เงินบาทปิด 32.31/32 ระหว่างวันผันผวนตามราคาทอง ก่อนกลับมาทรงตัวจากช่วงเช้า จับตาดอกเบี้ย BoE

เงินบาทปิด 32.31/32 ระหว่างวันผันผวนตามราคาทอง ก่อนกลับมาทรงตัวจากช่วงเช้า จับตาดอกเบี้ย BoE

วันที่ 7 ส.ค.68 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดที่ 32.31/32 บาท/ดอลลาร์ ทรงตัวจากเปิดตลาดเมื่อเช้าที่ระดับ 32.32 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.25 - 32.34 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาคจากปัจจัยราคาทองคำในตลาดโลกที่วันนี้ค่อนข้างสวิง ปรับตัวขึ้นลงแรง วันนี้ราคาทองเคลื่อนไหวหวือหวาขึ้นไปสูงสุดราว 3,397 ดอลลาร์ เป็นจังหวะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าลงมาที่ระดับ 32.35 บาท/ดอลลาร์ ก่อนจะมีจังหวะที่ราคาทองลงมาค่อนข้างแรง ทำให้บาทกลับมายืนเหนือ 32.30 บาท/ดอลลาร์ได้

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามคืนนี้ คือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ และผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่ตลาดคาดว่าจะมีมติลดอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.20 - 32.40 บาท/ดอลลาร์

#ค่าเงินบาท #ตลาดการเงิน #ดอลลาร์ #ราคาทอง #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #ข่าววันนี้

 

ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.15-34.45 บาท/ดอลลาร์

Market update by SCBFM: 25 เมษายน 2566

• กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 34.15-34.45

บาท/ดอลลาร์ 

• ดัชนีดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินร่วงลงแตะจุดต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ ตลาดรอดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ในสัปดาห์หน้า 

• นักลงทุนจับตาการเปิดเผย รายงานตัวเลข GDP ของสหรัฐฯ ประจำไตรมาสแรก และดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพี่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ในสัปดาห์นี้

• ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อย  ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น ไมโครซอฟท์  อะเมซอน จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้

ธ.กรุงไทยประเมินค่าเงินบาทวันนี้กรอบ 34.20-34.50 บาท/ดอลลาร์ ลุ้นจับตาศก.สหรัฐ

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะ wait and see เพื่อรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บริษัทเทคฯ ใหญ่ อาทิ Microsoft และ Alphabet (ซึ่งจะรับรู้ในช่วงหลังตลาดปิดทำการของวันอังคารนี้) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็ต่างรอประเมินภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ และแนวโน้มเงินเฟ้อ ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง GDP ในไตรมาสแรก และอัตราเงินเฟ้อ PCE ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ยังคงเคลื่อนไหว sideways ปิดตลาด +0.09%

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง -0.006% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังคงรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร/การเงิน (Deutsche Bank, Santander และ UBS) นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB อย่างไรก็ดี รายงานดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (Ifo Business Climate) ที่ปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าสู่ระดับ 93.6 จุด ในเดือนเมษายน ก็สะท้อนว่าบรรดาผู้ประกอบการยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนี ซึ่งช่วยคลายความกังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยได้บ้าง

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ เนื่องจากสัปดาห์นี้จะไม่มีถ้อยแถลงจากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดพยายามประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด อย่าง ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฟดสาขาชิคาโก้ รวมถึง ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขาดัลลัส ก็ออกมาสะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงมีความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ กอปรกับ บรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง (รอลุ้นผลประกอบการ) ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงต่อเนื่องสู่ระดับ 3.48%

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังจากที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด สะท้อนภาพการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ย่อตัวลงใกล้ระดับ 101.3 จุด ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รับปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ที่ชัดเจน เพื่อรอประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ GDP ไตรมาสแรก รวมถึง อัตราเงินเฟ้อ PCE และผู้เล่นบางส่วนก็อาจรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันศุกร์นี้ ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) สามารถรีบาวด์ขึ้น สู่โซนราคาแถว 2,005 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นบางส่วนที่เข้าซื้อสะสมในโซนแนวรับแถว 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจใช้จังหวะการรีบาวด์ดังกล่าวในการทยอยขายทำกำไรบางส่วน ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้บ้าง

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจให้ความสำคัญกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะ บริษัทเทคฯ ใหญ่ในฝั่งสหรัฐฯ อย่าง Microsoft และ Alphabet เป็นหลัก ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจในฝั่งสหรัฐฯ จะมี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board รวมถึง ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขาริชมอนด์ ซึ่งมีโอกาสที่ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอาจสะท้อนภาพการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยเฉพาะในฝั่งภาคการผลิต ขณะที่ความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็อาจลดลงบ้าง หลังตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก็เริ่มชะลอตัวลงมากขึ้น

