"คต." ผลักดันมันสำปะหลังไทย เปิดตลาดอุตสาหกรรมใหม่ในญี่ปุ่น

วันที่ 28 กันยายน 2568 กรมการค้าต่างประเทศเดินหน้านโยบายผลักดันการส่งออกมันสำปะหลังไทยสู่ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยจะจัดคณะเดินทางไปขยายตลาดส่งออกสินค้ามันสำปะหลังและสินค้าแปรรูปจากมันสำปะหลัง ณ เมืองฟูกูโอกะ และ เมืองคุมาโมโตะ ภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 2 ตุลาคม 2568 เพื่อเปิดตลาดและขยายโอกาสทางการค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ โดยเล็งเห็นว่าภูมิภาคคิวชูจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เนื่องจากเป็นภูมิภาคสำคัญในการผลิตเนื้อวัววากิวของประเทศญี่ปุ่นที่ไทยสามารถส่งออกมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ต่อไปได้

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไทยไปยังตลาดต่างประเทศได้ดำเนินการตามนโยบายหลักในการกระจายความเสี่ยงทางการค้าด้วยการหาตลาดใหม่ เพื่อลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง ซึ่งจะช่วยลดความผันผวนของปัจจัยภายนอกที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าสินค้ามันสำปะหลังของไทยอันจะส่งผลต่อราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรภายในประเทศจะได้รับ ซึ่งในครั้งนี้กรมฯได้จัดคณะเดินทางร่วมกับนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารสัตว์กระเพาะรวม อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาสัตวบาล คณะเกษตรกำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการนำมันสำปะหลังไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ ร่วมคณะเดินทางไปประชุมเจรจากับผู้นำเข้าและผู้ผลิตอาหารสัตว์ ณ เมืองฟูกูโอกะ และ เมืองคุมาโมโตะ ภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีโอกาสของสินค้ามันสำปะหลังไทย เนื่องจากมีอุตสาหกรรมเลี้ยงโคเนื้อขนาดใหญ่ที่นำไปผลิตเป็นเนื้อวากิวที่มีชื่อเสียงของประเทศ อีกทั้งสินค้ามันอัดเม็ดของไทยยังมีคุณภาพและมาตรฐานที่คาดว่าจะสามารถเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์เพื่อรองรับความต้องการในตลาดดังกล่าวได้ ทั้งนี้ กรมฯ มีกำหนดการที่จะหารือกับผู้นำเข้าแป้งมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มจากมันสำปะหลังอีกด้วย

“การจัดคณะเดินทางของภาครัฐร่วมกับนักวิชาการไปยังเมืองฟูกูโอกะ และ เมืองคุมาโมโตะ  ภูมิภาค
คิวชู ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 2 ตุลาคม 2568 นี้ ถือเป็นการต่อยอดจากที่ไทยเคยส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไปประเทศญี่ปุ่น โดยมีเป้าหมายเป็นการประชาสัมพันธ์สินค้ามันสำปะหลังไทยเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสและช่องทางการส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไทยที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นไปยังอุตสาหกรรมที่หลากหลายมากขึ้น เช่น อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมอาหารเพื่อสุขภาพ หรือแม้กระทั่งอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง ซึ่งอุตสาหกรรมทั้งหมดกำลังมีแนวโน้มเติบโต ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไทยไปยังประเทศญี่ปุ่นและเป็นการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศได้มากยิ่งขึ้น”
 
 
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า คณะเดินทางจะเข้าพบและประชุมเจรจากับบริษัทในหลากหลายอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สำคัญในภูมิภาคคิวชู เช่น บริษัท Tanaka Food Industry Corporation บริษัท Sugimoto Honten Co., Ltd. บริษัท Yamauchi Feed Co., Ltd. และบริษัท Feed One Co., Ltd. (Kyushu Branch) ที่สนใจสินค้ามันอัดเม็ดสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ บริษัท SHAKE HANDS INC.
และบริษัท Tanaka Shokuzai Co., Ltd. ที่สนใจสินค้าแป้งมันสำปะหลังสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และ บริษัท Nosu Co., Ltd. ที่สนใจสินค้าทรายแมวและแป้งมันสำปะหลังสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ซึ่งผู้ประกอบการบางรายเป็นผู้ค้ารายใหม่ที่ไม่เคยใช้สินค้ามันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าของตนมาก่อน แต่รับทราบถึงชื่อเสียงในคุณภาพของมันสำปะหลังไทย จึงแสดงความสนใจในการเข้าพบและประชุมเจรจาในครั้งนี้

