OSIM Thailand ตอกย้ำผู้นำตลาดสุขภาพระดับพรีเมียม เปิดตัว OSIM uDivine V3 เก้าอี้นวด AI ตอบโจทย์ทุกมิติของความสบาย

OSIM เดินหน้าตอกย้ำภาพผู้นำตลาดเก้าอี้นวดระดับพรีเมียม ปูพรมกลยุทธ์การตลาดทุกช่องทาง ขยายกลุ่มเป้าหมาย B2C และมองหาโอกาสใหม่ๆ ไปยังกลุ่ม B2B พร้อมเปิดตัวเก้าอี้นวดรุ่นใหม่ล่าสุด OSIM uDivine V3 ชูจุดเด่นตอบโจทย์ทุกมิติการนวดด้วย AI อัจฉริยะที่วิจัยและพัฒนาขึ้นเองจากพฤติกรรมผู้บริโภค ผ่อนคลายได้เต็มรูปแบบเสมือนมีเทอราพิสส่วนตัว พร้อมดีลสุดเอ็กซ์คลูซีฟก่อนใคร เฉพาะช่วงพรีออเดอร์ 1-7 กันยายน นี้เท่านั้น ตั้งเป้าปิดปียอดขายโตขึ้น 20%

วันที่ 1 กันยายน 2568 คุณมุทิตา เลาะไธสง ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท โอซิม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า OSIM เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งในระดับโลก ด้วยประสบการณ์กว่า 46 ปีในด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าทั่วโลกให้ความไว้วางใจมาโดยตลอด เราคือผู้นำด้านไลฟ์สไตล์เพื่อสุขภาพที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ทั้งจากรางวัลด้านแบรนด์และการออกแบบผลิตภัณฑ์จำนวนมาก สำหรับตลาดประเทศไทยปัจจุบันมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเทรนด์การรักและเอาใจใส่ในสุขภาพที่มากขึ้นของผู้บริโภค ขณะเดียวกันก็มีผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดนี้มากมายหลากหลายแบรนด์

“OSIM Thailand ขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านการตลาดด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการรีเฟรชแบรนด์ให้มีภาพลักษณ์ทันสมัยมากขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้ใหม่ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มองหานวัตกรรมสุขภาพที่ตอบโจทย์ชีวิตจริง เราจึงเริ่มต้นด้วยการนำเสนอจุดแข็งของ OSIM ผ่านมุมมองใหม่ ทั้งในด้านเทคโนโลยี AI อัจฉริยะที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ รวมถึงดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ที่หรูหราทันสมัย และความสำเร็จจากการได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย ทั้งด้านแบรนด์ การออกแบบผลิตภัณฑ์ และการดำเนินธุรกิจ ซึ่งล้วนตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเราในการสร้างแรงบันดาลใจด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในทุกมิติของชีวิต โดยในสิ้นปีนี้คาดว่าสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 20%”

คุณมุทิตา กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาด เดินหน้าด้วยแผนการตลาดใหม่ จากยอดขายตกต่ำสู่การสร้างแบรนด์ที่ “ลูกค้ารู้จักและภูมิใจเป็นเจ้าของ” ซึ่งครอบคลุมหลายมิติ อาทิ

• ขยายช่องทาง B2B แตกไลน์สู่กลุ่มคลินิกสุขภาพ โรงแรม หรือ ออฟฟิศเพื่อเพิ่มยอดขายในรูปแบบ Mass Purchase

• จับมือ KOL หลากหลายระดับ ทั้งดารา, อินฟลูเอนเซอร์ระดับกลาง และไมโครอินฟลูเอนเซอร์ เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมและกระจายการรับรู้ในวงกว้าง

• ปรับภาพลักษณ์การสื่อสาร บนแพลตฟอร์ม Owned Media สะท้อนความหรูหรา น่าเชื่อถือ และเป็นมิตรกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

• สร้างความเชื่อมั่นด้วยผู้เชี่ยวชาญ โดยมีแผนเชิญแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัด มายืนยันประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์

• จัดกิจกรรมในร้าน OSIM เพื่อสร้างประสบการณ์จริงให้กับลูกค้า กระตุ้นการ Walk-in และทดลองสินค้า

• ใช้ระบบ CRM และโปรโมชั่นสมาชิก เพื่อสร้างฐานลูกค้าประจำ และกระตุ้นการซื้อซ้ำ

• แคมเปญ Flash Sale & Double Day เพื่อเพิ่มยอดขายในช่วงวันสำคัญของตลาดออนไลน์

"เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่การเพิ่มยอดขายในระยะสั้น แต่คือการทำให้ลูกค้า ‘ภูมิใจที่เป็นเจ้าของ OSIM’ ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพ นวัตกรรม และภาพลักษณ์ที่เรากำลังสร้างใหม่" มุทิตา กล่าว

คุณมุทิตา กล่าวว่า ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ OSIM uDivine V3 โดดเด่นด้วยระบบ AI อัจฉริยะที่สามารถวิเคราะห์จุดปวดล้าเฉพาะบุคคล พร้อมเทคโนโลยีการนวดลึกที่จำลองการนวดแบบมืออาชีพ ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้เข้าสปาส่วนตัวทุกวัน โดยมีไฮไลท์คุณสมบัติเด่น อาทิ

- AI อัจฉริยะ วิเคราะห์ความเมื่อยล้าและแนะนำโปรแกรมนวดที่เหมาะสมที่สุด (Base on your Data)