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ซึ่งผู้เล่นในตลาดประเมินว่า มีโอกาสที่ ECB จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อครั้งละ 25bps ราว 3 ครั้ง นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปก็จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อบรรยากาศในตลาดการเงิน

และในฝั่งไทย ตลาดคาดว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอาจกดดันให้ ยอดการส่งออก (Exports) เดือนมีนาคมอาจหดตัวถึง -16%y/y สอดคล้องกับการปรับตัวลงแรงของดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมีนาคม อนึ่ง ยอดการนำเข้า (Imports) ก็อาจหดตัวราว -5%y/y ตามราคาสินค้าโดยเฉพาะสินค้าพลังงานที่ลดลงต่อเนื่อง ทำให้ดุลการค้าอาจขาดดุลราว -1 พันล้านดอลลาร์

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้น ตามการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ อย่างไรก็ดีในระหว่างวันนี้ เราประเมินว่า เงินบาทยังคงมีปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ อาทิ โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือนจากฝั่งผู้นำเข้า ทำให้โซนแนวรับของเงินบาทอาจยังคงอยู่ใกล้เส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน แถว 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์

นอกจากนี้ ควรรอจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาติ หลังล่าสุด นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งบอนด์ระยะสั้น (ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นการเพิ่มสถานะ Long THB หรือมองเงินบาทแข็งค่าขึ้น ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าใกล้โซนแนวต้านแถว 34.50 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนในฝั่งหุ้น แรงขายก็เริ่มลดลงและหากตลาดเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ก็อาจหนุนให้นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นไทยได้บ้าง ทำให้โดยรวมเรามองว่า ค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบเดิม และอาจยังไม่อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ที่ประเมินไว้ไปได้ไกล ยกเว้นว่า ตลาดพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงชัดเจน และ/หรือ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง (ดัชนีเงินดอลลาร์หรือ DXY แข็งค่าทะลุ 102.5 จุด)

ในช่วงนี้ เราคงมองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูงทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.20-34.50 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.49 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.38 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ สามารถพลิกกลับมาปิดตลาด +0.33% แม้ว่าตลอดช่วงการซื้อขาย ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะถูกกดดันจากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยเฉพาะหลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด อย่าง ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดสาขานิวยอร์ก (Empire State Manufacturing Index) เดือนเมษายน จะปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 10.8 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไปมาก แต่โดยรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารและการเงิน ส่งผลให้หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ (Wells Fargo +4.2%, Morgan Stanley +3.0%)

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้อย -0.01% กดดันโดยแรงขายทำกำไรหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวได้ดีในช่วงก่อนหน้า อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (Dior -2.3%, LVMH -2.2%) ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็เริ่มลดการถือครองหุ้นกลุ่มธนาคารและการเงิน (UBS -3.8%, BNP -2.0%) เพื่อรอจับตารายงานผลประกอบการของหุ้นกลุ่มดังกล่าวเช่นกัน

ส่วนทางฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเชื่อว่าเฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมเดือนพฤษภาคม และอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานกว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 3.60% ซึ่งเป็นโซนแนวต้านที่สำคัญในระยะสั้น (หากปรับตัวขึ้นทะลุโซนดังกล่าว ก็อาจเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อทดสอบโซน 3.70%-3.80% ได้ไม่ยาก) สอดคล้องกับมุมมองเดิมของเราที่คาดว่า บอนด์ยีลด์ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ จากการปรับมุมมองต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งเราคงมองว่า นักลงทุนควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อสะสมบอนด์ โดยอาจรอลุ้นผลการประชุมเฟดเดือนพฤษภาคมก่อนได้

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยและคงดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานกว่าคาด ทำให้ล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 102.1 จุด ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดยังคงรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองที่ชัดเจนต่อไป ส่วนในฝั่งราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 2,006 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นการรีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย หลังราคาทองคำย่อตัวทดสอบโซนแนวรับแรกแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนว่าผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ยังคงรอจังหวะทองคำย่อตัวลง เพื่อเข้าซื้อ (Buy on Dip) โดยโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ต้องรอลุ้นอย่างใกล้ชิด คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน (ทยอยรับรู้ในช่วงเวลา 9.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย) โดย ตลาดประเมินว่า เศรษฐกิจจีนอาจขยายตัวกว่า +3.8%y/y ในไตรมาสแรกของปีนี้ หนุนโดยการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะในฝั่งการบริโภค หรือ ภาคการบริการหลังการเปิดประเทศ ซึ่งสะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนมีนาคม ตลาดคาดว่า ยอดค้าปลีกอาจขยายตัวกว่า +7.0%y/y ขณะที่ ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) จะขยายตัวเพียง +4.0%y/y สอดคล้องกับดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนที่ไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเหมือนดัชนี PMI ภาคการบริการ ส่วนยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) อาจโตราว +5.7%y/y (นับจากตั้งแต่ต้นปี)

