“ดุสิตโพล” กาง “ดัชนีการเมือง” ก.ย.68 ขยับขึ้น! “ปชช.”เริ่มมีหวังกับ “รัฐบาลใหม่” หลังหมดศรัทธา “รัฐบาลเดิม”

“ดุสิตโพล” กาง “ดัชนีการเมือง” ก.ย.68 ขยับขึ้น! “ปชช.”เริ่มมีหวังกับ “รัฐบาลใหม่” หลังหมดศรัทธา “รัฐบาลเดิม”

เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2568 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนกันยายน 2568” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,012 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 23-26 กันยายน 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนกันยายน 2568 เฉลี่ย 4.02 คะแนน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2568 ที่ได้ 3.71 คะแนน

ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 4.57 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหาความยากจน 3.59 คะแนน

นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 55.98 ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 44.27

ผลงานฝ่ายรัฐบาลที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ คนละครึ่งพลัส ร้อยละ 46.25 ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ ผ่านกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ร้อยละ 61.22              

ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า เดือนกันยายนเป็นช่วงคาบเกี่ยวจากรัฐบาลแพทองธารสู่รัฐบาลอนุทิน ทำให้คะแนนดัชนีการเมืองไทยอาจยังสะท้อนภาพได้ไม่ชัดเจนนัก แต่การที่คะแนนปรับเพิ่มขึ้นทุกด้าน ยกเว้นผลงานฝ่ายค้าน ก็เพียงพอจะสะท้อนความรู้สึกของประชาชนว่า “หมดหวังกับรัฐบาลเดิม ขอเริ่มมีหวังกับรัฐบาลใหม่” โดยเฉพาะการจัดทีมเศรษฐกิจควบคู่กับการนำนโยบายขวัญใจอย่าง“คนละครึ่ง” กลับมา “พลัส” เงินในกระเป๋าให้ประชาชน ซึ่งเป็นการเรียกคะแนนนิยมให้กับรัฐบาลชุดนี้ได้ไม่น้อย

ด้าน อาจารย์อาทิตยา คงมี อาจารย์สังกัดโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า ผลสำรวจ “ดัชนีการเมืองไทย” เดือนกันยายน 2568 ของสวนดุสิตโพล กำลังบ่งบอกว่าดัชนีการเมืองฟื้นตัว  และประชาชนก็จับตาการทำงานฝ่ายค้าน-รัฐบาลอย่างใกล้ชิด หลังภาพรวมได้คะแนน 4.02 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ผลงานของฝ่ายค้าน ยังครองอันดับหนึ่งด้วยคะแนน 4.57 แม้จะลดลงเล็กน้อย และนักการเมืองที่โดดเด่นที่สุดฝั่งรัฐบาลคืออนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งได้รับคะแนนสูงกว่า 55%  แสดงให้เห็นว่าประชาชนกำลังจับตามองนายกรัฐมนตรีคนใหม่ การที่คะแนนดัชนีหลายด้านขยับขึ้นพร้อมกัน อาจจะกำลังบ่งบอกว่าคนไทยเห็นสัญญาณเชิงบวกจากบรรยากาศการเมือง

อย่างไรก็ตาม คะแนนด้านเศรษฐกิจ เช่น ราคาสินค้า ค่าครองชีพ และการว่างงาน แม้จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับต่ำ แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังคาดหวังมาตรการที่ชัดเจนและต่อเนื่อง หากรัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายเศรษฐกิจที่จับต้องได้และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำได้ ดัชนีการเมืองอาจฟื้นตัวต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี แต่หากปัญหาปากท้องไม่คลี่คลายคะแนนอาจกลับมาลดลง

“สิ่งที่น่าสนใจต่อไป คือ รัฐบาลและฝ่ายค้านจะตอบสนองต่อความคาดหวังของประชาชนอย่างไร เพราะผลลัพธ์ในช่วงปลายปีนี้อาจสะท้อนภาพรวมการเมืองไทยว่าจะเดินหน้าฟื้นตัวหรือกลับเข้าสู่ภาวะผันผวนอีกครั้ง” อาจารย์อาทิตยา ระบุ