- 8 โปรแกรมเฉพาะทาง เช่น Sleep, Destress, Sports Recovery, Beauty ที่ออกแบบโดย ซาโตะ ซึโยชิ – ผู้เชี่ยวชาญด้านไคโรแพรคติกชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น พร้อม นวัตกรรมการบำบัดด้วยเสียง ที่ช่วยเสริมความผ่อนคลาย

- Friendly Design ดีไซน์ทันสมัยเหมาะกับการตกแต่งทุกสไตล์ ใช้งานง่าย เป็นมิตรต่อผู้ใช้ และเติมเต็มมากกว่าเก้าอี้นวดทั่วไป

- Intelligent Shoulder Detection System – ปรับระดับอัตโนมัติเข้ากับสรีระของคุณ เพื่อมอบการนวดที่แม่นยำและเป็นส่วนตัวสำหรับบริเวณคอ ไหล่ และแผ่นหลังส่วนบน

- Safety System ออกแบบเพื่อความปลอดภัยของทุกคนในบ้าน แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง

- V-Hand® Massage (สิทธิบัตรเฉพาะ) นวดเสมือนมีนักนวด 4 มือ ทำงานพร้อมกันทั้งช่วงบนและล่าง

- Body Tension Score + Personalized Massage เชื่อมต่อกับ OSIM Well-Being App เพื่อโปรแกรมการนวดเฉพาะบุคคล

- Zero-Gravity Mode & Heat Therapy เติมเต็มความผ่อนคลายขั้นสูงสุด

- ดาวน์โหลดโปรแกรมใหม่ได้ต่อเนื่อง ผ่าน OSIM Well-Being App เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล

พบกับข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะช่วง Pre-Order ตั้งแต่วันที่ 1-7 กันยายน 2568 สั่งจองและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://shorturl.at/ZdrpR สัมผัสนวัตกรรมดูแลสุขภาพจาก OSIM ได้แล้ววันนี้ที่ร้าน OSIM ทุกสาขา

"กรุงศรี คอนซูมเมอร์" จับมือพันธมิตรชั้นนำตลาดสุขภาพ จัดโปรผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน พร้อมรับเครดิตเงินคืนรวมสูง

"กรุงศรี คอนซูมเมอร์" จับมือพันธมิตรชั้นนำตลาดสุขภาพ จัดโปรผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน พร้อมรับเครดิตเงินคืนรวมสูง

บัตรเครดิตในกลุ่มกรุงศรี คอนซูมเมอร์ จับมือพันธมิตรชั้นนำตอบโจทย์ตามเทรนด์ตลาดด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งเวชศาสตร์ฟื้นฟู แพทย์ทางเลือก หรือคลินิกเฉพาะด้านกว่า 3,000 สาขาทั่วประเทศ อาทิ ร้านยาสมุนไพรจีนและไทย, สถานดูแลผู้สูงอายุ, คลินิกเวชศาสตร์ชะลอวัย, ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก จัดโปรผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน ตั้งแต่ 1 มกราคม 2568 - 31 ธันวาคม 2568 พิเศษ! รับเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 35,000 บาท เมื่อมียอดผ่อนชำระตามเงื่อนไข และใช้คะแนนสะสมแลกรับเครดิตเงินคืนเพิ่มสูงสุด 12% ที่ร้านค้าที่ร่วมรายการ  เฉพาะสมาชิกบัตรกรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ทุกหน้าบัตร, บัตรเครดิต กรุงศรี, บัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และบัตรเครดิตโลตัส ข้อมูลเพิ่มเติม https://bit.ly/pr-wellness (รายละเอียดโปรโมชันขึ้นอยู่กับระยะเวลาและเงื่อนไขของแต่ละร้านค้า โปรดตรวจสอบเพิ่มเติม ณ จุดขาย) ทั้งนี้ บัตรเครดิต: ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี, สินเชื่อส่วนบุคคล: อัตราดอกเบี้ยปกติ 25% ต่อปี, กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้ตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 15%-25% ต่อปี

DKSH ร่วมกับ FrontierView เผยผลการศึกษาตลาดสุขภาพของไทย ชี้โอกาสและความท้าทายเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ด้านโซลูชันการดูแลสุขภาพและผู้นำด้านการขยายตลาด สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา บริษัทผู้ผลิตยาจำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ (OTC) ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และเครื่องมือแพทย์ ได้ร่วมมือกับ FrontierView บริษัทที่ปรึกษาและให้บริการด้านข้อมูลชั้นนำ จัดทำเอกสารการศึกษา (Whitepaper) ในหัวข้อ “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอกาสแห่งการเติบโตของธุรกิจดูแลสุขภาพ” ซึ่งนำเสนอเกี่ยวกับโอกาสและความท้าทายของตลาดสุขภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย ซึ่งมีการเติบโตสูงและได้รับความสนใจจากบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยาทั่วโลกเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันก็ยังมีความท้าทายที่หลายฝ่ายต้องหาแนวทางจัดการบริหารร่วมกัน เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงระบบการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น 

อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การขยายธุรกิจการดูแลสุขภาพของภาคเอกชน และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) อย่างไรก็ตามการเติบโตนี้มาพร้อมกับความท้าทายหลายประการ ตั้งแต่การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ความต้องการด้านงบประมาณ และข้อจำกัดด้านนโยบายและกฎระเบียบต่างๆ หากสามารถบริหารจัดการความท้าทายเหล่านี้ได้ จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถตอบสนองความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและสามารถแข่งขันในระดับภูมิภาคได้

