กลุ่ม “D” ส่งมอบอุปกรณ์ทันตกรรมกว่า 28 ล้านบาท รพ.รัฐ-เอกชนเชื่อมั่นมาตรฐาน พร้อมลุยงานประมูลต่อเนื่อง

กลุ่ม "เดนทัล คอร์ปอเรชั่น"  ส่งมอบงานจัดซื้ออุปกรณ์ทันตกรรม คณะทันตแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย  มูลค่า  28.41 ล้านบาท  ด้าน “เดนทัล วิชั่น” บริษัทในเครือมั่นใจมาตรฐาน ความพร้อม ศักยภาพ รุกงานประมูลอุปกรณ์ทันตกรรม โรงพยาบาลรัฐบาล และเอกชน อย่างต่อเนื่อง  ขณะที่ปีนี้ทุกส่วนธุรกิจปรับตัวดี  คาดผลการดำเนินงานเติบโตตามเป้าหมาย

นายพรศักดิ์ ตันตาปกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D ผู้นำธุรกิจให้บริการด้านทันตกรรมครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัท เดนทัล วิชั่น (ประเทศไทย) จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ได้ผ่านการคัดเลือกการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์ทันตกรรม ประเภทโต๊ะปฏิบัติการทันตกรรม เพื่อใช้สำหรับการเรียนการสอนนักศึกษา  ของคณะทันตแพทย์ศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ล่าสุด บริษัท เดนทัล วิชั่น (ประเทศไทย)  ได้ส่งมอบงานจัดซื้อจัดจ้างพัสดุด้านอุปกรณ์ทันต กรรม ประเภทโต๊ะปฏิบัติการทันตกรรม  ให้กับคณะทันตแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำนวน 127 ชุด โดยมีมูลค่า 28.41 ล้านบาท    

“การส่งมอบงานประมูลในครั้งนี้  เป็นโต๊ะปฏิบัติการทันตกรรมยี่ห้อ SARATOGA รุ่น Young 206  เป็นผลิตภัณฑ์จากประเทศอิตาลี การส่งมอบ ต้องมีขั้นตอนการตรวจสอบสินค้า  คุณภาพและคุณสมบัติ ต้องไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ต้องเป็นของแท้ ของใหม่ ไม่เคยใช้งานมาก่อน และไม่เป็นของเก่าเก็บ จากผลงานที่ผ่านมา กลุ่ม D ที่มีมาตรฐานมีความพร้อมจึงได้รับความไว้วางใจจากโรงพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน และในปีนี้ทุกส่วนงานมีการปรับตัวได้ดี  คาดว่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย”นายพรศักดิ์ กล่าว

นายพรศักดิ์กล่าวอีกว่า บริษัท เดนทัล วิชั่น (ประเทศไทย) มีแผนธุรกิจรุกด้านการประมูลงานอย่างต่อเนื่อง  ทั้งในมหาวิทยาลัยรัฐบาล และเอกชน ที่มีการเปิดการเรียนการสอนคณะทันตแพทย์ ซึ่งจากศักยภาพในด้านผู้นำธุรกิจให้บริการด้านทันตกรรม การจัดจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ทันตกรรมครบวงจร  ทำให้ กลุ่มบริษัท มีมาตรฐาน มีคุณสมบัติพร้อมและมีศักยภาพ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะผ่านการคัดเลือกจากการประมูลงาน

ข่าวดี! ผู้ประกันตน “สปส.” ปรับสิทธิ์ทันตกรรม จ่ายค่าผ่าฟันคุดสูงสุด 2,500 บาท เริ่มใช้งานเดือนหน้า

ข่าวดี! ผู้ประกันตน “สปส.” ปรับสิทธิ์ทันตกรรม จ่ายค่าผ่าฟันคุดสูงสุด 2,500 บาท เริ่มใช้งานเดือนหน้า

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ที่สำนักงานประกันสังคม (สปส.) นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล ประธานกรรมการคณะกรรมการการแพทย์ กองทุนประกันสังคม ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมคณะกรรมการการแพทย์เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาและเห็นชอบให้มีการปรับสิทธิประโยชน์ทันตกรรมเพิ่มเติม โดยแยกสิทธิ์การผ่าฟันคุดออกจากสิทธิ์ทันตกรรมที่มีวงเงินปีละ 900 บาท และกำหนดอัตราการจ่ายค่าผ่าฟันคุดใหม่ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี ตามอัตราจ่ายของกรมบัญชีกลาง ดังนี้:

