เริ่มแล้ว! Thailand Focus 2025 ปลุกความความเชื่อมั่นตลาดทุน

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดงานใหญ่ Thailand Focus 2025 ปลุกความความเชื่อมั่นตลาดทุน ปรับตัวภาครัฐและเอกชน รับความท้าทายของโลก ปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 19 ภายใต้แนวคิด Beyond the Challenges ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 27-29 ส.ค.

วันที่ 27 สิงหาคม 2568 ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Policy & Markets: Building Confidence in Thailand’s Investment Climate” นโยบายและกลไกตลาด : ปลุกความเชื่อมั่นการลงทุนไทย โดยให้ข้อมูลถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยโดยรวม เมื่อเทียบกับสถานการณ์โลก รวมทั้งการก้าวต่อไปภายใต้ปัจจัยปัญหาต่าง ๆ พร้อมคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะโตเหนือระดับ 2.2%

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีสถานการณ์เกิดขึ้นมากมาย เช่น ประธานาธิบดีสหรัฐ คนใหม่ที่นโยบายสั่นสะเทือนไปทั่วโลก มีแผ่นดินไหว นอกจากนี้ยังมีการสู้รบที่ชายแดน ประเทศไทยและโลกได้เผชิญกับความท้าทายในหลายมิติอย่างมาก โดยเฉพาะผลของสิ่งเหล่านี้ต่อเศรษฐกิจ งานครั้งนี้จะนำไปสู่วิธีการปรับตัวทั้งของภาครัฐและเอกชนว่าต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อไปสู่ Beyond the Challenges ซึ่งเป็น Theme ของงาน Thailand Focus 2025 ครั้งนี้

งาน Thailand Focus 2025 จะมีไปจนถึง 29 ส.ค. สามารถรับชมการถ่ายทอดสดงานสัมมนาวันแรกได้ถึง 16.00 น. ผ่านช่องทางออนไลน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ SET Website, Facebook & Youtube : SET Thailand ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.set.or.th/thailandfocus

เงินบาทเปิดแข็งแตะ 32.30 บาท/ดอลลาร์ หนุนจากทองคำพุ่ง-เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งปีนี้

เงินบาทเปิดแข็งแตะ 32.30 บาท/ดอลลาร์ หนุนจากทองคำพุ่ง-เฟดจ่อหั่นดอกเบี้ย 3 ครั้งปีนี้

วันที่ 5 สิงหาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับ 32.30 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.29-32.48 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ (XAUUSD) ซึ่งสามารถปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซนแนวต้านระยะสั้น 3,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดมีโอกาสถึง 98% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และมีโอกาสราว 52% ที่จะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้ สอดคล้องกับ ถ้อยแถลงล่าสุดของเจ้าหน้าที่เฟด อย่าง Mary Daly (San Francisco Fed) ที่ระบุว่า เฟดอาจจำเป็นต้องลดดอกเบี้ย “มากกว่า 2 ครั้ง” ในปีนี้ 

บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ จากรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ล่าสุด ที่ออกมาแย่กว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.95% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.47% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้น +0.90% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังรายงานผลประกอบการของกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ออกมาสดใส นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการบิน-ทหาร ก็ยังคงช่วยหนุนตลาดหุ้นยุโรป 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 4.19% หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาแย่กว่าคาด ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงเผชิญ Two-Way risk โดยมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง หากตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งต้องจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายได้ โดยเราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ส่วนผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ก็สามารถ Let Profits Run ได้ เนื่องจากเราคงคาดการณ์ว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มทยอยปรับตัวลดลง ตามการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลง สู่ระดับ 98.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 98.6-98.9 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจมากขึ้น ว่าเฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC เดือนกันยายน และอาจลดดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้ง ในปีนี้ ยังคงเป็นปัจจัยที่หนุนการปรับตัวขึ้นของ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) โดยล่าสุด ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นสู่โซน 3,430-3,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง  

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ หลังล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 52% ที่จะลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้ (ทุกการประชุม FOMC ที่เหลือของปีนี้) 

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนี S&P PMI ภาคการบริการของจีน (เดิม คือ Caixin PMI) ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน 

และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ส่วนในฝั่งไทย สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็จะเป็นอีกปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามเช่นกัน 


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า โมเมนตัมการแข็งค่าของเงินบาทนั้นมีกำลังมากกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกับกดดันให้ เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยง Two-Way risk (พร้อมปรับตัวได้ทั้งสองทิศทาง แข็งค่าต่อ หรือ พลิกกลับมาอ่อนค่าลง) ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด โดยเรามองว่า ภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ อาจยังไม่ได้เลวร้ายมากนัก อย่างที่ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดสะท้อนออกมา และเรามองว่า การจ้างงานที่แย่ลงในช่วงหลายเดือนก่อนนั้น ก็อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จนทำให้ภาคธุรกิจชะลอการจ้างงานลง เพื่อรอความชัดเจน ซึ่งล่าสุด ทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็มีความชัดเจนมากขึ้น หลังสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า ทำให้เรามองว่า ภาคธุรกิจสหรัฐฯ อาจเริ่มกลับมาจ้างงานมากขึ้นในระยะข้างหน้าได้ ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งจะทยอยเห็นชัดในรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และ PCE ในระยะข้างหน้า ทำให้ เราคงมองว่า เฟด อาจยังไม่รีบลดดอกเบี้ยลงอย่างที่ตลาดคาดหวังได้ (แต่ยอมรับว่า ความเสี่ยงเฟดลดดอกเบี้ยเร็วและมากกว่าคาด ก็เพิ่มสูงขึ้น) ซึ่งเราจะรอติดตามข้อมูลตลาดแรงงาน อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะรับรู้ รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เพิ่มเติม 

