เงินบาทอ่อนตามดอลลาร์หลัง PPI สหรัฐฯสูง นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 549 ล้าน เน้นกลยุทธ์เพิ่มความระมัดระวัง

Pi Daily สหรัฐฯประกาศดัชนี PPI มากกว่าคาดการณ์ กดดันจิตวิทยาด้านดอกเบี้ยและทำให้เงินบาทเริ่มอ่อนค่า อาจกดดันกระแสเงินทุนต่างชาติที่วานนี้เห็นการขายสุทธิ 549 ล้านบาท จึงเน้นกลยุทธ์เพิ่มความระมัดระวังเช่นเดิม

วันที่ 15 ส.ค.68 บล.พายเผยว่า ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 11 จุด (-0.02%) หลังสหรัฐฯ รายงานดัชนี PPI มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กดดันความกังวลเกี่ยวกับดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.8% ได้แรงหนุนจากมุมมองบวกที่ว่า FED จะปรับลดดอกเบี้ย

เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ รายงานดัชนี PPI (ดัชนีราคาผู้ผลิต) พบว่าขยายตัวมากถึง 3.3%YoY , 0.9%MoM มากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 2.5%YoY ในส่วนของดัชนี PPI (Core) พบว่าขยายตัว 3.7%YoY มากกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 3%YoY รายละเอียดภายในระบุว่า 30% ของการเพิ่มขึ้นในราคาบริการขั้นสุดท้ายมาจากกำไรขั้นสุดท้ายของการขายส่งเครื่องจักรและอุปกรณ์ นอกจากนี้ Bloomberg ยังได้นำเสนอว่าบริษัทต่างๆกำลังปรับราคาสินค้าและบริการเพื่อชดเชยต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าสหรัฐฯที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกันได้รายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.24 แสนรายแต่ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากทราบตัวเลขทั้งหมดพบว่า US Bond Yield กลับมาฟื้นตัว พร้อมกับการแข็งค่าของ Dollar Index และเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐฯกลับมาอ่อนค่าทดสอบ 32.46 บาท / ดอลลาร์สหรัฐฯ ความเห็นล่าสุดจาก CME FED Watch ให้น้ำหนักราว 92% ที่ FED จะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนกันยายนและปิดโอกาสลดดอกเบี้ย 0.5% จากก่อนหน้าที่ให้โอกาสเล็กน้อย สะท้อนถึงความเข้มงวดมากขึ้นจากมุมมองตลาด จากนี้แนะติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯเพื่อการเคลื่อนไหวของ Dollar

โดยคืนนี้รอติดตามยอดค้าปลีกและดัชนีความเชื่อมั่นจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 0.6%MoM , 61.9 ด้านปัจจัยในประเทศวานนี้เริ่มเห็นการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติราว 549 ล้านบาท นับเป็นการขายสุทธิที่มากสุดในรอบ 5 วันทำการ (ไม่นับวันที่มี Big Lot TIDLOR) มองเป็นสัญญาณน่ากังวลและหากเงินบาททยอยอ่อนค่ากลับไปจะเป็นแรงกดดันกับนักลงทุนต่างชาติ เมื่อพิจารณาคู่กับพื้นฐานที่ไม่โดดเด่นผสานกับ Valuation ที่แพงจะทำให้ดัชนีมีความน่ากังวลมากขึ้น

วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1255 – 1275 เริ่มหมดปัจจัยหนุนทั้งในประเทศและต่างประเทศหลังดัชนีรับกับการเจรจาการค้าไปพอสมควรแล้ว ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนอาจทยอยทำกำไรพร้อมกับเพิ่มการถือครองเงินสดมากขึ้นเพื่อเตรียมรับมือกับแรงกดดันจากผลกระทบภาษี และเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังที่อาจขยายต่ำ จะกลับมากดดันกำไรบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตามในการลงทุนระยะสั้นอาจเลือก Trading หุ้นที่ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง อาทิ การเงิน (MTC SAWAD TIDLOR) อสังหาฯ (AP SPALI) กลุ่มที่ผลประกอบการดี (CPF TACC)

CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท) 
CPF มีกำไรสุทธิงวด 2Q25 ที่ 10,377  ล้านบาท (+50%YoY,+21%QoQ) ถ้าไม่รวมรายการพิเศษและดอกเบี้ยจากหุ้นกู้ที่มีลักขณะคล้ายทุนจะมีกำไรปกติประมาณ 10673 ล้านบาท (+100%YoY,+30%QoQ) ดีกว่าที่เราคาดไว้เล็กน้อย ได้รับผลดีจากราคาสุกรที่ยืนในระดับสูงรวมกับต้นทุนการเลี้ยงที่ลดลง ทำให้กำไรขั้นต้นสูงถึง 19.8% เพิ่มจาก 15.4% ใน 2Q24 และ 18.5% ใน 1Q25

MTC (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท) 
ผลการดำเนินงานใน 2Q25 แข็งแกร่ง กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.65 พันล้านบาท (+14% YoY, +5% QoQ) และ NPL ratio ลดลงเหลือ 3.6% แนวโน้มผลการดำเนินงานใน 2H25 คาดจะขยายตัวต่อเนื่องทั้ง YoY และ HoH หนุนจากสินเชื่อขยายตัว และต้นทุนการเงินลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยลดลง

#เงินบาท #USDTHB #PPIสหรัฐ #DollarIndex #SET #นักลงทุนต่างชาติ #หุ้นเด่น #CPF #MTC #เศรษฐกิจ

เงินบาทอ่อนทดสอบ 32.60 บาท/ดอลลาร์ หลังดอลลาร์แข็ง-ทองคำร่วง นักลงทุนจับตา PPI สหรัฐฯ

เงินบาทอ่อนทดสอบ 32.60 บาท/ดอลลาร์ หลังดอลลาร์แข็ง-ทองคำร่วง นักลงทุนจับตา PPI สหรัฐฯ

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 15 สิงหาคม 2568

•กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60บาท/ดอลลาร์

•เงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงวานนี้ตามราคาทองคำที่ปรับลดลงและดัชนีเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า หลังดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ออกมาที่ 0.9%MOM สูงกว่าที่ตลาดคาด จากราคาภาคบริการเป็นหลัก ส่งผลให้ US Treasury yields สูงขึ้นแรง

•อัลแบร์โต มูซาเล็ม ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจว่าจะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้าหรือไม่

•ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ ปรับลดลงมาที่ 2.24 แสนตำแหน่ง ใกล้เคียงตลาดคาด

#เงินบาท #USDTHB #ดอลลาร์แข็งค่า #ทองคำ #PPIสหรัฐ #เฟด #ตลาดการเงิน #ข่าวเศรษฐกิจ

เงินบาทแข็งค่า 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์ ตลาดหุ้น EM พุ่งแรง ดอลลาร์-บอนด์อ่อนตัว

เงินบาทแข็งค่า 32.25-32.50 บาท/ดอลลาร์ ตลาดหุ้น EM พุ่งแรง ดอลลาร์-บอนด์อ่อนตัว

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2568

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.50บาท/ดอลลาร์

-เงินบาทแข็งค่าขึ้นแม้ กนง. ลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด โดยดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าต่อเนื่องพร้อม Treasury yields ที่ปรับลดลง หลังนายสก็อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เสนอว่า Fed fund rate ควรถูกปรับลดลงอีกอย่างน้อย 1.5%

-ตลาดหุ้นกลุ่ม EM (MSCI-EM) สูงขึ้นมากสุดนับตั้งแต่ปี 2021 ตามแนวโน้มลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และมาตรการกระตุ้นจากจีน

-นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะมีมาตรการที่รุนแรงออกมาหากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย ไม่ตกลงหยุดยิงกับยูเครน

#เงินบาท #ค่าเงิน #ดอลลาร์ #บอนด์ยีลด์ #ตลาดหุ้นEM #เศรษฐกิจโลก #เฟด #MSCIEM #รัสเซียยูเครน

เงินบาทปิด 32.31/32 ระหว่างวันผันผวนตามราคาทอง ก่อนกลับมาทรงตัวจากช่วงเช้า จับตาดอกเบี้ย BoE

เงินบาทปิด 32.31/32 ระหว่างวันผันผวนตามราคาทอง ก่อนกลับมาทรงตัวจากช่วงเช้า จับตาดอกเบี้ย BoE