นายแพทริค แกรนเด รองประธานฝ่ายบริหาร และหัวหน้าฝ่าย Commercial Outsourcing ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก DKSH กล่าวว่า “เอกสารการศึกษานี้ช่วยยืนยันในความเชื่อมั่นที่เรามีต่อตลาดในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่มีศักยภาพสูงที่สุดในภูมิภาค สำหรับบริษัทผู้ผลิตเวชภัณฑ์ยา สินค้าสุขภาพ และอุปกรณ์การแพทย์ การขยายตัวของชนชั้นกลางอย่างต่อเนื่องและการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ส่งผลให้ความต้องการบริการด้านสุขภาพจากภาคเอกชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาคส่วนต่างๆ ในอุตสาหกรรมนี้จึงต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพในประเทศไทยทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาและการดูแลที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกัน”

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนคือกลยุทธ์สำคัญสำหรับการเติบโตในระยะยาว

เมื่อความต้องการด้านสุขภาพในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ภาครัฐจึงสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPPs) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้ป่วยในระบบสุขภาพภาครัฐ ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ โครงการโรงพยาบาลปลวกแดง 2 ที่ภาครัฐและเอกชนทำร่วมกัน ความร่วมมือเช่นนี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพ ภายใต้ทรัพยากรที่ภาครัฐมีอยู่ นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนยังนำเอาความเชี่ยวชาญ ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และนวัตกรรมที่จำเป็น มาช่วยจัดการกับความต้องการด้านสุขภาพที่ซับซ้อนมากขึ้นของประเทศไทยอีกด้วย

ความท้าทายในตลาดสุขภาพของประเทศไทย

แม้ว่าอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพในประเทศไทยจะเติบโตอย่างมาก แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องบริหารจัดการร่วมกันเพื่อความยั่งยืน

·การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์คือความท้าทายที่สำคัญประการหนึ่ง แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ มีแนวโน้มจะย้ายไปยังภาคเอกชน ทำให้การกระจายตัวของบุคลากรทางการแพทย์ไม่สมดุล ส่งผลให้ภาครัฐต้องรับมือกับความต้องการในด้านการดูแลสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น
·ระบบประกันสังคมของประเทศไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดหาทุนสำหรับการดูแลสุขภาพของประชาชน กำลังเผชิญกับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากรายได้ในระบบลดลง ในขณะที่ความต้องการบริการสุขภาพโดยเฉพาะในโรงพยาบาลภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การเพิ่มการลงทุนในประกันสุขภาพเอกชนอาจเป็นแนวทางหนึ่งในการจัดการกับสถานการณ์นี้

·ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบควบคุมดูแลระบบสุขภาพส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม แม้ว่าจะมีการออกมาตรการต่างๆ เช่น แนวทางการประเมินร่วมของอาเซียน (The ASEAN Joint Assessment pathway) การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และการส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ แต่การผลิตเวชภัณฑ์ยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในประเทศก็ยังไม่เพิ่มมากนัก ไทยยังคงนำเข้าสินค้าทางการแพทย์จำนวนมาก และหากบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนผลิตในประเทศ ก็อาจทำให้การแข่งขันเพิ่มสูงขึ้นอีก

·ธุรกิจสุขภาพภาคเอกชนในประเทศไทยเผชิญกับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้โรงพยาบาลเอกชนจัดหาเงินทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ยากขึ้น โรงพยาบาลหลายแห่งจึงเลือกที่จะเช่าอุปกรณ์การแพทย์แทนการซื้อขาด ซึ่งสะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น

การบริหารจัดการโอกาสและความท้าทาย

ตลาดสุขภาพของประเทศไทยมีโอกาสมหาศาล โดยเฉพาะการเติบโตที่ต่อเนื่องของภาคเอกชนและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาทิศทางที่ดีนี้ เอกสารการศึกษาได้ระบุว่า ประเทศไทยจะต้องบริหารจัดการเรื่องการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ การจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอ และข้อจำกัดจากกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ได้ การแสวงหาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นทางแก้ปัญหาที่ดี แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับการร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ระบบการดูแลสุขภาพ

“DKSH ยังคงเดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมสุขภาพในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ผ่านความเชี่ยวชาญด้านการขยายตลาดเชิงพาณิชย์ การปฏิบัติตามกฏระเบียบต่างๆ และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้มากขึ้น ด้วยประสบการณ์กว่า 100 ปี ในการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เคียงข้างคู่ค้าของเราในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย เราได้สะสมองค์ความรู้มากมายและมีความภาคภูมิใจและยินดีอย่างยิ่งที่ได้แบ่งปันองค์ความรู้ของเราเพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ผ่านเอกสารการศึกษาฉบับนี้” นายแพทริคกล่าวเพิ่มเติม

โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความท้าทายและโอกาสในอุตสาหกรรมดูแลสุขภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย จากเอกสารการศึกษาฉบับเต็มได้ที่ https://bit.ly/hecwhitepaper.

