ทรัมป์ยืนยัน! ทองคำไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้า สยบความปั่นป่วนในตลาดโลก

ทรัมป์ยืนยัน! ทองคำไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้า สยบความปั่นป่วนในตลาดโลก

วันที่ 11 สิงหาคม 2568 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา ประกาศผ่านแพลตฟอร์มทรูธ โซเชียล ยืนยันว่า “ทองคำจะไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้า” ท่ามกลางความสับสนเกี่ยวกับภาษีนำเข้าทองคำแท่งบางประเภท หลังจากที่หน่วยงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) เคยแจ้งว่า ทองคำแท่งน้ำหนัก 1 กิโลกรัมและ 100 ออนซ์ ถูกจัดให้อยู่ในพิกัดศุลกากรที่ต้องเสียภาษี

ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ (FT) รายงานโดยอ้างจดหมายจาก CBP ลงวันที่ 31 กรกฎาคม ซึ่งส่งผลให้บางบริษัทหยุดส่งทองคำแท่งขนาดที่มีการซื้อขายสูงสุดในตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากความสับสนเรื่องรหัสศุลกากรและการเก็บภาษี

อย่างไรก็ดี ทำเนียบขาวได้ออกมาชี้แจงในวันถัดมาว่า จะมีการแก้ไขความเข้าใจผิดดังกล่าว เพื่อให้ตลาดทองคำกลับมาดำเนินการได้อย่างราบรื่น โดยการยืนยันของประธานาธิบดีทรัมป์ครั้งนี้ถือเป็นการคลายความกังวลและสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนทองคำในสหรัฐและทั่วโลก

#ทองคำ #ภาษีนำเข้า #โดนัลด์ทรัมป์ #ตลาดทองคำ #สหรัฐอเมริกา #CBP #ข่าวเศรษฐกิจ #ทองคำแท่ง

 

SCB CIO วิเคราะห์แนวโน้มลงทุน H2/2568 เน้นหุ้นสหรัฐฯ-ธีม AI และทองคำ เสริมพอร์ตยุคภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน     

SCB CIO แลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนกับ BlackRock  มองครึ่งหลังของปี 2568 ตลาดการเงินโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ และทางภูมิรัฐศาสตร์ เข้ามาเปลี่ยนภาพการลงทุนแบบดั้งเดิม BlackRock สรุป 3 แนวทางการลงทุน ได้แก่ 1) การลงทุนที่ตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบัน เน้นลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากผลกำไรที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับแรงหนุนจาก AI 2) การลงทุนท่ามกลางภาวะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่ลดลง เน้นการบริหารแบบ Active เลือกหุ้นรายตัว และ 3) การลงทุนที่เน้นแรงขับเคลื่อนในโครงสร้างระยะยาว เน้นการเติบโตของ AI การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และ Private capital ด้าน SCB CIO มีมุมมองที่สอดคล้องกับ BlackRock ในส่วนของการให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ  ที่เน้นธีม AI เป็นหลัก รวมทั้ง ตลาดหุ้นญี่ปุ่น สำหรับตราสารหนี้ BlackRock และ SCB CIO ให้น้ำหนักการลงทุนบนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ยระยะสั้นถึงกลาง รวมทั้ง เน้นกระจายการลงทุนบนทองคำ ด้านการจัดพอร์ตลงทุน SCB CIO  แนะนำลงทุนบนพอร์ตหลัก ระยะยาว เช่น พันธบัตรและหุ้นกู้ IG ของสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ยระยะสั้นถึงกลาง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน H-Shares และอินเดีย รวมทั้ง ทองคำ ส่วนพอร์ตเสริมระยะสั้น แนะลงทุนดัชนี Nasdaq 100  หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก ที่เน้นธีม AI ตลาดหุ้นจีน H-Share และตลาดหุ้นเกาหลีใต้

นายศรชัย สุเนต์ตา CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Wealth & Investment Product ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า จากมุมมองการลงทุนที่ SCB CIO ได้แลกเปลี่ยนกับ BlackRock ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนระดับโลก พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ตลาดการเงินโลกต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเข้ามาเปลี่ยนภาพการลงทุนแบบดั้งเดิม ที่พึ่งพาปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจมหภาค อย่างไรก็ตาม แม้เสถียรภาพเชิงมหภาคในระยะยาวลดลง (losing long-term macro anchors) แต่กฎพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงจำกัดผลกระทบจากนโยบายที่เกิดขึ้นในระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ โดย BlackRock Investment Institute ได้สรุปแนวทางการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่

แนวทางแรก คือ การลงทุนที่ตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบัน (investing in the here and now) แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจและนโยบายมหภาค แต่กฎพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น ความจำเป็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนจากนักลงทุนต่างชาติ หรือข้อจำกัดเชิงกายภาพในการปรับห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างฉับพลัน ทำให้การเปลี่ยนแปลงของการค้าโลกและตลาดทุนเป็นไปอย่างจำกัด แนวโน้มเศรษฐกิจระยะสั้นจึงมีความแน่นอนมากกว่าระยะยาว ดังนั้น จึงให้ความสำคัญกับการจัดสรรสินทรัพย์แบบ Tactical (ภายใน 6–12 เดือน) มากขึ้น และยังคงให้น้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเน้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากผลกำไรที่ยังแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในภาคเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงหนุนจาก AI

แนวทางที่สอง คือ การลงทุนท่ามกลางภาวะเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคที่ลดลง (Taking risk with no macro anchor) เช่น อัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต เปิดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (alpha) ได้มากกว่าช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยจำเป็นต้องบริหารพอร์ตเชิงรุกมากขึ้น ทั้งนี้ กรอบการลงทุนแบบเก่า ที่เน้นบริหารแบบ passive หรือพึ่งพาปัจจัยมหภาคอาจไม่เพียงพอ ขณะที่ความสำเร็จในการสร้าง alpha ในยุคนี้ขึ้นอยู่กับการบริหารแบบ active ทักษะการเลือกหุ้นรายตัว และความสามารถในการปรับตัว

แนวทางสุดท้าย คือ การลงทุนที่เน้นแรงขับเคลื่อนในโครงสร้างระยะยาว (Finding anchors in mega forces) แม้แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวยังมีความไม่แน่นอนสูง แต่ Mega forces ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว เช่น การเติบโตของ AI การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของ Private capital ดังนั้น ควรเลือกลงทุนในสินทรัพย์หรืออุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ซึ่งต้องติดตามพัฒนาการของ Mega Trend เหล่านี้ ต่อแต่ละกลุ่มสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดรับกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