ส่วนในฝั่งยุโรป บรรดานักวิเคราะห์ประเมินว่า ความกังวลต่อปัญหาระบบธนาคารยุโรปที่คลี่คลายลง อาจหนุนให้บรรดานักลงทุนสถาบันมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจเยอรมนีมากขึ้น สะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนี (ZEW Economic Sentiment) เดือนเมษายน ที่อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 15.1 จุด (ดัชนีสูงกว่า 0 หมายถึง มุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ)

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท แม้ว่าในช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทจะเคลื่อนไหวอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลง ทว่าในวันนี้ ก็มีโอกาสลุ้นเงินบาทเคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง ซึ่งต้องรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนในช่วงเช้า และรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของฝั่งยุโรปในช่วงบ่าย

โดยในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนออกมาดีกว่าคาดชัดเจน ก็อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดสะสมการลงทุนในสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia มากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจในโซน EM Asia ก็มีโอกาสได้รับอานิสงส์จากภาพเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งในกรณีนี้ เราคาดว่า ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นมาได้บ้าง แต่เงินบาทก็อาจไม่ได้แข็งค่าไปมากนัก โดยเรามองว่า ควรจับตาการแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับเส้นค่าเฉลี่ย EMA 50 วัน แถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์

นอกจากนี้ หากในช่วงบ่าย ตลาดกลับมาเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจฝั่งยุโรปมากขึ้น ซึ่งอาจได้แรงหนุนจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีและยูโรโซนที่ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจช่วยส่งผลให้ เงินยูโร (EUR) พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง กดดันให้เงินดอลาร์อ่อนค่าลงและหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่ได้เป็นปัจจัยหนุนเงินบาทฝั่งแข็งค่ามากนัก เนื่องจากเรายังคงเห็นว่า นักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทย หรือยังคงทยอยขายบอนด์ระยะยาวอยู่ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อจนแตะระดับ 2.00% เป็นอย่างน้อยได้

ในช่วงนี้ เราคงมองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูงทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.35-34.60 บาท/ดอลลาร์

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (14 เม.ย.66) 

ผู้สื่อข่าวรายงานอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ประจำวันที่ 12 เม.ย.66 ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลเงินตราต่างๆ ตามเวลา 13.05 น. (ตามตารางประกอบข้างล่าง) โดยเงินดอลลาร์สหรัฐรับซื้อ 33.72 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขายออก 34.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (31 มี.ค.66) 

ผู้สื่อข่าวรายงานอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ประจำวันที่ 31 มี.ค.66 ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลเงินตราต่างๆ ตามเวลา 08.30 น. (ตามตารางประกอบข้างล่าง) โดยเงินดอลลาร์สหรัฐรับซื้อ 33.61 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขายออก 34.34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (30 มี.ค.66) 

ผู้สื่อข่าวรายงานอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ประจำวันที่ 30 มี.ค.66 ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลเงินตราต่างๆ ตามเวลา 08.30 น. (ตามตารางประกอบข้างล่าง) โดยเงินดอลลาร์สหรัฐรับซื้อ 33.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขายออก 34.51 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (29 มี.ค.66) 

ผู้สื่อข่าวรายงานอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ประจำวันที่ 29 มี.ค.66 ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลเงินตราต่างๆ ตามเวลา 08.30 น. (ตามตารางประกอบข้างล่าง) โดยเงินดอลลาร์สหรัฐรับซื้อ 33.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขายออก 34.48 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (28 มี.ค.66) 

ผู้สื่อข่าวรายงานอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ประจำวันที่ 28 มี.ค.66 ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลเงินตราต่างๆ ตามเวลา 08.30 น. (ตามตารางประกอบข้างล่าง) โดยเงินดอลลาร์สหรัฐรับซื้อ 33.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขายออก 34.56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศวันนี้ (27 มี.ค.66) 

ผู้สื่อข่าวรายงานอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ประจำวันที่ 27 มี.ค.66 ว่า อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นสกุลเงินตราต่างๆ ตามเวลา 08.30 น. (ตามตารางประกอบข้างล่าง) โดยเงินดอลลาร์สหรัฐรับซื้อ 33.72 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ขายออก 34.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