 

“คิง” ตอกย้ำที่ 1 ตลาดน้ำมันรำข้าว ทุ่ม 1.5 พันล. เพิ่มกำลังการผลิต สานต่อพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพ สู่ยอดขายหมื่นล้าน

กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เตรียมความพร้อมก้าวสู่ปีที่ 48 อย่างมั่นคงและยั่งยืน เผยผลความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องภายใต้มาตรฐานการผลิตระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นให้แบรนด์น้ำมันรำข้าว “คิง” เป็นอันดับ 1 ที่ครองใจผู้บริโภค เชิดชูคุณค่า “รำข้าวไทย” เดินหน้าต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพหลากหลาย พร้อมลงทุน 1,500 ล้านบาท สร้างโรงงาน เพิ่มเครื่องจักรเทคโนโลยีสูง รองรับการเติบโตในอนาคต คาดทะยานสู่ธุรกิจ 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 ยืนหนึ่งผู้นำตลาดน้ำมันรำข้าวไทย

นายประทีป สันติวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง หนึ่งในผู้นำธุรกิจน้ำมันรำข้าวและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับรำข้าวทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2520 ด้วยความเชื่อมั่นในคุณค่าของ “รำข้าวไทย” สู่เส้นทาง การผลิตน้ำมันรำข้าวที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณประโยชน์ตามมาตรฐานการผลิตระดับสากล ในโอกาสเข้าสู่ปีที่ 48 จะยังคงให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพและการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยยึดถือเรื่องสุขภาพของผู้บริโภค เป็นที่ตั้ง ชูจุดเด่น “น้ำมันรำข้าวคิง” น้ำมันรำข้าวระดับพรีเมียมที่แตกต่างด้วยคุณภาพ อุดมด้วยคุณค่าวิตามินและสารอาหารตามธรรมชาติ ผลิตจากรำข้าวไทย 100% จึงปลอด GMOs ตอบโจทย์การทำอาหารของคนรักสุขภาพทุกไลฟ์สไตล์ “น้ำมันรำข้าวคิง” คือน้ำมันคู่ครัวคนรักสุขภาพ

ทั้งนี้กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง มีกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวที่ครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่  น้ำมันรำข้าวคิง โอรีซานอล 8,000 ppm น้ำมันรำข้าว King โอรีซานอล 12,000 ppm และน้ำมันรำข้าวไรซ์ลี่ โอรีซานอล 15,000 ppm รวมถึงมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ ได้แก่ ชอร์ตเทนนิ่งน้ำมันรำข้าวคิง ครีมเทียมน้ำมันรำข้าวไรซ์ลี่ และผลิตภัณฑ์ใหม่ เครื่องดื่มรำข้าวไรซ์ลี่ กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เรามีการวางแผนกลยุทธ์เพื่อให้กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงแข็งแกร่งขึ้น และสร้างการเติบโตทางธุรกิจหลักๆ ด้วยกัน 3 ส่วน คือ การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตของคู่ค้าและรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น การลงทุนทางด้าน R&D และการวิจัยตลาดเพื่อพัฒนาสินค้าใหม่สำหรับตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ และการให้ความสำคัญกับการสื่อสารทางการตลาดที่ต้องเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้าง รวมถึงให้ความสำคัญกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

นายประทีป กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน เรามีโรงงานถึง 3 แห่ง ตั้งอยู่ที่สมุทรปราการ อยุธยา และนครราชสีมา ซึ่งโรงงานสกัดของเรามีกำลังการผลิตรวมกว่า 1,550 ตันรำข้าว/วัน ทำให้สามารถผลิตน้ำมันรำข้าวดิบได้มากถึง 88,000 ตัน/ปี ส่วนโรงกลั่นของเรามีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ประมาณ 350 ตันน้ำมันดิบ/วัน สามารถผลิตน้ำมันสำเร็จรูปได้มากถึง 60,000 ตัน/ปี และเพื่อจะขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต บริษัทเตรียมลงทุนไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานสาขา จ.นครสวรรค์ เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการวัตถุดิบให้ดีเลิศ และมีแผนการลงทุนในการพัฒนาเครื่องจักรให้กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงทันสมัยด้านเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันรำข้าว ทั้งนี้เรายังมีงบในการพัฒนาด้าน ESG เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดน้ำมันรำข้าวระดับโลก

นอกจากนั้น บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการทำการตลาดและให้ความรู้กับผู้บริโภคมาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลักการสื่อสารการตลาดบนรากฐานของความจริง คุณประโยชน์ต่างๆ ของน้ำมันรำข้าวที่เรานำเสนอ ล้วนมีงานวิจัยที่เชื่อถือได้รองรับทั้งสิ้น โดยในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา เราลงทุนในเรื่องของการสื่อสารการตลาดไปมากกว่า 270 ล้านบาท และมีการปรับกลยุทธ์การสื่อสารอยู่ตลอดเวลาให้เข้ากับทุกยุคสมัย และสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เน้นการสื่อสารที่ชัดเจน ตรงประเด็น เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยความตั้งใจนี้ จึงทำให้เราสามารถอยู่ในตลาดของน้ำมันรำข้าว และเป็นอันดับ 1 มาได้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

นายประทีป กล่าวปิดท้ายว่า ตลอด 47 ปีกับความสำเร็จของกลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง เป็นบทพิสูจน์ความตั้งใจของเราที่สามารถนำคุณค่าของรำข้าวไทยมาสร้างสรรค์และพัฒนาจนกลายเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ได้รับการยอมรับทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ภายใต้การดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล เราเชื่อว่าความทุ่มเทอย่างไม่หยุดยั้ง ประกอบกับการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพของเรา จะเป็นแรงผลักดันให้กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิงเติบโตอย่างยั่งยืน และมุ่งสู่ยอดขาย 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573