ดังนั้น จึงถือเป็นสัญญาณอันดีสำหรับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยในการเพิ่มโอกาสช่องทางการส่งออกเพื่อกระจายความเสี่ยงทางการค้าในอนาคตและลดการพึ่งพาตลาดส่งออกเพียงตลาดเดียว อันจะส่งผลดีต่อทั้งห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยในระยะยาวต่อไป

ส.ค.68 สุดพีค เดือนเดียวต่างชาติลงทุนในไทยกว่า 6.6 หมื่นล้าน รวม 8 เดือน แตะ 2.26 แสนล.

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า 8 ดือน ปี 2568 (มกราคม - สิงหาคม) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542  จำนวน 687 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 181 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 506 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 225,536 ล้านบาท โดยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 

 1. ญี่ปุ่น 125 ราย คิดเป็นร้อยละ 18 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 71,844 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ  
  - ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
  - ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ 
  - ธุรกิจบริการตรวจสอบคุณภาพสินค้าประเภทเครื่องประดับ
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรทุกประเภท ชิ้นส่วนพลาสติกทุกประเภท ตัวถัง (frame) รวมทั้ง ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับรถบ้าน และรถแทรกเตอร์เพื่อการเกษตร

 2. สหรัฐอเมริกา 105 ราย คิดเป็นร้อยละ 15 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 3,433 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ  
  - ธุรกิจนายหน้าหรือตัวแทนในการรับจองห้องพัก โรงแรม และกิจกรรมนันทนาการต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
  - ธุรกิจโฆษณา
  - ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและคำแนะนำด้านการบริหารจัดการธุรกิจ
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ โลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ และ Captive Screw for PCB

3. สิงคโปร์ 93 ราย คิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 68,495 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 
  - ธุรกิจนายหน้าและตัวแทนสำหรับการจองและซื้อขายโทเคนดิจิทัล (Digital Token) สำหรับโทเคนดิจิทัลที่ออกและดำเนินการโดยกระทรวงการคลัง
  - ธุรกิจบริการบริการ Data Center
  - ธุรกิจบริการให้ใช้ระบบบริการทางการเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์และระบบบริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานพาหนะ ชิ้นส่วนสำหรับ Optical Device และ Terminal Connector

4. จีน 87 ราย คิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 20,785 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 
- ธุรกิจการจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
  - ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษารถยนต์ไฟฟ้า
  - ธุรกิจบริการรับจ้างพัฒนาซอฟต์แวร์
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักรอัตโนมัติที่มีขั้นตอนการออกแบบระบบอัตโนมัติและระบบควบคุมการปฎิบัติงานด้วยสมองกลเอง ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ผลิตภัณฑ์จากผงโลหะ และ Motor สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า

5. ฮ่องกง 74 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 12,372 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 
  - ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานและสัญญาแบ่งปันผลผลิตในอ่าวไทย
  - ธุรกิจบริการรับจ้างตัดโลหะ
  - ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง
  - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานพาหนะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า ผลไม้แปรรูป และ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม

ถือได้ว่าการเข้ามาประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวในไทยในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมข้างต้น มีส่วนช่วยในการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการขุดเจาะปิโตรเลียม องค์ความรู้เกี่ยวกับการบำรุงรักษาสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว องค์ความรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการคลังสินค้า เป็นต้น 

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 152 ราย (เพิ่มขึ้น 28%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 อนุญาต 687 ราย / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 อนุญาต 535 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 125,474 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 125%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 ลงทุน  225,536 ล้านบาท / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 ลงทุน 100,062 ล้านบาท) รวมถึง มีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น 2,394 คน (เพิ่มขึ้น 96%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 จ้างงาน 4,895 คน / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 จ้างงาน 2,501 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน 