กรณีผ่าฟันคุดแบบง่าย: อัตราการจ่ายอยู่ที่ 1,500 บาท

กรณีผ่าฟันคุดแบบยาก (มีการกรอกระดูก): อัตราการจ่ายอยู่ที่ 2,500 บาท

นอกจากนี้ นพ.สุรเดชยังกล่าวว่า จะมีการปรับเพิ่มค่าตรวจสุขภาพช่องปากให้กับสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ โดยสถานพยาบาลต้องจัดทำข้อมูลสุขภาพช่องปากของผู้ประกันตนและส่งให้กับสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เพื่อให้ข้อมูลครบถ้วนและเป็นประโยชน์ในระยะยาวให้กับทุกฝ่าย

สำหรับสิทธิ์ทันตกรรมที่มีวงเงิน 900 บาทต่อปี หากผู้ประกันตนต้องการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่านี้ และเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลรัฐ สปส.จะตามจ่ายค่ารักษาตามเรทของโรงพยาบาลรัฐ โดยไม่กำหนดเพดาน แต่หากเป็นสถานพยาบาลเอกชน สปส.จะจ่ายในอัตรา 900 บาท ส่วนที่เกินจากนี้ผู้ประกันตนจะต้องจ่ายเอง

นพ.สุรเดชกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาคิวการรักษาของโรงพยาบาลรัฐเพื่อให้ผู้ประกันตนสามารถเข้าถึงการรักษาได้สะดวก โดยคาดว่าจะเริ่มใช้สิทธิ์ดังกล่าวได้ในเดือนหน้า หลังจากการอนุมัติจากบอร์ดการแพทย์และกระบวนการพิจารณาทางกฎหมาย

#ประกันสังคม #ทันตกรรม #ผ่าฟันคุด #สิทธิ์ประโยชน์ #ตรวจสุขภาพช่องปาก #สปส #การแพทย์ #สิทธิ์ทันตกรรม #โรงพยาบาลรัฐ #สิทธิ์การรักษา

ไทยจับมือญี่ปุ่น พัฒนาด้ามกรอฟันนวัตกรรมใหม่ ตั้งฐานผลิตในประเทศ ลดนำเข้า 3 พันล้าน สร้างรายได้พันล้านต่อปี

ไทยจับมือญี่ปุ่น พัฒนาด้ามกรอฟันนวัตกรรมใหม่ ตั้งฐานผลิตในประเทศ ลดนำเข้า 3 พันล้าน สร้างรายได้พันล้านต่อปี ยกระดับคุณภาพบริการด้านทันตกรรมให้ประชาชน

วันนี้ (29 พฤษภาคม 2568) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ผลจากความร่วมมือ และการสนับสนุนของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) รวมทั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) หรือ TCELS และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ซึ่งบูรณาการความร่วมมือช่วยสนับสนุนการทำวิจัย การให้คำปรึกษา การรับรองมาตรฐานและการช่วยประสานงานกับหน่วยงานรัฐอื่น ๆ รวมทั้งการผลักดันให้เกิดการนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ไปใช้งานหน่วยงานรัฐ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นวัตกรรมของไทยให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้

ส่งผลให้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างบริษัท ไทยเด็นทอล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท Seiko Instruments จากประเทศญี่ปุ่น ในงานนิทรรศการนานาชาติ Osaka World Expo 2025 โดยการลงนามครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อร่วมกันพัฒนาด้ามกรอทางทันตกรรมรุ่นใหม่ ที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย และจัดตั้งโรงงานผลิตในประเทศไทย เพื่อจะเป็นฐานการผลิตและศูนย์บริการหลังการขายที่สามารถรองรับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ปัจจุบันประเทศไทยต้องนำเข้าด้ามกรอฟันจากต่างประเทศรวมมูลค่าราว 3,000 ล้านบาทต่อปี และด้วยข้อจำกัดด้านการซ่อมแซมและบริการหลังการขาย ซึ่งมักต้องพึ่งพาต่างประเทศ การลงนาม MOU ดังกล่าวถือเป็นการลดการพึ่งพาการนำเข้า โดยทั้งสองบริษัทตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2569 จะสามารถจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ในประเทศราว 500 ล้านบาท และมีรายได้จากการส่งออกอีก 500 ล้านบาท รวมมูลค่าไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี สร้างการจ้างงานภายในประเทศ และผลักดันให้เทคโนโลยีทันตกรรมไทยแข่งขันในตลาดโลกได้” นายอนุกูล ระบุ

“ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของภาคเอกชนไทยในการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ จากแรงสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ทำให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน ลดการพึ่งพานำเข้าจากต่างประเทศ นอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพบริการด้านทันตกรรมให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ยังส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตผ่านการผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์นวัตกรรมไทยอย่างแท้จริง” นายอนุกูล ย้ำ

BDMS Wellness Clinic ผนึก Straumann Group ประเทศไทย เสริมศักยภาพด้านทันตกรรมไทยสู่ Dental Wellness Hub ระดับสากล

บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันในเครือ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS นำโดย นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ผนึกกำลัง Straumann Group ประเทศไทย จำกัด บริษัทด้านการปลูกรากฟันเทียมและทันตกรรมความงามจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ผนึกกำลังเดินหน้าตั้ง “ศูนย์รากฟันเทียมเซรามิกแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียแปซิฟิก ที่ได้รับการรับรองโดย บริษัท Straumann” ชูแนวคิด Aesthetic Dentistry ผสานเทคโนโลยีทันตกรรมและศาสตร์ความงาม มุ่งยกระดับคุณภาพการดูแลสุขภาพช่องปากแบบองค์รวม พร้อมสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางด้าน Wellness ระดับโลก ตลอดจนผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Dental Wellness Hub Thailand

ทั้งนี้มีนายเปโดร สวาห์เลน เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย นายแพทริก โลห์ สมาชิกคณะกรรมการบริหาร รองประธานบริหาร และหัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท Straumann Group ทันตแพทย์หญิงวลัยลักษณ์ เกียรติธนากร ผู้อำนวยการคลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก ทันตแพทย์หญิงสุชาดา ก้องเกียรติกมล รองผู้อำนวยการคลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก นางสาวศิริพร ไทรกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการบีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางคลินิก นางสาว จิตรา สังฆกิจ Country Manager บริษัท Straumann Group ประเทศไทย และ นาย ลิป แทน หัวหน้าฝ่ายการเงิน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท Straumann Group (Mr. Lip Tan, Head of Finance Shared Services of Straumann Group APAC, Straumann Group) เข้าร่วมงาน 

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปัจจุบัน แนวคิดเรื่อง “สุขภาพที่ดี” ได้รับการขยายความมากกว่าการไม่มีโรคภัยหรืออาการเจ็บป่วย หากแต่ครอบคลุมถึงการมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ การส่งเสริมสุขภาพจึงต้องอาศัยการดูแลแบบองค์รวม อันประกอบด้วยการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ การบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ การมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนการให้ความสำคัญกับสุขภาพในด้านที่มักถูกมองข้าม เช่น สุขภาพช่องปาก ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสุขภาวะโดยรวม ทั้งในฐานะด่านแรกของระบบย่อยอาหาร และในฐานะตัวสะท้อนของความสมดุลภายในร่างกาย อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อบุคลิกภาพ ความมั่นใจในตนเอง และคุณภาพชีวิตโดยรวมของประชาชน สุขภาพช่องปากที่ดีจึงมิใช่เพียงเรื่องของการดูแลเฉพาะจุด หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพที่มีความเชื่อมโยงกับความเป็นอยู่ที่ดีในทุก ๆ ด้าน 

“ด้วยวิสัยทัศน์ของ BDMS Wellness Clinic ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญกับการดูแลสุขภาพองค์รวม เราจึงได้จับมือกับ Straumann Group ประเทศไทย เพื่อผสานเทคโนโลยีรากฟันเทียมเซรามิกซึ่งเป็นเทคโนโลยีทันตกรรมที่พัฒนาขึ้นเพื่อทดแทนรากฟันธรรมชาติ ภายใต้การผลิตของบริษัท Straumann เข้ากับศาสตร์ทันตกรรมความงาม ที่ดำเนินการภายใต้ความดูแลของแพทย์ผู้ชำนาญการด้านทันตกรรมความงาม ที่ BDMS Wellness Clinic เพื่อดูแลทั้งสุขภาพช่องปากพร้อมส่งเสริมสุขภาพองค์รวมและความมั่นใจให้กับผู้คนทั่วโลกที่เดินทางมารับบริการด้านทันตกรรม ณ BDMS Wellness Clinic”

โดยความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญ ที่ร่วมขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ของเราสู่เป้าหมายระดับประเทศในการเป็น Dental Wellness Hub Thailand เพื่อส่งมอบสุขภาพช่องปากที่ดีที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสให้กับผู้คนทั่วโลกที่เดินทางมาท่องเที่ยว ณ ประเทศไทย ภายใต้แนวคิด Dental Wellness Tourism เพื่อผลักดันประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็น Wellness Hub Thailand จุดหมายปลายทางด้านสุขภาพเชิงป้องกันแบบองค์รวมที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับสากล ซึ่งรวมถึงประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมด้วย