โดยหากพิจารณาทั้ง 3 แนวทางร่วมกัน จะพบว่ากรอบแนวคิดของ BlackRock มุ่งเน้นให้นักลงทุนยังคง Stay Invested แทนที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหรือรอให้ความแน่นอนกลับคืนมา โดยนักลงทุนต้องเปลี่ยนจากการพึ่งพาทิศทางเศรษฐกิจระยะยาวที่มีเสถียรภาพลดลง ไปสู่การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียด (granular) และเจาะลึกในธีมที่มีโอกาสเติบโตเชิงโครงสร้าง

ทั้งนี้ SCB CIO มีมุมมองที่สอดคล้องกับ BlackRock โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บนพอร์ตหลัก ระยะยาว และแนะนำลงทุนดัชนี Nasdaq 100 และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลกที่เน้นธีม AI ในพอร์ตเสริม ระยะสั้น จากกระแส AI ที่จะช่วยหนุนศักยภาพการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน และแนะนำลงทุนตลาดหุ้นจีน H-Share ทั้งพอร์ตหลัก และพอร์ตเสริมจากกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นจีนที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รับแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม และความคืบหน้าของกระแส AI ในจีน

ส่วนตลาดหุ้นอื่นๆที่ SCB CIO แนะนำลงทุนระยะยาว ได้แก่ ตลาดหุ้นยุโรป ตามแรงหนุนบนนโยบายการคลัง จากการเร่งเพิ่มรายจ่ายภาครัฐบนโครงสร้างพื้นฐาน และด้านกลาโหม ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตามการปฏิรูปธรรมาภิบาลที่ยังมีความคืบหน้า และตลาดหุ้นอินเดีย ที่ได้แรงหนุนจาก EPS ที่มีแนวโน้มเติบโตดี ตามอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัว ผลดีจากการลดภาษีเงินได้ และนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย นอกจากนี้ ยังแนะนำลงทุน ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ บนพอร์ตเสริม จาก Valuation ยังถูกเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นเกิดใหม่ ขณะที่ EPS ปีนี้ มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี

สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ BlackRock ให้น้ำหนักการลงทุนแบบ Overweight บนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่มีอายุเฉลี่ย (duration) ระยะสั้นถึงกลาง เนื่องจากให้อัตราผลตอบแทน (yield) สูง และได้รับผลกระทบจำกัด หาก yield เพิ่มขึ้น ขณะที่ Underweight ตราสารหนี้ที่มี duration ยาว จากการที่นักลงทุนต้องการส่วนต่างเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากการลงทุนตราสารหนี้ระยะยาว (term premium) ที่สูงขึ้น ท่ามกลางระดับหนี้ของรัฐบาลทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ SCB CIO ที่แนะนำลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีของสหรัฐฯ โดยเน้น duration สั้นถึงกลาง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงพอร์ต

ในส่วนของทองคำ BlackRock มองว่า ทองคำสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความผันผวนในตลาด โดยในช่วงที่เกิดสถานการณ์ที่ทำให้นักลงทุนกลัวความเสี่ยง (risk-off) และผันผวนสูง ทั้งหุ้นและพันธบัตร ปรับลดลงพร้อมกัน แต่ทองคำยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ จึงควรมีสัดส่วนลงทุนในพอร์ตเพื่อป้องกันความเสี่ยง ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของ SCB CIO ที่ยังแนะนำลงทุนทองค้าในพอร์ตหลัก เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากประเด็นเงินเฟ้อที่สูง สงครามการค้า และความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์

จัดทำโดย SCB CIO ณ วันที่ 24 ก.ค.2568 ทั้งนี้ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละขณะเวลา ผู้ใช้ข้อมูลควรใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุน

#SCBCIO #BlackRock #ลงทุน2568 #ธีมAI #หุ้นสหรัฐ #ตลาดโลก #ทองคำ #ลงทุนอย่างไรดี #ข่าวการเงิน #WealthManagement #เศรษฐกิจโลก #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

 

เงินบาทแข็งค่าเปิดที่ 32.17 บาท/ดอลลาร์ รับแรงหนุนทองคำ-ดอลลาร์อ่อน กรอบวันนี้ 32.10-32.30

เงินบาทแข็งค่าเปิดที่ 32.17 บาท/ดอลลาร์ รับแรงหนุนทองคำ-ดอลลาร์อ่อน กรอบวันนี้ 32.10-32.30

วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ยังคงทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.15-32.31 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่เผชิญแรงกดดันจากจังหวะการปรับตัวลดลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ (ใกล้ถึงกำหนดเส้นตาย 1 สิงหาคม ที่สหรัฐฯ ขู่จะขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่ที่ได้ประกาศไป หากไม่มีการบรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า) นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม ในช่วงเช้าของตลาดการเงินฝั่งเอเชีย หลังเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ทยอยแข็งค่าขึ้น เข้าใกล้โซน 146 เยนต่อดอลลาร์ ตอบรับข่าวสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น ลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 15% จาก 25% ซึ่งภาพดังกล่าวยังหนุนให้ผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในปีนี้ บ้าง โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมอง BOJ มีโอกาส 75% ที่จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ในปีนี้ (ในการประชุมปลายปี) และนอกเหนือจากการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ เงินบาทยังได้อานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) สอดคล้องกับจังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะ หุ้นเทคฯ ใหญ่ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.06%  

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.41% กดดันโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาน่าผิดหวัง นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า สหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป (EU) อาจไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าได้ก่อนกำหนด 1 สิงหาคม และอาจนำไปสู่การใช้มาตรการตอบโต้จากฝั่งสหภาพยุโรป ซึ่งอาจกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรปได้ 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวเพิ่มเติม ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แม้ว่าโดยรวมบรรดาผู้เล่นในตลาดจะยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 4.36% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยจังหวะการทยอยเข้าซื้อดังกล่าวอาจกลับมาอีกครั้ง ในช่วงสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคมที่ตลาดจะรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับจังหวะปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันเพิ่มเติม จากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย ตอบรับข่าวสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น บรรลุข้อตกลงการค้า ลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 15% จาก 25% ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 97.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.3-97.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กอปรกับความต้องการถือทองคำ ในช่วงตลาดเผชิญความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) สามารถปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 3,440-3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ ทั้งยอดการยืนขอสินเชื่อบ้าน (Mortgage Applications) และยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) ในเดือนมิถุนายน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดน้ำมัน ก็จะรอลุ้น รายงานยอดสต็อกน้ำมันคงคลังสหรัฐฯ โดย EIA 