วันที่ 7 ส.ค.68 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดที่ 32.31/32 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.32 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25 - 32.34 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคจากปัจจัยราคาทองคำในตลาดโลกที่วันนี้ค่อนข้างสวิง ปรับตัวขึ้นลงแรง วันนี้ราคาทองเคลื่อนไหวหวือหวาขึ้นไปสูงสุดราว 3,397 ดอลลาร์ เป็นจังหวะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าลงมาที่ระดับ 32.35 บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะมีจังหวะที่ราคาทองลงมาค่อนข้างแรง ทำให้บาทกลับมายืนเหนือ 32.30 บาท/ดอลลาร์ได้

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามคืนนี้ คือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ และผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่ตลาดคาดว่าจะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.20 - 32.40 บาท/ดอลลาร์

#ค่าเงินบาท #ตลาดการเงิน #ดอลลาร์ #ราคาทอง #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

SCB FM มองเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อจากการลด ดบ.ของเฟด-เงินทุนเคลื่อนย้ายสู่เอเชีย หลัง ศก.สหรัฐฯชะลอลงแรง

SCB FM มองเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อจากการลดดอกเบี้ยของ Fed และแนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่เอเชีย หลังเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงแรง

วันที่ 6 ส.ค.68 กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB Financial Markets: SCB FM) เปิดเผยว่า เงินบาทกลับมาแข็งค่าหลังเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ อ่อนแอกว่าคาดมาก ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเร็ว ในระยะต่อไป มองว่าบาทจะยังแข็งค่าต่อจาก 1) การลดดอกเบี้ยของ Fed ที่จะทำให้ดัชนีดอลลาร์อ่อนค่า และ 2) เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจไหลเข้าเอเชีย อย่างไรก็ดี บาทน่าจะแข็งค่าไม่เยอะ เนื่องจากเงินทุนที่ไหลออกจากสหรัฐฯ เริ่มมีสัญญาณชะลอลง อีกทั้ง ความไม่แน่นอนของนโยบาย Tariffs ยังมีอยู่ โดยทรัมป์อาจกลับมาขึ้นภาษีอีกได้ในไตรมาส 4 เป็นต้นไป จึงมองกรอบเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วง 1 เดือนหน้า ที่ราว 32.00-32.50 
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 19% พบว่าเงินบาทอ่อนค่าเพียงเล็กน้อยตามที่ได้ประเมินไว้ โดยเงินบาทอ่อนค่าเพียงราว 10 สตางค์ ซึ่งน้อยกว่าในรอบก่อน ที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษี 36% ซึ่ง Reaction ของเงินบาทต่อมาตรการภาษีนำเข้ารอบนี้มีน้อย เพราะตลาดได้คาดการณ์ไว้แล้ว และอัตราภาษีที่ถูกเรียกเก็บอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำและใกล้เคียงกับประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนประเด็นความขัดแย้งกับกัมพูชานั้น ล่าสุดตลาดได้มองข้ามไปแล้วหลังไทยมีการเจรจาหยุดยิงไป แม้การอ่อนค่าของเงินบาทเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่ก็เป็นจังหวะให้ผู้ส่งออกได้ขาย USDTHB ตามที่ได้แนะนำไว้ในรอบที่แล้ว 

อย่างไรก็ดี ล่าสุดเงินบาทกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง หลังเลขตลาดแรงงานของสหรัฐฯ ออกมาแย่ลงและแย่กว่าที่ตลาดคาด ทำให้นักลงทุนมองว่า Fed มีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มขึ้น และอาจลดได้ตั้งแต่เดือน ก.ย. (ในการประชุมครั้งถัดไป) ซึ่งเร็วกว่าที่เคยประเมินไว้ จึงทำให้ US Treasury yields ปรับลดลงแรง (ราว 20-30 bps ทั้งใน Yields สั้นและ Yields ยาว) และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเร็ว เงินบาทกลับมาแข็งค่าพร้อมสกุลเงินอื่นในภูมิภาค รวมถึงเงินยูโรและเงินเยนก็แข็งค่าเทียบต่อดอลลาร์เช่นกัน สำหรับปัจจัยอื่นที่อาจกระทบเงินบาทอีกคือ ราคาทอง และราคาน้ำมัน โดยความเสี่ยงภูมิศาสตร์โลก (Geopolitics) กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหลังมีการโต้เถียงระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์ และอดีตประธานาธิบดีรัสเซียเมดเวเดฟผ่านสื่อออนไลน์ ทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น ส่วนการประชุม OPEC+ ล่าสุดที่มีประกาศว่าจะขุดเจาะน้ำมันดิบเพิ่มในเดือนหน้า ก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบลดลง ซึ่งราคาทองคำที่สูงขึ้นและน้ำมันดิบลดลง ส่งผลให้เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า

