เรื่องราวของวีรบุรุษแนวหน้า จากชายขอบสู่สมรภูมิ สู่วาระสุดท้ายใต้ธงชาติไทย

เรื่องราวของวีรบุรุษแนวหน้า จากชายขอบสู่สมรภูมิ สู่วาระสุดท้ายใต้ธงชาติไทย

วันที่ 4 ส.ค.68 เพจกองทัพบก Royal Thai Army โพสต์ระบุว่า 

ก้าวเล็กๆ ของคนหน้าแนวรบ กว่าจะได้เข้ามาสวมเครื่องแบบทหาร ไม่ใช่เรื่องง่าย

เมื่อชีวิตของแต่ละคนมีต้นทุนไม่เท่ากัน การเลือกเส้นทางอย่าง “ทหารอาชีพ” จึงเป็นเหมือนเปลวเทียนที่จุดประกายชีวิตของคนคนหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆ ให้ได้มีคนมองเห็น...

จากเด็กหนุ่มที่ไม่มีใครรู้จัก เติบโตเป็นชายชาติทหาร ผ่านความลำบาก ผ่านการฝึกฝน อดทน จนวันนี้กลายเป็นวีรบุรุษผู้ประจันหน้าสู้กับข้าศึก โดยไม่หวาดหวั่น เพื่อพิทักษ์ผืนแผ่นดินไทย ให้เกิดความผาสุก ร่มเย็น ให้พี่น้องชาวไทย ได้หลับสบายท่ามกลางเปลวเพลิงแห่งสมรภูมิรบตลอดแนวชายแดน...

ไม่เพียงเป็นความหวังของคนในครอบครัว เขายังเป็นความภาคภูมิใจของคนในหมู่บ้าน

และวินาทีนี้เขาได้กลายเป็น “วีรบุรุษผู้กล้าแห่งสมรภูมิ” ในหัวใจคนไทยทั้งประเทศ

นับตั้งแต่วันที่ก้าวเท้าเข้าสู่สมรภูมิ…ด้วยความมุ่งมาด องอาจ สมเกียรติของชายชาติทหาร จวบวันที่ร่างถูกคลุมด้วยผืนธงชาติไทย...เปลวเทียนเล็กๆที่สว่างไสว...มอดดับลงฉับพลัน วันนี้เขาได้สละสิ้นแม้ชีวิต เพื่อยืนหยัดปกป้องให้ทุกคนในชาติหลับสบาย...แต่เสียดายที่เขาไม่ได้กลับมา...

จบสิ้นแล้ว...หน้าที่ในการปกปักรักษาแผ่นดินเกิด

จบสิ้นภารกิจ...ของทหารหน้าแนวรบ

เสียดายที่วันนี้...ไม่ได้ทำหน้าที่ลูกของพ่อและแม่

เสียดายที่ต้องวันนี้...จำเป็นต้องทอดทิ้งภาระการเป็นหัวหน้าครอบครัว

กราบหัวใจ ดวงวิญญาณทุกดวง ที่เสียสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย...

#วีรบุรุษแนวหน้า #ลูกของแผ่นดิน #ทหารกล้า #เสียสละเพื่อชาติ #ใต้ร่มธงไตรรงค์ #สมรภูมิชีวิต #ทหารชายแดน #เกียรติภูมิของชาติ #จารึกในใจไทยทุกคน

การเคหะแห่งชาติ ออกมาตรการเร่งด่วนช่วยเหลือเยียวยาลูกบ้านในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ได้รับการยกเว้นค่าเช่า-พักชำระหนี้

กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ ย้ำบทบาทเชิงรุกในการดูแลพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งขณะนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณแนวชายแดนที่ส่งผลต่อความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชน

วันที่ 4 ส.ค.68 นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า การเคหะแห่งชาติพร้อมยืนเคียงข้างประชาชนในยามวิกฤติ ด้วยมาตรการช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรม เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัย และส่งเสริมความมั่นคงในการดำรงชีวิตของผู้ได้รับผลกระทบมาตรการเร่งด่วนให้ลูกบ้านของการเคหะแห่งชาติใน 7 จังหวัดชายแดน ได้แก่ ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ตราด จันทบุรี และสระแก้ว ครอบคลุมความช่วยเหลือหลัก 3 ด้าน ได้แก่ 1. ยกเว้นค่าเช่ารายย่อยและเช่าจัดประโยชน์สำหรับลูกค้าการเคหะแห่งชาติ ฟรีค่าเช่า 3 เดือน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2568 รวมถึงยกเว้นค่าปรับ 100% สำหรับผู้ที่มาชำระหนี้ค้าง ในช่วงเวลาดังกล่าว 2. พักชำระหนี้กลุ่มเช่าซื้อ ลูกค้าเช่าซื้ออาคารของการเคหะแห่งชาติในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับสิทธิพักชำระค่าเช่าซื้อ 3 เดือน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม – 31 ตุลาคม 2568 พร้อมยกเว้นค่าปรับ 100% กรณีที่มาชำระหนี้ค้างเช่นเดียวกัน 3. สนับสนุนการยังชีพ การเคหะแห่งชาติได้จัดเตรียมถุงยังชีพเพื่อช่วยเหลือ 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) ลูกค้าที่พักอาศัยในโครงการของการเคหะแห่งชาติในพื้นที่ชายแดน  2) กลุ่มเปราะบางที่อยู่ในโครงการ 3) ผู้ที่อพยพเข้ามาพักอาศัยกับญาติในโครงการเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบดังกล่าว