“TAT Corporation” ดึง “BNK48-CGM48-QRRA-Proxie” รุกมาร์เก็ตติ้ง ลุยตลาดสุขภาพ-ความงาม

“ทีเอที คอร์ปอเรชั่น” (TAT Corporation) บริษัทชั้นนำด้านนวัตกรรมความงาม ได้เดินเครื่องรุกตลาดสุขภาพและความงามแบบเต็มที่ ด้วยการวางกลยุทธผลักดันยอดขายทั้ง Online และ Offline กับการใช้พลัง Fandom Marketing ภายใต้แนวคิด “Millennium Beauty Creator”

ล่าสุดได้ส่งแบรนด์ “GRAVICH”, “Plantnery”, และแบรนด์น้องใหม่ “JKxLAB” ออกสู่ตลาด  โดยมี 4 ศิลปินกลุ่ม T-POP มาแรง อย่าง BNK48 (บีเอ็นเคโฟร์ตีเอต), CGM48 (ซีจีเอ็มโฟร์ตีเอต) ,QRRA ( คาร์ร่า)  และ Proxie  (พร็อกซี) มาร่วมเปิดตัวพร้อมโชว์มินิคอนเสิร์ตในงาน เป็นการตอกย้ำการทำ Fandom Marketing  อย่างจริงจัง รวมทั้งได้รับเกียรติจาก 3  หัวเรือใหญ่ อย่างคุณ ธนธัส ถนอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีเอที คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน),​​​คุณ ชยธร เมฆทันต์, ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพาณิชย์ บริษัท ทีเอที คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และคุณ ณัฐพล บวรวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท อินดิเพนเด้นท์ อาร์ทิสท์ เมเนจเม้นท์ จำกัด และ บริษัท ดรีมเมอร์ส โซไซตี้ เมเนจเมนท์ จำกัด มาร่วมงานในครั้งนี้ ณ ทรู ดิจิทัล พาร์ค แกรนด์ ฮอลล์

สำหรับ “Beauty Creator Collaboration“ ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์หลักสำคัญ ซึ่ง ทีเอที คอร์ปอเรชั่น” (TAT Corporation) ได้วางไว้ โดยต้องการมุ่งสู่ยุคทองของ T-POP Culture & Beauty Entertainment  เพื่อเป็นการสร้างสีสันใหม่ๆให้กับตลาดด้วยความเข้าใจอินไซต์ของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันมากขึ้น นี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักของการจับมือกับ  "IAM" และ "Dreamers"  ร่วมกับศิลปินในเครือเพื่อสร้างความบันเทิงผ่านรูปแบบ Shoptainment และกิจกรรมการตลาดร่วมกับศิลปิน พร้อมเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสนับสนุนจากฐานแฟนคลับผลักดันยอดขายด้วยพลัง Fandom Marketing 

ทั้งนี้ ทีเอที คอร์ปอเรชั่น ได้ตั้งเป้ารายได้กว่า 1,200 ล้านบาทในปี 2024 โดยมีแผนรุกตลาด Social Commerce สู่การขยายตลาด Modern Trade และ Traditional Trade รวมถึงตลาดในต่างประเทศ ได้แก่ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา, เวียดนาม) ทั้งยังเน้นย้ำความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในปี 2026 ท่ามกลางโอกาสตลาดผลิตภัณฑ์สุขภาพและความงามยังเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

สภาฯสาธารณสุขชุมชนฯ นำร่องรางวัลนักสาธารณสุขทองคำ 2566 สร้างต้นแบบผู้นำตลาดสุขภาพแห่งอนาคต

นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข  เปิดเผยว่า ระบบสาธารณสุขถือเป็นโครงสร้างใหญ่ของประเทศที่ต้องให้ความสำคัญ การจัดการด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพ ได้ศักยภาพ ถือเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ เนื่องจากประชากรในประเทศมีสุขภาพร่างกายและคุณภาพชีวิตที่ดี ลดการเจ็บป่วย ก้าวสู่สังคมแห่งสุขภาวะที่ดี จะส่งผลดีต่อกลไกทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความมั่นคง เนื่องจากประเทศมีประชากรวัยทำงานสามารถใช้กำลังแลความสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ในขณะเดียวกับคนเจ็บป่วยลดลง ก็จะช่วยให้การบริหารจัดการงบด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ทั้งนี้สภาการสาธารณสุขชุมชน ได้จัดงานประชุมวิชาการสภาการสาธารณสุขชุมชนระดับชาติ ประจำปี 2566 เรื่อง Interdisciplinary Public Health for Human Well-being and Environment : สู่เส้นทางนักสาธารณสุขทองคำ เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานวิชาการ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ องค์ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ การทำงานทางวิชาการ งานวิจัยแลนวัตกรรม พร้อมขยายผลการพัฒนาองค์ความรู้และบทเรียนจากการปฏิบัติหน้าที่ให้บริการด้านสาธารณสุขในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชนและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ นำไปพัฒนาต่อยอด งานวิจัยและสร้างมาตรฐานวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่เกี่ยวกับขอบเขตการประกอบวิชาชีพการ สาธารณสุขชุมชน รวมถึงเป็นการเชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขที่อุทิศตนด้วยความเสียสละในการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ ระบบบริการสาธารณสุขที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนในระดับพื้นที่ ชุมชน และระดับประเทศ

