสู่ข้อกังวลเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน

ดังนั้นข้อเสนอแนะต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักกฎหมาย นักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน นายสมเกียรติเรียกร้องให้ผู้บริหารของศาลยุติธรรมศึกษาคดีนี้อย่างละเอียด เพื่อพิจารณาว่ามีจุดผิดปกติหรือไม่ และทำไมคดีนี้จึงได้รับเสียงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง จึงข้อเสนอให้มีการจัดสัมมนาภายในศาลยุติธรรม เพื่อกำชับให้ผู้พิพากษาให้เหตุผลในการตัดสินคดีอย่างชัดเจน รอบด้าน และเป็นธรรม นอกจากนี้ ยังควรพิจารณาทบทวนหลักสูตรอบรมที่อาจทำให้เกิดข้อกังขาต่อความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม 

"คดีของนางสาวพิรงรอง รามสูต อาจกลายเป็นคดีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าระบบยุติธรรมไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ไม่เพียงแต่เรื่องความเป็นอิสระของศาลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถของประชาชนในการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายสาธารณะและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในสังคม" 

นายสมเกียรติ กล่าวย้ำว่า ระบบยุติธรรมไม่เพียงแต่ต้องทำให้เกิดความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องทำให้สังคมเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นจริง (Justice must not only be done, but must also be seen to be done) และคดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลในระยะยาว 

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 6 ธ.ค.67

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 6 ธ.ค.67 

-"ทีดีอาร์ไอ" ชง 4 แนวทางปรับโครงสร้างภาษี-ขึ้น VAT แบบค่อยเป็นค่อยไปครั้งละ 1%

-"สหรัฐฯ" สั่งลงโทษบุคคลหรือองค์กรที่สนับสนุนการกระทำของรัสเซียต่อยูเครน

-“เอกนัฏ” ล้างบางเหล็กเส้นไร้คุณภาพ ส่งทีมสุดซอย รวบถึงโรงงานย่านศรีราชา ยึดของกลางกว่า 200 ล้านบาท

-"SAM" ห่วงลูกค้าประสบภันน้ำท่วมภาคใต้ ออกมาตรการช่วยเหลือ พักชำระหนี้เงินต้น ลดดอกเบี้ย 50% นาน 4 เดือน  

-"นภินทร" ชวนอุดหนุนสินค้า GI รังสรรค์เมนูอาหาร หลัง "ยูเนสโก" ขึ้นทะเบียนเมนูต้มยำกุ้ง มรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้

-"หอการค้าไทย" ถกกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ชูประเด็นเร่งด่วนสมุดปกขาวปลุก ศก.ไทยปี 68

-ขสมก.จัดรถเมล์ฟรีอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและพุทธศาสนิกชน เดินทางมาสักการะพระเขี้ยวแก้ว

-“รมว.นฤมล” หารือ ผอ.สถาบันวิจัยข้าวระหว่างประเทศ กระชับความร่วมมือด้านการวิจัยข้าวและพัฒนาบุคคลากร

-"เอกนัฏ" หยิบไอเดีย “ญี่ปุ่น” เสริมร่าง กม.กากอุตสาหกรรม-ปั้นนิคมฯ Circular 

-เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.67 สมาคมค้าทองคำรายงานราคาทอง(ทองคำ 96.5%) เปิดตลาดเมื่อเวลา 09.00 น. ราคาปรับลง 350 บาท โดยทองคำแท่งรับซื้อ 42,350 บาท ขายออก 42,450 บาท ส่วนทองรูปพรรณรับซื้อ 41,583.88 ขายออก 42,950 บาท

-SET ปิดวันนี้(6ธ.ค.)ที่ 1,451.96 จุด เพิ่มขึ้น 1.14 จุด (+0.08%%) มูลค่าซื้อขาย 43,688.43 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่ม GULF หลังการประกาศความความร่วมมือกับ Siam AI ) ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ NVIDIA ส่งผลให้ราคาหุ้นเร่งตัวขึ้น แนวโน้มตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าคาดดัชนีแกว่งไซด์เวย์ มูลค่าการซื้อขายเบาบางเนื่องจากคาบเกี่ยวกับช่วงวันหยุด ทั้งนี้การเปิดเผยตัวเลขจ้างงานสหรัฐในคืนนี้อกมาต่ำกว่าตลาดคาดจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย โดยให้กรอบแนวรับ 1,445 จุด และแนวต้าน 1,460 จุด

#ราคาทอง #ข่าววันนี้ #ทีดีอาร์ไอ #แวต #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

"ทีดีอาร์ไอ" ชง 4 แนวทางปรับโครงสร้างภาษี-ขึ้น VAT แบบค่อยเป็นค่อยไปครั้งละ 1%

"ทีดีอาร์ไอ" ชง 4 แนวทางปรับโครงสร้างภาษี-ขึ้น VAT แบบค่อยเป็นค่อยไปครั้งละ 1%

เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.67 จากกรณีที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวถึงแผนการปรับโครงสร้างภาษี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์  โดยหนึ่งในนั้น เสนอปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผลจากการศึกษาพบว่า ทั่วโลกมีการเก็บอยู่ที่อัตราระหว่าง 15-25% ขณะที่ไทยเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากอัตราที่กำหนดไว้ 10% นั้น

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึงสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Somchai Jitsuchon ระบุว่า 

ข้อเสนอปรับรายละเอียดมาตรการภาษี

1.ภาษี VAT ควรขึ้น แต่ค่อยเป็นค่อยไป เช่นขึ้น 1% ก่อนแล้วหาจังหวะในอนาคตขึ้นทีละ 1% แต่ไม่ประกาศล่วงหน้า เพราะอาจทำให้เกิดการคาดการณ์เงินเฟ้อ (inflation expectation) ได้ แล้วไปจบที่ 10% ภายใน 5 ปี

1.1 รัฐบาลสัญญาและทำตามสัญญาว่าจะเอาเงินภาษี VAT ที่เพิ่มขึ้นได้มาใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ต่อคนจน ผู้มีรายได้น้อย กลุ่มเปราะบางเป็นส่วนใหญ่หรือทั้งหมดเลย แต่ไม่ใช่ประชานิยมระยะสั้น

2.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ควรเป็น flat rate อย่างที่เสนอ แม้จะมีข้อดีบางข้อ เช่นคำนวณง่าย ทำให้คนอยากทำงานมีรายได้สูง ๆ โดยไม่ต้องกลัวอัตราภาษีสูงตามไปด้วย แต่ข้อเสียมากกว่าคือไม่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ

2.1 ควรพิจารณาปรับลดพวกค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ให้ประโยชน์กับคนรายได้สูง

2.2 ถ้าจะใช้ flat rate ควรใช้กับเงินได้จากดอกเบี้ยและปันผลที่ปัจจุบันแยกคำนวณมากกว่า