“อุ๊งอิ๊งค์”ล่วง!เท้งขึ้นเบอร์1

“ดุสิตโพล” ชี้ดัชนีการเมืองไทยต่ำสุดในรอบ 18 เดือน ส่วน “นิด้าโพล”เผยปชช.เชียร์ "เท้ง" เหมาะนั่งนายกฯที่สุด “บิ๊กตู่-อนุทิน” ตามมาติดๆ ส่วน “อิ๊งค์”หล่นอยู่ที่ 5 

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.68 มหาวิทยาลัยสวนดุสิตเปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในประเด็น "ดัชนีการเมืองไทย" ประจำเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,114 คน ระหว่างวันที่ 23-27 มิถุนายน 2568 พบว่า ดัชนีการเมืองไทยในเดือนมิถุนายน 2568 ได้คะแนนเฉลี่ย 4.13 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งลดลงจากเดือนพฤษภาคมที่ได้ 4.70 คะแนน การสำรวจพบว่าประชาชนได้ให้คะแนน 25 ตัวชี้วัดของดัชนีการเมืองไทย โดยในด้านต่างๆ พบการลดลงอย่างชัดเจน เช่น ผลงานของฝ่ายค้าน ได้คะแนนลดลงเหลือ 5.15 คะแนน, สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ได้ 4.58 คะแนน, การดำเนินงานของพรรคการเมืองโดยรวม ได้ 4.2 คะแนน, และ การบริหารประเทศตามนโยบายที่ประกาศไว้ ได้ 4.16 คะแนน ขณะที่ ความมั่นคงของประเทศ และ เสถียรภาพทางการเมือง ลดลงเหลือ 4.15 และ 4.02 คะแนน ตามลำดับ

อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือ การลดลงของ ผลงานของรัฐบาล ซึ่งได้คะแนนเพียง 4.06 คะแนน และ การแก้ไขปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล ลดลงเหลือ 3.94 คะแนน นักการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่นในเดือนมิถุนายน ในการสำรวจเกี่ยวกับนักการเมืองที่มีบทบาทโดดเด่นในเดือนมิถุนายน พบว่า ฝั่งรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรียังคงครองอันดับ 1 ด้วยคะแนน 23.04% รองลงมาคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ได้ 20.83%

สำหรับ ฝ่ายฝ่ายค้าน อันดับ 1 คือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ที่ได้รับคะแนนถึง 48.72% ตามด้วย นางสาวรักชนก ศรีนอก ที่ได้ 31.44% ผลงานที่ประชาชนชื่นชอบ: รัฐบาล-ฝ่ายค้าน เมื่อถามถึงผลงานที่ประชาชนชื่นชอบในเดือนมิถุนายน สำหรับ รัฐบาล ผลงานที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ซึ่งมีคะแนนชื่นชอบ 41.12% ตามมาด้วยการยกระดับการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากอาชญากรรมข้ามชาติ 31.28% ส่วนผลงานที่ประชาชนชื่นชอบของ ฝ่ายค้าน คือการตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาลที่ได้คะแนน 44.84% และการเปิดโปงขบวนการทุจริตในภาครัฐที่ได้ 29.6%

ด้าน  ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาส ครั้งที่ 2-2568” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 19-25 มิถุนายน 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 2,500 หน่วยตัวอย่าง

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 31.48 ระบุว่าเป็น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (พรรคประชาชน) เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ที่กล้าแสดงออก มีแนวคิดที่ชัดเจนและทันสมัย อีกทั้งยังแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างตรงไปตรงมา , อันดับ 2 ร้อยละ 19.88 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ , อันดับ 3 ร้อยละ 12.72 ระบุว่าเป็น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเป็นบุคคลที่พูดจริงทำจริง ตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ , อันดับ 4 ร้อยละ 9.64 ระบุว่าเป็นนายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะมีความกล้าตัดสินใจ และมีประสบการณ์ในการบริหารประเทศ , อันดับ 5 ร้อยละ 9.20 ระบุว่าเป็นนางสาวแพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะมีความตั้งใจในการทำงาน แม้จะมีข้อจำกัดด้านประสบการณ์ และต้องการเปิดโอกาสให้ได้แสดงศักยภาพในการบริหารประเทศ