นายเปโดร สวาห์เลน เอกอัครราชทูตสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย กล่าวถึงการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “สถานเอกอัครราชทูตสวิตเซอร์แลนด์ประจำประเทศไทย มีพันธกิจในการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างสวิตเซอร์แลนด์และไทยอย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนธุรกิจสวิสที่เข้ามาลงทุนในไทยผ่านการให้ข้อมูล การสร้างเครือข่าย และการประสานความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนไทย สถานทูตมุ่งเน้นการส่งเสริมมาตรฐานคุณภาพ นวัตกรรม และความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจ เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันระหว่างสองประเทศ” 

นายแพทริก โลห์ สมาชิกคณะกรรมการบริหาร รองประธานบริหาร และหัวหน้าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท Straumann Group กล่าวว่า “Straumann Group มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดตั้งศูนย์รากฟันเทียม     เซรามิก ณ BDMS Wellness Clinic ซึ่งนับเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ผสานเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ากับศาสตร์ความงามในการดูแลสุขภาพช่องปาก โดยความร่วมมือในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้ง Straumann Group และ BDMS Wellness Clinic ในการส่งเสริมศักยภาพของทันตแพทย์ไทยให้ก้าวสู่เวทีระดับโลก และร่วมกันสร้างอนาคตแห่งวงการทันตกรรมทั้งในประเทศไทยและทั่วทั้งภูมิภาค” 

เพราะรอยยิ้มของคุณคือแพชชันของเรา: เปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการบูรณะรอยยิ้มด้วยรากฟันเทียมเซรามิก เทคโนโลยีล่าสุดที่ผสานศาสตร์แห่งความงามเข้ากับความชำนาญการทางทันตกรรมอย่างลงตัว     

ทันตแพทย์หญิงสุชาดา ก้องเกียรติกมล รองผู้อำนวยการคลินิกทันตกรรม บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก กล่าวว่า คลินิกทันตกรรมของ BDMS Wellness Clinic มุ่งมั่นส่งมอบบริการด้านทันตกรรมความงามที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ด้วยความตั้งใจที่จะมอบทั้งสุขภาพช่องปากที่ดีและความมั่นใจให้กับผู้รับบริการทุกท่าน โดยหนึ่งในเทคโนโลยีที่ดีรับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันคือ ‘รากฟันเทียมเซรามิก (Zi Ceramic Implant)’ จากแบรนด์ Straumann บริษัทด้านการปลูกรากฟันเทียมและทันตกรรมความงามจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยวัสดุไบโอเซรามิก (Zirconia) ของ Straumann มีจุดเด่นด้านความแข็งแรง ทนทาน และเข้ากันได้ดีกับเนื้อเยื่อในช่องปาก จึงให้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและยั่งยืนในระยะยาว
  
นอกจากนี้ รากฟันเทียมเซรามิกยังมีคุณสมบัติด้านความงามที่โดดเด่น ด้วยเฉดสีที่ใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติมากกว่ารากฟันเทียมประเภทโลหะ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการบูรณะฟันบริเวณด้านหน้า อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดอาการแพ้โลหะ ซึ่งเป็นข้อกังวลที่อาจพบได้ในรากฟันเทียมทั่วไป ทำให้เป็นทางเลือกที่ทั้งปลอดภัยแก่ผู้รับบริการทุกคน 

“การเลือกใช้รากฟันเทียมเซรามิกจาก Straumann ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ BDMS Wellness Clinic ในการมอบทางเลือกด้านการบริการการดูแลช่องปากให้กับผู้รับบริการ โดยมุ่งเน้นทั้งประสิทธิภาพในการฟื้นฟูการใช้งานของฟันควบคู่ไปกับการส่งเสริมภาพลักษณ์และบุคลิกภาพของผู้รับบริการ ผ่านรอยยิ้มที่มั่นใจ สวยงาม และเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง” ทันตแพทย์หญิงสุชาดากล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ นางสาว จิตรา สังฆกิจ Country Manager บริษัท Straumann Group ประเทศไทย ยังได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท Straumann Group และรากฟันเทียมเซรามิกในงาน โดย Straumann Group เป็นบริษัทชั้นนำจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บริษัทมีความชำนาญการการในการวิจัย พัฒนา และผลิตอุปกรณ์ทางทันตกรรมในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นรากฟันเทียม เครื่องมือจัดฟันใส วัสดุชีวภาพ และเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของ Straumann Group มีวางจำหน่ายในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยยึดมั่นในเทคโนโลยี ความน่าเชื่อถือ และมาตรฐานการดูแลผู้รับบริการระดับสากล 