อธิบดีอรมน กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 8 เดือน ปี 2568 (มกราคม - สิงหาคม) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC 197 ราย คิดเป็น 29% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 34 ราย (เพิ่มขึ้น 21%) (เดือน ม.ค. - ส.ค.68 ลงทุน 197 ราย / เดือน ม.ค. - ส.ค.67 ลงทุน 163 ราย) โดยมีมูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 74,792 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจาก *จีน 48 ราย ลงทุน 14,862 ล้านบาท *ญี่ปุ่น 47 ราย ลงทุน 27,153 ล้านบาท *สิงคโปร์ 21 ราย ลงทุน 12,940 ล้านบาท และ ประเทศอื่นๆ 81 ราย ลงทุน 19,837 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ 
* ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเป็นการจัดซื้อสินค้า วัตถุดิบ และชิ้นส่วนสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ
* ธุรกิจบริการออกแบบ จัดหาวัสดุและอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้ง ทดสอบเครื่องจักรและระบบการทำงานต่างๆ สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว
* ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์
* ธุรกิจบริการเขต Data Center
* ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้าไมโครเวฟ ชิ้นส่วนยานพาหนะ ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป เป็นต้น

 ทั้งนี้ เฉพาะเดือนสิงหาคม 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย 104 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 31 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 73 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 66,076 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก ญี่ปุ่น  ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ตามลำดับ มีการจ้างงานคนไทย 810 คน รวมถึง มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการโปรแกรมออกแบบและพัฒนาเครื่องประดับ องค์ความรู้เกี่ยวกับแม่พิมพ์และการออกแบบ องค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมกระบวนการผลิตด้วยหลักสถิติ เป็นต้น

สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในเดือนสิงหาคม 2568 ได้แก่  
* ธุรกิจนายหน้าและตัวแทนสำหรับการจองและซื้อขายโทเคนดิจิทัล (Digital Token) สำหรับโทเคนดิจิทัลที่ออกและดำเนินการโดยกระทรวงการคลัง
* การจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆ
* บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้คำปรึกษาด้านเทคนิค และการออกแบบและการวางระบบทำความเย็น เป็นต้น 
* บริการ Data Center
* บริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม ชิ้นส่วนสำหรับระบบใยแก้วนำแสง  Motor สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

 

"ดร.สามารถ"วอนญี่ปุ่นอย่าต่อลมหายใจอันธพาลชายแดน!

"อย่าต่อลมหายใจอันธพาลชายแดน" ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ส่งสัญญาณเตือนญี่ปุ่น หลังกัมพูชาใช้ยุทธศาสตร์ ‘ได้เปรียบก็เอา เสียเปรียบก็โวย’ สร้างความปั่นป่วนให้เพื่อนบ้านไม่หยุดหย่อน

 

เมื่อวันที่13 กันยายน 2568 ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความระบุว่า

"วอน “ญี่ปุ่น”...
อย่าต่อลมหายใจให้ “อันธพาลชายแดน”!

กัมพูชามักแสดงท่าทีแข็งกร้าวเมื่อเสียเปรียบ แต่เรียกร้องเอาเปรียบเมื่อได้โอกาส... ใช้นโยบาย “ได้เปรียบก็เอา เสียเปรียบก็โวย” สร้างความปั่นป่วนให้เพื่อนบ้านไม่หยุดหย่อน

นี่ไม่ใช่พฤติกรรมของ “เพื่อนบ้านที่ดี” แต่คือพฤติกรรมของ “อันธพาล” ที่คอยสร้างปัญหาให้คนอื่น

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์
อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร "

บีโอไอจับมือญี่ปุ่น ย้ำความเชื่อมั่นประเทศไทย เดินหน้าลงทุนเพิ่มโลกการค้ายุคใหม่

บีโอไอ พบนักลงทุนญี่ปุ่น นำโดยเจโทร และหอการค้าญี่ปุ่น ย้ำความเชื่อมั่นประเทศไทย เดินหน้าขยายการลงทุน โดยเฉพาะ 5 สาขาหลักคือ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร อาหาร และผลิตภัณฑ์โลหะ ควบคู่การสนับสนุนสตาร์ตอัปและอุตสาหกรรมสีเขียว พร้อมปรับตัวในโลกการค้ายุคใหม่ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

