“ศุภชัย” บุกสน.ดุสิต แจ้งความดำเนินคดี “ภูมิธรรม” ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังยื่นทูลเกล้าฯ ยุบสภา

เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 ที่ สน.ดุสิต นายศุภชัย ใจสมุทร ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย เดินทางเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิต เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายภูมิธรรม เวชยชัย ปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

นายศุภชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 2–3 ก.ย.ที่ผ่านมา นายภูมิธรรม ในฐานะปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงสถานการณ์การเมืองว่า ขณะนี้ระบบประชาธิปไตยไม่เป็นไปตามครรลอง หลังพรรคประชาชนและพรรคภูมิใจไทยตกลงร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยพรรคประชาชนโหวตสนับสนุนแต่ไม่เข้าร่วมรัฐบาล ทำให้เกิดสภาพ “3 กลุ่มทางการเมือง” ได้แก่ พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย และพรรคประชาชนมีบทบาททั้งในและนอกรัฐบาล ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากนี้ นายภูมิธรรม ยังระบุอีกว่า  การแก้ปัญหาความสับสนอลหม่านในบ้านเมืองควรคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจ แต่เรื่องดังกล่าวเป็นพระราชอำนาจ จึงได้ตัดสินใจยื่นทูลเกล้าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2ก.ย.68 และยืนยันว่าเป็นการดำเนินการตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ

“การกระทำดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล เคยมีความเห็นว่ารักษาการนายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจยื่นพระราชกฤษฎีกายุบสภาได้ การกระทำดังกล่าวจึงอาจก่อให้เกิดความไม่เหมาะสมและระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาล จึงยื่นร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับนายภูมิธรรมในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตราอื่นที่เกี่ยวข้อง พร้อมขอให้ขยายผลดำเนินคดีกับผู้มีส่วนร่วมกระทำผิดด้วย หากพบหลักฐานเพิ่มเติมจากการสอบสวน” นายศุภชัย ระบุ

กทพ.เตือน! เลี่ยงจ่ายค่าผ่านทางพิเศษ เสี่ยงถูกดำเนินการทางพินัย ปรับสูงสุด 2,000 บาท/ครั้ง

วันที่ 11 กรกฎาคม 2568 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ขอแจ้งเตือนผู้ใช้บริการทางพิเศษให้ตระหนักถึงผลกระทบทางกฎหมาย หากมีการหลีกเลี่ยงการชำระค่าผ่านทาง ซึ่งถือเป็นความผิดทางพินัย และอาจต้องถูกปรับเป็นจำนวนเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000 บาทต่อครั้ง หรือไม่เกิน 10 เท่าของค่าผ่านทาง

ทั้งนี้ กทพ. ได้มีแนวทางดำเนินการกับผู้ที่ฝ่าฝืนตามลำดับขั้นตอน ดังนี้

1. กทพ. จะส่งหนังสือแจ้งให้ชำระค่าผ่านทางภายในระยะเวลาที่กำหนด หากผู้ใช้บริการยังไม่ดำเนินการภายในกำหนด เจ้าหน้าที่จะออกหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความผิดทางพินัย และกำหนดให้ชำระค่าผ่านทางพร้อมค่าปรับภายใน 30 วัน

2. หากยังไม่ดำเนินการชำระภายในระยะที่ 1 กทพ. จะออกคำสั่งปรับเป็นพินัย โดยค่าปรับจะไม่เกิน 10 เท่าของค่าผ่านทาง หรือไม่เกิน 2,000 บาทต่อครั้ง

หากผู้ฝ่าฝืนยังไม่ชำระค่าผ่านทางหรือปฏิเสธข้อกล่าวหาภายในระยะเวลาที่กำหนด กทพ. จะดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

ทรู ลั่นเอาเรื่องถึงที่สุด! ลุยดำเนินคดีขบวนการสร้างเฟคนิวส์ใส่ร้าย บิดเบือนข้อมูลเท็จ กรณีประมูลคลื่นความถี่