ในช่วง 1 เดือนข้างหน้า เงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อไปได้ มองกรอบระยะสั้นราว 32.00-32.50 เนื่องจาก 1) สหรัฐฯ มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้า (Tariffs) มากกว่าประเทศอื่น เพราะ Tariffs ถูกเรียกเก็บเป็นวงกว้าง จึงทำให้สหรัฐฯ ต้องจ่ายราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ Term of trade (ToT) ของสหรัฐฯ ปรับแย่ลง (ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น มากกว่าราคาสินค้าส่งออก) ทำให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าลง เพราะ ToT ที่แย่ลงทำให้รายได้ของสหรัฐฯ น้อยลง กดดันดุลบัญชีเดินสะพัดในระยะสั้นของสหรัฐฯ ให้ปรับลดลง 2) Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยได้ต่อเนื่องและมากกว่าธนาคารกลางอื่น ๆ จึงทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆอาจแคบลง ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลักอื่น เช่น ยูโร 3) เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าเอเชียต่อได้ จากเลขเงินเฟ้อที่ยังต่ำและแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่อได้ (ทำให้มี capital gains จากการถือครองพันธบัตรรัฐบาล) นอกจากนี้ ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลกเริ่มลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อสินทรัพย์เสี่ยงของเอเชีย

ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทในครึ่งปีหลังจะน้อยลงเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก กรอบปลายปีที่ราว 31.50-32.50 เนื่องจาก 1) เงินยูโรมีแนวโน้มแข็งค่าน้อยลง ทำให้ดอลลาร์อาจอ่อนค่าไม่มาก เพราะเงินทุนที่ไหลออกจากสหรัฐฯ เข้ายุโรปเริ่มมีสัญญาณชะลอลง 2) ความไม่แน่นอนของนโยบาย Tariffs ยังมีอยู่ โดยทรัมป์อาจกลับมาขึ้นภาษีอีกได้ในไตรมาส 4 เป็นต้นไป หากเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่แย่ลงมาก เพราะจะเป็นช่วงที่ผ่านพ้น High season ของการค้าโลกไปแล้ว ภาษีจึงอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยลง 3) ในระยะยาว หากประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดสหรัฐฯ กลับมาสูงขึ้นได้ ซึ่งจะกลับมาส่งผลดีต่อเงินดอลลาร์
สำหรับลูกค้าที่รอให้เงินบาทกลับไปอ่อนค่าแรง จะต้องรอปัจจัยเสี่ยงที่ไม่อยู่ในกรณีฐาน เช่น 1) เลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมาดีกว่าตลาดคาด ทำให้ตลาดอาจ price-out โอกาสเกิด Recession ออกไปอีกครั้ง ส่งผลให้ US Treasury yields ปรับสูงขึ้น และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า จึงกดดันให้บาทอ่อน หรือ 2) ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และรัสเซีย ทวีความรุนแรงขึ้น โดยล่าสุดทรัมป์ได้สั่งให้เคลื่อนเรือบรรทุกนิวเคลียร์เพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ หลังจากที่อดีตประธานาธิบดีรัสเซียขู่ว่าการที่ทรัมป์เข้ามาแทรกแซงสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อาจนำไปสู่สงครามได้ ซึ่งหากความตึงเครียดเพิ่มขึ้นหรือเกิดการโจมตีขึ้น ก็จะทำให้นักลงทุนโลกเกิด Risk-off และเทขายสินทรัพย์เสี่ยง เงินภูมิภาครวมถึงเงินบาทจะอ่อนค่าได้

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับลดลงแรง หลังเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแอกว่าคาดมาก โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ค. ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง เลขการจ้างงานเดือน มิ.ย. และ พ.ค. ยังถูกปรับลดลง (revised down) ซึ่งเหนือความคาดหมายไปมาก ทำให้นักลงทุนเริ่มกลับมามองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อ่อนแอลงกว่าที่ Fed ประเมิน ซึ่งจะทำให้ Fed ลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น โดยมีโอกาสเริ่มลดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้ และอีกครั้งในเดือนธันวาคม ในขณะที่ปีหน้าอาจลดดอกเบี้ยต่อได้อีก 2-3 ครั้ง เพื่อเข้าสู่ Terminal rate ที่ราว 3.25-3.50%