โดยหากเฟดย้ำจุดยืนไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ย ซึ่งต้องติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และงานสัมนาประจำปีของเฟด ที่เมือง Jackson Hole รัฐ Wyoming ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม อีกทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาสดใส และรายงานอัตราเงินเฟ้อก็สูงขึ้นต่อเนื่อง ก็อาจทำให้ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะกลับมาหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นได้ กดดันราคาทองคำและเงินบาท

นอกจากนี้ เรามองว่า แม้เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า หลังราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด โดยเฉพาะหากบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) โดยหากประเมินจากความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาทกับราคาทองคำ เรามองว่า หากราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้าน 3,430 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แล้วไม่ผ่าน เงินบาทก็อาจแข็งค่าขึ้นราว 15-20 สตางค์ และอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์

#ค่าเงินบาท #เงินบาทวันนี้ #ดอกเบี้ยเฟด #ราคาทองคำ #ทองคำพุ่ง #ตลาดเงิน #ตลาดทุน #KrungthaiGlobalMarkets #เงินบาทแข็งค่า #เศรษฐกิจโลก #ดอลลาร์อ่อนค่า #เฟดลดดอกเบี้ย

 

ก.ล.ต.-ตลท.ผนึกกำลังยกระดับ บจ.ไทย เติบโตยั่งยืน ผ่าน 2 โครงการ Corporate Value Up และ JUMP+

ก.ล.ต.-ตลท.ผนึกกำลังยกระดับ บจ.ไทย เติบโตยั่งยืน ผ่าน 2 โครงการ Corporate Value Up และ JUMP+

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ผนึกพลังเสริมแกร่ง บจ. ไทย ผ่าน 2 โครงการหลักดำเนินการควบคู่ต่อเนื่องกัน ได้แก่ โครงการ “Corporate Value Up” โดย ก.ล.ต. เพื่อส่งเสริมให้ บจ. สามารถเพิ่มมูลค่ากิจการในระยะยาว โดยมุ่งเน้นการมีธรรมาภิบาลดีเลิศ มีแผน Value Up ที่ชัดเจน ตลอดจนสื่อสารกับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมกลไกสนับสนุนผ่านกองทุน Thai ESG และ Thai ESGX และโครงการ “JUMP+” โดย ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชูการส่งเสริม บจ. พัฒนาระยะยาว 3 ปี เปิดช่องทางติดตามความคืบหน้าแผนงาน บจ. ต่อเนื่อง โปร่งใส สร้าง visibility พร้อมการสนับสนุนจากพันธมิตร ตั้งเป้า 100 รายภายในปีนี้

หน่วยงานภาคตลาดทุนจับมือร่วมยกระดับบริษัทจดทะเบียนไทย เสริมแกร่ง สร้างโอกาสการเติบโต ผ่าน 2 โครงการ ได้แก่ “Corporate Value Up” โดย ก.ล.ต. และ “JUMP+” โดย ตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมเดินหน้าแพคเกจสนับสนุนบริษัทจดทะเบียนในหลายมิติ มุ่งเสริมความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ส่งเสริมการเติบโตยั่งยืน 

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “ตลาดทุนในเอเชียกำลังเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านผลตอบแทนและความเชื่อมั่นจากผู้ลงทุน หลายประเทศจึงเริ่มขับเคลื่อนนโยบายการสร้างมูลค่าของกิจการในระยะยาว หรือ “Value Up” เพื่อยกระดับธรรมาภิบาลสร้างคุณค่าในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้น ขณะที่ประเทศไทยกำลังยืนอยู่ในจุดเปลี่ยนสำคัญ หากเราต้องการให้บริษัทจดทะเบียนเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่แนวทาง Value Up คือโอกาสสำคัญ  ก.ล.ต. จึงผลักดันโครงการ “Corporate Value Up” ให้เป็นกลไกหลักในการยกระดับธรรมาภิบาลของภาคธุรกิจไทยทำหน้าที่เป็น ‘กรอบกลยุทธ์’ และ ‘กลไกส่งสัญญาณตลาด’ โดยเชื่อมโยงกับการออกแบบแรงจูงใจเชิงนโยบายผ่านกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนแบบพิเศษ (Thai ESGX) และโครงการ JUMP+ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านเชิงระบบอย่างเป็นรูปธรรม นำไปสู่การสร้างตลาดทุนไทยที่แข็งแกร่ง น่าเชื่อถือ และยั่งยืนในระดับสากล

สำหรับโครงการ “Corporate Value Up” ภายใต้กรอบแนวคิดหลักที่ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ธรรมาภิบาลระดับดีเลิศ (2) แผน Value Up ที่ชัดเจนทั้งด้านแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นเพิ่มมูลค่ากิจการและแผนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ระยะเวลาภายใน 2 ปี และ (3) การสื่อสารกับนักลงทุนอย่างโปร่งใส หากบริษัทจดทะเบียนมีองค์ประกอบครบถ้วนจะมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์เป็นหลักทรัพย์ที่ Thai ESG หรือ Thai ESGX สามารถลงทุนได้ ซึ่งปัจจุบันมี 2 บริษัทที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติดังกล่าวแล้ว” 

นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ ริเริ่มโครงการ “JUMP+” สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนพัฒนาการดำเนินงานและการขับเคลื่อนความยั่งยืน เพื่อประโยชน์แก่บริษัทจดทะเบียน ผู้ถือหุ้น และตลาดทุนโดยรวม ซึ่งบริษัทต้องทำแผน JUMP+ ประกอบด้วยแผนด้านธุรกิจ แผนด้านธรรมาภิบาล และแผนจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตรสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนของ บจ. ที่เข้าร่วมโครงการ อาทิ ค่าใช้จ่ายสำหรับการว่าจ้างที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) การขยาย visibility ทั้งในและต่างประเทศผ่านกิจกรรม roadshow กิจกรรม Opportunity Day การจัดทำบทวิเคราะห์ และโปรโมทผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ และพันธมิตร การที่บริษัทจดทะเบียนดำเนินการตามแผนดังกล่าวจะเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง กระตุ้นการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทยด้วย เชื่อว่าในปีแรกจะมีบริษัทจดทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 100 บริษัท ทั้งนี้ บริษัทที่ร่วม JUMP+ จะได้เข้าสู่โครงการ “Corporate Value Up” หากมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ของ สำนักงาน ก.ล.ต. โดยโครงการ “JUMP+” เป็นโครงการระยะยาว โดยบริษัทที่ร่วมโครงการจะมีการจัดทำแผนการเติบโต 3 ปี (2569-2571) เปิดเผยเป้าหมายและแผนงานให้ไปสู่เป้า เปิดเผยความคืบหน้า และสื่อสารกับผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ร่วมโครงการ ผ่านช่องทางของตลาดหลักทรัพย์ฯ