วันที่ 14 ส.ค.68 นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้พบหารือกับ นายอาเบะ อิจิโระ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ (JETRO Bangkok) และ Chief Representative for ASEAN และนายซาโต้ ฮิโรยาสุ ประธานหอการค้าญี่ปุ่นในประเทศไทย (JCC) พร้อมคณะผู้บริหารเจโทรและหอการค้าญี่ปุ่น โดย JETRO และ JCC ได้นำเสนอผลสำรวจนักลงทุนญี่ปุ่นในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 และแนวโน้มการดำเนินธุรกิจของบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย ขณะที่บีโอไอได้นำเสนอความคืบหน้าของนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนด้านต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาระบบการให้บริการและการอำนวยความสะดวกสำหรับนักลงทุนญี่ปุ่น

โดยจากผลการสำรวจล่าสุดของ JETRO-JCC จะเห็นว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในทิศทางที่ดีขึ้น และยังให้ความเชื่อมั่นในการขยายการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจได้ปรับตัวดีขึ้นจาก -11 ในช่วงครึ่งหลังปี 2567 มาอยู่ที่ -7 ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 และคาดว่าจะปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ -2 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ สะท้อนถึงสัญญาณฟื้นตัว แม้ยังมีความกังวลเรื่องผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาท โดยบริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากยังสนใจลงทุนต่อเนื่องในไทย โดยเฉพาะใน 5 สาขาหลักคือ ยานยนต์โดยเฉพาะรถยนต์ไฮบริด อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักร อาหาร และผลิตภัณฑ์โลหะ นอกจากนี้ ยังจะมีการลงทุนในสาขาอื่นๆด้วย เช่น สิ่งทอ เคมีภัณฑ์ ดิจิทัล ธุรกิจบริการ รวมไปถึงการเข้ามาลงทุนของกลุ่มสตาร์ตอัป และการยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว

สำหรับการประชุมกับกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นครั้งนี้  เป็นการหารือต่อเนื่องจากการประชุมร่วมกับสถานทูตญี่ปุ่น เจโทร และหอการค้าญี่ปุ่น ภายใต้คณะอนุกรรมการร่วมไทย-ญี่ปุ่น ว่าด้วยการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ตามข้อตกลงการค้าไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งบีโอไอเป็นหน่วยงานหลักที่ได้จัดงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ โดยญี่ปุ่นได้ชื่นชมการทำงานของภาครัฐไทยในการอำนวยความสะดวกแก่ภาคธุรกิจ เช่น การจัดตั้งศูนย์ One Stop Service ของบีโอไอ การพัฒนาระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (e-tax) ของกระทรวงการคลัง การขยายบริการใบอนุญาตทำงานอิเล็กทรอนิกส์ (e-work permit) ของกรมการจัดหางาน การเร่งรัดการจดสิทธิบัตรต่างๆของกรมทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

“ญี่ปุ่นเป็นมิตรแท้ของไทยมายาวนาน ถือเป็นนักลงทุนรายสำคัญและมีการลงทุนสะสมสูงที่สุดในประเทศไทย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในโลกการค้ายุคใหม่ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บีโอไอร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ออกมาตรการสนับสนุนนักลงทุนญี่ปุ่นในหลายด้าน เพื่อให้ธุรกิจญี่ปุ่นในไทยสามารถปรับตัวกับความท้าทายใหม่ ๆ และแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น มาตรการส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่เทคโนโลยีใหม่ มาตรการส่งเสริมกลุ่มรถยนต์ไฮบริด มาตรการส่งเสริมการใช้ Local Content สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า การจัดตั้งศูนย์ Thailand Investment and Expat Service Center (TIESC) ซึ่งเป็นวันสต็อปเซอร์วิสแห่งใหม่ การเตรียมกลไกพลังงานสะอาดสำหรับบริษัทญี่ปุ่นที่ต้องการ Go Green และล่าสุดได้ออกมาตรการอำนวยความสะดวกในการย้ายเครื่องจักรจากกัมพูชามาที่ไทย ซึ่งจะช่วยบริษัทญี่ปุ่นหลายรายที่มีฐานการผลิตเชื่อมโยงสองประเทศ ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง” นายนฤตม์ กล่าว