นายไพศาล  บางชวด นายกสภาการสาธารณสุขชุมชน เปิดเผยว่า การจัดงานประชุมวิชาการฯ ถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับการพัฒนาศักยภาพและขยายเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตด้านสาธารณสุขระดับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้ง 6 ภูมิภาคของประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม องค์กรภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคท้องถิ่น ภาคธุรกิจเอกชน เพื่อส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการให้มีผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพ และเกิดการยอมรับในแวดวงวิชาการและวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชน ภาคท้องถิ่นคณาจารย์ นักสาธารณสุข นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป

นอกจากนี้ยังได้นำร่องโครงการ นักสาธารณสุขทองคำ๒๕๖๖ (Golden Health Professional Award 2023) เป็นปีแรก เพื่อสร้างต้นแบบ นักสาธารณสุข ด้วยเป้าหมายวาระผู้นำแห่งตลาดสุขภาพในอนาคตกับมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล  และสร้างแรงจูงใจให้กับนักสาธารณสุขที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนได้มีการพัฒนาต่อยอดการดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้ประเทศไทยบรรลุเป็นสังคมแห่งสุขภาวะที่ดีและนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางสุขภาพ เป็นกลไกสำคัญด้านการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หากสามารถสร้างให้ประชากรในประเทศมีสุขภาพดี ปลอดโรค ก็จะช่วยสถานการณ์เงินส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นส่งผลต่อความมั่นคงต่อเศรษฐกิจมหภาค และความมั่นคงของประเทศได้อย่างยั่งยืน

รางวัลนักสาธารณสุขทองคำมีวัตถุประสงค์เพื่อวางต้นแบบการโค้ชผู้นำวาระแห่งการเปลี่ยนแปลงในระดับลึก (Coaching for Transformation Agenda) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกและผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนในสถานการณ์ ที่ต้องเผชิญทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน และมุ่งขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายวาระผู้นำแห่งตลาดสุขภาพในอนาคตกับมาตรฐานวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับนักสาธารณสุขที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนได้มีการพัฒนาและต่อยอดการดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ นักสาธารณสุขทองคำ ประเภทที่ 1 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ที่มีความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมสุขภาพ ประเภทที่ 2 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ที่มีความเป็นเลิศด้านการป้องกันและควบคุมโรค และประเภทที่ 3 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่มีความเป็นเลิศด้านอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้ได้รับรางวัล 26 คน 

รายชื่อผู้ได้รับรางวัลนักสาธารณสุขทองคำ

ประเภทที่ 1 ต้นแบบนักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านการป้องกันโรคและควบคุมโรค มีการจัดระบบข้อมูลการเกิดโรค การพยากรณ์สถานการณ์ การเฝ้าระวังป้องกันโรค ควบคุมโรค การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และเสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมีนักสาธารณสุขที่ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่เชิดชูเกียรติ 

และใบประกาศเกียรติคุณ 8 ท่าน

1. คุณสุรชาติ โกยดุลย์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช 

2. คุณจักรพันธ์ ถอดเขี้ยว โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

3. คุณฆาลิตา วารีวนิช สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช

4. คุณบุญวัฒน์ ไทรย้อย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดโคกเกตุ จังหวัดสมุทรสงคราม

5. คุณอัครา คณาดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาสะเม็ง จังหวัดมุกดาหาร

6. คุณภาสกร กิติศรีวรพันธุ์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม

7. คุณศศิกานต์ มาลากิจสกุล สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์

8. .คุณวัชระ เกตุทอง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา

และนอกจานี้ยังมีผู้ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 2 ท่าน

1. คุณอธิวัตร์ ป้อมพิมพ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหัววัง จังหวัดสุพรรณบุรี

2. คุณสุพัตรศรี แซ่ก๊วย กรมอนามัย จังหวัดนนทบุรี

ประเภทที่ 2 นักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านอาชีวอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม สามารถจัดการระบบข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สารเคมี มลพิษ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ  ตั้งแต่ขั้นตอนการวิเคราะห์ เฝ้าระวัง การคัดกรอง เก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผู้ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่ และใบประกาศเกียรติคุณ 4 ท่าน

1. คุณรุ่งเรือง ลาดบัวขาว สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดหนองบัวลำภู

2. คุณนพรัตน์ กันชะธง กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลบ้านกลาง จังหวัดเชียงใหม่

3. คุณสุบัน โสขวัญฟ้า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านก้านเหลือง จังหวัดบุรีรัมย์

4. คุณนิพันธ์ มุสิกะวัน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเขาเจ็ดลูก จังหวัดพิจิตร

และยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 1 ท่าน

1. คุณชัยภัทร กรรเชียง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่จำบอน จังหวัดลำปาง

ประเภทที่ 3 นักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมสุขภาพ สามารถวิเคราะห์ข้อมูล ให้คำปรึกษาแนะนำให้ความรู้ การคัดกรอง การส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม ปลอดภัย ในระดับบุคคลทุกกลุ่มวัย ระดับครอบครัว และชุมชนได้อย่างมีมาตรฐาน มีผู้ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่เชิดชูเกียรติ และใบประกาศเกียรติคุณ 8 ท่าน

2. คุณสมศรี โพธิ์ประสิทธิ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดอนทราย จังหวัดราชบุรี