โดยในปี พ.ศ.2555 (ค.ศ.2012) Straumann Group ได้เข้าซื้อหุ้น 49% ของบริษัท Neodent จากประเทศบราซิล และในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) ได้เข้าซื้อหุ้นที่เหลือทั้งหมด ทำให้ Neodent เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Straumann Group อย่างเต็มตัว ปัจจุบัน Neodent มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกว่า 95 ประเทศทั่วโลก ในปี พ.ศ.2565 (ค.ศ.2022) Neodent ได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ล่าสุด “Zi Ceramic Implant” ระบบรากฟันเทียมเซรามิก ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยที่ให้ความสำคัญกับความสวยงามและสุขภาพช่องปาก รากฟันเทียม Zi Ceramic ผลิตจากเซอร์โคเนียคุณภาพสูง มีคุณสมบัติเด่นด้านความแข็งแรง สีขาวคล้ายรากฟันธรรมชาติ และความเข้ากันได้ดีเยี่ยมกับเนื้อเยื่อในช่องปาก ด้วยการออกแบบรูปทรงเรียวที่เลียนแบบรากฟันธรรมชาติ จึงช่วยให้การรักษาและการฟื้นฟูรอยยิ้มเป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น

สำหรับความร่วมมือระหว่าง BDMS Wellness Clinic และบริษัท Straumann Group ประเทศไทย จำกัด ในครั้งนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของการรวมพลังเป็น #TeamThailand เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลก ตลอดจนตอกย้ำความเชื่อมั่นในคุณภาพบริการด้านสุขภาพและทันตกรรมของไทยในระดับมาตรฐานสากล เพื่อมุ่งสู่การส่งมอบการดูแลสุขภาพองค์รวมที่ยั่งยืนให้แก่ผู้คนทั่วโลก
 

MOS Dental Clinic เปิดสาขาที่ 31 ในกทม.ยกระดับการดูแลสุขภาพช่องปากด้วยเทคโนโลยีทันตกรรม AI ภายใต้ความร่วมมือกับผู้นำนวัตกรรม DeepCare

MOS Dental Clinic (มอสเดนทอลคลินิก) เปิดตัวสาขาที่ 31 ในกรุงเทพฯ เพื่อขยายฐานการดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มอบบริการวางแผนการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งใช้เครื่องมือจากสถาบัน DeepCare ผู้ให้บริการโซลูชันทันตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ โดยยังเป็นศูนย์สาธิตนวัตกรรมที่จัดแสดงเทคโนโลยีต่าง ๆ มากมาย เช่น เครื่องสแกนภายในช่องปาก การถ่ายภาพรังสีช่องปาก (CBCT) การพิมพ์งาน 3 มิติ และเครื่องมือวินิจฉัยด้วย AI และอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการบูรณาการเทคโนโลยีของคลินิก เพื่อช่วยในการวางแผนการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพและยกระดับการดูแลคนไข้ในประเทศไทย ความร่วมมือระหว่าง MOS Dental Clinic, DeepCare และ Oracare Group มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงบริการทันตกรรมแบบดั้งเดิมทั้งในประเทศไทยและและต่างประเทศสู่ระบบดิจิทัล เริ่มต้นจากคลินิกแห่งนี้ โครงการนี้มุ่งเน้นการพัฒนาการวางแผนและการดูแลรักษาทันตกรรม ด้วยการยกระดับความแม่นยำ ประสิทธิภาพ และประสบการณ์การดูแลคนไข้ให้ดียิ่งขึ้น

เมื่อวันที่ 13 พ.ย.67 ดร.อิริค ติง ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DeepCare กล่าวย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับ MOS Dental Clinic และมั่นใจว่าการแบ่งปันเรื่องราวความร่วมมือของเราครั้งนี้นับว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะด้วยวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่เหมือนกัน เราจะสามารถประสานความร่วมมือได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะแสดงถึงความเป็นพันธมิตรและเป็นประโยชน์ต่อองค์กรทั้งสองของเรา”