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนกรกฎาคม 
 
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ สหรัฐฯ อย่าง Alphabet และ Tesla ซึ่งรายงานผลประกอบการของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้  


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทยังคงได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้น ตามแนวโน้มการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ อีกทั้ง ในช่วงนี้ บรรดานักลงทุนต่างชาติก็ทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นไทย อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาท แม้จะยังมีโมเมนตัมอยู่บ้าง ก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด โดยในส่วนของราคาทองคำนั้น เรามองว่า หากบรรดาประเทศคู่ค้าต่างๆ ทยอยบรรลุข้อตกลงการค้า ลดระดับอัตราภาษีนำเข้าลงจากที่ทางการสหรัฐฯ ได้ขู่ไว้ ก็อาจทำให้ บรรดาผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลแนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ได้ ขณะเดียวกัน หากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ออกมาสดใส โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่ ก็น่าจะยิ่งทำให้บรรยากาศในตลาดการเงินเริ่มกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งควรจะกดดันราคาทองคำให้ย่อตัวลง โดยเฉพาะในจังหวะที่ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้าน อย่างไรก็ดี เรายอมรับว่า ในภาพดังกล่าว ราคาทองคำก็อาจพอได้แรงหนุนบ้าง หรือไม่ได้ปรับตัวลดลงหนัก หากเงินดอลลาร์ย่อตัวลงหรือแกว่งตัว Sideways (จนกว่าตลาดจะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างชัดเจน) ทั้งนี้ จากการคำนวณของเราล่าสุด พบว่า เงินบาทมีความอ่อนไหว (Beta) กับการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำอยู่ราว 0.3 ทำให้ หากราคาทองคำมีการย่อตัวลงมาทดสอบโซนแนวรับอีกครั้ง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุนอยู่ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงทยอยออกมาสดใส รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด และหนุนการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ เรามองว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วน โดยเฉพาะฝั่งผู้นำเข้า อาจรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์บ้าง หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ หรือแข็งค่าทะลุโซนดังกล่าว และจากการประเมินค่าเงินบาทในเชิง Valuation โดยใช้ทั้ง โมเดล REER และ BEER ของเรา พบว่า เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาพอสมควรในระดับมากกว่า +1.0 SD ซึ่งมักจะสะท้อนว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงมาได้บ้าง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทควรจะเป็นไปอย่างจำกัด และมีโอกาสที่เงินบาทเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้บ้างจากระดับปัจจุบัน ในช่วงระยะสั้นนี้ 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.10-32.30 บาท/ดอลลาร์

#ค่าเงินบาทวันนี้ #เงินบาทแข็งค่า #KrungthaiGlobalMarkets #ข่าวการเงิน #เศรษฐกิจโลก #ทองคำ #ดอลลาร์อ่อนค่า #อัตราแลกเปลี่ยน #ตลาดการเงิน #เงินบาท2568 #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

จับสัญญาณทองคำครึ่งปีหลัง InterGOLD ชี้การย่อลึกไม่ใช่จบรอบ แนะปรับกลยุทธ์ลงทุนรับความผันผวน

วันที่ 17 กรกฎาคม 2568 InterGOLD ประเมินแนวโน้มทองคำครึ่งปีหลัง 2568 ชี้โอกาสพักฐานระยะสั้นไม่ใช่สัญญาณสิ้นสุดขาขึ้น แต่เป็นจังหวะสำคัญให้นักลงทุนทยอยสะสมรอรอบขาขึ้นใหม่ หลังราคาทองคำ
สร้างสถิติสูงสุดที่ 3,498 ดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ต่อออนซ์ และทองไทยแตะ 54,000 บาทต่อบาททองคำ โดยคาดว่าหากราคาทะลุ 3,490 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้อีกครั้ง จะมีโอกาสพุ่งสู่ 3,950–4,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกโดยเฉพาะกลุ่ม BRICS และจีนยังเดินหน้าซื้อสะสมทองคำต่อเนื่อง เพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์และเสริมเสถียรภาพทุนสำรอง หนุนให้ทิศทางระยะยาวของทองคำยังคงเป็นขาขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ

นายธีรรัตน์ จุฑาวรากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 25% จากปลายปี 2567 ทำสถิติสูงสุดหลายครั้ง โดยไตรมาส 1/2568 แตะ 3,498 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และยืนเหนือ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ตลอดไตรมาส 2 อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ ทองคำมีแนวโน้มพักฐานครั้งใหญ่ โดยมีแนวรับสำคัญที่ระดับ 3,100 และ 2,900 ดอลลาร์สหรัฐฯประกอบกับค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่า ยิ่งกดดันราคาทองคำในประเทศเพิ่มเติม ทำให้ครึ่งปีหลังอาจไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสำหรับนักลงทุนสายเก็งกำไรระยะสั้นมาก แต่กลับเป็นโอกาสที่ดีในการทยอยซื้อแบบถัวเฉลี่ย (DCA) เพราะในภาพรวม ระยะยาวราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลกดดันราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่ แนวโน้มสงครามการค้าที่เริ่มมีทิศทางผ่อนคลายมากขึ้น จากการเปิดเจรจาระหว่างหลายประเทศ รวมถึงแรงขายทำกำไรจากนักลงทุนระยะสั้น หลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้นแรงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังไม่มีท่าทีลดดอกเบี้ยในทันที เนื่องจากเงินเฟ้อที่ยังไม่คลี่คลายจากต้นทุนสินค้าสูง ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงแข็งค่า กดดันราคาทองให้ชะลอตัว ซึ่ง InterGOLD ประเมินว่า ราคาทองไทยมีโอกาสปรับฐานสู่ระดับ 47,000–49,000 บาทต่อบาททองคำในช่วงปีนี้ ถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนทยอยสะสมเพื่อรอรอบขาขึ้นใหม่

แม้ราคาทองคำจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่น่าจับตายิ่งกว่าคือ แรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่ม BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) ที่ยังคงสะสมทองคำต่อเนื่องเพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ และเสริมเสถียรภาพการเงินระยะยาว ในไตรมาส 1/2568 ธนาคารกลางซื้อทองเพิ่มกว่า 244 ตัน นำโดยจีน โปแลนด์ และอินเดีย ขณะที่จีนซื้อทองต่อเนื่องถึง 7 เดือน สะท้อนความเชื่อมั่นต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางเงินเฟ้อ เศรษฐกิจที่เปราะบาง และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อ ทั้งหมดนี้
คือสัญญาณชัดเจนว่า ทองคำยังคงเป็นโอกาสสำคัญที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม

นายธีรรัตน์ กล่าวอีกว่า การพักฐานของราคาทองคำในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ไม่ใช่สัญญาณสิ้นสุดของขาขึ้น แต่เป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนที่มองเกมยาว นักลงทุนควรใช้จังหวะนี้ในการวางแผนและสะสมทองคำอย่างมีวินัย โดยกลยุทธ์ที่เหมาะสมคือการถัวเฉลี่ยต้นทุน (DCA) เพื่อสร้างพอร์ตในราคาที่ดีเมื่อราคาผันผวน และเฝ้ารอสัญญาณแรงซื้อกลับหากราคาลงต่ำกว่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 2,700 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นจุดน่าสนใจสำหรับการเข้าซื้อ การวางแผนลงทุนในช่วงนี้จึงไม่ควรเน้นการจับจังหวะสั้น ๆ แต่ควรโฟกัสที่โอกาสสร้างความมั่นคงให้พอร์ตระยะยาว

“ในสภาวะที่ตลาดผันผวน ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์สำคัญสำหรับการกระจายความเสี่ยง และสร้างความมั่นคงในระยะยาว การพักฐานในครั้งนี้จึงควรถูกมองเป็นโอกาสมากกว่าอุปสรรค นักลงทุนควรใช้จังหวะนี้ประเมินสถานการณ์รอบด้าน และปรับกลยุทธ์วางแผนสะสมทองคำอย่างมีวินัย รอรอบขาขึ้นใหม่ โดย InterGOLD พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่นักลงทุนวางใจได้ ด้วยบริการครบวงจร ทั้งแพลตฟอร์ม Gold2Go ที่เริ่มต้นซื้อเพียง 100 บาท ไปจนถึงบริการจัดส่งทองคำจริงถึงบ้านด้วยประกันเต็มจำนวน เพื่อสนับสนุนให้ทุกการลงทุนเป็นไปอย่างมั่นใจ ปลอดภัย และยั่งยืน”นายธีรรัตน์ กล่าว

ราคาทองวันนี้ 16 ก.ค.68 ลด 250 บาท ทองรูปพรรณขายออก 52,150 บาท-Gold Spot 3,330 ดอลลาร์

ราคาทองวันนี้ 16 ก.ค.68 ลด 250 บาท ทองรูปพรรณขายออก 52,150 บาท-Gold Spot 3,330 ดอลลาร์

สมาคมค้าทองคำ รายงานราคาทองคำในประเทศไทยเช้าวันนี้ (16 กรกฎาคม 2568 เวลา 09.05 น.) ปรับลดลง 250 บาท โดยมีรายละเอียดดังนี้:

ทองคำแท่ง

รับซื้อ: 51,250 บาท/บาททองคำ

ขายออก: 51,350 บาท/บาททองคำ

ทองรูปพรรณ

รับซื้อ: 50,225.08 บาท/บาททองคำ

ขายออก: 52,150 บาท/บาททองคำ

ขณะที่ราคาทองคำโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 3,330.00 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์

สาเหตุสำคัญ: ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ พุ่งใกล้ 4.50% หลังตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ สูงกว่าคาด กดดันให้ราคาทองคำอ่อนตัวลง

#ราคาทองวันนี้ #ราคาทองคำ #ทองคำแท่ง #ทองรูปพรรณ #GoldPrice #GoldSpot #ราคาทองล่าสุด #ทองคำ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐอนไลน์

YLG เผยราคาทองคำครึ่งปีแรกพุ่ง 25% มองราคาทองคำมีโอกาสแตะ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

วายแอลจีชี้ ปีนี้ทองคำยังมีลุ้น 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากผ่านได้จะไปหาเป้าหมายสูงสุดที่ 3,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังครึ่งปีแรกราคาพุ่งแล้ว 25% ขณะที่ปี 2567 ทั้งปีราคาโต 27% พร้อมเปิดสถิติย้อนหลัง 20 ปี พบผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึงปีละ 9.36% เปิดปัจจัยหนุนยังมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลก และการเข้าซื้อของกองทุนทองคำ ส่วนคนอยากสะสมทองคำในรูปแบบเงินดอลลาร์แนะนำลงทุนทองคำผ่าน Gold Wallet บนแอปพลิเคชั่น เป๋าตัง ซื้อทองเริ่มต้นเพียง 0.1 ออนซ์ สะสมทองคำด้วยเงินบาทแนะนำแอปฯ Get Gold โดย YLG สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ เริ่มต้นเพียง 100 บ. สามารถเทรดเพื่อเก็งกำไร และลงทุนแบบ DCA 

วันที่ 8 ก.ค.68 นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 25% ถือว่าปรับตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างแรงและเร็วเมื่อเทียบกับปี 2567 ที่ทั้งปีราคาปรับขึ้นไปที่ 27% โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องยังคงมาจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังไม่ชัดเจน รวมถึงสงครามการค้าหลังการรับตำแหน่งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งแม้ว่า โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะส่งสัญญาณขยายเวลาการเจรจากับประเทศคู่ค้า หลังกล่าวว่าภาษีศุลกากรจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคม  อย่างไรก็ดีล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ โพสผ่าน Truth Social ขู่จะเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในอัตรา 10% ต่อประเทศใดก็ตามที่ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับกลุ่ม BRICS ซึ่งเขาระบุว่าเป็น "นโยบายต่อต้านอเมริกา"  นอกจากนี้ยังมาจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงคุกรุ่นในตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ดียังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนให้ราคาทองคำในตลาดโลกพุ่งสูงอย่างต่อเนื่องคือการเข้ามาซื้อทองคำของธนาคารกลางทั่วโลก ในลักษณะการซื้อทุกราคาโดยไม่ขายออกมา อีกทั้งมีแรงซื้อจากกองทุน ETF ทองคำที่เข้ามาลงทุนในทองคำเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้นยิ่งทำให้ราคาทองทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง

ทั้งนี้มองสาเหตุที่ทองคำยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนเนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ และไม่สามารถพิมพ์เพิ่มขึ้นมาใหม่ได้ ซึ่งแตกต่างจากเงินตราของประเทศต่างๆ ทองคำจึงสามารถป้องกันอัตราเงินเฟ้อและการอ่อนค่าของสกุลเงิน ขณะเดียวกัน สถิติย้อนหลัง 20 ปีพบว่าทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.36% ต่อปี ไม่เพียงเท่านี้ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ในช่วงเกิดความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยกว่า 10%  และทองคำมีความพิเศษคือมีสภาพคล่องสูงสามารถซื้อขายเปลี่ยนเป็นเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงทำให้ทองคำได้รับความนิยมไม่เสื่อมคลาย

สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของทองคำในระยะยาวปีนี้ YLG มองว่าทองคำยังมีโอกาสขึ้นไปแตะ 3,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ และหากสถานการณ์ความกังวลต่างๆ ยังไม่คลี่คลายก็มีโอกาสที่จะไปได้ถึง 3,650 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ขณะที่ราคาทองคำในประเทศนั้น มีโอกาสขึ้นไปแตะ 53,800 บาทต่อบาททองคำ และแนวต้านถัดไปที่ 56,200 บาทต่อบาททองคำ (โดยคาดการณ์ที่ค่าเงินบาทระดับ 32.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่มีเงินลงทุนเริ่มต้นจำกัด YLG ได้เปิดให้บริการ Gold Wallet บริการซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% ด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ด้วยราคาเรียลไทม์ ซื้อขายทองต่อครั้งด้วยขั้นต่ำ 0.1 ออนซ์ สูงสุดแบบเต็มเพดาน ได้สูงสุดถึง 700 ออนซ์ หรือ 20 กิโลกรัม 

ส่วนนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการลงทุนระยะยาวนั้นแนะนำสะสมแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน DCA (Dollar-Cost-Average) เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ เพราะจะทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวินัยการสะสมทอง และเข้าถึงราคาทองได้หลากหลาย อีกทั้งปัจจุบันยังสามารถตั้งเวลาซื้อล่วงหน้าได้อีกด้วย สำหรับนักลงทุนมือใหม่วายแอลจีแนะนำแอปพลิเคชัน Get Gold by YLG ที่วายแอลจีเปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง เข้าถึงง่ายด้วยสมาร์ตโฟน และมีความน่าเชื่อถือ ด้านความปลอดภัย สามารถทำกำไรได้จริง โดยผู้สมัครสามารถยืนยันตัวตนพร้อมยื่นเอกสารผ่านแอปพลิเคชัน รู้ผลอนุมัติได้ภายในวันเดียว และสามารถทำการซื้อ-ขาย ทองคำได้ทันที เปิดให้ลงทุนเริ่มที่ 100 บาท ไปจนถึง 80 กิโลกรัมต่อ 1 วัน 

#ราคาทองคำ #YLG #ทองคำ #ลงทุนทอง #GoldWallet #ทองคำไทย #ทองคำโลก #การลงทุน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

อุดรธานี หนุ่มใบ้ช้ำใจถูกผู้บ่าวส่ำน้อยยืมทอง 5 บาท ใส่ขันหมั้น 1 ปีจะแต่ง สุดท้ายเชิดหนี หนุ่มโต้หนังคนละม้วน

อุดรธานี หนุ่มใบ้ช้ำใจถูกผู้บ่าวส่ำน้อยยืมทอง 5 บาท ใส่ขันหมั้น 1 ปีจะแต่ง สุดท้ายเชิดหนี หนุ่มโต้หนังคนละม้วน

อีกแล้วหมั้นแล้วไม่แต่งจากคู่รักเป็นคู่กรณีกันเลย แต่ครั้งนี้เป็นคู่ชายรักชาย ที่อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี หนุ่มใบ้สายเปย์รุ่นใหญ่ขายล็อตเตอร์รี่ที่คำชะโนด สุดช้ำใจถูกผู้บ่าวส่ำน้อยขอยืมทอง 5 บาทหลอกใส่พานหมั้นอ้างจะถ่ายรูปให้แม่ดู จากนี้ไปรักเราสองคนรักกันชั่วฟ้าดินสลายโลกถล่มทะลาย ผู้บ่าวหยอดหวานหมั้นแล้วจะคืนทองให้แต่งแน่ขอ 1 ปี สุดท้ายเชิดทองหนี หนุ่มใบ้ทวงถามดันเอาทองปลอมมาคืนให้ หนุ่มใบ้แทบขาดใจและช็อคบุกทวงถามถึงที่ทำงาน โดนทำร้ายจนฟันโยกเท้าเหยียบหน้าอก ผู้บ่าวส่ำน้อยบอกทองจริงเอาไปแปรสภาพแล้ว หนุ่มใบ้ไม่ทนแจ้งความฉ้อโกง ด้านผู้บ่าวส่ำน้อยเปิดใจ หนังคนละม้วนเขามาทักจีบ อยากได้เราจนตัวสั่น เปย์หมดหน้าตัก ทอง 5 บาทไม่เคยทำพิธีหมั้น เขาให้ด้วยเสน่หา ครั้งแรกที่รู้จักกัน บอกว่าชอบทักมาขอซื้อบริการด้วย ตอนนี้ไม่สะดวกให้ข้อมูลนักข่าวเยอะ ขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น

วันนี้ (8 มิ.ย.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี นายสุพันธ์ อายุ 46 ปี หรือชื่อเล่น “เตี้ย” อาชีพขายล็อตเตอร์รี่ที่คำชะโนด ได้ร้องความเป็นธรรมกับนักข่าว แจ้งว่า ถูกผู้บ่าวส่ำน้อย ชื่อนายก๊อปปี้ (นามสมมติ) อายุ 29 ปี ชาว ต.บ้านชัย อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี หลอกให้ถอดสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท และเลสข้อมือทองคำหนัก 2 บาทรวมเป็น 5 บาท ใส่พานหมั้น เพื่อจะส่งรูปถ่ายให้แม่ดูว่ารักแท้มีอยุ่จริง หลังจากทำพิธีหมั้นแล้ว จากนั้น 1 ปีจะมาทำพิธีสู่ขอแต่งเป็นเรื่องเป็นราว รักครั้งนี้จริงใจไม่จริงโจ้แน่นอน จะประกาศให้โลกรู้ว่ารักสองเราสองคนเป็นรักแท้มีอยู่จริง จะรักกันชั่วฟ้าดินสลายโลกถล่มทะลาย โดยพิธีหมั้นทำเงียบๆ เพียง 2 คนคือเตี้ยและนายก๊อปปี้ ที่ห้องเช่าของนายก๊อปปี้ในอ.บ้านดุง เมื่อวันที่ 20 เม.ย.68 ที่ผ่านมา โดยในพานหมั้น มีดอกไม้ มีเงินสดจำนวน 8,000 บาท วางเรียงใส่พานเงิน มีสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท,เลสข้อมือทองคำหนัก 2 บาท รวมมูลค่าประมาณ 250,000 บาทเศษ จากนั้นนายก๊อปปี้ก็ถ่ายรูปส่งให้แม่ดู แต่พอพิธีหมั้นเสร็จ นายก๊อปปี้ขอทองใส่คอและเลสขอใส่มือเพื่อความเป็นศิริมงคลให้เจ้าบ่าวไปสักระยะก่อน สุดท้ายไม่ยอมคืนทองให้ นายเตี้ยทวงถามกลับเอาทองปลอมมาคืนให้ นายเตี้ยเจ็บใจบุกทวงถามถึงที่ทำงานอีกครั้งกลับถูกนายก๊อปปี้ทำร่างกายอาการปางตาย นายเตี้ยจึงไปแจ้งกับกับ พ.ต.ท.พิษณุ สุริยะ สว.(สอบสวน) สภ.บ้านดุง เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายก๊อปปี้ เพราะอยากให้ทองคืน ถึงกับร้องไห้อยากได้ทองคืนเพราะเป็นเงินที่ขายล็อตเตอร์รี่เก็บหอมรอมริบมาหลายปีกว่าจะซื้อทองมาได้