“โครงการ Jump+ จะช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าถึงข้อมูลแผนการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน พร้อมทั้งทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ Opportunity Day ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพในการเติบโต นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีแผนในการจัดกิจกรรม Jump+ Corporate Day เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนมาพบกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนที่เข้าร่วมโครงการ Jump+ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ลงทุน ได้รับข้อมูลเพิ่มเติม ประกอบการตัดสินใจลงทุนอีกด้วย” นายอัสสเดชกล่าวเสริม

ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มเห็นแผนงาน Jump+ ของบริษัทจดทะเบียน ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 เป็นต้นไป และจะสามารถติดตามการดำเนินงานตามแผนงานของบริษัท ได้ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2569 การดำเนินทั้ง 2 โครงการคือ “Corporate Value Up” และ “JUMP+” อย่างควบคู่ต่อเนื่องกัน สะท้อนถึงการที่หน่วยงานภาคตลาดทุนคือ ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงาน ก.ล.ต. มีความมุ่งหมายที่ตรงกัน ในการพัฒนาคุณภาพของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งนอกจากจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของตลาดทุนแล้ว การที่บริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่ง ยังส่งผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศด้วย

สำหรับบริษัทจดทะเบียนและผู้ลงทุนที่สนใจ สามารถศึกษารายละเอียดทั้งสองโครงการ ได้ที่ Corporate Value Up https://www.set.or.th/th/market/information/securities-list/thaiesg และ JUMP+ https://www.set.or.th/th/market/information/jump-plus/overview  

ตลาดหุ้นไทย-สหรัฐฯปิดบวก นักลงทุนจับตาผลกระทบลดดอกเบี้ย FED-สถานการณ์การเมืองไทย

Pi Daily เศรษฐกิจสหรัฐฯ รายงานแย่กว่าตลาดคาดการณ์แต่นักลงทุนมองบวกกับโอกาสลดดอกเบี้ย ในประเทศรอดูสถานการณ์การเมือง

วันที่ 27 มิถุนายน 2568 บล.พายเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 404 จุด (+0.9%) ได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอจะช่วยสนับสนุนการลดดอกเบี้ยของ FED ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 0.07% ได้ปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯที่ลดลง

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ รายงานตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วย (1) จำนวนขอรับสวัสดิการว่างงานที่ระดับ 2.36 แสนรายต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 2.4 แสนราย (2) คำสั่งซื้อสินค้าคงทนขยายตัว 16.4%MoM มากกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 8.6%MoM แต่อย่างไรก็ตาม Reuters ได้ระบุว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะยอดสั่งซื้อเครื่องบินเชิงพาณิชย์ ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มิได้ให้น้ำหนักมากนัก แต่หากไปดู Core Capital Goods (สินค้าทุนไม่รวมอาวุธและเครื่องบิน) จะขยายตัวเพียง 0.7%MoM (3) GDP ครั้งสุดท้ายของไตรมาส 1 พบว่าหดตัว (-0.5%QoQ) หดตัวมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ -0.2%QoQ รายละเอียดภายในพบว่าการบริโภคขยายตัวเพียง 0.5%QoQ จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 4%QoQ โดยเฉพาะสินค้าคงทน (-3.7%QoQ) จากไตรมาสก่อนหน้าขยายตัว 12.4%QoQ ผสานกับการนำเข้าที่ขยายตัวมากถึง 38%QoQ จากไตรมาสก่อนหน้าที่ -2%QoQ เชื่อว่าเป็นผลจากการเร่งนำเข้าก่อนเผชิญกับภาษีทรัมป์ แต่นักลงทุนให้น้ำหนักเชิงบวกกับการผ่อนคลายนโยบายการเงิน สะท้อนผ่านการปรับลงของ US Bond Yield พร้อมกับการอ่อนค่าของ Dollar Index ทำให้ CME FED Watch เริ่มเพิ่มโอกาสลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯเป็น 3 ครั้งในปีนี้

ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้มีรายงานจากสื่อฝั่งกัมพูชาว่าผู้นำของกัมพูชาเตรียมจะเปิดเผยบางอย่างเกี่ยวกับการเมืองในประเทศไทยทำให้เราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้อาจ Underperform ภูมิภาค (เช้านี้ส่วนใหญ่หลายตลาดเปิดแดนบวก) รับปัจจัยหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐฯแต่กับประเทศไทยให้รอติดตามสถานการณ์การเมือง โดยคืนนี้รอติดตามเงินเฟ้อสหรัฐฯ (PCE) Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 2.3%YoY และ Core PCE (เงินเฟ้อพื้นฐานที่ 2.6%YoY)

วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1090 – 1115 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะสั้นอาจเลือกแบ่งทำกำไรบางส่วนจากการที่ดัชนีปรับขึ้นมาแต่อย่างไรก็ตามหากปรับฐานยังมองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะกลางจาก Valuation ที่น่าสนใจ เน้นที่หุ้นขนาดใหญ่ อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (CPALL CRC CPAXT) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB) การเงิน (SAWAD TIDLOR) ท่องเที่ยว (CENTEL MINT)

