ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 20 มี.ค.68

ประเด็นร้อนเศรษฐกิจรอบวัน 20 มี.ค.68 

-"ขุนคลัง" จ่อซื้อหนี้กลุ่มต่ำกว่า 1 แสนบาท ช่วยออกจากแบล๊กลิสต์เครดิตบูโรมากู้เงินใหม่ได้

-พณ.เปิดเผยผลสำรวจภาระหนี้ประชาชนลดลงเล็กน้อย ข้าราชการ-พนง.รัฐวิสาหกิจแชมป์ก่อหนี้ วอนรัฐหั่นดอกเบี้ย

-"แบงก์ชาติ" ผ่อนเกณฑ์ LTV นาน 1 ปี เริ่ม 1 พ.ค.68-30 มิ.ย.69 กระตุ้นอสังหา

-"ทีดีอาร์ไอ" ชี้รัฐหยุดแจกเงินดิจิทัล ได้ไม่คุ้มเสีย ควรเน้นแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ศก.ระยะยาวดีกว่าใช้สุรุ่ยสุร่ายไปเรื่อยๆ

-อาการโคม่า! "เครดิตบูโร" กางข้อมูลหนี้ครัวเรือน ชี้หนี้เสีย 1.2 ล้านล้าน

-SCB FM มองเฟดลด ดบ.กลางปีพิษ ศก.ชะลอ ทำให้เงินบาททยอยแข็งค่า แต่ Tariffs อาจดันเงินเฟ้อ-กดดันบาทอ่อนระยะสั้น

-ทหารมีงานทำหลังปลดประจำการ เปิดรับกว่า 3 หมื่นอัตรา ป้อนตลาดแรงงานคุณภาพ สร้างเศรษฐกิจไทย

-“เผ่าภูมิ” นำสรรพสามิตผนึกไปรษณีย์หลักสี่ จับสินค้าเลี่ยงภาษี รวมค่าปรับกว่า 100 ล้าน

-"สุริยะ" หารือผู้บริหาร DMIA มาเลเซีย สนใจร่วมลงทุนรถไฟทางคู่ ชุมพร-ปาดังเบซาร์ เชื่อมไทย-มาเลเซียไร้รอยต่อ

-กทพ.เปิดใช้ทางเข้าด่านดาวคะนอง มุ่งหน้าเข้าเมืองได้ตามปกติตั้งแต่เวลา 06.00 น.วันนี้(20มี.ค.)

-โชคใหญ่ ลุ้น 3 ล้านบาททุกเดือนกับ “สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดพิมานมาศ ปี 2568” 

-ใกล้แตะ 5 หมื่นบาท ราคาทองวันนี้ 20 มีนาคม 2568 ขึ้นอีก 200 บาท ทองรูปพรรณ 49,250 บาท

-เงินบาทปิดอยู่ที่ 33.69/70 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากเปิดตลาดเช้านี้ที่ระดับ 33.57/59 บาท/ดอลลาร์ ระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.56 - 33.74 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทและสกุลเงินในภูมิภาคเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ระหว่างวันยังไร้ปัจจัยใหม่ ราคาทองปรับตัวเล็กน้อย สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามคืนนี้ คือผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ที่คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ย และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 33.60 - 33.80 บาท/ดอลลาร์

-SET ปิดวันนี้(20มี.ค.)ที่ 1,181.71 จุด ลดลง 7.95 จุด (-0.67%) มูลค่าซื้อขาย 44,627.97 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยวันนี้หลังจากปรับตัวขึ้นมาแตะ 1,200 จุด ก็พลิกกลับมาปรับตัวลงเคลื่อนไหวแดนลบ โดยมีแรงกดดันจากแรงขายหุ้น DELTA GULF และ INTUCH กดดันดัชนี และตลาดรับรู้ข่าวการประชุมเฟดที่คงดอกเบี้ยตามคาดไปแล้ว ทำให้ไม่ได้เป็นปัจจัยที่เซอร์ไพรส์ตลาด แนวโน้มพรุ่งนี้คาดแกว่งไซด์เวย์ พร้อมให้แนวต้าน 1,200 จุด แนวรับ 1,170 จุด

#ธปท #ราคาทอง #ข่าววันนี้ #ซื้อหนี้เสีย #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์ #SET

 

"นักวิชาการทีดีอาร์ไอ" เปิด 3 แนวทางช่วยแก้ปัญหาหนี้เสีย

นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เผย 3 แนวทางช่วยแก้ปัญหาหนี้เสีย แนะดึงงบโครงการเงินดิจิทัลเฟส 3 ช่วยค้ำประกันให้เอกชนช่วยบริหารจัดการปัญหาหนี้เสีย

เมื่อวันที่ 19 มี.ค.68 นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวในรายการ "มุมการเมือง" ทางไทยพีบีเอส ถึงแนวคิดการซื้อหนี้ประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เสียว่า ปัญหาหนี้ก้อนใหญ่เกิดขึ้นมาภายหลังช่วงโควิด-19 โดยพื้นฐานหากไม่นับสถานการณ์พิเศษโดยทั่วไป การดำเนินธุรกิจโดยปกติก็จะมีผู้ที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จก็จะทำให้หนี้เสีย (NPL) และหนี้ที่ใกล้จะเสีย (PM) อยู่แล้ว