อันดับ 6 ร้อยละ 6.48 ระบุว่าเป็นนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะ เป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือ มีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ และมีประสบการณ์ทางด้านกฎหมาย , อันดับ 7 ร้อยละ 6.12 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะเป็นบุคคลที่มีจุดยืนชัดเจน มีประสบการณ์จากการทำงานในรัฐบาลหลายชุด และทำงานอย่างตรงไปตรงมา , อันดับ 8 ร้อยละ 1.48 ระบุว่าเป็น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) เพราะ เป็นบุคคลที่มีความเด็ดขาด มีความน่าเชื่อถือ สามารถบริหารจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และร้อยละ 2.92 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (พรรคประชาธิปัตย์) นายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง (พรรคประชาชาติ) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนา) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) นายชัยเกษม นิติสิริ (พรรคเพื่อไทย) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) พลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ (พรรคกล้าธรรม) และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) และร้อยละ 0.08 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 46.08 ระบุว่าเป็น พรรคประชาชน อันดับ 2 ร้อยละ 13.24 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 3 ร้อยละ 11.52 ระบุว่าเป็นพรรคเพื่อไทย อันดับ 4 ร้อยละ 9.76 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 5 ร้อยละ 7.72 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 6 ร้อยละ 4.20 ระบุว่าเป็น พรรคไทยสร้างไทย อับดับ 7 ร้อยละ 2.88 ระบุว่าเป็นพรรคพลังประชารัฐ อับดับ 8 ร้อยละ 2.68 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 1.76 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนา พรรคกล้าธรรม พรรคเสรีรวมไทย พรรคไทยภักดี และพรรคเพื่อไทยรวมพลัง และร้อยละ 0.16 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


 

"เพื่อไทย" เมิน "ดุสิตโพล" เปิดคะแนนนิยม "อิ๊งค์" น้อยกว่า "เท้ง" มองผลสำรวจมีขึ้นมีลง

 

วันที่ 1 มิ.ย.2568 ที่พรรคเพื่อไทย  นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดุสิตโพลเปิดเผยความนิยมความโดดเด่นของนักการเมืองฝ่ายค้านและรัฐบาล นส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เป็นอันดับหนึ่งของฝั่งรัฐบาล ส่วนฝ่ายค้านคือ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน แต่คะแนนนำนายกฯ สะท้อนภาพอะไรหรือไม่  ว่า ความนิยมอาจเป็นไปได้ว่าประชาชนเป็นห่วงในเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจ ที่เผชิญทั้งกำแพงภาษีสหรัฐฯ  วิกฤตสงคราม จึงเกิดความกังวลและเคลือบแคลงสงสัยว่ารัฐบาลนี้จะนำพาประเทศไปได้หรือไม่ เมื่องบประมาณปี 2569 ผ่านสภาแล้ว เรามีการชะลองบดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อนำเงิน 157,000 ล้าน มากระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อเม็ดเงินลงมากระจายตัวแล้วจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ความมั่นใจของ นายกฯ คงจะกลับมาอยู่ในใจประชาชน 

“เป็นเรื่องธรรมดาของการเมืองที่มีการสำรวจ ทุกไตรมาสมีขึ้นลงแบบนี้ทุกครั้ง เป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าผลโพลจะออกมาอย่างไร นายกฯ จะทำงานหนักต่อไป และจะผลักดันนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลให้ประชาชน” นายดนุพร กล่าว 

 

“ลิซ่า”ไอดอล! “ดุสิตโพล” เผย “เด็กไทย” อยากได้ “ทุนการศึกษา” จากนายกฯ-รัฐบาลเป็นของขวัญ "วันเด็กแห่งชาติ"

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นเด็กไทยทั่วประเทศ เรื่อง “เสียงสะท้อนจากเด็กไทย ปี 2568” ระหว่างวันที่ 7-10 มกราคม 2568 กลุ่มตัวอย่างเป็นเด็กไทยอายุระหว่าง 6-18 ปี จำนวน 1,030 คน สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม พบว่า สิ่งที่เด็กไทยชอบหรือประทับใจที่สุดในวัยเรียน คือ การเล่นกับเพื่อน ๆ ในโรงเรียน ร้อยละ 66.21 นอกเหนือจากห้องเรียน เด็กไทยชอบเรียนรู้จากการดูคลิปหรือเรียนรู้จากมือถือ/แท็บเล็ตมากที่สุด ร้อยละ 76.99 ทักษะที่สำคัญสำหรับอนาคต คือ ทักษะการรู้จักป้องกันและรับมือกับภัยอันตรายทั้งในชีวิตจริงและออนไลน์ ร้อยละ 74.76 ทั้งนี้ เด็กไทยอยากเห็นประเทศไทยเปลี่ยนแปลง คือ โรงเรียนและการเรียนสนุกขึ้น ร้อยละ 61.26 ของขวัญที่อยากได้จากรัฐบาล/นายกรัฐมนตรีในวันเด็กปีนี้ คือ ทุนการศึกษา เงินช่วยเหลือ ร้อยละ 74.37 นอกจากคุณพ่อคุณแม่ คนที่เด็กไทยชื่นชมและเป็นแรงบันดาลใจ คือ ลิซ่า ลลิษา ร้อยละ 47.09 รองลงมาคือ คุณครู ร้อยละ41.26