“นวัตกรรมเทคโนโลยีของเรา ทั้งแพลตฟอร์มทันตกรรมที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์แผนภาพช่องปากที่แตกต่างกันถึง 7 รูปแบบเพื่อสนับสนุนการวินิจฉัยและการวางแนวทางรักษา ไปจนถึงโปรแกรมแชตบอตสำหรับการสื่อสารแบบเรียลไทม์กับคนไข้ นับว่าเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมทันตกรรมไปอย่างสิ้นเชิง เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้การวินิจฉัยแม่นยำยิ่งขึ้น และพัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติงาน ส่งผลให้การดูแลคนไข้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม”

ทพ.อดิศร หาญวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MOS Dental Clinic กล่าวถึงผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีนี้ว่า “เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น DeepCare จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมต่อคลินิกของเรา เมื่อบูรณาการเทคโนโลยีนี้ เราจะสามารถพัฒนาแผนการรักษาที่แม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์การดูแลรักษาคนไข้และประสบการณ์ต่อทันตแพทย์ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ AI ยังช่วยให้ทันตแพทย์ของเราสามารถตรวจสุขภาพคนไข้ได้อย่างละเอียดและช่วยให้ตัวคนไข้เข้าใจแผนการรักษาได้อย่างชัดเจน ซึ่งในฐานะคลินิกแห่งแรกในกรุงเทพฯ ที่มีนวัตกรรมนี้ เราจึงรู้สึกยินดีในการเป็นผู้นำในประเทศไทยด้านการยกระดับการดูแลทันตกรรมด้วยเทคโนโลยี”

คุณลีออน ลุย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Oracare Group เล่าถึงความสอดคล้องในเชิงวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ของความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “สำหรับ Oracare เรายึดมั่นในคุณภาพ บริการ และนวัตกรรม ซึ่งความร่วมมือระหว่างเรากับ DeepCare นับว่าสอดคล้องกับค่านิยมนี้อย่างลงตัวเพราะช่วยให้เราปรับปรุงการดูแลคนไข้ผ่านเทคโนโลยี และเราจะยังคงเดินหน้ามอบประสบการณ์การดูแลทันตกรรมที่ยอดเยี่ยมให้ครอบคลุมทั้งภูมิภาคต่อไป”

โดยการเปิดตัวคลินิกแห่งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่กว้างขวางในการใช้เทคโนโลยีทันตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในคลินิกอื่นๆ ทั้งในสิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย การขยายธุรกิจนี้ยังถือเป็นการส่งเสริมพันธกิจในการยกระดับมาตรฐานการดูแลทันตกรรมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

ทันตกรรมสิทธิประกันสังคมไม่ด้อยกว่าสิทธิกองทุนสุขภาพภาครัฐอื่น

ตามที่กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติบางท่านได้นำเสนอข่าว ประเด็นที่ผู้ประกันตนตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคมใช้สิทธิเบิกค่ารักษาทันตกรรมที่จำเป็นได้น้อยกว่าประชาชนทั่วไปในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สิทธิบัตรทอง) และระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐ ไม่ครอบคลุมชนิดของบริการและค่าใช้จ่ายที่จำเป็น แตกต่างจากผู้มีสิทธิในอีกสองระบบที่สามารถเบิกได้ ตามความจำเป็น ทั้งที่ผู้ประกันตนเป็นกลุ่มเดียว ที่ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนทุกเดือน นั้น

          นางนิยดา เสนีย์มโนมัย โฆษกสำนักงานประกันสังคม ชี้แจงว่า ปัจจุบันสิทธิทันตกรรมของสำนักงานประกันสังคม เป็นสิทธิเดียวในสามกองทุนสุขภาพที่สามารถเข้ารับบริการได้ในสถานพยาบาลหรือคลินิกเอกชน ที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ สามารถรับบริการได้ทันที ไม่ต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า ไม่ต้องสำรองจ่าย ทั้งนี้ สำนักงานประกันสังคมได้มีการปรับค่าบริการกรณีทันตกรรมจากเดิม 600 บาท เป็น 900 บาท โดยสำรวจราคาจากสถานพยาบาล ที่ให้บริการทันตกรรมทั้งภาครัฐและเอกชน และอัตราการใช้บริการเฉลี่ยต่อปีของผู้ประกันตน อีกทั้ง สำนักงานประกันสังคมยังให้สิทธิผู้ประกันตนที่ต้องเข้ารับบริการด้านสุขภาพช่องปากที่จำเป็นหรือประสบอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับช่องปาก ซึ่งถือเป็นการรักษาพยาบาลอย่างหนึ่ง ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการ ณ สถานพยาบาลตามสิทธิโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และสำนักงานประกันสังคมได้มุ่งมั่นพัฒนาปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้แก่ผู้ประกันตนอย่างต่อเนื่อง