ในระยะต่อไป US yields มีแนวโน้มลดลง และ Curve มีแนวโน้มชัน (Steepen) ขึ้น เพราะ 1) เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงตามลำดับ โดย GDP ปี 2025 อาจขยายตัวเพียง 1.6-1.7% ทำให้ Fed น่าจะลดดอกเบี้ยได้ในเดือน ก.ย. และ ธ.ค. ตามคาด และ Terminal rate ที่อาจต่ำลงเช่นกัน 2) มีแรงกดดันทางการเมืองต่อ Fed โดยทรัมป์พยายามเร่งการแต่งตั้งผู้ว่าการ Fed คนใหม่ ซึ่งอาจมีนัยต่อการดำเนินนโยบายของคณะกรรมการให้ลดดอกเบี้ยง่ายขึ้น และ 3) สหรัฐฯ มีแนวโน้มจัดเก็บรายได้จากภาษีนำเข้าได้มากขึ้น โดยข้อมูลล่าสุด (คำนวณจากอัตราภาษีที่เคยจัดเก็บในเดือนก่อน ก่อนที่จะประกาศขึ้นภาษีรอบล่าสุด) พบว่า Effective tariffs rate อยู่ที่ราว 10% ซึ่งจะเพิ่มขึ้นไปที่ราว 15% หลังประกาศภาษีรอบล่าสุด ทำให้รัฐจะจัดเก็บรายได้มากขึ้น โดยอาจสูงกว่า $200-250 bn ต่อปี และจะลดความเสี่ยงเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ ทำให้แรงกดดันด้านสูงต่อ Yields ลดลง

สำหรับมุมมองตลาดดอกเบี้ยไทย ผู้ว่าฯ ธปท. ท่านใหม่ยังมีมุมมองว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นสิ่งจำเป็น แม้ไทยจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ แล้วก็ตาม จึงมองว่า กนง. อาจลดดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 รวมกัน 2 ครั้ง โดยหาก กนง. ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ส.ค. นี้ (ขณะนี้ตลาดให้โอกาสราว 70%) จะทำให้ TH Govt bond yields ปรับลดลงอีกได้ แต่หาก กนง. ยังไม่ลดดอกเบี้ยในเดือนนี้ ก็จะเป็นจังหวะให้นักลงทุน Receive THOR OIS 5Y ที่ระดับราว 1.32% หรือสูงกว่าได้ สำหรับความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา พบว่าไม่ส่งผลต่อ TH Government bond yields มากนัก และไม่เห็นการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายจากตลาดบอนด์ไทยมีนัยสำคัญ

#เงินบาท #ค่าเงินวันนี้ #SCB #แนวโน้มเงินบาท #Fedลดดอกเบี้ย #ตลาดการเงิน #ดอลลาร์สหรัฐ #ส่งออกไทย #เศรษฐกิจโลก #อัตราแลกเปลี่ยน