โดยตามปกติจะมีกลไกตลาดในการจัดการปัญหาดังกล่าว เช่น ธนาคารจะแยกหนี้เหล่านี้เป็นหนี้เสีย เพราะการดำเนินการฟ้องร้องต่อไปก็อาจจะไม่คุ้มค่า รวมถึง ธนาคารอาจขายหนี้เหล่านี้ให้มืออาชีพ เช่น บริษัทรับจัดการหนี้ไปบริหารจัดการ ซึ่งอาจต้องมีการเจรจาเพื่อลดมูลหนี้ที่ติดค้างกันไว้ลง เพื่อให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ที่ค้างไว้ได้ โดยไม่ต้องเป็นหนี้สูญ (แฮร์คัตหนี้) จากนั้นบริษัทที่รับจัดการหนี้จะไปเจรจากับลูกหนี้และหากำไรจากตรงนั้น

ทั้งนี้ประเด็นปัญหาคือ มีกลไกอยู่แล้ว แต่มีหนี้จากโควิดระบบกลไกต่างๆก็ทำงานอยู่ แต่สางปัญหาได้ช้า ผลที่ตามมาจึงทำให้เกิดปัญหากองหนี้ใหญ่และส่อจะไม่ได้รับการชำระคืนหนี้ และทำให้ธนาคารไม่ค่อยปล่อยกู้ เศรษฐกิจก็จะชะลอตัว ทำให้ธุรกิจชะงักงัน ปัญหาหนี้สะสมเหล่านี้ก็พอกพูนไปอีก

นายนณริฏ กล่าวอีกว่า กองหนี้เหล่านี้หากปล่อยไว้โดยไม่ดำเนินการจะใช้เวลาแก้ปัญหาหนี้ราว 3-5 ปี แต่หากตามที่นายทักษิณ ชินวัตรต้องการแก้ไขปัญหาให้เร็วกว่านี้ จึงจะเสนอกลไกเหล่านี้เข้ามาโดยซื้อกองหนี้ไปบริหารจัดแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะออกมาในรูปแบบใด โดยอาจมี 3 แนวทางคือ 1.ดำเนินการโดยเอกชน 100 % ซึ่งจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ เพราะหากภาคเอกชนจะทำกำไร ขณะนี้ก็มีหนี้เหล่านี้ให้ภาคเอกชนเลือกมาบริหารจัดการเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีข้อดีคือ ไม่กระทบงบประมาณรัฐ โดยภาครัฐอาจต้องไปหาแรงจูงใจมาให้เอกชน ซึ่งอาจได้ยาก การให้เอกชนมาดำเนินการ กรณีที่ดีที่สุดคือ แต่ปกติในตลาดมีกระบวนการเหล่านี้อยู่แล้วการนำหนี้มาบริหารจัดการ แต่ขนาดของปัญหากองหนี้นั้นใหญ่มาก เอกชนทำเต็มที่และใช้เวลาในการจัดการ ซึ่งมันทำได้แต่ไม่อาจเห็นผลว่า เอาหนี้ทั้งระบบที่เป็นปัญหาออกไปเพราะเยอะกว่าที่ภาคเอกชนจะจัดการเองได้ทั้งหมด

2.ภาครัฐดำเนินการเอง อาจจะตั้งหน่วยงานหรือองค์กรขึ้นมา หรือ ผูกติดกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย และรับโอนหนี้ โดนแฮร์คัตหนี้ มาอยู่ในภาครัฐ 

3.ภาครัฐประกันหนี้เพื่อสร้างจูงใจให้เอกชนมาดำเนินการคล้ายกับ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) 3.ภาครัฐต่ำประกันเพื่อจูงใจให้เอกชนมาดำเนินการมากขึ้น เนื่องจากมีปัญหาคือมีหนี้ เอกชนที่ไม่สามารถปล่อยกู้ให้เอสเอ็มอีได้เพราะมีความเสี่ยงสูงเอกชนไม่กล้าปล่อยกู้ ภาครัฐจึงค้ำประกันหนี้เสียให้ 30 % ซึ่งเป็นแนวทางกลางๆ

โดยทางเลือกที่ดีที่สุดและใช้เงินไม่มากแทนที่จะแจกเงินดิจิทัล มาใช้กลไกแนวทาง บสย.มาค้ำประกันให้ 20-30% และให้เอกชนมาบริหารจัดการหนี้เพราะภาคเอกชนทำได้เก่งกว่า ขณะที่การซื้อหนี้โดยภาครัฐนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปคนจะมีทัศนคติว่า รัฐจะมายกหนี้ให้ เช่นกรณีของภาคการเกษตร แง่ดีคือเกิดผลเร็วมาก แต่ท้ายสุดภาครัฐจะแบกรับหนี้ไปทั้งหมด เมื่อเวลาผ่านไปคนจะคุ้นชินและจะเกิดกรณีไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย แบบภาคการเกษตร หรือ กองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่หลายคนก็ไม่ยอมจ่าย แม้ว่าจะมีฐานะดีขึ้น

นักวิชาการอาวุโส ทีดีอาร์ไอ กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งสำคัญคือ หลักการให้ประเทศเดินหน้าไปต่อคือ มีหนี้ต้องจ่ายหนี้ ซึ่งการสร้างทัศนคติที่อันตราย ในการก่อหนี้แล้วไม่ใช้คืนเพราะคิดว่าภาครัฐจะซื้อหนี้ไป ซึ่งเคยเกิดปัญหามาแล้วกับภาคการเกษตรว่า มีหนี้ไปเรื่อย ๆ จนตาย เมื่อตายก็จะยุติหนี้ ขณะที่หนี้ภาคอื่น ๆ ใหญ่กว่ามาก และจะมีปัญหามากขึ้นหากสร้างทัศนคติแบบนี้