ทรู คอร์ปอเรชั่น แจ้งจับขบวนการสร้างเฟคนิวส์ มุ่งบ่อนทำลายชื่อเสียงบริษัทฯ และผู้บริหารของบริษัทฯ จากกรณีมีผู้ใช้บัญชีติ๊กต๊อก (TikTok) รายหนึ่งใช้ชื่อว่า “สุรีมาทางนี้” โพสต์คลิปวิดิโอสั้นอันเป็นข้อมูลเท็จเกี่ยวกับ ทรู คอร์ปอเรชั่น อย่างต่อเนื่อง โดยวิธีการตัดต่อข้อมูล นำมาจัดเสนอใหม่และบิดเบือนเพิ่มเติม รวมทั้งมีการระบุชื่อผู้บริหารทรู นำภาพเก่ามาตัดต่อปรับเนื้อหา และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสาธารณชน สร้างความเสียหายให้แก่ทั้งผู้บริหารที่ถูกกล่าวอ้างถึงและบริษัทฯ ลั่นเอาเรื่องผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด พร้อมดำเนินคดีทางกฎหมายจนถึงที่สุด

วานนี้ (24 มีนาคม 2568) ทีมกฎหมาย ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้นำหลักฐานข้อความและคลิปวิดิโอต่างๆ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง เพื่อดำเนินคดีอาญาแก่ผู้กระทำความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องทุกมาตรา และให้มีการสืบสวนต่อถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งขบวนการ เนื่องจากการกระทำของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลดังกล่าวมีเจตนาสร้างความเสียหายต่อบริษัทฯ โดยผู้กระทำผิดหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดข้อหานำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น  ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น เปิดเผยสาเหตุที่จำเป็นต้องแจ้งความดำเนินคดีว่า บริษัทฯพบว่ามีขบวนการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง ด้วยการโพสต์ข้อความและคลิปวิดีโอที่มีลักษณะเป็นการโฆษณาต่อบุคคลอื่นที่ได้พบหรือได้อ่านข้อความดังกล่าว อันเป็นข้อความและคลิปที่ไม่มีมูลความจริง บิดเบือนข้อเท็จจริง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีกหลายคลิปที่มีเนื้อหาระบุชื่อ นามสกุล และตำแหน่งของผม พร้อมให้ข้อมูลที่ผิดจากข้อเท็จจริง เป็นเหตุให้มีความเข้าใจผิด และนำมาซึ่งการแสดงความคิดเห็นที่เป็นการใส่ความทั้งต่อบริษัทฯและตัวผม โดยเผยแพร่ต่อสาธารณะผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และสื่อโซเชียลมีเดีย  ปลุกปั่นให้เชื่อว่าบริษัทฯและผู้บริหารของบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจอย่างไม่โปร่งใส  ทำให้บริษัทฯและผมได้รับความเสียหายและกระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ จึงจำเป็นต้องดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด เพื่อป้องกันมิให้เกิดการกระทำที่เข้าข่าย Fake News เช่นนี้ เกิดขึ้นอีกในอนาคต

ทรู คอร์ปอเรชั่น ขอยืนยันว่า บริษัทฯยึดมั่นในการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด และเชื่อว่าการสร้างสังคมออนไลน์ที่สะอาดปราศจากการโกหก บิดเบือน หรือปลอมแปลง เป็นแนวทางในการสร้างสังคมที่ดี ซึ่งการดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด จะเป็นกรณีตัวอย่างให้สังคมหลีกเลี่ยงการสร้างเฟคนิวส์ และใช้สื่อสังคมออนไลน์ในทางสร้างสรรค์มากขึ้น

"เอกนัฏ" สั่งทีมสุดซอย สาวถึงต้นตอ ฟัน 3 บริษัทจ้างขนกากอุตฯ ลักลอบทิ้งในไร่มันเมืองชลบุรีเกือบพันตัน

"เอกนัฏ" สั่งทีมสุดซอย สาวถึงต้นตอ ฟัน 3 บริษัทจ้างขนกากอุตสาหกรรม ลักลอบทิ้งในไร่มันเมืองชลบุรีเกือบพันตัน “ฐิติภัสร์” แย้มขยายผลอีกหลายราย ลุยดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด

เมื่อวันที่ 6 มี.ค.68 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้ส่งทีมตรวจการสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม นำโดยนางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุนทร แก้วสว่าง รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เข้าตรวจสอบและดำเนินคดีกลุ่มบริษัทและโรงงานผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator) ที่กระทำความผิดในข้อหาลักลอบทิ้งกากโดยผิดกฎหมายในพื้นที่ จ.ชลบุรี จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งจากการติดตามและขยายผลรถบรรทุกขนกากอุตสาหกรรมของบริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด จ.ชลบุรี โดยก่อนหน้านี้ถูกจับกุมดำเนินคดีกรณีขนกากอุตสาหกรรมหลายชนิดจากหลายโรงงานนำไปทิ้งในไร่มันสำปะหลัง ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา พร้อมยึดอายัดรถบรรทุกไว้ที่สถานีตำรวจภูธรบ้านบึง ก่อนขยายผลไปยังโรงงานต้นกำเนิดกากอุตสาหกรรม เพราะเชื่อว่าทำเป็นขบวนการ กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกวาดล้างดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

ด้านนางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) สถานีตำรวจภูธรบ้านบึง จ.ชลบุรี อุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี ติดตามขยายผลจนสืบทราบถึงบริษัทและโรงงานผู้ก่อกำเนิดของเสีย (Waste Generator) 3 แห่ง ที่เป็นผู้ว่าจ้างบริษัทขนส่งให้นำกากอุตสาหกรรมไปทิ้งในไร่มันสำปะหลัง จึงได้เข้าตรวจสอบบริษัททั้ง 3 แห่ง คือ 1) บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 2 อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยว่าจ้าง บริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม จำนวน 72 ครั้ง รวมประมาณ 720 ตัน นำไปทิ้งในไร่มันสำปะหลังใน ต.หนองไผ่แก้ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี จึงได้ดำเนินคดีในข้อหาลักลอบทิ้งกากโดยผิดกฎหมาย และทางการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สั่งให้ปรับปรุงและห้ามขนกากอุตสาหกรรมออกจากโรงงานจนกว่าจะได้รับอนุญาต

2) บริษัท แฮนด์ดีแจ็ค อีควิปเมนท์ จำกัด ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โดยได้ว่าจ้าง บริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด ลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรม จำนวน 18 ครั้ง รวมประมาณ 105 ตัน นำไปทิ้งที่ไร่มันสำปะหลังใน ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี จึงได้ดำเนินคดีในข้อหาลักลอบทิ้งกากโดยผิดกฎหมาย และทางกรมโรงงานอุตสาหกรรม สั่งให้หยุดกิจการโรงงานชั่วคราว นอกจากนี้ยังได้ตรวจพบว่าไม่มีการทำระบบบำบัดน้ำเสีย จึงสั่งให้แก้ไขให้ถูกต้อง 3) บริษัท เทคโนโลยีพลังงานสิ่งแวดล้อม จำกัด ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา ได้ว่าจ้าง บริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด ทิ้งกากอุตสาหกรรม จำนวน 16 ครั้ง รวมประมาณ 150 ตัน ทิ้งในไร่มันสำปะหลังใน ต.หนองอิรุณ เช่นกัน จึงได้ดำเนินคดีในข้อหาลักลอบทิ้งกากโดยผิดกฎหมาย และทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา สั่งให้ปรับปรุงและห้ามขนย้ายกากอุตสาหกรรมออกจากโรงงานจนกว่าจะแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายกำหนด

“การขยายผลและเข้าตรวจสอบครั้งนี้มีการว่าจ้างบริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด ให้นำกากอุตสาหกรรมไปทิ้งโดยผิดกฎหมาย จำนวนรวมกว่า 975 ตัน โดยรัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้กำชับและสั่งการเร่งด่วนเพื่อขยายผลบริษัทและโรงงานที่ว่าจ้างบริษัท ฮิ้ว ทรานสปอร์ต จำกัด ขนกากอุตสาหกรรมไปทิ้งในลักษณะเดียวกัน ให้ดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดต่อไป” หากประชาชนพบเห็นปัญหาหรือเหตุต้องสงสัยเกี่ยวกับการประกอบการอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้องหรือสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน มอก. สามารถแจ้งเรื่องร้องเรียนผ่าน “แจ้งอุต” https://landing.traffy.in.th?key=wTmGfkav หรือไลน์ไอดี “traffyfondue” เพื่อกระทรวงฯ จะเร่งส่งทีมสุดซอยลงพื้นที่จัดการกับปัญหาให้ประชาชนในทันที” นางสาวฐิติภัสร์ กล่าวทิ้งท้าย

#เอกนัฏพร้อมพันธุ์ #ทีมสุดซอย #กากอุตสาหกรรม #ดำเนินคดี #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