CRC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 29.00 บาท)
เริ่มเห็นแนวโน้ม SSSG ที่ทยอยฟื้นตัวขึ้น MoM ในช่วง 2Q25 แม้ว่าจะยังคงติดลบ 4%-6% ในช่วง QTD ของ 2Q25 แบ่งเป็น SSSG ประเทศไทย -2% ถึง -4%    มาจากไทวัสดุ ขณะที่ Food ยังคงเป็นบวกทั้ง Tops และ GO Wholesale, ประเทศเวียดนาม -11% ถึง -13% โดย Food เวียดนามยังคงบวกได้ในเงินสกุลดอง, และประเทศอิตาลี –7% ถึง -9% ดีขึ้นจากช่วงก่อนหน้าที่ติดลบราว 10% นิดๆ แต่ปัจจุบัน Valuation อยู่ในจุดที่น่าสนใจ ซื้อขายเพียง 11.6xPE’25E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มและค่าเฉลี่ยการซื้อขายในอดีต

CPAXT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท)
คาดเห็น Synergy benefits ทยอยรับรู้มากขึ้นในช่วง 2Q25 ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ช่วงเดือน มี.ค. 2025 ของทั้ง Makro และ Lotus’s ขยายตัวเล็กน้อย YoY จากยอดขายอาหารสดอาหารพร้อมทาน และเบเกอรี่ที่โตดีต่อเนื่อง ระยะสั้นคาดรายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 2.6 พันล้านบาท (+5%YoY, -35%QoQ) จากยอดขายที่โต 2%YoY อัตรากำไรขั้นต้นรวมที่ทรงตัว YoY (GPM ค้าส่งขยายตัว 20 bps YoY, GPM ค้าปลีกทรงตัว YoY ชดเชยกับอัตรากำไรจากพื้นที่เช่าที่ลดลง YoY) ค่าใช้จ่ายต่อยอดขายลดลงเล็กน้อย 10 bps YoY จากค่าใช้จ่าย Lotus’s ที่ควบคุมได้ดี แม้ว่าค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการเติบโตของ Omni Channel ยังคงโต YoY

#ทักษิณ #ฮุนเซน #ข่าววันนี้ #ตลาดทุน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

หุ้นไทยน่าซื้อ! SET ฟื้นตัวหลังทรัมป์ประกาศอิสราเอล-อิหร่านหยุดยิง Valuation ถูก PBV 1 เท่า ระยะกลางสะสมได้

PI Daily ตลาดหุ้นไทยกลับมาดูน่าสนใจจาก Valuation ไม่แพง (PBV 1x) ผสานกับทรัมป์ระบุว่าอิสราเอลและอิหร่านได้หยุดสงคราม เรามองระดับนี้ระยะกลางน่าสะสม อย่างไรก็ตามระยะสั้นระมัดระวังแรงกดดันจากกลุ่มน้ำมัน

วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 375 จุด (+0.89%) ได้แรงหนุนจากคาดการณ์ว่า FED อาจปรับลดดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 7.2% แม้จะมีข่าวอิหร่านเลือกตอบโต้สหรัฐฯแต่ตลาดก็เชื่อว่าจะไม่ถึงขั้นปิดช่องแคบ Hormuz 

เมื่อคืนที่ผ่านมามีตัวเลขเศรษฐกิจประกอบไปด้วยยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯและดัชนี PMI ภาคผลิตและบริการเบื้องต้น พบว่าทั้ง 3 ตัวเลขรายงานดีกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้ แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสำคัญได้แก่สถานการณ์ในตะวันออกกลาง ซึ่งในช่วงแรกนั้นมีรายงานว่าอิหร่านตัดสินใจโจมตี ฐานทัพของสหรัฐฯในอิรักและกาตาร์ ซึ่งเพิ่มแรงตึงเครียดระหว่างแต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น Trump ก็ได้ออกมาระบุใน Truth Social ว่าขอแสดงความดีใจกับทุกคน ! เพราะว่าอิสราเอลและอิหร่านได้ตกลงกันว่าจะหยุดยิงกันอย่างสมบูรณ์ในอีก 6 ชั่วโมงจากนี้ ซึ่งโลกก็จะประกาศให้สงคราม 12 วันสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ ทำให้เช้านี้สินทรัพย์เสี่ยงกลับมาฟื้นตัว (ตลาดหุ้นเอเชียและ Dow Future แกว่งบวก) ราคาน้ำมันดิบและทองคำปรับฐานลง

อย่างไรก็ตามกับตลาดหุ้นไทยระมัดระวังกลุ่มพลังงานที่จะกลับมาเป็นแรงกดดัน ซึ่งสอดคล้องกับวานนี้ที่เราตั้งข้อสังเกตไว้ว่าแม้จะมีข่าวในตะวันออกกลางแต่ราคาน้ำมันฟื้นเพียงเล็กน้อยและทองคำก็มิได้ปรับขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ทั้งนี้ก็ยังวางใจอะไรมิได้เพราะที่ผ่านมาก็มักมีข่าวเจรจาหยุดยิงและจากนั้นก็กลับมาใช้ความรุนแรงกันอีกครั้ง แต่ระยะสั้นตลาดหุ้นจะกลับมาแกว่งเชิงบวก จากนี้หากไม่มีความรุนแรงก็เชื่อว่าตลาดจะกลับมาสนใจกับตัวเลขเศรษฐกิจ การค้าโลก ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ

ด้านปัจจัยในประเทศวันนี้รัฐมนตรีคลังจะมีการแถลงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับจะเปิดเผยผลกระทบเชิงเศรษฐกิจการค้าชายแดนรวมไปถึงธุรกรรมทั้งหมดกับกัมพูชา (มองเป็นปัจจัยหนุนกับตลาดหุ้นไทย) ปัจจัยติดตามคืนนี้ได้แก่การให้ข้อมูลของประธาน FED แต่ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลใดมากกับตลาดหุ้นเพราะพึ่งผ่านพ้นการประชุม FED ไปในสัปดาห์ก่อน

วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1055 – 1075 แม้มีปัจจัยบวกแต่ก็ระมัดระวังกลุ่มพลังงานจะเป็นกลุ่มกดดัน แต่อย่างไรก็ตามดัชนีลงมาทดสอบจุดต่ำสุดเดิมที่ 1055 ผสานกับเริ่มคลายกังวลตะวันออกกลางก็เชื่อว่าตลาดเริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัว ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะกลางอาจมองเป็นจังหวะเพิ่มพอร์ตการลงทุนด้วย Valuation ที่น่าสนใจ (ไม้แรก) เพราะข้างหน้าก็ยังมีความเสี่ยงจากการค้าและเศรษฐกิจโลก เน้นที่หุ้นใหญ่พื้นฐานดี (CPN CPALL BBL KBANK MTC MINT SAWAD) นิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) โรงพยาบาล (BDMS)

AMATA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท)
AMATA จะได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการปรับภาษีของสหรัฐฯ เนื่องจากมี Backlog ที่รอรับรู้ รายได้อีกกว่า 21,000 ล้านบาท ขณะที่การขายที่ดิน ตั้งแต่ต้นปียังมี เข้ามาอย่างต่อเนื่อง นับถึงปัจจุบันมีแล้วกว่า 750 ไร่ และยังมีลูกค้าในกลุ่ม Data Center ที่อยู่ระหว่างเจรจาอีกมากกว่า 3 ราย (ต้องการที่ดินรายละมากกว่า 100 ไร่) โดยบริษัทยังคงเป้าทั้งปีไว้ที่ระดับ 3,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าหลังจากได้ข้อสรุปเรื่องภาษีของสหรัฐฯ ยอดขายจะกลับมาเพิ่มขึ้นได้

CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 80.00 บาท)
แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 7.6 พันล้านบาท (+20%YoY, +6%QoQ) ทำสถิติสูงสุดใหม่ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด กำไรที่เติบโตแข็งแกร่งหนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่เติบโต 3% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +1.05% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks และ Synergy benefits ของ CPAXT

#หุ้นไทย #ทรัมป์ #ข่าววันนี้ #ตลาดทุน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ 

 

"พิชัย" ย้ำตลาดทุนไทยยังแข็งแกร่ง! รัฐบาล-ตลท.ออกมาตรการสกัดผันผวนหลังเหตุตึงเครียดตะวันออกกลาง

"พิชัย" ย้ำตลาดทุนไทยยังแข็งแกร่ง! รัฐบาล-ตลท.ออกมาตรการสกัดผันผวนหลังเหตุตึงเครียดตะวันออกกลาง

วันที่ 23 มิถุนายน 2568 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีเหตุการณ์สู้รบที่เกิดขึ้นในภูมิภาคตะวันออกกลางเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดการเงินทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยว่า รัฐบาลไทยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจในภาพรวม โดยเฉพาะต่อเสถียรภาพของตลาดการเงินและการลงทุน

“มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่การปิดตลาดหรือการสกัดกั้นการลงทุน แต่เป็นการดูแลเสถียรภาพตลาดในช่วงที่มีเหตุการณ์ภายนอกที่ไม่แน่นอน เราเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจไทย และจะดำเนินการทุกวิถีทางในการรักษาความมั่นคงของตลาดทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน”นายพิชัยกล่าว

โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีการประชุมเร่งด่วนและมีมติออกมาตรการชั่วคราว 2 ข้อ เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาด ได้แก่

1. การปรับ Ceiling & Floor ของราคาหลักทรัพย์
- ลดกรอบการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์จาก ±30% เหลือ ±15% สำหรับตลาด SET, mai และ TFEX เพื่อชะลอความผันผวนที่รุนแรงในระยะสั้น

2. การปรับกรอบราคา Dynamic Price Band
- ลดจาก ±10% เหลือ ±5% ของราคาซื้อขายล่าสุดในแต่ละหลักทรัพย์ เพื่อจำกัดความผันผวนของราคาระหว่างวัน

สำหรับมาตรการทั้งสองนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน ถึงไม่เกินวันที่ 27 มิถุนายน 2568

#ตลาดทุน #ข่าววันนี้ #ตลาดหลักทรัพย์ #ราคาน้ำมัน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 


 

"เกียรตินาคินภัทร" จับมือ Goldman Sachs ยกระดับบริการลงทุนต่างประเทศ ตอบโจทย์นักลงทุนไทยยุคใหม่

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ประกาศเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Goldman Sachs Asset Management เพื่อเปิดประตูสู่โอกาสการลงทุนระดับโลกให้แก่นักลงทุนไทย ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพด้านธุรกิจบริหารความมั่งคั่งของ KKP และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ Goldman Sachs Asset Management ในการขยายธุรกิจผ่านพันธมิตร โดยมีแนวคิดร่วมกัน “The Power of Two. One Philosophy of Wealth”

ภายใต้ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์นี้ KKP และ Goldman Sachs Asset Management จะร่วมกันพัฒนาคำแนะนำด้านการลงทุนผ่านพอร์ตต้นแบบ ที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบหลากหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset Strategy) ครอบคลุมตราสารทุน ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือก นอกจากนั้น ความร่วมมือนี้ยังเปิดโอกาสให้ KKP เข้าถึงมุมมองการลงทุนเชิงลึกระดับโลกอันเป็นจุดแข็งของ Goldman Sachs Asset Management และวางกรอบการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างทีมงานของทั้งสองฝ่ายอย่างต่อเนื่อง

นายณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานที่ปรึกษาและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมา เรามุ่งมั่นผลักดันให้นักลงทุนไทยลดการกระจุกตัวในสินทรัพย์ในประเทศ และกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นแนวทางที่สร้างประโยชน์ในระยะยาว วันนี้เราภูมิใจที่ได้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยความร่วมมือกับ Goldman Sachs Asset Management ซึ่งจะยกระดับบริการของเราให้ทัดเทียมกับมาตรฐานสากล และสามารถส่งมอบประสบการณ์การลงทุนระดับโลกให้กับลูกค้าได้อย่างแท้จริง”