3. คุณนิรันดร์ จันทร์ชัย องค์การบริหารส่วนตำบลกรอกสมบูรณ์ จังหวัดปราจีนบุรี

4. คุณภาณุรักษ์ แก้วน้อย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองสะเดา จังหวัดสุพรรณบุรี

5. คุณภควันต์ จันต๊ะ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปอน จังหวัดน่าน

6. คุณสัญชัย ฉิมพาลี สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี จังหวัดตราด

7. คุณสนอง นิลวิจิตร โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโคกแร่ จังหวัดบุรีรัมย์

8. คุณพิสิษฐ์ สมงาม สำนักงานสาธารณสุขอำเภอจุน จังหวัดพะเยา

9. คุณพุทธิดา จันทร์ดอนแดง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแก้งเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี

และนอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 3 ท่าน

1. คุณนีรนุช เสียงเลิศ โรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด

2. คุณสุพัตรา ชาวงษ์ โรงพยาบาล 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จังหวัดอุบลราชธานี  

3. คุณดวงรัตน์ จรัสพันธ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสาวะถี จังหวัดขอนแก่น

สภาฯสาธารณสุขชุมชนฯ นำร่องรางวัลนักสาธารณสุขทองคำ 2566 สร้างต้นแบบผู้นำตลาดสุขภาพแห่งอนาคต

นายแพทย์กิตติศักดิ์ อักษรวงศ์ รักษาราชการแทนรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข  เปิดเผยว่า ระบบสาธารณสุขถือเป็นโครงสร้างใหญ่ของประเทศที่ต้องให้ความสำคัญ การจัดการด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพ ได้ศักยภาพ ถือเป็นภารกิจสำคัญของประเทศ เนื่องจากประชากรในประเทศมีสุขภาพร่างกายและคุณภาพชีวิตที่ดี ลดการเจ็บป่วย ก้าวสู่สังคมแห่งสุขภาวะที่ดี จะส่งผลดีต่อกลไกทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้มีความมั่นคง เนื่องจากประเทศมีประชากรวัยทำงานสามารถใช้กำลังแลความสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ในขณะเดียวกับคนเจ็บป่วยลดลง ก็จะช่วยให้การบริหารจัดการงบด้านสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ทั้งนี้สภาการสาธารณสุขชุมชน ได้จัดงานประชุมวิชาการสภาการสาธารณสุขชุมชนระดับชาติ ประจำปี 2566 เรื่อง Interdisciplinary Public Health for Human Well-being and Environment : สู่เส้นทางนักสาธารณสุขทองคำ เพื่อเป็นเวทีนำเสนอผลงานวิชาการ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ องค์ความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ประสบการณ์ การทำงานทางวิชาการ งานวิจัยแลนวัตกรรม พร้อมขยายผลการพัฒนาองค์ความรู้และบทเรียนจากการปฏิบัติหน้าที่ให้บริการด้านสาธารณสุขในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชนและสิ่งแวดล้อมของพื้นที่ นำไปพัฒนาต่อยอด งานวิจัยและสร้างมาตรฐานวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่เกี่ยวกับขอบเขตการประกอบวิชาชีพการ สาธารณสุขชุมชน รวมถึงเป็นการเชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขที่อุทิศตนด้วยความเสียสละในการพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ ระบบบริการสาธารณสุขที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนในระดับพื้นที่ ชุมชน และระดับประเทศ

นายไพศาล  บางชวด นายกสภาการสาธารณสุขชุมชน เปิดเผยว่า การจัดงานประชุมวิชาการฯ ถือเป็นกลไกสำคัญในการยกระดับการพัฒนาศักยภาพและขยายเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาที่ผลิตบัณฑิตด้านสาธารณสุขระดับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั้ง 6 ภูมิภาคของประเทศ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม องค์กรภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคท้องถิ่น ภาคธุรกิจเอกชน เพื่อส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการให้มีผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีคุณภาพ และเกิดการยอมรับในแวดวงวิชาการและวิชาชีพทางด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชน ภาคท้องถิ่นคณาจารย์ นักสาธารณสุข นักวิชาการ นักวิจัย นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป

นอกจากนี้ยังได้นำร่องโครงการ นักสาธารณสุขทองคำ๒๕๖๖ (Golden Health Professional Award 2023) เป็นปีแรก เพื่อสร้างต้นแบบ นักสาธารณสุข ด้วยเป้าหมายวาระผู้นำแห่งตลาดสุขภาพในอนาคตกับมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล  และสร้างแรงจูงใจให้กับนักสาธารณสุขที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนได้มีการพัฒนาต่อยอดการดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้ประเทศไทยบรรลุเป็นสังคมแห่งสุขภาวะที่ดีและนำไปสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมทางสุขภาพ เป็นกลไกสำคัญด้านการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หากสามารถสร้างให้ประชากรในประเทศมีสุขภาพดี ปลอดโรค ก็จะช่วยสถานการณ์เงินส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นส่งผลต่อความมั่นคงต่อเศรษฐกิจมหภาค และความมั่นคงของประเทศได้อย่างยั่งยืน