          ในปี 2549 สำนักงานประกันสังคมเคยปรับระบบให้ผู้ประกันตนสามารถใช้บริการทันตกรรม ในสถานพยาบาลตามสิทธิ ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนเกิน แต่ผลลัพธ์คือ ผู้ประกันตนเข้าไม่ถึงสิทธิ รอคิวนานโดยเสียงส่วนใหญ่ของผู้ประกันตนเรียกร้องให้สำนักงานประกันสังคมกลับมาจัดบริการในลักษณะกำหนดวงเงิน แต่ไปรับบริการที่ไหนก็ได้

          ในปี 2566 ที่ผ่านมา มีสถานพยาบาลที่ทำความตกลงร่วมกับสำนักงานประกันสังคมกว่า 13,000 แห่ง ในขณะที่สิทธิในระบบประกันสุขภาพอื่น จะต้องใช้บริการในหน่วยบริการของรัฐ ถึงแม้ว่าจะไม่จำกัดจำนวนครั้ง แต่ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก ต้องมีการนัดหมายล่วงหน้า และต้องเข้ารับบริการในเวลาราชการเท่านั้น
  
          จากข้อมูลการสำรวจการเข้ารับบริการสุขภาพช่องปากของคนไทย โดยสำนักสถิติแห่งชาติร่วมกับ สำนักทันตสาธารณสุข กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม เข้าถึงบริการด้านทันตกรรมมากกว่าสิทธิบัตรทอง และเมื่อเปรียบเทียบการใช้สิทธิของแต่ละกองทุน พบว่า ผู้ประกันตนมีการใช้สิทธิมากที่สุด และในปี 2566 มีผู้ประกันตนใช้บริการในสถานพยาบาลหรือคลินิกเอกชนสูงถึง ร้อยละ 90 และรับบริการในสถานพยาบาลของรัฐเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ในปี 2567 นี้ สำนักงานประกันสังคมยังมีโครงการรถทันตกรรมเคลื่อนที่ โดยจัดให้มีรถทันตกรรมเคลื่อนที่ที่มีมาตรฐานตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ลงพื้นที่ให้บริการแก่ผู้ประกันตนในสถานประกอบการเพื่ออำนวยความสะดวกเพิ่มการเข้าถึงการบริการทันตกรรมอย่างมีคุณภาพ และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาใช้บริการของผู้ประกันตนอีกด้วย

          อย่างไรก็ตาม สำนักงานประกันสังคม ได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่อง การให้สิทธิประโยชน์ด้านการรักษาที่มีคุณภาพครอบคลุมทุกโรค ให้มากที่สุดให้กับผู้ประกันตนอย่างทั่วถึง สำนักงานประกันสังคมมีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสิทธิการรักษาพยาบาลให้กับผู้ประกันตนในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและการดำเนินชีวิตของผู้ประกันตน ดังนั้น ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจว่าสำนักงานประกันสังคมพร้อมดูแลสุขภาพของผู้ประกันตน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนในการพัฒนาประเทศต่อไป ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ และที่สายด่วน 1506 (เจ้าหน้าที่ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง)
 

“เอเดลไวซ์ เดนทัลเฮ้าส์” ปักหมุดบุกตลาดทันตกรรม ชูจุดขายทีมเฉพาะทาง ผสานเทคโนโลยีสุดล้ำ

ศูนย์ทันตกรรม “เอเดลไวซ์ เดนทัลเฮ้าส์” ปักหมุดบุกตลาดทันตกรรม ชูจุดขายทีมแพทย์เฉพาะทางรากเทียม ผสานเทคโนโลยีสุดล้ำเครื่องเอกซเรย์ 3 มิติ พร้อม “Implant Knowledge Center” ศูนย์ความรู้ทางทันตกรรมรากเทียมแห่งแรกของเมืองไทย เดินหน้าสร้างจุดเริ่มต้นของรอยยิ้มที่สวยงามให้ทั้งชาวไทยและต่างชาติ

ผศ.ทพ.ดร.อธิคม สุรินทร์ธนาสาร ผู้อำนวยการทางการแพทย์ ศูนย์ทันตกรรม “เอเดลไวซ์ เดนทัลเฮ้าส์” กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์ของธุรกิจทันตกรรมในประเทศไทยอยู่ในช่วงการพัฒนาเพื่อก้าวไปสู่ เดนทัล ฮับ (Dental Hub) แบบเต็มตัว ตามแผนนโยบายการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาอัตราการเติบโตของจำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางมาใช้บริการด้านทันตกรรมในประเทศไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมทันตกรรมของไทยได้เป็นอย่างเต็มรูปแบบ