หนึ่งในส่วนสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ คือการร่วมพัฒนาบริการ Discretionary Portfolio Management (DPM) หรือบริการบริหารพอร์ตลงทุนซึ่งใช้แนวทางการจัดพอร์ตอย่างมีระบบ ปรับเปลี่ยนสัดส่วนและทางเลือกตามภาวะตลาด เพื่อให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เหมาะสม ถือเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักลงทุนในยุคที่ความผันผวนทางเศรษฐกิจและตลาดโลกมีความถี่และรุนแรงมากขึ้น

ซาบรีนา แกน Managing Director, Goldman Sachs Asset Management กล่าวว่า “เรามองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจด้านความมั่งคั่งในประเทศไทย ซึ่งนักลงทุนกำลังมองหาโอกาสการลงทุนในระดับโลกมากขึ้น ความร่วมมือนี้ซึ่งผสานศักยภาพด้านการลงทุนระดับโลกของ Goldman Sachs Asset Management เข้ากับความเชี่ยวชาญในตลาดท้องถิ่นของ KKP จะเปิดโอกาสให้เราร่วมกันนำเสนอทางเลือกการลงทุนที่แตกต่างให้แก่นักลงทุนในประเทศไทย”

Goldman Sachs Asset Management จะทำหน้าที่ให้บริการที่ปรึกษาการลงทุนด้านกลยุทธ์การลงทุนแบบหลากหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset Strategy) ให้แก่ KKP เพียงรายเดียวเท่านั้นในประเทศไทย ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลงที่เกี่ยวข้อง ทั้งสองฝ่ายยังอยู่ระหว่างการหารือถึงความร่วมมือในด้านอื่นเพิ่มเติม รวมถึงการที่ KKP อาจจะจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์การลงทุนอื่นที่บริหารจัดการโดย Goldman Sachs Asset Management ด้วย

ปัจจุบันภูมิทัศน์ของธุรกิจบริหารความมั่งคั่งในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนให้ความสำคัญกับการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น คนรุ่นใหม่เริ่มมีบทบาทในการบริหารความมั่งคั่งของครอบครัว และความสนใจในสินทรัพย์ทางเลือกกำลังเพิ่มสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ประเด็นด้านภาษีของเงินลงทุนในต่างประเทศและการแข่งขันจากผู้เล่นต่างชาติก็ส่งผลต่อแนวทางการจัดพอร์ตของนักลงทุนไทย ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KKP และ Goldman Sachs Asset Management จึงเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันเหมาะสม เพื่อช่วยให้นักลงทุนไทยก้าวผ่านความซับซ้อนของโลกการเงิน และสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแรง มั่นคง และก้าวไกลในระดับสากล

ตลท.จับตาสงครามตะวันออกกลาง เตรียมมาตรการฉุกเฉินคุมหากกระทบการซื้อขาย

ตลท.จับตาสงครามตะวันออกกลาง เตรียมมาตรการฉุกเฉินคุมหากกระทบการซื้อขาย

วันที่ 13 มิถุนายน 2568 นายอัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า กำลังเกาะติดสถานการณ์ความรุนแรงในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิดเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่รุนแรง แต่หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ตลท.ก็พร้อมจะพิจารณาออกมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ตามปกติ

ทั้งนี้ปัจจุบันสถานการณ์ต่าง ๆ มีความผันผวนมาก โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน แม้ว่าจะบรรลุข้อตกลงกรอบการค้าเบื้องต้นไปแล้ว แต่ก็ถือว่ายังมีความไม่แน่นอน สถานการณ์เปลี่ยนตลอดเวลา เช่นเดียวกับ สถานการณ์ในประเทศที่มีหลายข่าวกระทบต่อตลาดทุน ซึ่ง ตลท.มีทีมงานติดตามสถานการณ์รอบด้านอย่างใกล้ชิด เพื่อพิจารณาหาแนวทางหากเกิดสภาวะฉุกเฉิน และทำให้ตลาดทุนสามารถดำเนินการได้ตามปกติ

โดยปัจจัยสำคัญคือการให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ตามปกติ ความคล่องในการเข้าออก แต่ถ้าเกิดภาวะที่กะทันหันหรือรุนแรง เราอาจต้องมีมาตรการที่ชะลอหรือช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจ

นายอัสสเดช กล่าวอีกว่า มาตรการระยะสั้นที่จะใช้ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ Liberation Day ของสหรัฐ ซึ่งโชคดีที่เป็นช่วงตลาดหลักทรัพย์บ้านเราปิดทำการ ทำให้มีเวลาคิดว่าจะต้องมีมาตรการใดเป็นพิเศษเพื่อชะลอการตัดสินใจของนักลงทุน เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสใช้เวลาวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งการตัดสินใจออกมาตรการใดๆ ตลท.จะพิจารณาจากข้อมูลที่มีความชัดเจนและถูกต้องเพื่อตัดสินใจกระบวนการต่างๆได้ในระยะสั้นที่จำเป็น

สำหรับกรณีการเจรจาภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าระหว่างไทยและสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ยืดระยะเวลาการใช้มาตรการดังกล่าวไป 90 วัน นายอัสสเดช กล่าวว่า คาดหวังว่าผลการเจรจาจะมีทิศทางเป็นบวกต่อตลาดทุนไทย ซึ่งปัจจุบันไทยน่าจะได้คิวในการเจรจาแล้ว

#ตลท #ข่าววันนี้ #ตลาดทุน #อิสราเอลโจมตี #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #สงครามตะวันออกกลาง

 

 

เศรษฐกิจสหรัฐฯสะดุด หนุนโอกาสลดดอกเบี้ย ดันกลุ่ม Non-Bank เด่น ขณะที่หุ้นไทยยังไร้ปัจจัยหนุน

Pi Daily ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯย่ำแย่ เพิ่มโอกาสลดดอกเบี้ย +กับกลุ่ม Non Bank (MTC TIDLOR) ส่วนหุ้นไทยยังขาดปัจจัยหนุนเช่นเดิม