กรุงศรีชี้เงินบาทผันผวน กังวลชายแดนไทยกัมพูชา จับตาเฟด-บีโอเจประชุมปลายเดือน

กรุงศรีชี้เงินบาทผันผวน กังวลชายแดนไทยกัมพูชา จับตาเฟด-บีโอเจประชุมปลายเดือน

วันที่ 29 ก.ค.68 กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.85 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าเล็กน้อยที่ 32.38 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 3 ปีครึ่ง ก่อนจะลดช่วงบวกจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญ เงินเยนปรับตัวผันผวนหลังประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าสหรัฐฯบรรลุข้อตกลงการค้ากับญี่ปุ่น โดยจะเก็บภาษี 15% สำหรับสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่นซึ่งลดลงจาก 25% ตามที่ระบุไว้ก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังมีเงื่อนไขคำมั่นการลงทุน 5.5 แสนล้านดอลลาร์จากญี่ปุ่นสู่สหรัฐฯ ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) คงดอกเบี้ยที่ 2.00% ตามคาด ซึ่งเป็นการหยุดลดดอกเบี้ยครั้งแรกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 พร้อมระบุถึงแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเล็กน้อย แต่มีสัญญาณตลาดแรงงานและอัตราเงินเฟ้อภาคบริการที่แผ่วลง ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 8,802 ล้านบาท และ 3,045 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับในสัปดาห์นี้ กรุงศรี โกลบอลมาร์เก็ตส์ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะตรึงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50%  ในการประชุมวันที่ 29-30 กรกฎาคม แม้จะถูกรัฐบาลทรัมป์วิจารณ์อย่างหนัก ขณะที่ตลาดจะติดตามข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนก.ค.ของสหรัฐฯ ทางด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)มีแนวโน้มคงนโยบายในการประชุมวันที่ 31 กรกฎาคม แม้ข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯช่วยลดระดับความไม่แน่นอนสำหรับเศรษฐกิจ แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองในญี่ปุ่นอาจจำกัดการแข็งค่าของเยน ขณะที่หนึ่งในแคนดิเดตนายกฯญี่ปุ่นท่านถัดไปมีอุดมการณ์สอดคล้องกับแนวคิด Abenomics ซึ่งมุ่งเน้นนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย นอกจากนี้ การบรรลุดีลการค้าระหว่างสหรัฐฯกับคู่ค้าสำคัญก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคม ยังช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ อนึ่ง สหรัฐฯจะเก็บภาษี 15% กับสินค้าจากสหภาพยุโรป และมีแนวโน้มจะขยายกรอบเวลาระงับอัตราภาษีศุลกากรระดับสูงกับจีนไปอีก 90 วัน

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกเดือนมิถุนายนของไทยเติบโต 15.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ครึ่งปีแรกการส่งออกขยายตัว 15.0% แต่คาดว่าจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีจากภาษีการค้าสหรัฐฯ ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่วิกฤติโควิด ขณะที่ตลาดประเมินว่าทางการอาจลดดอกเบี้ยนโยบายเชิงรุกมากขึ้นภายใต้ว่าที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยท่านใหม่

#ค่าเงินบาท #ตลาดการเงิน #เฟดประชุม #BOJ #เงินบาทวันนี้ #ข่าวเศรษฐกิจ #การส่งออก #ดอกเบี้ย #บาทแข็ง #สถานการณ์ชายแดน #เงินทุนต่างชาติ #ตลาดหุ้นไทย

 

เงินบาทอ่อนค่าใกล้ 32.60 จากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กังวลการเมืองโลกกดดันค่าเงิน

เงินบาทอ่อนค่าใกล้ 32.60 จากสถานการณ์ไทยกัมพูชา กังวลการเมืองโลกกดดันค่าเงิน

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 29 กรกฎาคม 2568

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

-เงินบาทอ่อนค่าลงต่อจากความกังวลไทยกับกัมพูชา โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจากับทั้งสองฝ่ายและได้ทำข้อตกลงหยุดยิงกันเที่ยงคืนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ยังมีการยิงตอบโต้กันมาตลอดคืน

-เงินยูโรอ่อนค่าเทียบกับดอลลาร์ หลังมีความกังวลว่าข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ EU อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจยุโรปในระยะต่อไป เพราะจะถูกเก็บภาษี 15%

-ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นหลังทรัมป์จะเลื่อนเส้นตายให้รัสเซียตกลงหยุดยิงในยูเครนให้เร็วขึ้น

#ค่าเงินบาทวันนี้ #เงินบาทอ่อนค่า #เงินบาท29กรกฎาคม #สถานการณ์ไทยกัมพูชา #ทรัมป์ไกล่เกลี่ย #ค่าเงินยูโร #ราคาน้ำมัน #เศรษฐกิจโลก #ตลาดการเงิน #ข่าวเศรษฐกิจ #เงินบาทล่าสุด

 

เงินบาทอ่อนค่าทะลุกรอบ 32.40 บาท ผลกระทบศึกชายแดนไทยกัมพูชา

เงินบาทอ่อนค่าทะลุกรอบ 32.40 บาท ผลกระทบศึกชายแดนไทยกัมพูชา

ค่าเงินบาทประจำวันที่ 25 กรกฎาคม 2568

-กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.15-32.40บาท/ดอลลาร์

-เงินบาทอ่อนค่าลงวานนี้หลังไทยและกัมพูชาเปิดฉากยิงกันบริเวณชายแดนและมีรายงานผู้เสียชีวิต อีกทั้ง เลขส่งออกไทยเดือน มิ.ย. ออกมาที่ 15.5% ต่ำกว่าที่ตลาดคาด