นายอาเบะ อิจิโระ ประธานเจโทร กรุงเทพฯ กล่าวย้ำว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจในประเทศไทย โดยขยายช่องทางจำหน่ายสินค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยเจโทรจะมุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุนระหว่างไทย–ญี่ปุ่น รวมถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น ให้ทำงานร่วมกัน โดยการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจและกิจกรรมอื่น ๆ ที่จะช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนระหว่างสองประเทศ

สำหรับการลงทุนจากญี่ปุ่นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (2558 - มิถุนายน 2568) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจำนวน 2,620 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 7 แสนล้านบาท โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ รองลงมาเป็นอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ตามลำดับ

#บีโอไอ #ญี่ปุ่น #เจโทร #การค้ายุคใหม่ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

โตชิบาเดินหน้ากลยุทธ์รีเทล เปิด Flagship Store ใหม่ ตอกย้ำจุดยืนแบรนด์คุณภาพญี่ปุ่น

โตชิบาไทยแลนด์ เดินหน้ากลยุทธ์ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ผ่านช่องทางรีเทลอย่างจริงจัง ล่าสุดเปิดตัว Toshiba Flagship Store ใหม่ อย่างเป็นทางการ พร้อมโชว์นวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยสะท้อนแนวคิด Smart Living Experience เพิ่มประสบการณ์สุดพรีเมียมให้ผู้บริโภคได้สัมผัสอย่างเป็นรูปธรรม 

วันที่ 5 สิงหาคม 2568 นางสาวเสาวณีย์ สิราริยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวถึงแนวคิดการเปิด Toshiba Flagship Store ว่า หลังจากเข้ารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ ดิฉันมีความตั้งใจในการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในยุคที่โลกออนไลน์และออฟไลน์ ต้องทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างประสบการณ์ในโลกจริงและดิจิทัล (omni channel) และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคในระดับลึก จึงได้ประเดิมเปิดตัว Toshiba Flagship Store แห่งใหม่ที่โฮมโปร สาขาฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เพื่อเป็นศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าโตชิบาแบบครบวงจร การเปิด Flagship  Store ครั้งนี้ เป็นมากกว่าการปรับโฉมหน้าร้าน แต่คือหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการยกระดับการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคภายใต้แนวคิด Customer-Centric Retail Strategy เราเชื่อว่าพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้มองหาแค่สินค้า แต่ต้องการแบรนด์ที่เข้าใจและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อย่างรอบด้าน Flagship Store ใหม่นี้จึงออกแบบมาเพื่อให้เป็นพื้นที่ที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงคุณค่าของแบรนด์ผ่านประสบการณ์ Smart Living ที่แท้จริง ทั้งในด้านออกแบบ (Design) คุณภาพ (Quality) ความน่าเชื่อถือ (Trust) และความใส่ใจในทุกรายละเอียด (Detail) ซึ่งจะกลายเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของแบรนด์ในอนาคต เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย

Toshiba Flagship Store แห่งนี้ออกแบบให้สะท้อนตัวตนของแบรนด์ผ่านพื้นที่หลากหลายโซน ไม่ได้เป็นเพียงโชว์สินค้า แต่คือการถ่ายทอดประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ลงตัว มีพื้นที่สาธิตการทำอาหาร ทดลองใช้งานจริง และแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการออกแบบที่มอบทั้งความปลอดภัย ความสะดวก และความสวยงาม โดยแบ่งเป็นโซนต่าง ๆ ได้แก่:

• โซน JAPANDi นำเสนอดีไซน์มินิมอลสไตล์ญี่ปุ่นผสานฟังก์ชันการใช้งานของสแกนดิเนเวียอย่างลงตัว ผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยฟังก์ชัน

• โซนตู้เย็น รวมตู้เย็นรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มีฟีเจอร์เฉพาะจากโตชิบา เช่น Pure Air Turbo, HydroFresh หรือ Origin Inverter เป็นต้น แสดงความใส่ใจในการยับยั้งกลิ่นและแบคทีเรีย การรักษาความสด และประหยัดไฟที่ลูกค้าเลือกได้ตามไลฟ์สไตล์