ไม่มีไว้หน้า! “บิ๊กต่าย” ลั่นดำเนินคดีถึงที่สุดคดีฆาตกรรม “สจ.โต้ง”

เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2567 ที่ศูนย์ปฎิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าคดีฆาตกรรม สจ.โต้ง จ.ปราจีนบุรี ว่า ขณะนี้ตำรวจผู้รับผิดชอบสำนวนคดีทั้งในส่วนของกองบังคับการปราบปรามและตำรวจภูธรภาค 2 ในฐานะเจ้าของท้องที่ ได้ดำเนินการขยายผลอย่างเข้มข้นมาโดยตลอด ซึ่งนอกจากจะดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดแล้ว ยังได้เปิดปฏิบัติการตรวจค้นบ้านนักการเมืองท้องถิ่นและผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ตามที่สื่อมวลชนได้รับรายงานมาโดยตลอด เชื่อว่าหลังจากนี้หากกองบังคับการปราบปรามสามารถขยายผลถึงผู้ร่วมทำความผิดรายอื่น ก็จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดีให้ถึงที่สุดอย่างแน่นอน

"พิพัฒน์" แถลงผลปฏิบัติการ “เจอ จับ ปรับ ผลักดัน" แรงงานข้ามชาติผิด กม.16 วัน ตรวจสอบ 5 หมื่นราย ดำเนินคดีกว่า 400 คน

กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน รับข้อสั่งการ “รมว. พิพัฒน์” ตรวจเข้มแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย แจงผลปฏิบัติการตรวจสอบสถานประกอบการกว่า 4 พันแห่ง ดำเนินคดี 147 แห่ง ตรวจสอบคนต่างชาติกว่า 5 หมื่น 5 พันคน ดำเนินคดี 405 คน ล่าสุดพลเมืองดีแจ้งเบาะแสไซต์ก่อสร้าง จังหวัดชลบุรี หลังตรวจพบผิดกฎหมาย10 คน

นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สั่งการกรมการจัดหางาน โดยกองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน ปูพรมตรวจสอบการทำงานของแรงงานข้ามชาติ และนายจ้าง สถานประกอบการให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากพบผู้กระทำผิดให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โดยไม่มีข้อยกเว้น ล่าสุดเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการด้านการตรวจสอบการทำงานของแรงงานข้ามชาติ ได้ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรีเพื่อตรวจสอบไซส์งานก่อสร้าง ภายในนิคมอุตสาหกรรมยามาโตะอินดัสทรีส์ ตำบลหนองใหญ่ อำเภอหนองใหญ่ จังหวัดชลบุรี ตามที่ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าพบแรงงานข้ามชาติทำงานเป็นจำนวนมาก  จากการตรวจสอบไซต์งานก่อสร้าง 2 แห่ง พบคนลักษณะคล้ายคนต่างชาติ จำนวน 53 ราย  ทำงานกรรมกร ทำหน้าที่มัดเหล็กผูกเหล็ก ผสมปูน และเทปูนทับหลัง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบเอกสารประจำตัว พบมีใบอนุญาตทำงานถูกต้อง 43 ราย และไม่มีเอกสารใดๆ มาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ 10 ราย จึงแจ้งข้อกล่าวหาเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองใหญ่ดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งร้องทุกข์กล่าวโทษนายจ้าง 1 ราย ในข้อหารับคนต่างด้าวทำงานโดยที่คนต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตทำงาน 

โดยเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าวจะปฏิบัติการอย่างเข้มข้น “เจอ จับ ปรับ ผลักดัน” เป็นระยะเวลา 120 วัน โดยผลการดำเนินการระหว่างวันที่ 5 – 21 มิถุนายน 2567 รวม 16 วัน มีการเข้าตรวจสอบสถานประกอบการที่จ้างแรงงานข้ามชาติทั่วประเทศแล้ว 4,495 แห่ง ดำเนินคดี 147 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติ จำนวน 55,954 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 41,815 คน กัมพูชา 8,500 คน ลาว 3,961 คน เวียดนาม 19 คน และสัญชาติอื่น ๆ 1,659 คน มีการดำเนินคดีทั้งสิ้น 405 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 266 คน กัมพูชา 30 คน ลาว 67 คน เวียดนาม 3 คน และสัญชาติอื่นๆ 29 คน

“สำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่ทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง รวมทั้งไม่สามารถขอรับใบอนุญาตทำงานได้จนกว่าจะพ้นโทษมาแล้วเป็นระยะเวลา 2 ปี และนายจ้าง/สถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี” อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าว

#ข่าววันนี้ #แรงงานข้ามชาติ #ดำเนินคดี #แรงงานต่างด้าว #กรมการจัดหางาน

 

ไม่รอด! ตร.ดำเนินคดีผู้ปกครอง ปรับรายละ 10,000 บาทปล่อยลูกออกมาแว้น 

วันที่ 22 ก.พ.67 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยกรณีมีการปิดถนนแข่งรถพื้นที่ สภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ที่ผ่านมานั้น พนักงานสอบสวนได้ส่งฟ้องผู้ต้องหาไปแล้ว 22 ราย ศาลฯ พิพากษาปรับคนละ 10,000 บาท จำคุก 3 เดือน โทษจำคุกรอลงอาญา นอกจากนี้ ยังได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชนไว้ได้อีกจำนวน 10 ราย  เจ้าหน้าทื่ตำรวจในส่วนของพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการส่งตัวเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวเพื่อให้ศาลดำเนินการตรวจสอบการจับกุม และเข้าสู่กระบวนการบังคับตามมาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา เนื่องจากเป็นเด็กและเยาวขน และความผิดมีอัตราโทษไม่เกิน 5 ปี  โดยศาลจะกำหนดแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟู ให้เด็กและเยาวชนที่กระทำผิดร่วมกับพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ต้องปฏิบัติตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูนั้น เพื่อให้โอกาสเด็กในการที่จะกลับมาเป็นคนดีของสังคม ไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำอีก แต่หากเด็กเยาวชนและบิดามารดาไม่ปฏิบัติตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูที่กำหนด เด็กก็จะถูกดำเนินคดีตามปกติ จะมีประวัติการกระทำผิดติดตัวไป ซึ่งต้องใช้เวลาในการปฏิบัติตามแผนพอสมควร 

อย่างไรก็ตาม สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กนั้น นอกจากจะต้องปฏิบัติตามแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูที่ศาลกำหนดแล้ว ยังจะต้องถูกดำเนินคดี ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก ฯ พนักงานสอบสวนสามารถแจ้งข้อกล่าวหาแก่บิดา มารดา หรือผู้ปกครองของเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด ส่งฟ้องศาลได้เลยทันที เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เรียกพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กเยาวชนทั้ง 10 ราย มาแจ้งข้อกล่าวหา “ส่งเสริม หรือ ยินยอม ให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทำให้เด็กมีความประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำความผิด” ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 26 (2) ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กทั้ง 10 ราย พิพากษาปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยรับสารภาพ ลดกึ่งหนึ่งเหลือปรับรายละ 5,000 บาท ซึ่งนี่เป็นกรณีตัวอย่างสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองทุกท่านที่ปล่อยปละละเลยไม่ดูแลบุตรหลาน ปล่อยให้ออกมารวมตัวแข่งรถในทางในเวลายามวิกาล สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด ครบวงจร ในทุกคดี

พล.ต.ท.สำราญกล่าวอีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้มอบหมายให้คณะทำงานป้องกันและปราบปรามการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น แข่งรถในทางและความผิดอื่นที่เกี่ยวข้อง โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร. ขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการขับขี่รถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย ทั้งการโพสต์ชักชวน เชิญชวน บนสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็ดี ทั้งการรวมตัวบนท้องถนนก็ดี โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุร้ายที่สายด่วน 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง 

 

#ดำเนินคดี #พระสมุทรเจดีย์ #ออกมาแว้น 

 

"จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" เตือนระวังมิจฉาชีพแอบอ้างผ่านทางอีเมล์ละเมิดลิขสิทธิ์ของบริษัท ลั่นดำเนินคดีทางอาญาถึงที่สุด 

"จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่" เตือนระวังมิจฉาชีพแอบอ้างผ่านทางอีเมล์ละเมิดลิขสิทธิ์ของบริษัท ลั่นดำเนินคดีทางอาญาถึงที่สุด 