นายทวีพงษ์ กล่าวว่า “มาตรการนี้สะท้อนถึงภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์โดยการเคหะแห่งชาติในการยืนเคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะช่วงเวลาวิกฤติ เพื่อให้ทุกคนมีความมั่นคงในการอยู่อาศัย และได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง ทั้งผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง และผู้ที่มีจิตอาสาช่วยเหลือผู้อื่นในชุมชนเดียวกัน” ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติพร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มกำลัง ทั้งด้านที่อยู่อาศัย การยังชีพและการฟื้นฟูชุมชนในระยะยาว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานการเคหะแห่งชาติในพื้นที่ หรือโทรสายด่วน 1615

#การเคหะแห่งชาติ #เยียวยา #ทหารไทยปะทะกัมพูชา #พักชำระหนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

“แม่ทัพภาคที่ 2” ยืนยันไทยยึด “ช่องอานม้า” ก่อนมีมติหยุดยิง ไม่ใช่การละเมิดตอบโต้คำแถลงบิดเบือนของโฆษกกลาโหมกัมพูชา

“แม่ทัพภาคที่ 2” ยืนยันไทยยึด “ช่องอานม้า” ก่อนมีมติหยุดยิง ไม่ใช่การละเมิดตอบโต้คำแถลงบิดเบือนของโฆษกกลาโหมกัมพูชา

วันที่ 4 ส.ค. 68 เพจกองทัพภาคที่ 2 โพสต์ว่า

ณ กองบัญชาการกองทัพบก พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้แจงกรณีที่ พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ออกแถลงการณ์กล่าวหาว่าทหารไทยพร้อมอาวุธ “บุกยึดช่องอานม้า” จังหวัดอุบลราชธานี ว่า…

“ไทยเข้าควบคุมพื้นที่ช่องอานม้าได้ก่อนมีมติหยุดยิงพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตแดนประเทศไทย และเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่เราต้องดูแลอยู่แล้วจึงจำเป็นที่กำลังพลจะต้องปฏิบัติหน้าที่บริเวณนั้น”

ในประเด็นที่มีการถามถึงการละเมิด MOU43 จากฝ่ายกัมพูชา ก่อนหน้านี้ ได้มีการ รุกล้ำพื้นที่ช่องอานม้า โดยการสร้างบ้านเรือนและตลาดจำนวนมาก

พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า…

“…กัมพูชาละเมิด MOU43 โดยการสร้างบ้าน ตลาด และอนุสาวรีย์ตาอมซึ่งผิดข้อตกลงมาโดยตลอด

ปัจจุบัน เราห้ามการใช้พื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด จะไม่อนุญาตให้มีผู้คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานหรือเปิดตลาดอีกต่อไป”

จุดยืนของกองทัพไทยชัดเจน: ปกป้องอธิปไตยโดยไม่ล้ำเส้น

แต่ก็ไม่ยอมให้ใครเหยียบย่ำแผ่นดิน

#SmartSoldiersStrongArmy #TruthFromThailand #YutthaBodin #ยุทธบดินทร์ #TruthFromThailand #กัมพูชายิงก่อน #CambodiaOpenedFire #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #กองทัพภาคที่2 #กองทัพบก #RTA

"ลีดเดอร์ชิพโพล" ชี้ประชาชนกังวลเหตุปะทะไทย-กัมพูชา แนะ "รัฐบาล" แก้ปัญหาให้ชัดเจน โปร่งใส เด็ดขาด

 