-ธนาคารกลางยุโรป (ECB)  คงดอกเบี้ยที่ 2% และยังไม่ส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยต่อในปีนี้ โดยจะยังรอดูเลขเศรษฐกิจและอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ก่อน ส่วนตลาดให้โอกาส 70% ที่ ECB จะลดดอกเบี้ยอีกครั้งในปีนี้

-เลข PMI สหรัฐฯ ออกมาที่ 54.6 สูงขึ้นจากเดือนก่อน และดีกว่าตลาดคาดจากภาคบริการ

#CambodiaOpenedFire #กองทัพอากาศ #ตลาดการเงิน #เงินบาท #ไทยพาณิชย์ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

เงินบาทปิด 32.26 อ่อนค่าลงหลังข่าวชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะตึงเครียด

เงินบาทปิด 32.26 อ่อนค่าลงหลังข่าวชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะตึงเครียด

วันที่ 23 ก.ค.68 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทปิดที่ระดับ 32.26 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.11/13 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.11 - 32.29 บาท/ดอลลาร์ เย็นนี้เงินบาทอ่อนค่า เคลื่อนไหวตามทิศทางตลาดโลกและภูมิภาค โดยเมื่อช่วงเช้าเงินบาทค่อนข้างแข็งค่า แต่หลังจากรับรู้ข่าวสถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อพันธบัตรไทยประมาณ 3,500 ล้านบาท สะท้อนว่ายังคงมีกระแสเงินทุนไหลเข้า

"ในช่วงเช้า เงินบาทได้ลงไปทำสถิติที่ระดับ 32.11 บาท/ดอลลาร์ ถือเป็นระดับที่แข็งค่าที่สุดในรอบ 3 ปีกว่า ก่อนที่จะรับข่าวไทย-กัมพูชาในช่วงบ่าย และอ่อนค่าลง" นักบริหารเงิน กล่าว

สำหรับปัจจัยที่ตลาดจับตาคืนนี้ คือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ของสหรัฐฯ และการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.10 - 32.35 บาท/ดอลลาร์ พร้อมมองว่า ถ้าสถานการณ์ไทย-กัมพูชารุนแรงขึ้น มีแนวโน้มที่เงินบาทจะอ่อนค่าไปอีก แต่ต้องดูปัจจัยภายนอกประกอบไปด้วย เช่น ดีลการค้ากับสหรัฐฯ และราคาทองในตลาดโลก 

#เงินบาท #เศรษฐกิจไทย #ตลาดการเงิน #สถานการณ์ชายแดน #ชายแดนไทยกัมพูชา #ค่าเงิน #เศรษฐกิจโลก 

 

เงินบาทผันผวน จ่อทะลุ 32 บาทต่อดอลลาร์ จับตาประชุม ECB-ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ

เงินบาทผันผวน จ่อทะลุ 32 บาทต่อดอลลาร์ จับตาประชุม ECB-ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวไร้ทิศทางที่ชัดเจน ในลักษณะ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.14-32.25 บาทต่อดอลลาร์) แม้เงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการทยอยปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ตอบรับความหวังว่าสหภาพยุโรป (EU) กับสหรัฐฯ อาจบรรลุข้อตกลงการค้าได้ในเร็ววันนี้ ทว่า ภาพดังกล่าวกลับกดดันให้ เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าดังกล่าว นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากรายงานข้อมูลตลาดบ้านของสหรัฐฯ อย่าง ยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) เดือนมิถุนายน ที่ปรับตัวลดลง แย่กว่าคาด 

แม้ว่ารายงานข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ จะออกมาแย่กว่าคาด ทว่าความหวังสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปอาจบรรลุข้อตกลงการค้าได้ในเร็ววันนี้ กอปรกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส ก็หนุนให้ บรรดาผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.78%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +1.08% หนุนโดยความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ต่างปรับตัวขึ้นแรง อาทิ Porsche +6.7% รวมถึงบรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมก็ต่างปรับตัวสูงขึ้น อาทิ LVMH +3.1% อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันบ้าง จากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปที่ออกมาผสมผสาน