ตามที่มีกลุ่มมิจฉาชีพมีการแอบอ้าง และ/หรือ กล่าวอ้างต่อท่านผู้ได้รับอีเมล์ว่า บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GMM Grammy (“บริษัท”) ตรวจพบว่า ท่านได้กระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ของบริษัท โดยท่านได้ใช้ภาพ และวิดีโอที่ไม่ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งถือเป็นกรณีที่ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงดังกล่าวนั้น พร้อมระบุให้ท่านดำเนินการขออนุญาตใช้ลิขสิทธิ์อย่างถูกต้อง ตามอีเมล์ contact@gmmgramy.th ที่แนบท้ายมายังอีเมล์นั้น

บริษัทใคร่ขอแถลงการณ์ถึงนโยบายของบริษัทอย่างชัดเจน ดังนี้ 

1.บริษัทไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการแอบอ้าง และ/หรือ กล่าวอ้างดังกล่าวข้างต้น ทุกกรณี และ

2.บริษัทไม่มีนโยบายในการดำเนินการส่งอีเมล์ไปยังบุคคลต่างๆ เพื่อแจ้งถึงเหตุของการละเมิดลิขสิทธิ์ของบริษัท โดยไม่มีการระบุขอบเขตถึงการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างชัดเจนครบถ้วนตามข้อกำหนดของกฎหมาย และ

3.บริษัทไม่มีนโยบายให้กด link เพื่อเชื่อมต่อไปยังแอปพลิเคชั่นปลอมที่แฝง "มัลแวร์" ซึ่งเป็นโปรแกรมประสงค์ร้าย ที่ถูกสร้างขึ้นมาทำอันตรายต่อข้อมูลของท่านในระบบเพื่อดำเนินการตรวจสอบภาพ และวิดีโอ ซึ่งละเมิดลิขสิทธิ์
   
อย่างไรก็ตาม หากท่านได้รับการติดต่อดังกล่าวผ่านทางอีเมล์ของท่าน ซึ่งท่านมีความสงสัยว่า เป็นกลุ่มมิจฉาชีพ ท่านสามารถติดต่อสอบถามโดยตรงได้ที่บริษัท ตั้งอยู่เลขที่ 50 อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส ซอยสุขุมวิท 21 (อโศก) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110 เบอร์โทรติดต่อ 02-669-8168 อีเมล์ legal@gmmgrammy.com
  
อนึ่ง บริษัทขอเรียนชี้แจงว่า การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตามกฎหมาย หากพบการกระทำความผิด บริษัทมีความจำเป็นต้องปกป้องสิทธิ และ ชื่อเสียงของบริษัทอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งดำเนินคดีทั้งทางแพ่ง และทางอาญากับผู้กระทำความผิด และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดขาดจนถึงที่สุดต่อไป
 

#จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ #มิจฉาชีพ #ดำเนินคดี #ละเมิดลิขสิทธิ์

 

เอาจริง! สมอ.เชือดผู้นำเข้าภาชนะเมลามีนไม่ได้มาตรฐาน พักใช้ใบอนุญาต 3 เดือน ขยายผลสอบย้อนหลังทุกราย ลั่นผิดดำเนินคดีถึงที่สุด

สมอ.บุกทลายแหล่งจำหน่ายภาชนะเมลามีนกลางกรุง ยึดสินค้าด้อยคุณภาพกว่า 1 แสนชิ้น มูลค่ารวมกว่า 2.1 ล้านบาท ตรวจสอบพบเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตนำเข้าจาก สมอ.สั่งล็อคระบบนำเข้า NSW ทันที สกัดการนำเข้าล็อตใหม่ เตือนร้านจำหน่ายและผู้บริโภคให้สังเกตภาชนะเมลามีนที่มีน้ำหนักเบา และราคาถูกผิดปกติอย่าซื้อ อาจเป็นสินค้าไม่ได้มาตรฐาน

นายบรรจง  สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ.ได้รับข้อร้องเรียนว่า มีการจำหน่ายภาชนะเมลามีนที่แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. แต่คุณภาพไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ตนจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ สมอ.ลงพื้นที่ตรวจสถานที่จำหน่ายซึ่งตั้งอยู่ย่านถนนวัชรพล เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนจำนวนกว่า 1 แสนชิ้น ที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยมีการระบุชื่อผู้ได้รับใบอนุญาตนำเข้า ได้แก่ บริษัทอีเอโอ (2017) จำกัด เครื่องหมายการค้าเป็นรูปไก่และมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ EAO อยู่ด้านล่างจำนวน 29,405 ชิ้น และบริษัท พงศ์มา เทรดดิ้ง จำกัด เครื่องหมายการค้าเป็นรูปลูกโลกและมีตัวอักษรภาษาอังกฤษ S&H อยู่ตรงกลาง  จำนวน 91,861 ชิ้น รวมจำนวน 121,266 ชิ้น มูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,818,990 บาท