• โซนเครื่องซักผ้าและอบผ้า จัดแสดงผลิตภัณฑ์หลากหลายรุ่นที่ตอบโจทย์ทั้งครอบครัวขนาดใหญ่และคนเมืองในพื้นที่จำกัด พร้อมสาธิตการทำงานจริง เช่น ระบบซักถนอมผ้า, AI Sensor และประหยัดพลังงาน

• โซนเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ครบตั้งแต่เครื่องทำน้ำอุ่น พัดลม เตาอบ เตาไมโครเวฟ หม้อหุงข้าว เครื่องปั่นไปจนถึงกาต้มน้ำ

“ในฐานะผู้นำคนใหม่ ดิฉันมุ่งมั่นที่จะพาโตชิบาก้าวสู่การเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงทั้งในด้านนวัตกรรมและความเชื่อมั่นในใจผู้บริโภคไทย การเปิด Flagship Store ใหม่นี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารบทใหม่ของแบรนด์ ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ยกระดับภาพลักษณ์หรือสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้นเท่านั้น  แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญในการสร้าง Brand Loyalty ให้เกิดขึ้นในใจลูกค้า และสร้างคุณค่าระยะยาวผ่านการใส่ใจในทุกประสบการณ์ที่ลูกค้าสัมผัสได้จริง เราจะยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ภายใต้ปรัชญาของโตชิบา ‘นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต’ เพื่อเป็นแบรนด์ที่เข้าใจและเติบโตไปพร้อมกับชีวิตของพวกเขาอย่างแท้จริง” นางสาวเสาวนีย์ กล่าว

สัมผัสประสบการณ์ Smart Living แบบครบวงจรได้แล้ววันนี้ที่ Toshiba Flagship Store ชั้น 2 HomePro สาขาฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม www.facebook.com/ToshibaLifestyleThailand

 

เซ่น 4 ศพคนงานญี่ปุ่นตกท่อระบายน้ำใกล้กรุงโตเกียว

ท่อระบายน้ำในญี่ปุ่น ก็กลายเป็นแดนมรณะได้ แม้ใกล้กรุงโตเกียวเมืองหลวง หลังคนงานตกลงไปจนเสียชีวิตถึง 4 ราย

เมื่อวันที่ 3 ส.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เกิดเหตุคนงานชาวญี่ปุ่น ตกท่อระบายน้ำจนเสียชีวิตถึง 4 ราย ขณะกำลังดำเนินการตรวจสอบท่อระบายน้ำแห่งหนึ่งที่เมืองเกียวดะ จ.ไซตามะ ทางตอนเหนือใกล้กรุงโตเกียว เมืองหลวงของประเทศ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

รายงานข่าวแจ้งว่า คนงานที่เสียชีวิตทั้งหมดล้วนมีอายุ 50 ปี ตกเข้าไปในท่อระบายน้ำ ที่มีขนาดความกว้างเส้นผ่าศูนย์กลาง 60 ซม. ซึ่งท่อระบายน้ำดังกล่าว มีระดับความลึกกว่า 10 เมตร โดยทั้งหมดเสียชีวิตขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบโดยหน่วยดับเพลิง ที่ระดมกำลังเข้าไปกู้ภัยในพื้นที่พบว่า ภายในท่อฯ มีก๊าซไฮโดรเจนซัลเฟอร์ ซึ่งเป็นก๊าซพิษ ที่มักจะทั่วไปตามท่อระบายน้ำ แต่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุครั้งนี้ ก๊าซดังกล่าวมีความเข้มข้นสูง

ญี่ปุ่นเตือนภัยสึนามิ "ฮอกไกโด–โทโฮกุ" ยังเสี่ยง

วันที่ 30 ก.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า  ญี่ปุ่นได้ออกคำเตือนภัยสึนามิอย่างกว้างขวางบริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก หลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.7 แมกนิจูด ใกล้คาบสมุทรคัมชัตคา ประเทศรัสเซีย ในเวลา 08.25 น. ตามเวลาท้องถิ่น

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น (JMA) ออกคำเตือนภัยสึนามิเมื่อเวลา 09.40 น. ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดฮอกไกโดถึงจังหวัดวากายามะ โดยเตือนประชาชนให้อพยพขึ้นที่สูง และหลีกเลี่ยงพื้นที่ริมฝั่งทะเลและแม่น้ำ