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับนายเตี้ย ที่พิการเป็นใบ้และหูไม่ค่อยได้ยิน ต้องใช้ภาษามือพูดคุยกัน พร้อมกับนำแชทที่พูดคุยกับนายก๊อปปี้ให้ดูว่า พูดคุยกันอย่างไรบ้าง โดยในแชทก็จะมีคำพูดรักๆ หลังจากหมั้นแล้ว 1 ปีแต่งงานแน่นอน บางแชทมีข้อความห่วงใยกัน รักๆ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ทานข้าวนะ พักผ่อนนะ มีภาพถ่ายรูปคู่กันอย่างหวานชื่น นั่งทานข้าวด้วยกัน  แต่พอเกิดเรื่องก็มีการด่ากัน โดยนายก๊อปบอกไม่คืนทองให้แล้ว เอาทองจริงไปแปรสภาพแล้ว เจอกันในชั้นศาลแล้วกัน

นายเตี้ยใช้ภาษามือบอกนักข่าวว่า รู้จักนายก๊อปปี้มาเกือบ 1 ปี ก็ไปมาหาสู่กัน ไปเล่นที่ห้องพัก ซื้อข้าวไปฝาก ไม่มีเงินก็โอนให้ใช้จ่าย ก็รักกันดี แต่พอมาวันที่ 20 เม.ย.นายก๊อปปี้บอกว่า ขอยืมสร้อยคอทองคำและเลสทองคำใส่พานหมั้น เพื่อจะได้ส่งไปให้แม่ว่าเรารักกันจริง พอทำพิธีหมั้นทำกันสองคนในห้องเสร็จ นายก๊อปปี้ขอยืมทั้งสร้อยคอทองคำและเลสทองคำใส่ไว้ในตัวเพื่อความเป็นศิริมงคลสักระยะ แล้วจะให้คืน แต่พอนานๆ ไปนายก๊อปปี้กลับไม่ให้ทั้งสร้อยคอทองคำและเลสทองคำคืน จึงไปทวงถามแต่กลับปรากฎว่าได้ทองปลอมคืน นายเตี้ยจึงบุกไปทวงถามอีกรอบที่ทำงานนายก๊อปปี้ แต่ถูกทำร้ายทั้งหมัดต่อยที่ใบหน้า เอาเท้าเหยียบที่หน้าอก โดยนายเตี้ยทำท่าถูกต่อยจนฟันโยก และใช้ภาษามือว่าถูกเท้าเหยียบที่หน้าอกจนแน่นหน้าอก

ตอนท้ายนายเตี้ยใช้ภาษามือบอกว่า เสียใจไม่ได้เป็นเจ้าสาวแล้ว กะว่าจะได้แต่งตัวสวยเป็นเจ้าสาว พร้อมทำท่าน้ำตาไหล และอยากได้สร้อยคอทองคำและเลสทองคำคืน เพราะเสียดายเป็นทรัพย์สินที่เก็บเงินจากการขายล็อตเตอร์รี่ที่คำชะโนด เก็บมาทั้งชีวิต ตอนนี้ไปแจ้งความแล้ว จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

น.ส.ตุ๊ก (นามสมมติ) ญาตินายเตี้ยบอกว่า วันที่ 17 พ.ค.68 ที่ผ่านมา นายเตี้ยเดินสะบักสะบอมเข้ามาที่ร้าน ใช้ภาษามือบอกว่าถูกทำร้ายร่างกาย ตนเองจึงสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น จนรู้ว่าเขาถูกนายก๊อปปี้แฟนหนุ่มทำร้ายมา สาเหตุเพราะไปทวงเอาทอง 5 บาทจากพานหมั้นคืน ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเห็นว่าคบกันเป็นแฟนได้ประมาณเกือบปี โดยวันที่ 20 เม.ย.นายก๊อปปี้ขอยืมสร้อยคอทองคำหนัก 3 บาท เลสข้อมือ 2 บาท รวม 5 บาทไปใส่พานหมั้น บอกว่า 1 ปีจะมาแต่ง จากนั้นก็ไม่คืนให้ พอนายเตี้ยไปทวงดันเอาทองปลอมมาให้ เป็นสร้อยคอทองคำ 2 เส้น เอาไปให้ร้านทองดูเขาบอกว่าของปลอม นายเตี้ยไปทวงถามอีกถูกทำร้ายร่างกาย จึงพาไปแจ้งความ ตร.ก็เรียกมาไกล่เกลี่ยก่อน พอนายก๊อปปี้มาพูดคุยด้วย ก็ไม่ยอมคืนลูกเดียว บอกว่าทองของจริงเอาไปแปรสภาพหมดแล้ว ไปเจอกันที่ศาลแล้วกัน เท่าที่ทราบนายก๊อปปี้เอาทองไปขายแล้วไปสร้างบ้านให้เมียคนใหม่ที่คบกันได้ 2 เดือน และทราบว่าเขาจะหลอกผู้หญิงไปทั่วถ้ามีเงิน แม้กระทั่งเกย์เขาก็คบถ้ามีเงินให้เขา และนายก๊อปปี้เคยไปแต่งกับน.ส.แนน หลานสาวตนเองด้วย แต่สุดท้ายก็อยู่ไม่ได้ต้องหย่ากัน