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล กล่าวว่า จากผลโพลสะท้อนเสียงของเด็กไทยอายุ 6-18 ปี ว่า “ความสนุก” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของช่วงวัยนี้ ทั้งการเล่นกับเพื่อนในโรงเรียนและคาดหวังให้การเรียนในห้องเรียนสนุกมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มุ่งเน้น “เรียนดี มีความสุข” หากสามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ ย่อมตอบโจทย์ผู้เรียนอย่างแท้จริง ผลโพลยังชี้ให้เห็นว่าเด็กไทยตระหนักถึงภัยมิจฉาชีพออนไลน์ การพัฒนาด้านเทคโนโลยี รวมถึงชื่นชมบุคคลศิลปินระดับโลกอย่าง “ลิซ่า ลลิษา” คุณครู นักกีฬา ไปจนถึงนักการเมืองอย่าง “พิธา” และ “แพทองธาร”

“อุ๊งอิ๊งค์”คะแนนพุ่ง! “ดุสิตโพล”ชี้ ดัชนีการเมืองไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.01 คะแนน “ผลงานฝ่ายค้าน” ดีสุด

“ดุสิตโพล” เผยดัชนีการเมืองไทย ต.ค.เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.01 คะแนน “ผลงานฝ่ายค้าน” ได้คะแนนสูงสุด แก้ยาเสพติดได้คะแนนต่ำสุด "อุ๊งอิ๊งค์" นักการเมืองฝั่งรบ.โดดเด่นสุด "เท้ง" เด่นสุดฝั่งฝ่ายค้าน

วันนี้ (3พ.ย.)สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ดัชนีการเมืองไทย ประจำเดือนตุลาคม 2567” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 2,136 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 25-30 ตุลาคม 2567 พบว่า กลุ่มตัวอย่างให้คะแนนภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือนตุลาคม 2567 เฉลี่ย 5.01 คะแนน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ที่ได้ 4.80 คะแนน

ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 5.34 คะแนน (ลดลงจากเดือนกันยายน) ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหายาเสพติดและผู้มีอิทธิพล เฉลี่ย 4.58 คะแนน นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่มีบทบาทโดดเด่นประจำเดือน คือ แพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 52.81 รองลงมาคือ อนุทิน ชาญวีรกูล ร้อยละ 26.40 ด้านนักการเมืองฝ่ายค้านที่มีบทบาท โดดเด่นประจำเดือน คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ร้อยละ 37.80 รองลงมา คือ ศิริกัญญา ตันสกุล ร้อยละ 34.36 ผลงานฝ่ายรัฐบาลที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ มาตรการช่วยน้ำท่วม ร้อยละ 40.15 ผลงานฝ่ายค้านที่ชื่นชอบประจำเดือน คือ ติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ร้อยละ 49.76

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจล่าสุดดัชนีผลงานของนายกฯ แพทองธารพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการทำงานของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการตอบสนองปัญหาของประชาชนอย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางด้วยเงินหมื่น มาตรการบรรเทาภัยน้ำท่วม ลดค่าไฟ หรือการแก้ไขปัญหาเชิงรุกในหลายด้าน ซึ่งทั้งหมดได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น สวนทางกับคะแนนผลงานของฝ่ายค้านที่ปรับตัวลดลงในรอบ 10 เดือนสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในการดำเนินงาน แม้ประชาชนจะชื่นชมการอภิปรายของฝ่ายค้านแต่ก็ยังไม่สามารถดึงความสนใจในวงกว้างได้