3.ภาษีเงินนิติบุคคล ถ้าจะลดเหลือ 15% ก็ควรยกเลิกสิทธิประโยชน์ BOI ไปด้วย จะได้แฟร์และดึงดูดการลงทุนอย่างทั่วถึงแทนที่จะเป็นบางอุตสาหกรรมที่ก็ไม่รู้ว่าให้ประโยชน์ต่อเศรษฐกิจไทยเท่าไรกันแน่ ใช้มาตรการอื่นดึงดูดแทนดีกว่า เช่นพัฒนาทักษะแรงงานไทย ปรับเลิกกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ป้องกันการเรียกใต้โต๊ะของ ขรก. สารพัดสี

4.สำคัญคืออย่าลืมเก็บภาษีบนฐานทรัพย์สิน เช่น capital gain, windfall tax ด้วยนะจ๊ะ (กินยาไรไปถึงลืมได้อ่ะ)

#ข่าววันนี้ #ภาษีมูลค่าเพิ่ม #ขึ้นแวต #ทีดีอาร์ไอ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ภาษีเงินได้นิติบุคคล #สมชัยจิตสุชน 

"CEO กรุงไทย" แนะเตรียมความพร้อมประเทศไทย สร้างโอกาสจากความท้าทายในอนาคต

CEO กรุงไทย แนะเตรียมความพร้อมประเทศไทย สร้างโอกาสจากความท้าทายในอนาคต

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย ร่วมงานฉลอง “60 YEAR OF EXCELLENCE” ของสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Creating Great Leaders, Designing the Future” โดยเชิญ CEO องค์กรชั้นนำระดับประเทศ ผู้บริหารรุ่นใหม่  Startup พร้อมผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาองค์กรธุรกิจระดับโลกกว่า 70 คน ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ออกแบบอนาคตเพื่อขับเคลื่อนองค์กร และประเทศสู่ความเป็นเลิศ พร้อมร่วมเวทีเสวนา ในหัวข้อ “The Interpretation of  Future Readiness” ร่วมกับ ดร.สันติธาร เสถียรไทย ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแห่งอนาคต สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และ ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์  ผู้ร่วมก่อตั้ง และ CEO บริษัท ViaLink และกรรมการผู้จัดการ สถาบันอนาคตไทยศึกษา เพื่อร่วมตีโจทย์ความพร้อมประเทศไทย รับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 

นายผยง ระบุว่า การเตรียมความพร้อมของประเทศในอนาคต (Future  Readiness) ต้องเริ่มจากการวิเคราะห์ปัจจัยความท้าทายต่างๆ ในอนาคตว่ามีผลกระทบอย่างไร เพื่อนำมาสู่การวางแผนเตรียมความพร้อมในการมองหาโอกาสและรับมือกับความเสี่ยง ซึ่งประเทศไทยมีความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายนอก คือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และเทคโนโลยีดีสรัปชัน รวมถึงปัจจัยภายในประเทศที่ใกล้ตัวคือ ความเหลื่อมล้ำ เศรษฐกิจนอกระบบ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง สะท้อนการสั่งสมความเปราะบางในเชิงโครงสร้าง ซึ่งหากไม่จัดการแก้ไขจะนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพในอนาคต จากมุมมอง World Economic Forum (WEF) ซึ่งประกอบด้วย 4 มิติ ได้แก่ นวัตกรรม ความครอบคลุมและทั่วถึง ความยั่งยืน และความยืดหยุ่นและความสามารถในการรับมือการเปลี่ยนแปลง พบว่า ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้สร้างนวัตกรรม และยังปรับใช้นวัตกรรมได้ไม่เต็มศักยภาพ ขณะที่การที่ไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ถึงราว 50% ต่อจีดีพี สะท้อนการขาดแรงจูงใจให้เข้าระบบและปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจยังไม่ครอบคลุมและทั่วถึง (K-Shape) มีจำนวนผู้ประกอบการที่ยังติดอยู่ในส่วนของ K ขาล่าง มากกว่า K ขาบนอย่างมาก โดยเฉพาะการที่ยังไม่สามารถยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการรายเล็กให้เติบโตไปกับรายใหญ่ตาม Mega–Trends ของโลก ที่เราไม่สามารถหลีกหนีได้  รวมถึงการขาดความยืดหยุ่นและขาดความสามารถในการรับมือการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในปัจจุบันที่โลกให้ความสำคัญกับเรื่องความยั่งยืนและเรื่อง ESG

ทั้งนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของประเทศที่พร้อมสำหรับอนาคต คือการมีข้อมูล หรือ Data Foundation ที่จะทำให้การวิเคราะห์และจัดการกับปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะในยุค “Real-time Economy” การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำอย่างไรให้ทุกภาคส่วนของสังคมรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง รู้เท่าทันอย่างมีสติ และเปิดกว้างให้เกิดการนำข้อมูลไปสร้างนวัตกรรม เกิดเป็น “Data Driven Economy” ที่นอกจากจะทำให้เกิดการเรียนรู้ สร้างทักษะที่สร้างปัญญาให้ประชากรและสังคมให้รู้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงแล้ว ยังสามารถสร้างความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ด้วยการจัดสรรทรัพยากรและสร้างแรงจูงใจในจุดที่ถูกต้อง เช่น การผันกิจกรรมเศรษฐกิจนอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบ การใช้ Negative Income Tax ซึ่งทั้งหมดนี้ ต้องตัดสินใจบนฐานข้อมูลที่ชัดเจน และการแปลความหมายของข้อมูลได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ

“หากเปรียบความท้าทายไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ หรือเทคโนโลยีดิสรัปชัน เป็นคลื่นใหญ่ในมหาสมุทร และประเทศไทยกำลังโต้คลื่นที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง และหลีกเลี่ยงไม่ได้ อยากให้มองว่าเรามีโอกาสที่จะอาศัยแรงของคลื่นในการก้าวข้ามข้อจำกัดในอดีต (leap frog) โดยมีภาครัฐเป็นประภาคาร (Lighthouse) ในการนำทางและเตรียมความพร้อมให้กับทุกภาคส่วน จัดลำดับความสำคัญว่าเรื่องไหนทำก่อน ทำหลัง ดังเช่นนโยบายของรัฐบาลที่เพิ่งประกาศออกมา ที่มีทั้งนโยบายระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีภาครัฐเป็นผู้ดูแล (Lifeguard) ให้เกิดความปลอดภัยและเท่าเทียมกันของผู้เล่นในตลาด โดยใช้ฐานข้อมูลในการออกแบบกฎกติกาและ Incentive รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

 

 

 

 

 

 

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯจัดราชดำเนินเสวนา “การบ้าน ครม.เศรษฐา 1 เร่งอัดฉีดกระตุ้น ศก.ให้เห็นผลใน 3 เดือน-เร่งแก้หนี้ครัวเรือน

ทีดีอาร์ไอ แนะให้สร้างสมดุล แกนการเมือง 3รูปแบบ“เสรีนิยม –รัฐสวัสดิการ-อนุรักษ์นิยม”พัฒนาประเทศ ขณะที่ “ธนิต”เสนอนโยบายเร่งด่วนที่ควรทำให้เห็นผล 3 เดือนคืออัดฉีดเงินในรูปแบบต่างๆ เพื่อพยุงการจ้างงาน แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ธุรกิจ และมีก้อนใหม่มาให้มีเงินหมุนเวียน ด้านดร.เกียรติอนันต์ ชี้ต้องระวังเรื่องการศึกษา ทำให้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ความเหลื่อมล้ำ ระบุหน้าตารัฐบาลนี้ มีความเสี่ยงทุกแต่ประชาชนมีความหวังกับนโยบาย ดังนั้นต้องช่วยกันจับตาตรวจสอบส่งเสียงออกมา อย่าหวังว่า เขาจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด

เมื่อวันที่ 3 ก.ย.66 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา ครั้งที่ 1/2566 หัวข้อ "การบ้าน ครม.เศรษฐา 1 แก้วิกฤตประเทศ" โดยมี ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ดร.นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และนายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair ร่วมเสวนา

ดร.นณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัย เพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)กล่าวว่า แกนการเมืองจะมี 3 มุมคือ เสรีนิยม รัฐสวัสดิการ และอนุรักษ์นิยม ซึ่งผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาจะเป็นการเปลี่ยนผ่านจากอนุรักษ์นิยมมาเป็นเสรีนิยม และเกินโยบายใหม่ ๆ ที่ต้องมาตกผลึกว่าจะเหมาะสม เกิดผลดีหรือผลเสียกับประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลเศรษฐา 1 รวมกับ 2 ลุง ก็จะมีทั้งฝ่ายของเสรีนิยม สวัสดิการ และอนุรักษ์นิยมด้วย ในแง่วิชาการไม่มีถูกผิด แต่ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดไหนก็ตาม จะขึ้นอยู่กับว่าเรามีรัฐบาลที่ดีหรือไม่ เช่น เสรีนิยม หากเป็นการเมืองที่ดีก็อยากจะเห็นการเติบโตอย่างมีคุณภาพ มีนวัตกรรม ผลักดันประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม  แต่ไม่อยากเห็นทุนผูกขาด กระจุกตัว ขณะที่รัฐสวัสดิการ อยากให้ลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มโอกาส มีสวัสดิการที่เป็นธรรม มีนโยบายช่วยกลุ่มเปราะบาง แต่ไม่อยากเห็นการแจกเงินโดยไร้ความรับผิดชอบ ไร้จำเป็น และเป็นภาระการคลัง ส่วนสุดท้ายคือสมดุลอนุรักษ์นิยม ซึ่งไทยมีวัฒนธรรมที่ดี แต่ก็อยากเติบโตแบบโลกยุคใหม่ จึงอยากที่จะอยู่ร่วมกันได้ของสังคม ไม่อยากเห็นการเกรงกลัวต่างชาติเกินไป ปกป้องไม่ลืมหูลืมตา ดังนั้น นับว่าเป็นความท้าทายใหม่ขอรัฐบางที่จะสร้างสมดุลทั้ง 3 รูปแบบนี้ให้อยู่ในรูปแบบการเมืองที่ดี 

ทั้งนี้เมื่อพูดถึงเศรษฐกิจย้อนหลังปี 1997 เศรษฐกิจเราโตเฉลี่ย 7.27% หลังจากนั้นก็ตกลงมา 4.8% และตกลงมาเรื่อยๆ กระทั่งหลังโรคโควิด เหลืออยู่ที่ 3% สะท้อนว่า หลังวิกฤต เศรษฐกิจไทยต่ำลงแปลว่าเราไม่สามารถปรับโครงสร้างเพื่อรับกับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้เลย นั่นแปลว่าการทำอะไรแบบเดิมไม่สามารถไปได้ไกล จึงเป็นความท้าทายของรัฐบาลใหม่ที่ต้องมีมาตรการเสริมเข้ามา มองไปข้างข้า โดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ วางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นประเทศพัฒนาแล้ว เป็นประเทศร่ำรวยประมาณปี 2035 แต่เมื่อดูตัวเลขหลังพ้นวิกฤติ จะกลายเป็นปี 2043-2048 เรียกว่าดี เข้าใกล้กับการวางเป้าหมายของเวียดนาม ดังนั้นนี่เป็นเรื่องสำคัญที่ท้าทายที่ภาครัฐต้องหาช่องทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเริ่มคิดใหม่ทำใหม่ จะทำแบบเดิมไม่ได้ เช่นภาคการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยว 2019 มี 40ล้านคน ตอนนี้ยังดันกลับมาไม่ได้ ส่วนหนึ่งคือการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาเพียง 30-40%อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามีทรัพยากรเท่าเดิมจึงต้องพัฒนาในส่วนของเราเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ  ดังนั้นต้องเปลี่ยนแปลงที่อุตสาหกรรมอาหาร ถ้าเป็นครัวโลก

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายระยะสั้นคือต่อสู้ระหว่างแรงกดดันที่อยากให้รัฐบาลทำตามที่หาเสียง แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน จึงควรคัดนโยบายที่สำคัญ เหมาะสมกับช่วงระยะเวลา บางนโยบายอาจจะไม่จำเป็นต้องทำแล้ว บางนโยบายอาจจะปรับขนาด เช่น เงินดิจิตอล 10,000  บาท ที่เป็นเรือธงของพรรคเพื่อไทย แต่ต้องดูว่าในปัจจุบันว่าเราจะเป็นต้องกระตุ้นระดับไหน โดยเปรียบเทียบกับการเติมโตของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจไทยที่ควรจะเป็น  ซึ่งหากประมาณการณ์ว่าควรโต 3.7-3.8 % แต่แบงค์ชาติระบุว่า เศรษฐกิจไทยโตเพียง 2.8% เท่านั้น แปลว่าหายไป 1% หรือราวๆ 1-2 แสนล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นการให้งบ 5.6 แสนล้าน อาจจะเยอะเกินไป เสี่ยงเกิดภาวะเงินเฟ้อ ดังนั้นหากตัดบางส่วนมาใช้สำหรับรัฐสวัสดิการก็เป็นทางออกได้ 

ส่วนอีกเรื่องคือแก้ปัญหาหนี้สิน ที่ไม่ใช่การยกหนี้ แต่ต้องมีการจัดกลุ่มหนี้หนี้ แล้วแก้ปัญหาหนี้นั้นให้ตรงจุด โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีข้อมูลมาร่วมวางแผนแก้ไขปัญหา ยกตัวอย่าง ครัวเรือนของไทยที่สูงถึง 90% ต่อจีดีพี คนที่มีปัญหามากที่สุด คือ คนที่ไม่มีเงินออมเลย ขณะที่ในทางเศรษฐศาสตร์บอกว่าคนเราควรมีเงินออมอย่างน้อย 3 -6 เดือน  แต่คนรุ่นใหม่อาจจะน้อยกว่านี้อีก ดังนั้นเป็นโจทย์ที่จะต้องปลูกฝังการออม ลดการเติบโตผ่านการจับจ่ายใช้ นอกจากนี้ต้องพูดถึงการกระจายอำนาจเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจการกระจายทรัพยากรเพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง ตลอดจนการต่อยอดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เข้าถึงคนจนจริง  แต่เพิ่มให้มีการเข้าถึงมากขึ้น ที่สำคัญคือเนื่องจากเรามีการแจกมาระยะหนึ่งแล้ว จากนี้ต้องเป็นการเสริมให้ประชาชนสามารถดูแลตัวเองได้  