เราก็สงสารนายเตี้ย แม้เขาจะเป็นใบ้เป็นคนพิการยังรู้จักทำมาหากิน ไม่งอมืองอเท้า สร้อยคอและเลสทองคำเขาเก็บเงินจากการขายล็อตเตอร์รี่กว่าจะซื้อได้ อยากให้นายก๊อปปี้หามาคืนนายเตี้ยจะดีกว่า จะได้ไม่มีเรื่องคดีต่อกัน น.ส.ตุ๊กกล่าวตอนท้าย

ต่อมาผู้สื่อข่าวติดต่อไปยังนายก๊อปปี้เพื่อทราบข้อเท็จจริงอีกฝ่าย นายเตี้ยให้สัมภาษณ์ บอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้น อยากจะบอกว่า ปีที่แล้วจำไม่ได้ช่วงเดือนไหน นายเตี้ยเป็นคนขี่จยย.ขายล็อตเตอร์รี่ไปหาผมที่ทำงาน แล้วก็ขอเฟสบุ๊คทักแมสเชนเจอร์มาหาผม เขาเป็นคนติดต่อผมมาก่อน ส่งแมชเชนเจอร์มาหาผมตลอด บอกว่า ชอบผม ผมสเป๊กเขาเลย เขาเป็นคนโสดบ้านรวย โชว์เงินโชว์ทอง อยากจะเปย์ทุกอย่าง ช่วงแรกทักมาขอซื้อบริการผมด้วย มีส่งภาพหวิวมาให้ผมด้วย และเสนอราคา 300-400 ทำโน่นทำนี่ เหมือนขอซื้อบริการผม ผมมีหลักฐานไว้หมด ช่วงหนึ่งผมไม่ได้คุย เขาก็ซื้อข้าวมาฝาก มาหาที่ห้อง แถมซื้อเค้กวันเกิดถือมาให้ผมที่ห้องด้วย คือเป็นสายเปย์ ทุ่มทุกอย่าง แต่เรื่องหมั้นผมไม่เคยทำ และทองที่ว่าผมไม่ให้คืน  เขาให้ผมเอง ผมไม่ได้ยืมมาใส่งานหมั้นตามที่เขากล่าวอ้าง  ส่วนเรื่องทองปลอมที่ว่าผมคืนให้ เขาไปแย่งผมเอง ในกระเป๋าของผมมีทั้งทองจริงและทองปลอม ผมจำได้เป็นช่วงวันที่ 17 พ.ค.ที่ทำงานผม แล้วเขาจะใช้มีดจี้คอผมด้วย ก็เลยกระทบกระทั่งกันก็เจ็บทั้งฝ่าย ผู้สื่อข่าวถามว่าจะบอกนายเตี้ยยังไง นายก๊อปปี้ก็ฝากถึงนายเตี้ยว่า ไม่คุยกันอีกแล้วไปเจอกันที่ศาลเรื่องทั้งหมด ผมให้ข้อมูลนักข่าวมากกว่านี้ไม่ได้ ทุกอย่างให้ทนายจัดการแล้ว และผมก็จะไปแจ้งความ ที่นายเตี้ยเอารูปผมไปประจานข้อหาผิดพรบ.คอมฯ ดำเนินคดีนายเตี้ยเหมือนกัน

อุดรธานี สาวทำสร้อยคอทองคำหล่นหาย หัวใจจะวายมีค่าต่อจิตใจ วอนขอคืน

ที่จ.อุดรธานี สาวสวยไปหาหมอ เกิดทำสร้อยคอทองคำหล่นหายที่รพ.ศูนย์อุดรธี วงจรปิดจับภาพได้ชัดคนเก็บได้  เพราะมีคุณค่าทางจิตใจแม่ซื้อให้ 75 สตางค์ มูลค่าเกือบ 40,000 บาท วอนคนเก็บได้นำส่งคืน หากใครพบหรือรู้จักคนในภาพช่วยแจ้ง 191 เพราะตอนนี้แจ้งความแล้ว

วันนี้ (31 พ.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ  เฮียเปี๊ยก เซ็นทารา  (เฮียเปี๊ยกช่วยด้วย) โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความว่า “มีน้องผู้หญิงท่านนึงประสานมาว่าเธอทำสร้อยทองหลุดหล่นบริเวณที่รพ.ศูนย์ แล้วมีคนเก็บได้ซึ่งกล้อง รพ. จับภาพได้ ท่านใดรุ้จักคนในภาพรบกวนติดต่อไปที่ สภ.เมืองอุดรด้วยนะคับ” ล่าสุดเย็นวันนี้ (31 พ.ค.68) น.ส.ปทุม หรือเพลง อายุ 30 ปี เจ้าของสร้อยคอทองคำได้เดินทางมา สภ.เมืองอุดรธีเพื่อสอบถามว่ามีใครเก็บทองได้และนำมาแจ้งความหรือไม่ ซึ่งตำรวจได้แจ้งกลับมาว่ายังไม่มีใครมาแจ้งความว่าเก็บทองได้ ผู้เสียหายจึงแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอให้ช่วยติดตามคนที่เก็บได้พร้อมมอบหลักฐานภาพวงจรปิดให้ตำรวจเพื่อเป็นหลักฐาน

น.ส.ปทุม หรือเพลง เล่าว่า เมื่อวันที่ 30 พ.ค.68 ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 13.05 น. ได้ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกายประจำปี หลังตรวจร่างกายและรับการเอ็กซเรย์ ได้ถอดสร้อยคอทองคำออก เพราะเอาเข้าเครื่องไม่ได้โดยเก็บไว้ในถุง ระหว่างเดินไปฟังผลตรวจอีกอาคารหนึ่งจำได้ว่าหยิบโทรศัพท์ออกมาจากระเป๋า ตอนนั้นก็ยังไม่รู้ว่าทองหล่นหาย มารู้อีกก็ญาติที่ไปตรวจร่างกายเช่นกันจะฝากของและเก็บไว้ที่เดียวกัน พอจะเอาเก็บไว้ถุงได้หายไป จึงไปขอดูภาพวงจรปิดที่โรงพยาบาลฯก็พบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเก็บได้ เป็นผู้หญิงอายุประมาณ 30-45 ปี ใส่เสื้อสีดำแขนยาวกำลังก้มเก็บอะไรสักอย่าง จากนั้นก็เดินลับกล้องไป

สำหรับสร้อยคอทองคำเส้นนี้มีน้ำหนัก 75 สตางค์ ราคาตอนนี้ก็ประมาณเกือบ 40,000 บาท ที่สำคัญทองเส้นนี้แม่พาไปซื้อให้เนื่องในโอกาสพิเศษ ฝากถึงคนที่เก็บได้ตนไม่ได้อยากจะเอาเรื่องหากเอามาคืน และตอนนี้แจ้งตำรวจให้ช่วยติดตามสร้อยทองเส้นนี้แล้ว หากเปลี่ยนใจให้คืนติดต่อมายังเพจเฮียเปี๊ยกช่วยด้วยหรือ โทรมาที่ 191 สภ.เมืองอุดรธานีได้ตลอดเวลา