#ข่าววันนี้ #ข่าวการเมือง #การเมือง #บานเป็นกระด้ง #ดุสิตโพล #การเมืองไทย #อุ๊งอิ๊งค์

"ดุสิตโพล"สะท้อนปชช.ไม่เชื่อมั่น-ไม่พอใจรัฐบาล "แผนป้องกัน-จัดการน้ำท่วม"

"ดุสิตโพล"สะท้อนปชช.ไม่เชื่อมั่น-ไม่พอใจ "แผนป้องกัน-จัดการน้ำท่วม"ของรัฐบาล

 

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2567 "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง "คนไทยกับสถานการณ์น้ำท่วม" กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,207 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 18-20 กันยายน 2567 สรุปผลได้ ดังนี้

1. ประชาชนเคยประสบปัญหาน้ำท่วมหรือไม่

อันดับ 1 เคย 68.77%

อันดับ 2 ไม่เคย 31.23%

2. ประชาชนคิดว่าอะไรคือสาเหตุหลักที่ส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในปัจจุบัน

อันดับ 1 การกระทำของมนุษย์ 42.49%

อันดับ 2 การบริหารจัดการของภาครัฐ 41.41%

อันดับ 3 ปัจจัยทางธรรมชาติ 35.19%

3. ในช่วงที่มีความเสี่ยงน้ำท่วม ประชาชนมีวิธีเตรียมพร้อมและรับมืออย่างไรบ้าง

อันดับ 1 ติดตามข่าวสารและการแจ้งเตือนอย่างใกล้ชิด 70.05%

อันดับ 2 ย้ายสิ่งของมีค่า สัตว์เลี้ยง และเครื่องใช้ไฟฟ้าไปไว้ที่สูง 68.55%

อันดับ 3 เตรียมอาหารแห้ง น้ำดื่ม อุปกรณ์จำเป็นต่างๆ 62.63%

4. ณ วันนี้ ประชาชนเชื่อมั่นต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลหรือไม่

อันดับ 1 ไม่เชื่อมั่น 69.76%

อันดับ 2 เชื่อมั่น 30.24%

5. ณ วันนี้ ประชาชนพึงพอใจกับการจัดการปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลหรือไม่

อันดับ 1 ไม่พึงพอใจ 77.80%

อันดับ 2 พึงพอใจ 22.20%

6. สิ่งที่ประชาชนอยากฝากถึงรัฐบาลแพทองธาร กรณีน้ำท่วม

อันดับ 1 อยากให้ช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและทันท่วงที 64.07%

อันดับ 2 ควรบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ วางแผนป้องกันระยะยาว 54.75%

อันดับ 3 มีมาตรการฟื้นฟู เยียวยา หลังน้ำลดอย่างเหมาะสม 51.36%

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า จากผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เคยประสบปัญหาน้ำท่วม แม้จะสามารถเตรียมรับปัญหาได้ด้วยตนเองส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและรู้สึกไม่พึงพอใจกับการจัดการปัญหาปัจจุบัน โดยคาดหวังให้เร่งช่วยเหลือและบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีแผนป้องกันระยะยาวและมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูที่แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจประชาชนให้มากขึ้น

ด้าน ผศ.ดร.เขมภัทท์ เย็นเปี่ยม หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า จากผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ชัดเจนว่าประชาชนยังไม่พึงพอใจต่อการจัดการปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลที่ทำงานเชิงรับมากกว่าเชิงรุกในการเข้าไปช่วยเหลือและบริหารจัดการในสถานการณ์ที่ประชาชนประสบเหตุอุทกภัยอย่างหนักและรอความช่วยเหลือจากรัฐบาลและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ภาพปรากฏที่เห็นจากสื่อต่างๆ เห็นเพียงอาสาสมัครและภาคเอกชนที่เข้าไปให้ความช่วยเหลือประชาชนโดยทันที ทำให้ประชาชนไม่เชื่อมั่นต่อการป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล

"ในข้อที่ประชาชนอยากฝากถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันก็คือการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โดยแท้จริงแล้วรัฐบาลมีกฎหมายและแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการ ซึ่งจะทำให้การขับเคลื่อนการทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและประชาชนจะได้ทราบถึงแนวการปฏิบัติและเตรียมรับมือเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์อุทกภัย" ผศ.ดร.เขมภัทท์ กล่าว