“เอเดลไวซ์ เดนทัลเฮ้าส์ เป็นศูนย์ทันตกรรมที่มีความเชี่ยวชาญและชำนาญในเรื่องรากเทียม จากทีมทันตแพทย์เฉพาะทางที่มีประสบการณ์สูงและครอบคลุมครบทั้ง 8 สาขา บวกกับเทคโนโลยีด้านรากเทียมโดยเฉพาะ จึงได้ก่อตั้งศูนย์ความรู้ทางทันตกรรมรากเทียม หรือ “Implant Knowledge Center” แห่งนี้ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะให้ความรู้และให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับผู้ที่มีความสนใจรวมถึงผู้ที่มีความต้องการรับการรักษาด้วยรากเทียม เพื่อให้มีความเข้าใจในการรักษา ทั้งในแง่ของขั้นตอนการรักษา ข้อดีข้อเสียของการรักษา รวมทั้งความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่ได้ผ่านการวางแผนการรักษาที่ดี หรือไม่ใช้เทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานในการรักษา นอกเหนือจากความรู้แล้ว ภายในศูนย์ยังมีการจัดแสดงรากฟันเทียมของจริงที่สามารถใช้รักษา รวมทั้งกระดูกเทียมที่ใช้ในการปลูกกระดูกในกรณีที่กระดูกบริเวณที่จะใส่รากเทียมมีไม่เพียงพอ รวมทั้งการใส่ฟันแบบต่างๆ บนรากเทียม อาทิ การใส่รากเทียมทดแทนฟันที่หายซี่เดียวหรือหลายซี่ รวมทั้งกรณีที่ทำฟันปลอมแบบถอดได้ทับบนรากเทียมเพื่อให้ประสิทธิภาพในการใช้ฟันปลอมดีขึ้น ทั้งหมดนี้เพื่อให้การรักษาที่จะได้รับเป็นการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ทั้งในแง่ประสิทธิภาพและความปลอดภัย”


ขณะเดียวกันปัจจัยที่จะมีผลกับการรักษาทางรากเทียมที่นอกเหนือจากคุณหมอที่ต้องมีประสบการณ์มีความเชี่ยวชาญแล้ว ยังต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการรักษาเพื่อให้ผลการรักษาออกมาดีที่สุด ผ่านเครื่องเอกซเรย์ 3 มิติ ที่จะสามารถเห็นสภาพของกระดูกและอวัยวะใกล้เคียง ซึ่งจะทำให้ทันตแพทย์สามารถเห็นทั้งความกว้างและความสูงของกระดูกบริเวณที่จะทำรากเทียม รวมทั้งรูปร่างลักษณะของกระดูก เพื่อทำให้การรักษาทางรากเทียมทำได้อย่างแม่นยำ สามารถคำนวณขนาดของรากเทียมที่เหมาะสมได้ ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การฝังรากเทียมผิดตำแหน่งไปโดนเส้นประสาท ซึ่งอาจทำให้คนไข้เกิดอาการชาตลอดชีวิต มีหลายครั้งที่พบคนไข้ที่อาจจะไม่ได้เหมาะกับการใส่รากเทียม หรือไม่ได้มีการตรวจที่ดี ทำให้มีรากเทียมอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่ เช่น ไปนอนอยู่ในช่องไซนัส และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้” ผศ.ทพ.ดร.อธิคม สุรินทร์ธนาสารกล่าว

โดยศูนย์ทันตกรรม “เอเดลไวซ์ เดนทัลเฮ้าส์” มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้บริการ โดยทันตแพทย์ทุกท่านจะใช้เวลาในการอธิบายและให้คำแนะนำก่อนการรักษาทุกครั้ง เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในแต่ละเคสที่มีการรักษาแตกต่างกัน ทั้งยังช่วยคลายความกังวลแก่ผู้เข้ารับการรักษาอีกด้วย ตอบโจทย์ด้วยบริการการรักษาทันตกรรมเฉพาะทางครบทั้ง 8 สาขา ได้แก่ รากเทียม, ครอบฟัน, ฟันปลอม, จัดฟัน, ทันตกรรมสำหรับเด็ก, รักษารากฟัน, ผ่าฟันคุด และ ทันตกรรมเพื่อความสวยงาม ด้วยการรักษาที่พิถีพิถันทุกขั้นตอนในราคาที่เข้าถึงได้สำหรับทุกเพศทุกวัย ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