วันที่ 27 กรกฎาคม 2568 ลีดเดอร์ชิพโพลล์ (Leadership poll) วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,500 คน ผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 26-27 กรกฎาคม 2568 ผลสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย–กัมพูชา ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก TikTok X และแพลตฟอร์มอื่น ๆ โดยคิดเป็น ร้อยละ 31.32 รองลงมาคือติดตามผ่านเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ ร้อยละ 21.95 และโทรทัศน์ ร้อยละ 20.04 ขณะที่ ยูทูบหรือคลิปวิดีโอ คิดเป็น ร้อยละ 15.91 และกลุ่มไลน์หรือการส่งต่อข้อความ ร้อยละ 8.86 สำหรับช่องทางวิทยุและสื่อสิ่งพิมพ์อยู่ที่ ร้อยละ 0.70 เท่ากัน ส่วนผู้ที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารเลยมีสัดส่วน ร้อยละ 0.40 และผ่านช่องทางอื่น ๆ ร้อยละ 0.10

ในประเด็นด้านความรู้สึกต่อสถานการณ์ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่มีความกังวลในระดับมากที่สุด ต่อสถานการณ์ความรุนแรงจากการปะทะทางทหารระหว่างไทย–กัมพูชา คิดเป็น ร้อยละ 39.47 รองลงมาคือระดับค่อนข้างกังวลมาก ร้อยละ 34.13 ขณะที่ประชาชนบางส่วนกังวลในระดับปานกลาง ร้อยละ 19.60 กลุ่มที่กังวลน้อยมี ร้อยละ 3.80 และไม่กังวลเลย ร้อยละ 3.00

สำหรับข้อเสนอแนะแนวทางที่รัฐบาลควรดำเนินการเพื่อลดความสูญเสียจากสถานการณ์ พบว่า ร้อยละ 40.93 ของประชาชนเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งเจรจาสันติภาพและหยุดยิงทันที รองลงมาคือการเพิ่มมาตรการทางทหาร ร้อยละ 35.13 และการขอความช่วยเหลือจากอาเซียนหรือ UN ร้อยละ 18.73 ขณะที่ ร้อยละ 5.20 เสนอแนวทางอื่น ๆ

ในด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 55.80 เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบในระดับ “หนักมาก” รองลงมาคือ “ปานกลาง” ร้อยละ 34.47 ขณะที่ ร้อยละ 8.87 เห็นว่าได้รับผลกระทบน้อย และร้อยละ 0.87 เห็นว่าไม่มีผลกระทบเลย

ร้อยละ 51.93 ของประชาชนที่ตอบแบบสำรวจ เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าภาคประชาชนควรมีส่วนร่วมในการกดดันให้รัฐบาลหาทางออกอย่างสันติ รองลงมาคือกลุ่มที่เห็นด้วยว่าภาคประชาชนควรมีส่วนร่วมในการกดดัน ให้รัฐบาลหาทางออกอย่างสันติ คิดเป็นร้อยละ 35.80 ขณะที่ประชาชนกว่าร้อยละ 10.73 ระบุว่าไม่เห็นด้วยต่อการที่ประชาชนควรมีส่วนร่วมในการกดดันให้รัฐบาลหาทางออกครั้งนี้ และยังมีประชาชนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่าภาคประชาชนควรมีส่วนร่วมในการกดดันให้รัฐบาลหาทางออกครั้งนี้
ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 1.53 

ประเด็นสุดท้ายกรณีที่สถานการณ์ยืดเยื้อและขยายวงกว้าง ประชาชนคิดว่ารัฐบาลควรเดินหน้าทางการทูตและเจรจาเพื่อรับมือกับความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ โดยคิดเป็นร้อยละ 36.13 รองลงมาคือรัฐบาลควรมีการยกระดับการปฏิบัติการทางทหาร คิดเป็นร้อยละ 32.40 มีประชาชนอีกกว่าร้อยละ 28.40 เห็นว่ารัฐบาลควรประสานกับพันธมิตรและนานาชาติ และอีกร้อยละ 3.07 เห็นว่ารัฐบาลควรใช้แนวทางอื่นในการรับมือต่อสถานการณ์

ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยมีความตื่นตัวและจับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมเสนอแนะแนวทางเพื่อให้รัฐบาลสามารถจัดการความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสียหาย และสร้างฉันทามติร่วมในสังคมอย่างยั่งยืน

โดยเสนอให้รัฐบาลมีความชัดเจน โปร่งใสและเด็ดขาดในการดำเนินการ พร้อมทั้งเน้นการรักษาชีวิตประชาชน การยุติความรุนแรงโดยเร็ว รวมถึงให้รัฐบาลใช้แนวทางทางการทูตควบคู่กับการจัดการความมั่นคงตามยุทธวิธีทางทหารเพื่อลดความสูญเสียที่จะเกิดจากสถานการณ์ครั้งนี้