“ดุสิตโพล”ชี้ “ยุบก้าวไกล” ทำการเมืองแย่ลง! ความเชื่อมั่นรัฐบาลต่ำ

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2567 สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง "สถานการณ์การเมืองไทยณ วันนี้" ระหว่างวันที่ 7-9 สิงหาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,147 คน สำรวจผ่านทางออนไลน์และภาคสนาม พบว่า กลุ่มตัวอย่างสนใจข่าวการเมืองในช่วงนี้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 43.42 โดยสนใจข่าวยุบพรรคก้าวไกลเป็นพิเศษ ร้อยละ 75.65 เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์การเมือง ณ วันนี้กับช่วงที่ผ่านมา คิดว่าแย่ลง ร้อยละ 67.57 ด้านความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลเศรษฐา กลุ่มตัวอย่างรู้สึกไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 63.73 ด้านกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีก็เห็นว่าควรปรับ ร้อยละ 55.62 สุดท้ายมองว่าทิศทางการเมืองไทยต่อจากนี้น่าจะแย่ลง ร้อยละ 68.44

นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลโพลสะท้อนความวิตกกังวลของประชาชนต่อสถานการณ์การเมืองปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะการยุบพรรคก้าวไกลที่กระตุ้นความสนใจข่าวการเมือง การมองว่าการเมืองแย่ลงสะท้อนถึงความไม่พอใจต่อการบริหารงาน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจแม้จะมีความคืบหน้านโยบายดิจิทัลวอลเล็ตก็ยังไม่เพียงพอ ความเชื่อมั่นในรัฐบาลที่ต่ำและการสนับสนุนการปรับคณะรัฐมนตรีแสดงถึงความคาดหวังในการเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นความท้าทายที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

#siamrath #สยามรัฐ #siamrathonline #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้ #ดุสิตโพล #ก้าวไกล #การเมือง

เชื่อมีเบื้องหลัง! “ดุสิตโพล” เผยคนไทยเบื่อความขัดแย้งใน “สตช.”

เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2567 "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง "หัวอกของคนเสพข่าว ความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ" กลุ่มตัวอย่าง 1,040 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 25-28 มิถุนายน 2567 พบว่า กลุ่มตัวอย่างสนใจติดตามข่าวความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร้อยละ 77.60 โดยต้องการทราบความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก ร้อยละ 71.62

ทั้งนี้ คิดว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน ร้อยละ 81.66 โดยรวมรู้สึกเบื่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ร้อยละ 70.68 อยากให้สื่อมวลชนรายงานข่าวอย่างรอบคอบและเป็นกลาง ร้อยละ 61.25 สุดท้ายสิ่งที่อยากบอกคือ เรื่องนี้เป็นเรื่องผลประโยชน์ ขัดแย้ง แย่งเก้าอี้กัน ร้อยละ 47.15

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า กรณีข่าวความขัดแย้งในวงการตำรวจชิงพื้นที่สื่อมายาวนาน ทำให้ประชาชนสนใจอยากรู้ข้อเท็จจริงและมั่นใจว่ามีเบื้องหลังแน่นอน การที่กลุ่มตัวอย่างมองว่าเรื่องความขัดแย้งนี้เป็นเรื่องผลประโยชน์ แย่งเก้าอี้กัน จึงสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างและความโปร่งใสในองค์กรตำรวจ ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นในสายตาของประชาชน และรู้สึกเบื่อหน่ายกับปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ต้องการให้สื่อมวลชนรายงานข่าวอย่างรอบคอบและเป็นกลาง ด้านองค์กรตำรวจเองก็ควรเร่งปฏิรูปปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์และเน้นทำงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนมากกว่า

ด้าน ดร.มุทิตา มากวิจิตร์ อาจารย์ประจำหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายปกครองและการบริหารงานภาครัฐ โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เกิดขึ้น ทำให้สื่อมวลชนและประชาชนให้ความสนใจและติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจของสวนดุสิตโพล ที่พบว่ามีประชาชนให้ความสนใจติดตามข่าวความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมากถึง ร้อยละ 77.60 ตลอดจนต้องการทราบความจริงในประเด็น ดังกล่าวถึง ร้อยละ 71.62 ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่วิเคราะห์ว่าสาเหตุที่ประชาชนให้ความสนใจประเด็นดังกล่าว เนื่องจากองค์กรตำรวจเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรม และเป็นกลุ่มผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อันเป็นที่พึ่งของประชาชน