ทั้งนี้ได้ยึดอายัดสินค้าดังกล่าวไว้ทั้งหมด และนำตัวอย่างภาชนะเมลามีนส่งตรวจสอบที่กรมวิทยาศาสตร์บริการในรายการความทนกรดซัลฟิวริกและความทนน้ำเดือด พบว่าภาชนะตัวอย่างมีฝ้าขาว สีหลุดลอก มีลักษณะพอง มีรอยร้าว และบิดเบี้ยว ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน หากผู้บริโภคนำไปใช้งานมีโอกาสที่สารก่อมะเร็งจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง สมอ. จึงสั่งพักใช้ใบอนุญาตนำเข้าของบริษัท อีเอโอ (2017) จำกัด เป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยบริษัทได้ยอมรับผิดในการกระทำดังกล่าว

สำหรับบริษัท พงศ์มา เทรดดิ้ง จำกัด ไม่ยอมรับข้อกล่าวหา สมอ. จึงจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป จึงขอเตือนไปยังผู้ประกอบการทั้งผู้ทำและผู้นำเข้า แม้ว่าท่านจะได้รับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าจาก สมอ. แล้วก็ตาม สมอ. ยังคงตรวจติดตามคุณภาพของสินค้าที่วางจำหน่ายอยู่ในท้องตลาด และทางออนไลน์อย่างเข้มงวดและต่อเนื่อง หากพบว่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานจะดำเนินการตามกฎหมายทันที กรณีนำเข้าสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนร้านจำหน่ายหากจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน   มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ สมอ. ยังได้เข้าตรวจสอบโกดังเก็บสินค้าภาชนะและเครื่องใช้เมลามีนของผู้ประกอบการอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 49/1 แขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร พบว่ามีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ภาชนะและเครื่องใช้เมลามีน ยี่ห้อ ALFRESCO BY KINTO โดยไม่ได้รับใบอนุญาต สมอ. จึงได้ยึดอายัดสินค้าดังกล่าวไว้ทั้งหมด จำนวน 1,766 ชิ้น มูลค่า 328,610 บาท และจะดำเนินคดีกับผู้ประกอบการ  รายนี้ ฐานนำเข้าสินค้าที่ สมอ. ควบคุมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต

เลขาธิการ สมอ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาชนะเมลามีนเป็นสินค้าที่ สมอ. ควบคุมเพื่อความปลอดภัยของประชาชน หากไม่ได้มาตรฐานเมื่อนำไปใช้งานอาจมีสารโลหะหนักและสารฟอร์แมลดีไฮด์ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ละลายปนเปื้อนออกมากับอาหารได้ ซึ่งร้านค้ารายย่อยหรือผู้บริโภคทั่วไปไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยตาเปล่าว่าภาชนะเมลามีนนั้นได้มาตรฐานหรือไม่ ต้องส่งทดสอบในห้อง Lab เท่านั้น ในเบื้องต้นให้ท่านตั้งข้อสังเกตว่า หากภาชนะนั้นมีน้ำหนักเบา ผิวค่อนข้างบาง ราคาถูกผิดปกติ หรือหากนำไปใส่อาหารร้อนหรืออาหารที่มีความเป็นกรดแล้วมีความผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ภาชนะเสียความมันเงา ผิวสาก บิดเบี้ยว บวม หรือขรุขระ หรือสีซีดลงกว่าเดิม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจเป็นภาชนะที่ไม่ได้มาตรฐาน จึงขอฝากถึงผู้บริโภคให้เลือกซื้อภาชนะเมลามีนที่มีเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. คู่กับ QR Code ที่ยืนยันข้อมูลผู้ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องเท่านั้น สำหรับผู้ประกอบการ หาก สมอ. ตรวจพบว่ามีการลักลอบทำหรือนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ถือว่ามีความตั้งใจที่จะทำหรือนำเข้าสินค้าที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค สมอ. จะดำเนินการอย่างถึงที่สุด” เลขาธิการ สมอ.กล่าว