วันที่ 5 มิถุนายน 2568 บล.พายเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 92 จุด (-0.2%) ท่ามกลางการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวนหลังจากสหรัฐฯรายงานตัวเลขเศรษฐกิจย่ำแย่ ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.8% หลังสหรัฐฯรายงานสต็อกน้ำมันเบนซินและน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้นมากกว่าคาดการณ์

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานการจ้างงานภาคเอกชนจากสถาบัน ADP ที่ 3.7 หมื่นรายแย่กว่าตลาดคาดการณ์อย่างมากที่ 1.1 แสนราย รายละเอียดภายในระบุว่าการจ้างงานลดลงในเกือบทุกขนาดธุรกิจ ที่เพิ่มขึ้นมีเพียงขนาดธุรกิจกลาง โดยอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานลดลงได้แก่การให้บริการทางธุรกิจและการแพทย์และเพิ่มขึ้นได้แก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว นอกจากนี้สหรัฐฯยังได้รายงานดัชนี PMI ภาคบริการที่ 49.9 แย่กว่า Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 52 ซึ่งทั้งสองตัวเลขข้างต้นสะท้อนมุมมองเชิงลบต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้เมื่อคืนที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ประกอบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ (Trump) ได้เรียกร้องให้ FED ลดดอกเบี้ย พร้อมยกตัวอย่างธนาคารกลางยุโรปก็ได้ลดดอกเบี้ยมาแล้ว 9 ครั้ง แม้จะมีความคาดหวังด้านดอกเบี้ยแต่ถึงกระนั้นตลาดหุ้นก็ดูจะมิได้ตอบรับเชิงบวกแต่อย่างใด อาจเป็นเพราะว่ากังวลกับทิศทางเศรษฐกิจ

ด้านปัจจัยในประเทศเมื่อวานที่ผ่านมารัฐบาลได้เปิดเผยโครงการ Entertainment Complex ระบุว่าว่าแม้อายุสภาจะเหลือ 2 ปีแต่ก็เชื่อว่าเพียงพอจะขับเคลื่อนกฎหมายฉบับนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกฎหมายนี้เสนอโดยคณะรัฐมนตรีที่มีเสียงข้างมาก การมี Entertainment Complex จะเป็น Land Mark ใหม่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก ทำให้ไทยจะไม่มี Low Season ด้านการท่องเที่ยวอีกต่อไป พร้อมยืนยันไม่ใช่แหล่งพนันออนไลน์ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปได้ ด้านเงินลงทุนนั้นจะไม่ใช้จากรัฐบาลแต่จะมาจากเอกชนทั้งสิ้น คาดว่าจะมีการลงทุนขั้นต่ำ 1 แสนล้านบาท Upside ต่อ GDP 0.2% และหากเปิดดำเนินการจะช่วย Upside 0.2 – 0.8% พร้อมกับจ้างงานราว 9,000 – 15,000 ตำแหน่ง พร้อมเน้นย้ำว่าใน Entertainment Complex มิได้มีแค่ Casino แต่จะเป็นศูนย์บันเทิงครบวงจรทั้งสวนสนุก สวนน้ำ พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การค้า และโรงภาพยนตร์ คอนเสิร์ตระดับ World Class และเชื่อว่าผู้ประกอบการไทย / SME จะได้รับประโยชน์แน่นอน

คืนนี้รอติดตามผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 2.36 แสนราย วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1120 – 1140 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังไม่แนะเพิ่มพอร์ตการลงทุนเพราะยังไร้ปัจจัยบวก และเผชิญกับปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจผ่านการส่งออก การท่องเที่ยว การบริโภค อย่างไรก็ตามนักลงทุนระยะสั้นอาจเลือก Trading ในหุ้นที่ผลกระทบจากปัจจัยทั้งหมดจำกัด อาทิ MINT โรงพยาบาล (BDMS) เนื้อสัตว์ (CPF) เครื่องดื่มที่มีปัจจัยเฉพาะ (OSP CBG) 

OSP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 19.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.27 พันล้านบาท (+53%YoY) หลังตัดรายการพิเศษจากการขายกิจการในเมียนมา 295 ล้านบาท จะมีกำไรปกติ 970 ล้านบาท (+17%YoY, +58%QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราและ BB consensus คาด รับแรงหนุนจากยอดขายในตลาดต่างประเทศที่เติบโต 22% YoY พร้อมด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น 380 bps YoY ชดเชยยอดขายเครื่องดื่มในประเทศที่ปรับตัวลดลง 16% YoY เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 19.00 บาท ไม่รวม upside จาก M&A ที่อาจจะเกิดขึ้น และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจระดับ 6%-7% บวกกับแนวโน้มส่วนแบ่งตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้น MoM ต่อเนื่อง

MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
รายงานกำไรปกติใน 1Q25 อยู่ที่ 50 ล้านบาท (-98% QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราคาด แต่สูงกว่าที่ตลาดคาด 48% โดยพลิกกลับมากำไรจากที่ขาดทุนใน 1Q24 (ไตรมาสแรกถือเป็นช่วง Low season ตามปกติของยุโรป) ถึงแม้รายได้จากธุรกิจหลักจะอ่อนตัวอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านบาท (-3% YoY, -12% QoQ) แต่ด้วยความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่าย และชำระหนี้ที่ดีขึ้น SG&A-to-sales ที่ 36% (-1 ppts YoY)

#ตลาดทุน #ข่าววันนี้ #SET #บลพาย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ราคาทองรูปพรรณ #OSP #MINT

 

SET ยังซึม! หุ้นไทยฟื้นเล็กน้อยตามดาวโจนส์ เศรษฐกิจในประเทศกดดันต่อเนื่อง

Pi Daily ตลาดหุ้นสหรัฐฯฟื้นตัวอาจพอช่วยหนุนหุ้นไทยได้บ้าง (เล็กน้อย) อย่างไรก็ตาม Upside ด้านบนยังจำกัดเพราะพื้นฐานไทยที่อ่อนแอ วานนี้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ YTD (-2.5%YoY)