ต่อมาในเวลา 18.30 น. คำเตือนภัยสึนามิในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดอิบารากิถึงวากายามะ ถูกลดระดับเป็น "คำแนะนำให้ระวัง" แต่ยังคงมีคำเตือนภัยสึนามิสำหรับพื้นที่ฮอกไกโดและภูมิภาคโทโฮกุ

มีรายงานตรวจพบคลื่นสึนามิสูงถึง 1.3 เมตร ที่ท่าเรือคูจิ จังหวัดอิวาเตะ และคลื่นยังคงซัดเข้าสู่ชายฝั่งในหลายจุดอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดเจ้าหน้าที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น แถลงว่า คลื่นสึนามิยังไม่ยุติ และอาจเกิดคลื่นลูกใหม่ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะหากซัดเข้ามาในช่วงน้ำขึ้น พร้อมระบุว่า พื้นที่ที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งนี้เคยมีประวัติแผ่นดินไหวใหญ่ในอดีต และจากสถิติที่ผ่านมาพบว่า การเกิดคลื่นสึนามิในลักษณะนี้อาจดำเนินต่อเนื่องนานกว่าหนึ่งวัน

นายกฯญี่ปุ่นยังเกาะเก้าอี้แน่นแม้พ่ายศึกเลือกตั้ง สว.ยับเยิน

นายกฯ ปลาดิบลั่น! ยังเกาะเก้าอี้แน่น แม้แพ้ศึกเลือกตั้งอย่างยับเยิน จนสูญเสียการครองเสียงข้างมากในสภาสูง อ้างอยู่เพื่อเจรจาภาษีทรัมป์กับสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 21 ก.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผลการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาญี่ปุ่น ซึ่งมีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ปรากฏว่า ผู้สมัครับเลือกตั้งของพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือแอลดีพี และพรรคโคเมโต ซึ่งทั้งสองพรรคเป็นพรรครัฐบาลผสมชุดปัจจุบันของญี่ปุ่น พ่ายแพ้การเลือกตั้งดังกล่าวหลายที่นั่ง โดยได้ สว.รวมกันแล้วเพียง 47 ที่นั่ง ไม่ถึง 50 ที่นั่ง ตามที่ตั้งเป้าไว้เป็นอย่างน้อย ทำให้ สว.ของพรรครัฐบาลผสมมีที่นั่งในวุฒิสภารวมแล้วทั้งหมด 122 ที่นั่ง ไม่ถึง 125 ที่นั่ง ซึ่งเป็นจำนวนเสียงข้างมากในวุฒิสภาจำนวนทั้งสิ้น 248 ที่นั่ง สส่วนพรรคการเมืองฝ่ายค้านและผู้สมัครอิสระ ได้ที่นั่ง สว.รวมกันแล้วหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ 126 ที่นั่ง ได้ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา

หลังทราบผลเลือกตั้ง นายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ออกมาประกาศว่า จะยังคงอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคแอลดีพีต่อไป แม้ว่าแพ้เลือกตั้ง เนื่องจากประเทศกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรกับสหรัฐฯ ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก

ญี่ปุ่นผวาจีนขยายแสนยานุภาพทหารมากขึ้น

ญี่ปุ่นกังวลจีนขยายพื้นที่ปฏิบัติการทางทหารกว้างขึ้น ในแปซิฟิกตะวันตก ก่อนเดินหน้าขยายงบฯ กลาโหมเตรียมรับมือ

เมื่อวันที่ 15 ก.ค.68 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น เผยแพร่รายงานประจำปี 2025 (พ.ศ. 2568) เมื่อวันอังคารนี้ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับจีนขยายศักยภาพปฏิบัติการทางทหารครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางขึ้นและไกลขึ้น ในย่านมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งตะวันตก

รายงานกระทรวงกลาโหมของญี่ปุ่น ยังระบุด้วยว่า เฉพาะการขึ้นลงของเครื่องบินรบจากเรือบรรทุกเครื่องบินของจีน ก็มีจำนวนมากกว่า 1,200 ครั้ง ในช่วงปีที่ผ่านมา

พร้อมกันนี้ ในรายงานฯ ยังเปิดเผยด้วยว่า ญี่ปุ่นกำลังเดินหน้าเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมให้ได้ตามเป้าหมาย ร้อยละ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี เพื่อเสริมสร้างศักยภาพกองทัพเตรียมรับมือกับจีนที่ขยายแสนยานุภาพทางทหารที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว

Montbell เปิดเวที T-Shirt Design Contest พาผู้ชนะบินลัดฟ้าเยี่ยมชม Montbell Store Osaka ที่ญี่ปุ่น

Montbell Thailand เดินหน้าสร้างสรรค์สังคมเปิดเวทีประกวดลายเสื้อยืดถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับช้างไทย และความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างคนกับช้าง สานต่อจิตวิญญาณแห่งการอนุรักษ์ผ่านงานออกแบบภายใต้แคมเปญ “UNSPOKEN SOULS” T-Shirt Design Contest B.A.D. X Montbell Thailand ร่วมส่งเสริมจิตสำนึกด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติและวัฒนธรรม

Montbell แบรนด์อุปกรณ์กลางแจ้งชื่อดังจากญี่ปุ่น โดยคุณพิพัฒน์ ภิญญาวัธน์ และคุณวิสิทธิ์ กวินวงศ์โกวิท กรรมการบริหาร สานต่อแนวคิดการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน เชิญชวนนักออกแบบรุ่นใหม่และผู้มีใจรักธรรมชาติจากสมาคม B.A.D. หรือ Bangkok Art Directors’ Association โดยกลุ่มครีเอทีฟในวงการโฆษณาไทย มาร่วมถ่ายทอดคุณค่าของ "ช้างไทย" สัตว์คู่ผืนป่าที่เปี่ยมด้วยความหมายลึกซึ้งผ่านงานออกแบบศิลป์บนเสื้อยืด กิจกรรมในครั้งนี้เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “Souls Connection” หรือ สายใยระหว่างวิญญาณที่ไร้เสียง โดยใช้ “ช้าง” สัตว์คู่แผ่นดินไทยที่เปรียบเสมือนจิตวิญญาณอันเงียบงันของผืนป่า เป็นตัวแทนของการเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ และการส่งต่อความทรงจำระหว่างรุ่น เพื่อกระตุ้นให้เกิดจิตสำนึกในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง

ผลการตัดสินผู้ชนะ ได้แก่ นางสาวพัทธิยา ชูสวัสดิ์ และนายธนภูมิ กีรติพจน์ ที่ได้ร่วมเดินทางไปเยี่ยมชม Montbell Store Osaka พร้อมรางวัลเงินสด 20,000 บาท และบัตรกำนัลจากทางแบรนด์มูลค่า 20,000 บาท พร้อมเรียนรู้เบื้องหลังการผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ และแนวคิดด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนจากแบรนด์ต้นแบบระดับโลก ซึ่งผลงานที่ชนะจะถูกผลิตจริงเป็นเสื้อยืด Limited Edition เพื่อจัดจำหน่ายภายใต้แคมเปญพิเศษผ่าน Montbell Store ทั่วโลก รายได้ส่วนหนึ่งจะร่วมสนับสนุนกิจกรรมที่ UNSPOKEN SOULS เพื่อทำสารคดีระดมทุนและเผยแพร่ด้านการอนุรักษ์ช้างในประเทศไทยที่จัดทำโดยครอบครัวโอกุโนะ (Okuno Family) ผ่านบริษัทผลิตสื่อชื่อ K.M.Tomyam Co., Ltd. โดยมีจุดประสงค์เพื่อบอกเล่า “เสียงที่ไม่มีใครพูด” ของช้างบ้านในประเทศไทย

Montbell หวังว่ากิจกรรมนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมไทยร่วมกันส่งเสียงแทน “วิญญาณเงียบงัน” ของธรรมชาติ โดยเฉพาะ ช้างไทยที่เป็นมากกว่าสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณระหว่างมนุษย์กับโลกธรรมชาติที่เราทุกคนต้องช่วยกันปกป้อง และร่วมสร้างโลกที่มนุษย์และธรรมชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน พร้อมประกาศเจตนารมณ์ว่าแบรนด์จะยังคงเดินหน้าสร้างสรรค์โอกาส สนับสนุนคนรุ่นใหม่เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของสังคมไทยและธรรมชาติรอบตัวเราอย่างไม่หยุดยั้ง