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นตัวเลือกที่เราไม่มีทางเลือก แต่ดีที่สุดในแคนดิเดตทั้งหลาย แต่นายเศรษฐา คงไม่ต้องเรียนรู้งานมากเพราะมาจากภาคเศรษฐกิจอยู่แล้ว ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในสภาพที่บอบช้ำต่อเนื่องมาหลายปี จากรัฐประหาร ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้การลงทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง วันนี้ก็ยังไม่ฟื้น จากนั้นก็มีรัฐบาลเดิมมานาน 9 ปี ที่เน้นความมั่นคง จากนั้นก็มาเจอวิกฤติโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นทั้งโลก พอกำลังจะฟื้นก็เจอเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่พุ่งกระฉูด แล้วดึงราคาพลังงาน และสินค้าต่างๆ ให้เพิ่มตามไปด้วย เกิดภาวะเงินเฟ้อสูง 8% วันนี้ไม่ลดลงเลย แม้จะขึ้นมาก 0.38% ปีนี้จะทำให้ได้ 1% แต่ก็ไม่ถือว่าลดลง กลับมาเจอวิกฤติโลกที่มีแนวโน้มว่าปี้หน้าจะยิ่งหนัก ดังนั้นเศรษฐกิจบอบช้ำมากถึงจะบอกว่ากลับมาได้แต่ก็ไม่มาก ส่งผลให้สภาพคล่องทั้งธุรกิจและครัวเรือนแรงมาก หนี้สินต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งหนี้ NPL หนี้ระยะยาว ต่างๆ เกือบ 9 แสนล้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเข้ามาแก้ไข หนี้ NPL รายไหนปล่อยเงินได้ก็ต้องปล่อย  และที่แทรกซ้อนเข้ามา คือกาส่งออกซึ่งหดตัว 6.2% ในเดือนกรกฎาคม เพราะเป็นภาคส่วนที่มีการอุ้มแรงงานถึง 3 ใน 4 ของประเทศ จากนี้ต้องส่งออก 9% จากที่ติดลบเฉลี่ยทุกเดือน 5% แต่เป็นไปไม่ได้ พยากรณ์ว่าปีนี้พยากรณ์ว่าจะติดลบมากกว่า 3%  ทั้งหมดทำให้กำลังซื้ออ่อน กำลังการผลิตต่ำ ข้อสุดท้ายคือความเชื่อมั่นของการค้า การลงทุน ดัชนีชี้วัดต่างๆ ติดลบหมดทุกเรื่อง

สำหรับนโยบายเร่งด่วนที่ควรทำให้เห็นผล 3 เดือน ไม่ใช่ออกมานโยบายมา 24-25ข้อ แต่เป็นเรื่องไกลตัว ดังนั้น ที่ต้องเร่งสุดคืออัดฉีดเงินในรูปแบบต่างๆ เพื่อพยุงการจ้างงาน เพราะขณะนี้เริ่มมีการเลิกจ้าง แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ธุรกิจ และมีก้อนใหม่มา ส่วนกระเป๋าเงินดิจิตอล แค่อยากถามว่าจะให้ครั้งเดียวหรือตลอดไป เพราะประชาชนหวังว่าจะได้ทุกปี ต้องตอบให้ชัด ส่วนแรงงาน โดยเฉพาะค่าแรง 600 บาทนั้น ถือว่าหนักแม้จะใช้กรอบ 4 ปี ถ้าเป็นโรงงานใหญ่ไม่สะเทือน แต่เอสเอ็มอีเจ๊งหมด ดังนั้นควรพิจารณาอย่างพอเหมาะ ส่วนเงินเดือนปริญญาตรี ที่เพิ่มขึ้นมาอีก 10,000 บาท ซึ่งกลุ่มปริญญาตรี รวมเกษตรกร 30% แล้วจะทำให้เด็กตกงาน แล้วดันเด็กอาชีวะเข้าเรียนปริญญาตรีหมด สุดท้ายเรื่องพลังงาน  ดีเซลลต้องลด หรือตรึงราคาไม่เกิน 32 บาท เพราะราคาน้ำมันเพิ่ม ราคาสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นด้วย อนาคตถ้าน้ำมันลง ราคาของก็ไม่ลง  แล้วถ้ายาวกว่านั้นน้ำมันขึ้น 3 -4 บาทราคาของก็ขึ้นอีก อย่างก็ได้ตาม ตนเข้าใจ “รัฐบาลเศรษฐา” ซึ่งเข้ามากับความท้าทาย และมาภายใต้ความคาดหวัง แต่อย่างน้อยที่เห็นขั้วทั้งหลายมีการจับมือกันแล้ว

"เข้าใจว่าทุกคนอยากมีรายได้สูง แต่ก็จะตามมาด้วยค้าครองชีพที่สูงขึ้น เหมือนที่ญี่ปุ่นเงินเดือน 5 หมื่นบาท แต่น้ำเปล่าขวดละ 100 บาท ราเมงชามละ 300 บาท ค่าเช่าบ้านเดือนละ 30,000-40,000 บาท อย่างไรก็ตาม มีการศึกษาตัวอย่างรัฐที่ล้มเหลว อย่างฟิลิปปินส์ และอาร์เจนตินา ซึ่งเราเองก็เดินตามเขาเป๊ะๆ คือ การเอาใจรากหญ้า ค่าจ้างเท่าสหรัฐอเมริกา แต่อุตสาหกรรมอยู่ไม่ได้ ย้ายฐานการผลิต เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งๆ ที่ประเทศเราไม่ได้ร่ำรวย มีคนเสียภาษี 4 ล้านคน เพื่อเลียงคน 66.5 ล้านคน ดังนั้นเรื่องค่าจ้างต้องเหมาะสม อยู่ได้ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง  ส่วนเรื่องของฝีมือแรงงานนั้นประเทศไทยมีความไม่สมดุลในเรื่องของจำนวนการพัฒนาแรงงานมีฝีมือ ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ดังนั้นเรื่องนี้ตนเตรียมที่จะหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาที่การ กระทรวงแรงงานในเรื่องหลักสูตรพัฒนาฝีมือแรงงานที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเชิญนายจ้างมาช่วยสะท้อนปัญหาและความต้องการ และสิ่งที่ต้องทำด้วยกันคือการพัฒนาเจ้าของธุรกิจ ส่งเสริมเทคโนโลยีในการทำงาน มีกองทุนเรื่องนี้ชัดเจนสำหรับกลุ่มเอสเอ็มอี กระทรวงแรงงาน กรมพัฒนาฝีมือแรงงานก็ต้องหลุดจากกรอบ 2.0"

ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า วิกฤติที่เข้ามาจะมี 3 แบบคือ วิกฤติที่มาจากอดีต วิกฤติในอนาคต  และที่รัฐบาลจะสร้างเอง  เมื่อดูการศึกษากับแรงางาน ต้องทำทั้งกลุ่มวัยเรียน และกลุ่มวัยทำงานที่ต้องทำไปพร้อมๆ กันโดยเฉพาะคนที่ทำงานแล้ว 12 ล้านคน ต้องมีการอัพสกิลให้สูงขึ้น ทันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ไม่อย่างนั้นคนจะตกงานเยอะ แต่ยังไม่เห็นนโยบายพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนที่ชัดเจนในการเพิ่มสกิลให้คนทำงาน ที่ตนมองว่าต้องทำในกลุ่มนี้ก่อนเพราะเป็นกลุ่มที่จะทำให้เกิดการขยายจีดีพี ทำให้รัฐบาลมีงบฯ ในการสร้างคน ใช้ในด้านต่างๆ  ถ้า 1 ปียังไม่เป็นรูปธรรมเกรงว่าจะไม่ทัน ส่วนกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งโลกหลังจากนี้ทุกๆ 3-5 ปี จะไม่เหมือนเดิม เทรนด์ทักษะการทำงานจะเปลี่ยนไป จึงต้องระวังเรื่องการศึกษา นอกจากนี้ยังต้องระวังเรื่องความเหลื่อมล้ำ เพราะเวลาคนลำบาก พ่อแม่ต้อทำงานเยอะ ไม่มีเวลาดูแลลูก  ค่าใช้จ่ายไม่พอ ทุพโภชนาการ ( กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ความเหลื่อมล้ำ) ในขณะที่ตลาดแรงานที่ต้องการคนเก่ง คนที่ได้เปรียบคือคนมีฐานะดี ดังนั้นหากไม่ได้แก้เรื่องการศึกษาที่ดี อีก 6-7 ปีจะกลายเป็นความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างใหม่ มีคน 20 % ไปต่อได้ แต่จะมีกำลังไม่พออุ้มคน 80% ดังนั้น หากไม่แก้ด้วยอัพสกิล รีสกิลแรงงาน ช่วยเหลือผู้ประกอบการ อีก 2 ปีได้เรื่อง 4 ปีเลือกตั้งใหม่ได้เรื่อง  อย่างไรก็ตามก็ต้องรอดูการแถลงนโยบายของรัฐบาลอย่างเป็นทางการอีกครั้ง 

ทั้งนี้ส่วนตัวถ้าให้ตั้ง เคพีไอของรัฐบาลแบบผ่านโปร คือ เพิ่มจีดีพีโตอย่างน้อย 5% ยากมาก ปีต่อไป 7-8% และถ้าตั้งเคพีไอตัวที่ 2 คือการเติบโตในปีต่อๆ ไป ขอให้เติบโตแบบที่คนตัวเล็กตัวน้อยได้มากขึ้น เพราะเข้าใจว่าถ้าจะเอาปีแรกแล้วทุกคนได้ทันทีนั้นเป็นเรื่องยากมาก แต่หากเลือกแก้แบบนี้ปีแรกๆ อาจจะโดนด่าไมสนใจคนรากหญ้า แต่เราต้องประคองโครงสร้าง เป็นการถางทางเพื่ออนาคต ทั้งนี้เมื่อมองเรื่องการศึกษาซึ่งเป็นสายพานในการพัฒนาคนตลอดชีวิต โดยกระทรวงอว. ที่ผ่านมามีการใช้นวัตกรรมแบบหัวแตก ดังนั้นต้องกำหนดทิศทางของประเทศว่า จะไปสายไหน เอาให้ชัดเจน 1-2 เรื่อง แล้วขับเคลื่อนจริงจัง

ดร.เกียรติอนันต์ กล่าวอีกว่า ส่วนตัวมองว่า การทำเรื่องอาหารอย่างจริงจัง ไปให้สุด เป็นการกินเพื่อชาติ ซึ่งจะไปส่งเสริมเรื่องของการท่องเที่ยวด้วย ขณะที่มหาวิทยาลัยต้องกลับไปเป็นมหาวิทยาลัยเพื่อคนทั้งมวล ปรับตัวและสื่อสารเป็นหลักสูตรระยะสั้น พอดีสำหรับการทำงาน เพื่อสะสมความรู้แล้วค่อยรับใบปริญญาในภายหลังก็ได้ เพราะถ้ารอจบ 4 ปีนั้นนานเกินไป ควรดึงคนเก่งมาสร้างคลังสมอง สร้างแพลตฟอร์มการเรียนกลาง กระทรวงศึกษาตรึงเด็กกลุ้มเปราะบางให้อยู่ในระบบการศึกษาให้ได้ ในส่วนของอาชีวะศึกษา ต้องถูกอัพเกรดให้มีความรู้ความสามารถที่ทันกับโลกอนาคต เรียนต้นแบบเครื่องจักรยุคใหม่ สภาพการทำงานใหม่ เพราะมองว่าหลังจากนี้หลังเด็กจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จะไม่ได้เรียนต่อเยอะ หากไม่เตรียมพร้อมคนไทยจะวนอยู่กับการเป็นแรงงานไร้ฝีมือ ลูกหลานก็จนต่อเนื่อง และพยายามอย่าใช้คำว่า “10 อาชีพดาวรุ่ง” เพราะทำให้คนแห่เรียนเยอะ กลายเป็นตกงานแทน ทั้งนี้การศึกษาจะช่วยได้มากในการแก้ไขความยากจนซึ่งความจนนี้หากอยู่กับคนแล้วจะอยู่ไป 3 รุ่น หาดแก้ความจนคน 1 รุ่นก็จะแก้ไปได้ 100-200 ปี 

“ถ้าพูดถึงแผนการปฏิรูปการศึกษา ผมยกมือไหว้เลย ทุกกระทรวงอย่าทำ เพราะที่ผ่านมาเรามีแผนที่ดีอยู่ กรุณาทำงาน อย่าทำแผน ถ้าทุกวันทำแผน คือ การไม่ทำงาน ดังนั้นทุกกระทรวงมีของดีอยู่แล้ว วางทุกอย่างไว้ เราต้องการคนทำงาน วันแรก ก็ต้องทำงานเลย เวลาของประเทศไม่มีแล้ว ช่วงฮันนิมูนจบไปตั้งแต่เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว”  ดร.เกียรติอนันต์ กล่าว และมองว่า ตนมองหน้าตารัฐบาลนี้แล้วเห็นว่า มีความเสี่ยง ซึ่งหลายคนก็ตั้งคำถาม แต่เมื่อคัดสรรกันมาแล้วก็ต้องการสิ่งที่ดีที่สุด นโยบายที่ดี ซึ่งภาคประชาชน วิชาการ สื่อ ต้องร่วมกันตั้งคำถาม ตรวจสอบ ส่งเสียง อย่าหวังว่าเขาจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ไม่ดีก็เตือน ขาดก็เสริม สื่อช่วยส่งเสียง และขอย้ำด้วยว่า เรื่องการตรวจสอบต่างๆ นั้นควรใช้ไม้บรรทัดอันเดียวกันสำหรับทุกคนไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน  นักการเมืองทุกคนแบบเดียวกัน ไม่เลือกปฏิบัติหรือให้เอกสิทธิ์กับนักการเมืองคนไหน หากเราใช้ไม้บรรทัดเดียวกัน จะส่งผลให้คนมีอำนาจเกิดการละอายใจ และเปลี่ยนมาใช้ไม้บรรทัดเดียวกันได้ เราต้องโลกสวย ต้องมีความหวังและกล้าที่จะเปลี่ยน


นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair กล่าวว่า หากเอางบประมาณ 5.6 แสนล้านบาทมาเป็นตัวตั้ง เดิมเราเดินสายคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ มี9 เรื่อง ประกอบด้วยเงินอุดหนุนเด็ก การศึกษาฟรี ระบบสุขภาพ 3 กองทุน ที่อยู่อาศัย แรงงานมีคุณค่า ประกันสังคมครอบคลุม บำนาญถ้วนหน้า สวัสดิการเสมอหน้าเท่าเทียมและการปฏิรูปภาษี อย่างไรก็ตามแม้หัวหน้าพรรคเพื่อไทยซึ่งตอนนี้เป็นอดีตไปแล้ว จะบอกว่าเป็นเทคนิคหาเสียง แต่ก็เป็นที่จดจำแน่นอน ซึ่งเรายื่นกกต.แล้ว เพราะการทำตามที่หาเสียงไว้เป็นเรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือถ้ามองรัฐมนตรีที่นั่งคุมกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการแล้วกลับไม่มีนโยบายด้านนี้เลย  แต่โดยภาพรวมสวัสดิการที่มีนั้นมุ่งไปสู่รัฐสวัสดิการแน่นอน อย่างเช่นตอนหาเสียงไม่มีพรรคการเมืองไหนจะตัดเบี้ยยังชีพ แต่กระทรวงมหาดไทยกลับจะตัดให้เฉพาะคนจนเท่านั้น 

โดยเส้นความยากจนคือ มีรายได้เดือนละ 2,803 บาท ซึ่งมีราวๆ 4.4 ล้านคน เกือบคน 4.8 ล้านคน ดังนั้นรวมแล้ว 9.2 ล้านคน หนี้สินครัวเรือนแตะ 90% ของจีดีพี ประเทศไทยมีคนจนมากในอันดับ 55 ของโลก แต่อันดับความคุ้มครองทางสังคมอยู่ที่ 69 การศึกษา 62 จาก 82 ประเทศ เรียกว่าอยู่อันดับเกือบท้าย ลูกคนรวบมีโอกาสร่ำรวยต่อ คนจนก็มีโอกาสจนต่อ เรียกว่าเราตกอยู่ในสถานการณ์ส่งต่อความจน ขณะที่สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำของไทยติด 1 ใน 5 ของโลก ปี 2564 ครัวเรือน มีทรัพย์สินรวม 31% ของจีดีพีประเทศ ส่วนสถานการณ์ความเปราะบาง เด็กเยาวชน ว่างงาน เข้าไม่ถึงสวัสดิการประกันสังคม ผู้สูงอายุ พิการ ขณะที่ILO ระบุว่าสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการคุ้มครองทางสังคมของไทยต่ำมากเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยในเอเชีย และระดับโลก   

ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบรัฐมนตรี เรื่องการพัฒนาเด็ก และศูนย์เด็กเล็ก เงินอุดหนุนเดก ข้อเสนอของเราไม่ปรากฏนโยบายหาเสียงของชาติไทยพัฒนา และพรรคเพื่อไทย ส่วนเรื่องการศึกษา ในช่วงท้ายของพรรคภูมิใจไทยที่ดูลกระทรวงศึกษา และกระทรวงอุดมศึกษา ช่วงท้ายมาพูดถึงการฟรีปริญญาตรี แต่ไม่มีในเอกสารที่ส่ง กกต. มีการสร้างระบบการเรียนออนไลน์ ไม่มีนโยบายหลักที่พูดถึงการพัฒนาเรียนฟรี เงินอุดหนุนการเรียนรู้ในทุกช่วงวัย ขณะที่พรรคเพื่อไทยยังมีพูด ขณะที่เรื่องหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งพรรคเพื่อไทยเข้ามาดูก็บอกว่าจะยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพ แต่ประเทศไทยมีมี 3 กองทุน  ซึ่งบัตรทอง และประกันสังคมมีงบรายหัวอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท แต่สิทธิข้าราชการอยู่ที่ 15,000 บาท ดังนั้นจะทำอย่างไรให้มีสิทธิเท่ากัน รวมถึงเรื่องที่อยู่อาศัยของพม. ก็ไม่มีนโยบายด้านนี้ แต่เราเสนอให้ปรับลดดอกเบี้ย ให้มีบ้านเช้าที่มีมาตรฐาน ราคาถูก สำหรับคนทั้งสังคม ด้านการทำงานและรายได้ ตรวจสอบแล้วไม่พบว่าพรรคภูมิใจไทยไม่มีนโยบายด้านแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างพื้นฐาน ลดชั่วโมงการทำงาน สิทธิลาคลอด 180 วัน การรับรองอนุสัญญา ILO เป็นต้น 

ทั้งนี้ขอย้ำว่า สวัสดิการของประชาชนไม่ควรจะตัดไปมากกว่านี้ แล้วถ้าเอางบ  5.6 แสนล้านบาท สำหรับนโยบายเงินดิจิทัลนั้น คิดว่าสามารถนำมาใช้ขับเคลื่อนนโยบายรัฐสวัสดิการด้านต่างๆ ได้ 20 % และควรพูดถึงการปฏิรูปภาษีต่างๆ การปฏิรูปกองทัพ ซึ่งมีงบฯ กว่าแสนล้านล้านบาท หากลดลง 20% เท่ากับว่าจะได้เงินงบฯกว่า 4  หมื่นล้านบาท ถ้าลดเงินซื้อเรือดำน้ำอีก 3 หมื่นล้านบาทก็จะมีเงินในเป็นสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุได้นานถึง 1 ปี ทันที แล้วถ้ามองว่านโยบายเงินดิจิทัล เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชั่วคราว แต่ถ้ามองใหม่เงินสำหรับผู้สูงอายุ 3,000 บาท แต่ปรับการให้ปีแรกเป็น 1 พันบาท จากเดิม 600 บาท เท่ากับว่าปรับเพิ่ม 400 บาท แล้วธรรมชาติของผู้สูงอายุเมื่อได้รับเงินแล้วก็มีการใช้จ่ายเลย จึงสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้เช่นกัน ที่สำคัญตนมองส่า เรื่องสวัสดิการประชาชนนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจริงๆ ทะลายกำแพงระหว่างคนรวย คนจนลงได้  

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสำคัญคือกู้วิกฤติข้ามขั้ว ครม.หน้าเดิมบวกเพื่อไทย เรื่องเร่งด่วนเลยคือ เราไปโฟกัสนโญบายนโยบายรัฐบางว่าจะดูดีกว่า MOU 8 พรรคเดิมหรือไม่ก็ต้องดูต่อไป ตนให้โอกาสเพื่อไทยได้ แต่รัฐมนตรีที่อยู่มา 4 ปี แล้วเราคงไม่ได้โอกาสนั้น แต่จะเร่งในการตรวจสอบมากกว่า สุดท้ายเวลาพูดเรื่องรัฐสวัสดิการ คงแยกไม่ได้ขาด กับการแก้โครงสร้าง คือรัฐธรรมนูญ เรื่องกระจายอำนาจ การรวมตัวอย่างๆ ดังนั้น เรื่องเร่งด่วนเหมือนกันคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนายเศรษฐาบอกว่าเป็น 1  เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ และในมาตรา 12 ของรัฐธรรมนูญ 2489 ระบุว่า บุคคลย่อมมีสถานะเสมอกัน ตามกฎหมายฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือโดยประการอื่นใดก็ดี ไม่ทำให้เกิดเอกสิทธิ์อย่างใดเลย ซึ่งพออ่านแล้วนึกถึงโรงพยาบาลชั้น 14 