รางวัลนักสาธารณสุขทองคำมีวัตถุประสงค์เพื่อวางต้นแบบการโค้ชผู้นำวาระแห่งการเปลี่ยนแปลงในระดับลึก (Coaching for Transformation Agenda) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกและผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนในสถานการณ์ ที่ต้องเผชิญทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน และมุ่งขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายวาระผู้นำแห่งตลาดสุขภาพในอนาคตกับมาตรฐานวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับนักสาธารณสุขที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนได้มีการพัฒนาและต่อยอดการดำเนินกิจกรรมด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ นักสาธารณสุขทองคำ ประเภทที่ 1 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ที่มีความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมสุขภาพ ประเภทที่ 2 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน ที่มีความเป็นเลิศด้านการป้องกันและควบคุมโรค และประเภทที่ 3 รางวัลนักสาธารณสุขทองคำสำหรับผู้ประกอบวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชนที่มีความเป็นเลิศด้านอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้ได้รับรางวัล 26 คน 

รายชื่อผู้ได้รับรางวัลนักสาธารณสุขทองคำ

ประเภทที่ 1 ต้นแบบนักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านการป้องกันโรคและควบคุมโรค มีการจัดระบบข้อมูลการเกิดโรค การพยากรณ์สถานการณ์ การเฝ้าระวังป้องกันโรค ควบคุมโรค การตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน และเสี่ยงภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพมีนักสาธารณสุขที่ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่เชิดชูเกียรติ 

และใบประกาศเกียรติคุณ 8 ท่าน

1. คุณสุรชาติ โกยดุลย์ สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช 

2. คุณจักรพันธ์ ถอดเขี้ยว โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชตะพานหิน จังหวัดพิจิตร

3. คุณฆาลิตา วารีวนิช สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 11 จังหวัดนครศรีธรรมราช

4. คุณบุญวัฒน์ ไทรย้อย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลวัดโคกเกตุ จังหวัดสมุทรสงคราม

5. คุณอัครา คณาดี โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านนาสะเม็ง จังหวัดมุกดาหาร

6. คุณภาสกร กิติศรีวรพันธุ์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม

7. คุณศศิกานต์ มาลากิจสกุล สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 3 จังหวัดนครสวรรค์

8. .คุณวัชระ เกตุทอง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา

และนอกจานี้ยังมีผู้ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 2 ท่าน

1. คุณอธิวัตร์ ป้อมพิมพ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหัววัง จังหวัดสุพรรณบุรี

2. คุณสุพัตรศรี แซ่ก๊วย กรมอนามัย จังหวัดนนทบุรี

ประเภทที่ 2 นักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านอาชีวอนามัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม สามารถจัดการระบบข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สารเคมี มลพิษ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ  ตั้งแต่ขั้นตอนการวิเคราะห์ เฝ้าระวัง การคัดกรอง เก็บตัวอย่างเพื่อส่งตรวจได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผู้ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่ และใบประกาศเกียรติคุณ 4 ท่าน

1. คุณรุ่งเรือง ลาดบัวขาว สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดหนองบัวลำภู

2. คุณนพรัตน์ กันชะธง กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลตำบลบ้านกลาง จังหวัดเชียงใหม่

3. คุณสุบัน โสขวัญฟ้า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านก้านเหลือง จังหวัดบุรีรัมย์

4. คุณนิพันธ์ มุสิกะวัน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านเขาเจ็ดลูก จังหวัดพิจิตร

และยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 1 ท่าน

1. คุณชัยภัทร กรรเชียง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่จำบอน จังหวัดลำปาง

ประเภทที่ 3 นักสาธารณสุขที่มีความเป็นเลิศด้านการส่งเสริมสุขภาพ สามารถวิเคราะห์ข้อมูล ให้คำปรึกษาแนะนำให้ความรู้ การคัดกรอง การส่งเสริมสุขภาพที่เหมาะสม ปลอดภัย ในระดับบุคคลทุกกลุ่มวัย ระดับครอบครัว และชุมชนได้อย่างมีมาตรฐาน มีผู้ได้รับรางวัลเหรียญนักสาธารณสุขทองคำ พร้อมโล่เชิดชูเกียรติ และใบประกาศเกียรติคุณ 8 ท่าน

2. คุณสมศรี โพธิ์ประสิทธิ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดอนทราย จังหวัดราชบุรี

3. คุณนิรันดร์ จันทร์ชัย องค์การบริหารส่วนตำบลกรอกสมบูรณ์ จังหวัดปราจีนบุรี

4. คุณภาณุรักษ์ แก้วน้อย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหนองสะเดา จังหวัดสุพรรณบุรี

5. คุณภควันต์ จันต๊ะ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปอน จังหวัดน่าน

6. คุณสัญชัย ฉิมพาลี สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา นวมินทราชินี จังหวัดตราด

7. คุณสนอง นิลวิจิตร โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านโคกแร่ จังหวัดบุรีรัมย์

8. คุณพิสิษฐ์ สมงาม สำนักงานสาธารณสุขอำเภอจุน จังหวัดพะเยา

9. คุณพุทธิดา จันทร์ดอนแดง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแก้งเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี

และนอกจากนี้ยังมีผู้ที่ได้รับรางวัลโล่เชิดชูเกียรตินักสาธารณสุขทองคำ และใบประกาศเกียรติคุณ 3 ท่าน

1. คุณนีรนุช เสียงเลิศ โรงพยาบาลพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด

2. คุณสุพัตรา ชาวงษ์ โรงพยาบาล 50 พรรษา มหาวชิราลงกรณ จังหวัดอุบลราชธานี  

3. คุณดวงรัตน์ จรัสพันธ์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสาวะถี จังหวัดขอนแก่น