ดังนั้น เมื่อเกิดความขัดแย้งกันในมิติต่างๆ ภายในองค์กรตำรวจ จึงทำให้ประชาชนตั้งข้อสังเกตในมิติการปฏิบัติหน้าที่ และการแต่งตั้งโยกย้ายภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมากยิ่งขึ้น ประกอบกับความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มตัวอย่างที่ส่วนใหญ่มีความคิดว่าประเด็น ความขัดแย้งดังกล่าวมีเบื้องหน้าเบื้องหลังสูงมากถึง ร้อยละ 81.66 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของภาคประชาชนว่า ความขัดแย้งดังกล่าวมีความซับซ้อนมากพอสมควร ดังนั้น เพื่อลดระดับความขัดแย้งดังกล่าวประชาชนจึงมีความเห็นว่าสื่อมวลชนควรรายงานข่าวอย่างรอบคอบและเป็นกลาง เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

“ดุสิตโพล” เผยที่สุดแห่งปี66 “บิวกิ้น-อิงค์” นักร้องแห่งปี“พิธา”นักการเมืองแห่งปี

 “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ที่สุดแห่งปี 2566” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 7,398 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) สำรวจระหว่างวันที่ 20 – 27 ธันวาคม 2566 พบว่า เหตุการณ์ที่สุดแห่งปี 2566 คือ พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง ร้อยละ 40.53 แอนโทเนีย คว้ารองมิสยูนิเวิร์ส ร้อยละ 17.55 และสภารับหลักการร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม ร้อยละ 15.31 นักร้องเพลงไทยสากลชายที่สุดแห่งปี ฝ่ายชาย บิวกิ้น พุฒิพงศ์ ร้อยละ 35.59 ฝ่ายหญิง อิงค์ วรันธร ร้อยละ 27.94 นักร้องลูกทุ่งชายที่สุดแห่งปี ฝ่ายชาย ก้อง ห้วยไร่ (ปีที่ 3 ติดต่อกัน) ร้อยละ 33.07 ฝ่ายหญิง ต่าย อรทัย (ปีที่ 4 ติดต่อกัน) ร้อยละ 41.16 ดาราที่สุดแห่งปี ฝ่ายชาย โป๊ป ธนวรรธน์ ร้อยละ 29.99ฝ่ายหญิง เบลล่า ราณี ร้อยละ 37.61 นักกีฬาที่สุดแห่งปี ฝ่ายชาย เจ ชนาธิป ร้อยละ 34.01 ฝ่ายหญิง น้องเทนนิส (ปีที่ 3 ติดต่อกัน) ร้อยละ 48.56 นักการเมืองที่สุดแห่งปี ฝ่ายชาย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (ปีที่ 2 ติดต่อกัน) ร้อยละ 61.78 ฝ่ายหญิง ศิริกัญญา ตันสกุล ร้อยละ 27.95 นักการศึกษาที่สุดแห่งปี 2566 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ร้อยละ 25.95 ผู้ทรงอิทธิพลของไทยแห่งปี ลิซ่า BLACKPINK ร้อยละ 28.14 ความหวังในปีหน้า 2567

ทั้งนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ที่สุดแห่งปี 2566 สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของประชาชนในประเด็นต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการรับรู้ข่าวสารในปัจจุบัน ประชาชนสามารถรับรู้ได้รวดเร็วหลากหลายช่องทาง มีข้อมูลจากการแสดงความคิดเห็นและการวิเคราะห์จากหลายด้าน หลายมุมมอง จนทำให้เกิดเป็นกระแส เป็นความชื่นชอบ ความนิยม นำไปสู่การตัดสินใจและการมีส่วนร่วม ซึ่งทุกอันดับจากผลการสำรวจที่สุดแห่งปี 2566 ของ สวนดุสิตโพล คงจะเป็นภาพสะท้อนให้เห็นกระแสความนิยมได้อย่างชัดเจน เหตุการณ์ที่สุดแห่งปี 2566 ที่ประชาชนส่วนใหญ่นึกถึง เป็นกระแสสังคมที่ร้อนแรง คือเรื่อง “การเลือกตั้งและผลการเลือกตั้ง” อาจเนื่องด้วยประชาชนต้องการมีส่วนร่วมในการเมืองผ่านรูปแบบการปกครองระบอบผ่านระบบตัวแทน (สส.) การเมืองจึงเป็น “หัวใจสําคัญ” เพราะรัฐบาลจะมี “กระบวนตัดสินใจในนโยบายการบริหาร” ที่ส่งผลไปทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และแวดวงต่าง ๆ ที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคน

"ดุสิตโพล" เผยคนไทยนิยมพรรคการเมืองใดก่อน "ยุบสภา"

วันที่ 26 มี.ค.66 "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเฉพาะผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ กรณี "คนไทยนิยมพรรคการเมืองใด" จำนวนทั้งสิ้น 10,614 คน (สำรวจทางภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 1-17 มีนาคม 2566 ก่อนที่จะประกาศ "ยุบสภา" สรุปผลได้ ดังนี้

คนไทยนิยมพรรคการเมืองใด (ก่อนยุบสภา) พบว่า อันดับ 1 เพื่อไทย 46.16% อันดับ 2 ก้าวไกล 15.43% อันดับ 3 ภูมิใจไทย 11.12% อันดับ 4 รวมไทยสร้างชาติ 8.73% อันดับ 5 ประชาธิปัตย์ 7.71% อันดับ 6 พลังประชารัฐ 7.11% อันดับ 7 ไทยสร้างไทย 1.43% อันดับ 8 ชาติพัฒนากล้า 0.53% อันดับ 9 เสรีรวมไทย 0.41% พรรคอื่นๆ 1.37%

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า คะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยยังคงพุ่งแรงและได้รับการตอบรับอย่างดีจากแทบทุกกลุ่มอายุ แม้กลุ่มอายุ 18-30 ปี จะนิยมพรรคก้าวไกลมากที่สุด แต่รองลงมาก็เป็นพรรคเพื่อไทย สะท้อนให้เห็นว่าแคมเปญ "แลนด์สไลด์" หรือ "เลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์" อาจจะกำลังเห็นผลจากการที่คนต้องการเปลี่ยนแปลงและวิธีการที่จะมีเสียงข้างมากในสภา ก็คือต้องรวมกันให้ได้มากกว่าเสียง ส.ว. ผลโพลครั้งนี้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย จึงครอบคลุมแทบทุกพื้นที่ ถึงแม้ภาคใต้พรรคประชาธิปัตย์ยังคงกอดด้ามขวานไว้แน่นแต่ก็ต้องยอมรับว่าคะแนนนิยมนั้นลดลง ทุกพรรคการเมืองจึงต้องเร่งทำคะแนนชิงพื้นที่กันมากขึ้น เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ใคร ๆ ก็อยากกินข้าวร่วมโต๊ะเป็นรัฐบาลร่วมกัน

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์สรศักดิ์ มั่นศิลป์ รองคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า จากผลโพลจะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองที่ประชาชนนิยมเป็นอันดับ 1 คือ พรรคเพื่อไทย สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนในแง่ที่ว่าต้องการความเปลี่ยนแปลงจากพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเดิม รวมทั้งประชาชนอาจมีความชื่นชอบนโยบายของพรรค เช่น เรื่องค่าจ้าง 600 บาทต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท

ในส่วนพรรคที่ได้คะแนนนิยมอันดับ 2 คือ พรรคก้าวไกล ซึ่งถือว่าเป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่ โดยพรรคมุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการขจัดการสืบทอดอำนาจ

ส่วนพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็มีนโยบายที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในระดับรากหญ้า เช่น การพักหนี้ 3 ปีของพรรคภูมิใจไทย บัตรสวัสดิการพลัส 1,000 บาทต่อเดือนของพรรครวมไทยสร้างชาติ การประกันรายได้พืชผลทางการเกษตรของพรรคพรรคประชาธิปัตย์ การเพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือนของพรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น คงต้องมาลุ้นภายหลังการเลือกตั้งว่าพรรคการเมืองใดจะได้จัดตั้งรัฐบาลและมาบริหารประเทศของเราต่อไป