วันที่ 28 พฤษภาคม 568 บล.พายเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดบวก 740 จุด (+1.78%) ตอบรับเชิงบวกกับข่าวผู้นำสหรัฐฯประกาศเลื่อนเก็บภาษีจากกลุ่ม EU ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 1% ถูกกดดันจากความกังวลอุปทานน้ำมันจะปรับตัวขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่อิหร่านและสหรัฐฯมีความคืบหน้าในการเจรจานิวเคลียร์

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสถาบัน CB ที่ระดับ 98 มากกว่า Bloomberg Consensus คาดหมายไว้ที่ 87.1 ผลสำรวจครั้งนี้้เกิดขึ้นก่อนการเจรจา แม้มุมมองในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะเป็นเชิงลบต่อสภาธุรกิจและโอกาสในการหางานที่น้อยลง แต่ในอนาคตมีความหวังเกี่ยวกับการหารายได้ทั้งนี้ความเชื่อมั่นที่ฟื้นตัวกระจายตัวไปทั่วทุกกลุ่มอายุและทุกกลุ่มรายได้ นอกจากนี้ด้วยภาวะฟื้นตัวต่อเนื่องของตลาดหุ้นเดือน พ.ค. มุมมองผู้บริโภคต่อราคาหุ้นก็ดีขึ้นเพราะมีจำนวนถึง 44% คาดว่าหุ้นจะปรับขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า

ส่วนผลสำรวจเกี่ยวกับภาษีนั้นกังวลว่าจะทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นและส่งผลเสียกับเศรษฐกิจแต่บางส่วนก็หวังว่าข้อตกลงการค้าที่ประกาศแล้วและที่จะมีในอนาคตอาจช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เมื่อถามถึงแผนการใช้จ่ายพบว่าแผนการซื้อบ้าน รถยนต์ และกิจกรรมท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะการทานอาหารนอกบ้าน แต่อย่างไรก็ตามดูมีผลจำกัดต่อการลงทุน และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลพลิกกลับมาปรับลง พร้อมกับราคาทองคำปรับขึ้นเล็กน้อยในเช้านี้

ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้ SET INDEX ย่ำแย่ต่อเนื่องด้วยการปรับลง 15 จุด (-1.3%) รับแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่ม Domestic Play อย่าง AOT CPAXT KBANK CPN CPALL สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจภายใน ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ที่กำไรบริษัทจดทะเบียนจากนี้จะเห็นการอ่อนตัวลงเพราะตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มย่ำแย่ในช่วง 2Q25 อย่างการส่งออกในเดือน เม.ย. เริ่มเติบโตลดลงในเดือน เม.ย.

ขณะที่การท่องเที่ยวนั้นพบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มลดลงในเดือน เม.ย. เช่นกันและล่าสุดจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง 1 ม.ค. – 25 พ.ค. สะสมที่ 13.87 ล้านราย (-2.5%YoY) และหากเทียบกับสัปดาห์ก่อนจะลดลงราว 0.24%WoW อย่างไรก็ตามมาเลเซียขึ้นมาเป็นอันดับแรกที่ 6.7 หมื่นราย และจีนอยู่ที่ 6.1 หมื่นราย มองเป็นปัจจัยกดดันต่อการบริโภค การท่องเที่ยว และหุ้นในกลุ่มค้าปลีกกับท่องเที่ยว จึงระมัดระวังกับผลประกอบการและเศรษฐกิจในช่วง 2Q25

วันนี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1145 – 1170 อาจเห็นการฟื้นตัวเล็กน้อยแต่ก็เชื่อว่า Upside ยังจำกัดด้วยปัจจัยพื้นฐานมิได้โดดเด่น ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ยังไม่แนะเพิ่มพอร์ตการลงทุนจนกว่า Valuation จะลงมาอยู่ในจุดน่าสนใจ แต่อย่างไรก็ตามในระยะสั้นหากรับความเสี่ยงได้อาจเลือก Trading ในหุ้น Defensive อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) สื่อสาร (ADVANC) หุ้นที่อิงกับรายได้ต่างประเทศ (MINT) กลุ่มการเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) ปัจจัยหนุนจากดอกเบี้ยไทยที่อาจปรับลง 

SAWAD (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท)
เรามองว่า (1) Valuation น่าสนใจมากขึ้น ซื้อขายที่ 0.9x PBV’25E และ 6.6x PE’25E สะท้อนความกังวลต่อผลการดำเนินงานที่อ่อนแอใน 1Q25 ไปมากพอสมควรแล้ว ราคาหุ้นปรับลดลง 22% หลังรายงานผลการดำเนินงานใน 1Q25 และลดลง 54% YTD (2) คาดผลตอบแทนเงินปันผลที่ 6.1% ในปี 2025 จากที่ SAWAD มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลสูงขึ้น และไม่จ่ายหุ้นปันผลในปี 2025 (3) คาดกำไรใน 2Q25 แนวโน้มเพิ่มขึ้น QoQ และมองว่ากำไรใน 1Q เป็นระดับต่ำสุดของปี 2025 และ (4) การควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่ดีขึ้น

OSP (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 19.00 บาท)
รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.27 พันล้านบาท (+53%YoY) หลังตัดรายการพิเศษจากการขายกิจการในเมียนมา 295 ล้านบาท จะมีกำไรปกติ 970 ล้านบาท (+17%YoY, +58%QoQ) ใกล้เคียงกับที่เราและ BB consensus คาด รับแรงหนุนจากยอดขายในตลาดต่างประเทศที่เติบโต 22% YoY พร้อมด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น 380 bps YoY ชดเชยยอดขายเครื่องดื่มในประเทศที่ปรับตัวลดลง 16% YoY

#SET #ข่าววันนี้ #บลพาย #ตลาดทุน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #หุ้นไทย #OSP #SAWAD #ราคาทองรูปพรรณ