ธปท.รับมอบทองคำ 10 กิโลกรัมจากลูกศิษย์องค์หลวงตาพระมหาบัว สมทบเข้าเป็นทุนสำรองเงินตรา

ธปท.รับมอบทองคำ 10 กิโลกรัมจากลูกศิษย์องค์หลวงตาพระมหาบัว สมทบเข้าเป็นทุนสำรองเงินตรา

วันที่ 29 เมาายน 2568 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้รับมอบทองคำจำนวน 10 แท่ง น้ำหนักรวม 10 กิโลกรัม จากพระราชวชิรธรรมากร วิ. (คำสด อรุโณ) วัดป่าบ้านเพิ่มอำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี ประธานสงฆ์และผู้แทนคณะศิษยานุศิษย์พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) ซึ่งทองคำดังกล่าว เป็นทองคำที่ได้รับจากการจัดงานบุญประเพณี “ผ้าป่า 12 เมษาฯ สืบหน่อต่อแขนงคลังหลวง บูชาพระคุณองค์หลวงตา” ตามเจตนารมณ์ของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อสมทบเข้าเป็นทุนสำรองเงินตรา

สินทรัพย์ที่ได้รับมอบมาทั้งหมดในช่วงก่อนหน้านี้ แบ่งเป็นทองคำแท่งน้ำหนักรวมประมาณ 13,129.832 กิโลกรัม และเงินตราต่างประเทศจำนวน 10,457,159.63 ดอลลาร์ สรอ. (ข้อมูล ณ วันที่ 23 พฤษภาคม 2567)

#แบงก์ชาติ #ข่าววันนี้ #หลวงตาพระมหาบัว #ทองคำ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ธปท

 

 

YLG ปรับเป้าทองคำแตะ 3,200 ดอลลาร์ รับแรงหนุนสินทรัพย์ปลอดภัย จับตานโยบายภาษีทรัมป์ จุดชนวนสงครามการค้า

YLG ปรับเป้าหมายราคาทองคำใหม่ที่ 3,150 - 3,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หลังราคาทองพุ่งต่อเนื่อง รับแรงหนุนจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลก พร้อมเตือนนักลงทุนระวังแรงขายทำกำไร หากราคาขึ้นแรงช่วงก่อนการประกาศนโยบายภาษีของ “ทรัมป์” 2 เมษายนนี้

วันที่ 31 มีนาคม 2568 นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนทะลุกรอบเป้าหมายเดิมที่ 3,000 - 3,100 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ล่าสุด YLG ได้ปรับเป้าหมายราคาทองคำใหม่เป็น 3,150 - 3,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือเทียบเป็นราคาทองคำแท่งในประเทศที่ระดับ 51,000 - 51,500 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์)

โดยราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากสถานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) โดยเฉพาะความกังวลต่อสงครามการค้าระลอกใหม่ หลังโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เตรียมประกาศแผน “ภาษีศุลกากรตอบโต้” (Reciprocal Tariff) ในวันที่ 2 เมษายนนี้ ขณะที่หลายประเทศส่งสัญญาณเตรียมมาตรการตอบโต้กลับอย่างรุนแรง เช่น รัฐบาลจีนที่ประกาศจะ “ตอบโต้แบบเฉียบขาด” หากสหรัฐฯ กระทบผลประโยชน์ของจีน และเม็กซิโกที่เตรียมบังคับใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ในวันที่ 3 เมษายน สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลง นักลงทุนจำนวนมากจึงหันมาถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป อาจเกิดแรงขายทำกำไร (Sell on Fact) ในระยะสั้น โดยเฉพาะในช่วงที่ใกล้วันประกาศนโยบายภาษีของทรัมป์

นอกจากปัจจัยด้านนโยบายภาษีแล้ว ยังมีแรงสนับสนุนสำคัญอื่นๆได้แก่ การเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางทั่วโลก และกองทุนทองคำขนาดใหญ่ เช่น SPDR Gold Shares ที่สะสมทองคำในปี 2568 ไปแล้วกว่า 59.42 ตัน ขณะเดียวกัน ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง โดยล่าสุด ทรัมป์ยังขู่อิหร่านด้วยมาตรการภาษีรอง (Secondary Tariff) และการโจมตีทางทหาร หากไม่มีข้อตกลงด้านนิวเคลียร์

โดยราคาทองคำในปีนี้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการพักฐาน จึงอาจมีข้อจำกัดในระยะสั้น โดย YLG แนะนำให้นักลงทุนระยะสั้นรอเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวบริเวณแนวรับ 3,074 - 3,055 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หากราคาหลุดแนวรับดังกล่าว ควรระมัดระวังการพักฐานในระยะกลาง สำหรับทองคำในประเทศ แนะนำเข้าซื้อที่ระดับราคา 49,000 - 49,400 บาทต่อบาททองคำ

สำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำด้วยเงินทุนเริ่มต้นต่ำ YLG แนะนำบริการ Gold Wallet บนแอปฯ “เป๋าตัง” และแอปฯ Get Gold by YLG ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนหน้าใหม่สามารถซื้อทองคำได้ตั้งแต่ 0.1 ออนซ์ หรือเพียง 100 บาท สามารถซื้อ-ขายทองคำแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง ผ่านสมาร์ตโฟน โดยได้รับการตอบรับจากกลุ่มคนรุ่นใหม่อย่างดีเยี่ยม กลุ่มผู้ใช้งาน Gold Wallet ที่เติบโตมากที่สุดคือกลุ่มอายุไม่เกิน 30 ปี รองลงมาคือกลุ่มอายุ 30 - 40 ปี โดยกลุ่มอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปยังนิยมลงทุนกับทองคำแท่งจริงมากกว่าการซื้อขายแบบออนไลน์

นอกจากนี้ ยังสามารถลงทุนทองคำแบบสะสมรายเดือนด้วยวิธี DCA (Dollar-Cost-Average) เพื่อกระจายความเสี่ยง และสร้างวินัยการออมในระยะยาว ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ ได้ทั้งบน App Store และ Play Store หรือสอบถามเพิ่มเติมผ่าน LINE: @ylggetgold

#YLG #ทองคำ #ทรัมป์ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์