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยเข้าใกล้โซน 4.40% อีกครั้ง อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็เป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า พร้อมทั้งรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ หุ้นเทคฯ ใหญ่ ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ หลัง Risk-Reward มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงโซน 4.50% ขึ้นไป สำหรับบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยจังหวะการทยอยเข้าซื้อดังกล่าวอาจกลับมาอีกครั้ง ในช่วงสัปดาห์ต้นเดือนสิงหาคมที่ตลาดจะรับรู้ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลง หลังรายงานข้อมูลตลาดบ้านของสหรัฐฯ ออกมาแย่กว่าคาด อีกทั้งบรรดาสกุลเงินหลัก นำโดยเงินยูโร (EUR) ก็ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตอบรับความหวังสหภาพยุโรป (EU) อาจบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ในเร็ววันนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงสู่ระดับ 97.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 97.1-97.6 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ท่ามกลาง ความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหภาพยุโรป (EU) ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค. 2025) ปรับตัวลดลงกว่า -40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่โซน 3,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ 

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มบรรดาเศรษฐกิจหลัก ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ ยูโรโซน อังกฤษ และญี่ปุ่น ผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (Manufacturing & Services PMIs) เดือนกรกฎาคม 

ส่วนในฝั่งยุโรป ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งเรามองว่า ECB จะเลือกคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ที่ระดับ 2.00% ตามเดิม ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาเจ้าหน้าที่ ECB ส่วนใหญ่ต่างมองว่า เป็นระดับที่เหมาะสม (Neutral Rate) ทั้งนี้ เรามองว่า ในช่วงการแถลง Press Conference ของประธาน ECB Christine Largarde ทางประธาน ECB อาจยังคงระบุว่า ECB พร้อมปรับนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของ ECB คือ แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ 

ทางฝั่งสหรัฐฯ นอกเหนือจากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims)  และรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น ยอดขายบ้านใหม่ (New Home Sales) เดือนมิถุนายน และดัชนีภาวะธุรกิจโดยเฟดสาขา Kansas City 

ส่วนในฝั่งไทยนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) เดือนมิถุนายน ซึ่งอาจยังคงเห็นการขยายตัวในระดับที่สูงอยู่ของการส่งออกได้ ก่อนที่อัตราการเติบโตของยอดการส่งออกจะชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ตามผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ 
 
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน และติดตามแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด 


สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เงินบาทยังคงได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าขึ้น ตามแนวโน้มการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังเงินยูโร (EUR) ทยอยแข็งค่าขึ้น ตอบรับความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรป อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำปรับตัวลดลง สอดคล้องกับมุมมองของเราก่อนหน้า ทำให้ เรายังขอคงมุมมองเดิมว่า แม้เงินบาทจะมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และเราคงเห็นความเสี่ยงที่เงินบาทจะทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น อีกทั้ง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงทยอยออกมาสดใสดีกว่าคาด หนุนให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง (แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็จะเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน) 

อย่างไรก็ดี ในช่วง 24 ชั่วโมง ข้างหน้านั้น เรายอมรับว่า เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทะลุแนวรับ 32.10 บาทต่อดอลลาร์ และอาจแข็งค่าขึ้นทะลุระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก เมื่อเราประเมินจากสถิติการเคลื่อนไหวของเงินบาท (USDTHB) ในช่วงหลังรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ และผลการประชุม ECB  นอกจากนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็อาจยังหนุนให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย อย่างหุ้นไทย เพิ่มเติมได้ ทว่า หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นทะลุระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้จริง เราก็พร้อมจะมองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทควรใกล้ถึงจุดกลับตัว และเงินบาทจะเสี่ยงทยอยอ่อนค่าลงได้ ตามการประเมินในเชิง Valuation ที่เรามองว่า เงินบาทในระดับปัจจุบัน หรือต่ำกว่า 32.00 บาทต่อดอลลาร์ นั้น จะเป็นระดับที่แข็งค่าเกินไปพอควร (Overvalued) ในระดับ เกิน +1 SD 

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน  มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.30 บาท/ดอลลาร์

#เงินบาท #ค่าเงินวันนี้ #ดอลลาร์อ่อน #ECB #ทองคำวันนี้ #ดัชนีPMI #ส่งออกไทย #เศรษฐกิจสหรัฐ #ตลาดโลก #ข่าวเศรษฐกิจ #อัตราแลกเปลี่ยน #วิเคราะห์ค่าเงิน #KrungthaiGlobalMarkets #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้