 

เคทีซี x ทีดีอาร์ไอ เปิดเวทีเสวนา KTC FIT Talks #9 จับตาเศรษฐกิจไทยและธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคครึ่งหลังปี 2566

เคทีซีจัดงานเสวนา KTC FIT Talks #9 จับเข่าคุยเรื่องเศรษฐกิจและธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคครึ่งหลังปี 2566 โดยเชิญสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมวงเสวนาฉายภาพรวมและปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ต่อด้วยภาพรวมของธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ชี้เชื่อมั่นเศรษฐกิจและธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก ในขณะที่เคทีซีมั่นใจทิศทางและเป้าหมายการเติบโตธุรกิจส่งสัญญาณบวก พร้อมเผยกลยุทธ์บริหารการเงินในช่วงครึ่งปีหลัง 

ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการ โครงการ TDRI Economic Intelligence Service (EIS) กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่า “จากการประเมินหลายปัจจัย เราเชื่อมั่นว่าสภาวะเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก ในขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนหลายปัจจัย ทั้งปัญหาของการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรป อีกทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างจีนและสหรัฐฯ และสงครามยูเครนที่ยังไม่สงบ โดยธนาคารโลก (The World Bank) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตเพียง 2.1% ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 3 ทศวรรษ และอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกในปีนี้จะอยู่ที่ 7% จาก 8.7% ในปี 2565 อีกทั้งการปรับลดการผลิตของกลุ่มโอเปค+ อาจทำให้ราคาพลังงานคงอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว”  

“ในสหรัฐอเมริกา วิกฤตการณ์ธนาคารปิดตัวยังส่งผลกระทบให้เงินฝากและสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์มีแนวโน้มชะลอตัวลดลง หลายหน่วยงานคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงปลายปี 2566 จากวิกฤตการณ์ภาคธนาคารและการชะลอของกำลังซื้อจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ในขณะที่ FED ส่งสัญญาณว่าวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในปัจจุบันจะสิ้นสุดลงในเร็วๆ นี้ โดยธนาคารโลกคาดว่าในปี 2566 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สหรัฐฯ จะอยู่ที่ 1.1% เทียบกับปี 2565 ซึ่งอยู่ที่ 2.1% ด้านสหภาพยุโรปคาดว่า ในปีนี้ GDP จะขยายตัว 0.4% ในขณะที่ปี 2565 อยู่ที่ 3.5% และในสหภาพยุโรปมีแนวโน้มที่จะคงดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงขยายวงกว้าง สำหรับความเสี่ยงในภาคการเงินและอสังหาริมทรัพย์ยังคงต่ำกว่าในสหรัฐอเมริกา”  

สำหรับสภาพเศรษฐกิจของประเทศจีนกำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากการยกเลิกนโยบายปลอดโควิดและการทยอยเปิดประเทศตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา อีกทั้งภาคการผลิตและบริการส่งสัญญาณฟื้นตัวในเชิงบวก และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด อัตราเงินเฟ้อที่น้อยกว่า 1% และค่าเงินที่มีเสถียรภาพ จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตมากกว่า 5% ในปีนี้ ในขณะที่จีนตั้งเป้าเติบโตเพียง 5% ซึ่งอาจส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เน้นการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สู่การกำหนดเป้าหมายทางสังคมที่ดีขึ้นผ่านการจ้างงานที่มากขึ้นและกระจายตัว นอกจากนี้ จีนยังมุ่งขยายอิทธิพลไปยังตะวันออกกลางที่อาจนำไปสู่การช่วยยกระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของตะวันออกกลาง และเกิดความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ระหว่างจีน รัสเซียและกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง  

โดยในส่วนของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ GDP อาจขยายตัวอยู่ที่ 3.5% จากรายรับในภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักให้เศรษฐกิจเติบโต ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยว 29 ล้านคน และ 35.5 ล้านคนในปี 2567 ในขณะที่มูลค่าการส่งออกจะลดลงจากปีที่แล้ว แม้การส่งออกไทยอาจได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจจีน แต่ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลักที่ถดถอย สำหรับการบริโภคภาคครัวเรือนได้ฟื้นตัวต่อเนื่อง และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนเมษายน 2566 ขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุด นับตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิดในเดือนมีนาคม 2563 เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้การว่างงานลดลง ก่อให้เกิดการสร้างรายได้จากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมโรงแรมและภัตตาคาร การก่อสร้าง การค้าขายและการผลิต และคาดว่าการจ้างงานจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการผลิตที่สูง การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามหนี้ครัวเรือนที่สูงนับตั้งแต่สถานการณ์โควิดถึงเกือบ 90% ของ GDP ในปัจจุบัน อาจเป็นปัจจัยจำกัดการบริโภค นอกจากนี้สถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ อาจส่งผลให้งบประมาณปี 2567 ล่าช้า ทำให้การใช้จ่ายของภาครัฐในปี 2566 จะไม่เพิ่มขึ้นจากปี 2565 มากนัก 

“เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตสูงกว่าในช่วงครึ่งปีแรก จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว การส่งออกไปตลาดจีนและกำลังซื้อในประเทศ อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวน้อยกว่า 2% เนื่องจากราคาพลังงานที่ลดลง แต่ยังมีแรงกดดันเงินเฟ้อจากอีกหลายปัจจัย อาทิ ต้นทุนของผู้ผลิตที่ถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคจากการฟื้นตัวด้านอุปสงค์ ค่าไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้น และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แม้ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยคาดว่าจะขยับขึ้นไปอยู่ในกรอบที่ 2.25% - 2.5% ในสิ้นปี 2566” 

นายชุติเดช  ชยุติ  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส กลุ่มงานบริหารการเงิน “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “การประเมินเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังมีแนวโน้มขยายตัวของทีดีอาร์ไอ เป็นไปในแนวทางเดียวกับข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผลจากภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ และเชื่อว่าจะส่งผลบวกให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลขยายตัวมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 1/2566 เคทีซีมีสัดส่วนของลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรม เท่ากับ 14.8% อัตราการเติบโตของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรอยู่ที่ 22.5% สูงกว่าอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตที่ 17.7% ส่วนแบ่งตลาดของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรของบริษัทฯ เท่ากับ 12.2% และมีสัดส่วนของลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเทียบกับอุตสาหกรรมเท่ากับ 3.8%” 

“การขยายตัวของภาคเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ส่งผลให้เคทีซีสามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  และมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่เติบโตอย่างเห็นได้ชัด ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การที่รัฐบาลยกเลิกมาตรการล็อคดาวน์จากโควิด-19 ทำให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัว และเมื่อมีการเปิดประเทศ ได้ส่งให้การเดินทางท่องเที่ยวขยายตัวและสร้างรายได้ให้กับประเทศมากขึ้น อีกทั้งเคทีซีได้วางแผนกลยุทธ์การรุกตลาด เพื่อเตรียมรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลังการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ โดยได้ออกบัตรเครดิตเพื่อการท่องเที่ยว 2 ใบคือ บัตรเครดิต อโกด้า มาสเตอร์การ์ด และบัตรเครดิตเจซีบี อัลติเมท อีกทั้งได้คัดสรรสิทธิพิเศษหลายรูปแบบในทุกหมวดใช้จ่ายที่สำคัญ จำเป็นและคาดว่าจะได้รับความนิยม เช่น สิทธิพิเศษด้านการท่องเที่ยว สิทธิพิเศษในหมวดร้านอาหารเพื่อผู้ที่หลงใหลในรสชาติอาหารทุกกลุ่มความต้องการ สิทธิพิเศษด้านน้ำมันและประกัน สิทธิพิเศษด้านสุขภาพและความงาม เป็นต้น” 

ทั้งนี้ในไตรมาส 1/2566 พอร์ตสินเชื่อรวมของเคทีซีมีอัตราเติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2565 อยู่ที่ 14.5% โดยมีมูลค่าเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวมเท่ากับ 103,312 ล้านบาท ในขณะที่กลุ่มบริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินได้อย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพอยู่ที่ 2.6% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังสามารถควบคุมคุณภาพสินเชื่อได้ดีโดยมี NPL รวมอยู่ที่ 1.9% และมั่นใจว่าจะสามารถคงคุณภาพพอร์ตรวมได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมประมาณการกำไรของปี 2566 ที่สูงกว่าเดิม 

“เราเชื่อว่าด้วยสถานการณ์ของเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจบริการอื่นๆ จะทำให้เกิดการบริโภคในครัวเรือนและการลงทุนทำธุรกิจที่มากขึ้น รวมทั้งการเดินทางของนักท่องเที่ยวในไทยและเดินทางไปต่างประเทศ จะเอื้อประโยชน์ให้ทุกพอร์ตสินเชื่อของเคทีซีขยายตัว และมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น รวมทั้งธุรกิจร้านค้ารับชำระเติบโต ทั้งจากภาคอุปสงค์ในไทยที่ขยายตัว จากการใช้จ่ายในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในไทย แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น ต้นทุนการเงินของบริษัทฯ ยังคงสามารถรองรับการเติบโตตามเป้าหมายได้ โดยเคทีซีตั้งเป้าการเติบโตของธุรกิจในปี 2566 ดังนี้ กำไรสูงกว่า 7,079 ล้านบาท พอร์ตสินเชื่อรวมเติบโต 15% เกินแสนล้านบาท ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 10% พอร์ตสินเชื่อบัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” เติบโต 7% ยอดอนุมัติสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม รถแลกเงิน” เพิ่ม 9,000 ล้านบาท และ NPL น้อยกว่า 1.8% ซึ่งเป็นอัตรา NPL ในปี 2022”  

อย่างไรก็ตามในอีกมุมหนี่งของการทำธุรกิจที่เคทีซีคำนึงถึงมาตลอดคือ การบูรณาการกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนให้ดีขึ้น ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบ มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล รวมถึงบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ สร้างความไว้วางใจให้เกิดแก่ผู้มีส่วนได้เสีย เพิ่มโอกาสการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินแก่สังคมไทย บรรเทาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และร่วมสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ รวมถึงทุกกลุ่มบริษัทเคทีซียังดำเนินโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ตามแนวทางการบริหารจัดการด้านการให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ยกระดับการกำกับดูแลการบริหารจัดการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม โดยให้ความสำคัญและส่งเสริมการช่วยเหลือ ติดตาม แก้ไขปัญหาหนี้สิน เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ประสบปัญหาหนี้สินอย่างตรงจุดและทันท่วงที รวมถึงการพัฒนากระบวนการในการให้สินเชื่อตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการอย่างยั่งยืน โดยเคทีซีให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในทุกสถานะเป็นจำนวน 1,995 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.0% ของพอร์ตลูกหนี้รวม (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566) 

 

FETCO ผนึกพันธมิตรปลดล็อคกฎเกณฑ์ ลดต้นทุน หนุนขีดแข่งขัน สร้างนวัตกรรมตลาดทุนไทย

7 องค์กรสมาชิกสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดตัว “โครงการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนในตลาดทุนไทย”  โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) มุ่งผนึกกำลังทำงานเชิงรุกปรับลดกฎเกณฑ์ที่จะช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบธุรกิจและนักลงทุน ปลดล็อคให้เกิดการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆในตลาดทุน เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันให้ตลาดทุนไทย

เมื่อวันที่ 21 มี.ค.66 สภาธุรกิจตลาดทุนไทยในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนภาคตลาดทุน ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.)”  และ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) จัดทำ “โครงการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนในตลาดทุนไทย” เพื่อดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบด้านต้นทุนของกฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการขออนุญาต (Licenses) และการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในตลาดทุน ภายใต้การสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) โดยได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจในตลาดทุนไทย เพื่อทำงานเชิงรุก ประสานพลังร่วมกับหน่วยงานราชการ เอกชน ผลักดันให้เกิดการทบทวนกฎหมายและกฎระเบียบ ลดขั้นตอนที่ล้าสมัย ไม่จำเป็นหรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุน (Regulatory Guillotines) เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ ลดต้นทุนให้ผู้ประกอบธุรกิจและนักลงทุน ลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมและนำมาสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ FETCO กล่าวว่า “การดำเนินงานเพื่อปฏิบัติตามกฎระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ ล้วนมีค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนแฝงของผู้ประกอบธุรกิจ กฎระเบียบและกฎหมายที่ไม่จำเป็นหรือล้าสมัยย่อมส่งผลกระทบไปถึงการประกอบธุรกิจและการทำธุรกรรมในตลาดทุนของนักลงทุน นอกจากนี้ยังเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรมและความสามารถในการแข่งขัน ทั้งทางด้านเศรษฐศาสตร์และตลาดทุนโดยรวม FETCO ในฐานะผู้แทนองค์กรเอกชนภาคตลาดทุน ขอขอบคุณสำนักงาน ก.ล.ต. และหน่วยงานพันธมิตรภาครัฐและเอกชนที่ให้เกียรติร่วมโครงการ เชื่อว่าพลังความร่วมมือครั้งนี้เป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จของโครงการ ที่จะปลดล็อกพันธนาการที่เป็นภาระของตลาดทุนและผู้ลงทุน ทำให้ตลาดทุนเป็นแหล่งการออม การลงทุน และการะดมทุนที่มีประสิทธิภาพ สามารถแข่งขันและเติบโต ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทยในระยะยาว”