“ศาลอาญาคดีทุจริตฯภาค1” สั่งจำคุก 5 ปี “นายกเทศมนตรี ชัยนาท” สั่งคนงานนำเครื่องสูบ เครื่องตัดหญ้า ไปใช้หาประโยชน์

“ศาลอาญาคดีทุจริตฯภาค1” สั่งจำคุก 5 ปี “นายกเทศมนตรี ชัยนาท” สั่งคนงานนำเครื่องสูบ เครื่องตัดหญ้า ไปใช้หาประโยชน์

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จ.สระบุรี ศาลได้อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อท50/2568 คดีหมายเลขแดงที่ 106/2568 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ภาค 1 เป็นโจทก์ นายไตรศักดิ์  นายกเทศมนตรี ต.เจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาทเป็นจำเลย ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ

โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี ต.เจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ยินยอมให้หน่วยงานราชการ และประชาชนทั่วไปใช้สถานที่เพื่อใช้จัดการประชุม จัดสัมมนาและจัดอบรมต่าง ๆ โดยเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ในการขอใช้สถานที่ เช่น ค่าวิทยากร ค่าบำรุงรักษาศูนย์การเรียนรู้ ค่าอาหารว่าง และค่าอาหารกลางวัน โดยปิดป้าย ไว้ที่ศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่และมีแผ่นพับที่มีข้อความแสดงค่าใช้จ่ายในการขอใช้ สถานที่ โดยจำเลยนำครุภัณฑ์ประเภทเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำซึ่งเป็นครุภัณฑ์ของเทศบาลต.เจ้าพระยา ผู้เสียหาย ไปใช้ในกิจการส่วนตัวในบริเวณพื้นที่ของปัทมรัฐจิรนนท์ฟาร์มและศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของจำเลย ทั้งได้สั่งการให้ลูกจ้างของผู้เสียหายไปทำงาน ที่ศูนย์การเรียนรู้ตามรอยพ่อหลวงหรือสวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลย จึงเป็นการอาศัยอำนาจในตำแหน่งและ หน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นเหตุให้เทศบาลต.เจ้าพระยา ได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157พ.ร.ป. รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 172 จำเลยให้การปฏิเสธ

ทางไต่สวนได้ความว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีต.เจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท สั่งการให้คนงานซึ่งเป็นลูกจ้างของเทศบาลต.เจ้าพระยา ผู้เสียหายไปทำงานที่ สวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยและได้นำเครื่องตัดหญ้าของผู้เสียหายไปใช้ในสถานที่ดังกล่าวด้วย จึงเห็นว่าการที่จําเลยสั่งการให้คนงานซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายไปทำงานที่สวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยและได้นำ เครื่องตัดหญ้าของผู้เสียหายไปใช้ในสถานที่ดังกล่าวเป็นการใช้ประโยชน์จากบุคลากรและทรัพย์สิน ของผู้เสียหายซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐอันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับ ตนเองหรือผู้อื่น ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าสวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยจัดตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนหรือเกษตรกรในพื้นที่ให้ปลูกพืชใช้น้ำน้อยและพืชทางเลือกอื่น ๆ โดยยึดตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ตามพระราชดำริขององค์พ่อหลวง ร.9 โดยมิได้เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่เข้าไปศึกษาดูงานแต่อย่างใดนั้น ปรากฏป้ายอัตราค่าใช้จ่ายในการเข้าศึกษาดูงานซึ่งจำเลยเบิกความรับรองว่าติดอยู่ภายในสวนมะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยมีอัตราค่าวิทยากร ค่าอาหารและราคากิ่งพันธุ์พืชที่จําเลยจัดจําหน่ายภายในสถานที่ดังกล่าวด้วย แสดงให้เห็นว่านอกจากการเข้าศึกษาดูงานภายในสถานที่ดังกล่าวแล้ว แม้หากเป็นส่วนราชการหรือประชาชนที่เข้าไปศึกษาดูงานอาจไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนของการใช้สถานที่

แต่จําเลยย่อมได้รับประโยชน์จากการขายกิ่งพันธุ์ไม้ที่จำเลยจัดจำหน่ายภายในสถานที่ดังกล่าว นอกจากนี้จำเลย ยังเบิกความรับว่าเหตุที่สั่งการให้คนงานของผู้เสียหายเข้าไปทำงานที่สวนมะกรูดนายกใหญ่และนำเครื่องตัดหญ้า ไปใช้ในสถานที่ดังกล่าวนั้นเพียงให้เข้าไปดูแลเฉพาะแปลงสาธิตและหอประชุมที่ใช้ในการประชุมของผู้เสียหาย เท่านั้น แต่จำเลยเบิกความว่าได้สั่งการให้คนงานเข้าไปทำงานในสถานที่ดังกล่าวซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนตัวของจำเลย สัปดาห์ละ 2- 3 วัน และหากมีการประชุมบ่อยครั้งจำเลยจะสั่งการให้คนงานเข้าไปทำงานแทบทุกวัน

ซึ่งการที่จำเลยสั่งการให้คนงานเข้าไปทำงานและนำเครื่องตัดหญ้าไปใช้ในสถานที่ส่วนตัวของจำเลยนั้นย่อมเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยโดยตรง แม้หากจำเลยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการอนุญาตเข้าไปศึกษาดูงานที่สวน มะกรูดนายกใหญ่ของจำเลยจริง จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากคะแนนนิยมของประชาชนในพื้นที่และย่อมส่งผลให้จำเลยได้รับเลือกตั้งหรือได้รับผลประโยชน์ในทางการเมืองอันเป็นการหาเสียงและการแถลงนโยบายของจำเลยสืบเนื่องจากการใช้ประโยชน์จากบุคลากรและทรัพย์สินของผู้เสียหายนั่นเอง

การกระทำของจำเลย เป็นการอาศัยโอกาสทางการเมืองจากตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยเอง จึงเป็น การแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นซึ่งเป็นการทุจริต ตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่เทศบาลต.เจ้าพระยา หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ฐานเป็นเจ้า พนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลตำบลเจ้าพระยา ผู้เสียหาย

ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามฟ้องจริง

พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 การกระทำของ จำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151ซึ่งเป็น กฎหมายที่มีบทลงโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปี.

อายุขนาดนี้ต้องมาติดคุก! “นิพิฏฐ์” อโหสิกรรม “ทักษิณ” หลังศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 ปี ชี้สู้กันจริงแต่ไม่เคียดแค้น

อายุขนาดนี้ต้องมาติดคุก! “นิพิฏฐ์” อโหสิกรรม “ทักษิณ” หลังศาลฎีกาสั่งจำคุก 1 ปี ชี้สู้กันจริงแต่ไม่เคียดแค้น

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊ก ระบุว่า

อโหสิ

-ศาลฎีกามีคำสั่งให้นำตัวคุณทักษิณ ชินวัตร ไปจำคุก 1 ปี เนื่องจากถือว่า ยังไม่ได้มีการบังคับโทษจำคุกจริง

-ผมอโหสิให้คุณทักษิณไปแล้ว แม้ว่าตอนต่อสู้กันมา ผมโดนแจ้งความและโดนฟ้องถึง 13 คดี แต่ถือว่า เราเห็นต่างกันในทางการเมือง

-ใครยังจะโกรธคุณทักษิณอยู่ ก็โกรธไป แต่ไม่น่าจะมีสิทธิอะไรมาต่อว่าผม เพราะตอนสู้ผมก็สู้จริงไม่น้อยกว่าใคร มิได้โกรธเกลียดท่านเป็นการส่วนตัว

-ตรงข้ามเสียด้วยซ้ำ ผมกลับเห็นใจคุณทักษิณ และครอบครัวท่านเสียอีก ที่คนในสถานะเช่นนี้ อายุขนาดนี้ ต้องมาติดคุก เพราะถ้าจะว่าไป นโยบายหลายเรื่องของคุณทักษิณก็มีประโยชน์กับบ้านเมืองมาจนทุกวันนี้

-การมีนโยบายให้ประชาชนแตกแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย ชิงชังกัน ใช้คำหยาบต่อกัน บ่มเพาะความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในหัวใจประชาชน มีแต่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก สุดท้ายแล้วไม่มีประโยชน์ต่อตัวเองและประเทศชาติ

-คนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย,มีน้องเขยเป็นนายกรัฐมนตรี,มีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรี และ มีลูกสาวเป็นนายกรัฐมนตรี ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน

-มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ท่านขาดไป ผมเคยพูดเรื่องนี้บ่อยมากในสภาผู้แทนราษฎร คือ ท่านขาด “กัลยาณมิตร”

 

เดือด! "หนุ่ม กรรชัย" ยื่นฟ้องศาลลั่น ไม่เอาเงิน เอาคุกสถานเดียว ชี้ต้องมีชนักติดหลัง

เดือด! "หนุ่ม กรรชัย" ยื่นฟ้องศาลลั่น ไม่เอาเงิน เอาคุกสถานเดียว ชี้ต้องมีชนักติดหลัง

วันที่ 17 เม.ย.68 พิธีกรฝีปากกล้าแห่งโนกระแส "หนุ่ม" กรรชัย กำเนิดพลอย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หนุ่ม กรรชัย เป็นภาพเอกสารคำฟ้องจากศาลอาญา หมายเลขดำ วันที่ 28 เมษายน 2568 โดยบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด (โจทก์ที่ 1) และนายภูดิท กำเนิดพลอย (โจทก์ที่ 2) ร่วมกันยื่นฟ้อง นางสาวภัส... วอยซ์ ฐานบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความเสียหาย

หนุ่ม กรรชัย เผยรายละเอียดเพิ่มเติมว่า ผมไม่ได้ฟ้องเพื่อเรียกเงิน หรือค่าเสียหายนะครับ ผมฟ้องเพื่อให้มีโทษจำคุกสถานเดียว ถ้าผมชนะ ต่อให้รอลงอาญา คุณก็จะมีประวัติอาชญากรรมเป็นชนักติดหลังไว้ จะได้คอยระวังตัวเองไม่ไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีก

 

 

ก่อนหน้านี้ หนุ่ม กรรชัย ออกมาโพสต์ด้วยความสุดทน เผยว่า  ถ้าจะล้ำเส้นบิดเบือนข้อเท็จจริงกันขนาดนี้ก็รอรับหมายเลยแล้วกัน ปล่อยผ่านมานานแล้ว

 

 

-ขอขอบคุณเพจหนุ่มกรรชัย

“ฟ้า-ปูนสามนิ้ว”คอตกศาลสั่งจำคุกคนละ7ปี ก่อนลดโทษ-รอลงอาญาคดีมาตรา 112

เมื่อวันที่ 17 ก.พ.68 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น. ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาคดีมาตรา 112 และ ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ของ “ฟ้า” พรหมศรหรือพรหมลิขิต วีระธรรมจารี และ “ปูน” ธนพัฒน์ (สงวนนามสกุล) กรณีปราศรัยในการชุมนุม #ราษฎรประสงค์ยกเลิก112 เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2564 . พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกทุกข้อหา รวมโทษจำคุกคนละ 7 ปี ปรับคนละ 30,000 บาท ก่อนลดโทษให้ เหลือโทษจำคุกฟ้ารวม 3 ปี 6 เดือน และปรับ 15,000 บาท และโทษจำคุกปูนรวม 4 ปี 8 เดือน และปรับ 20,000 บาท.

เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์แห่งคดี เห็นว่า เป็นการปราศรัยทางการเมือง ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุ มีการจัดการเลือกตั้ง มีหลายกลุ่มที่ออกมาแสดงความเห็นทางการเมือง เป็นการแสดงความเห็นเพื่อต้องการให้ประเทศพัฒนาดีขึ้น และธนพัฒน์ จำเลยที่ 1 อายุยังน้อย ขาดความยับยั้งชั่งใจ โทษจำคุกไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยทั้งสอง จึงให้รอการลงโทษเป็นเวลา 3 ปี คุมประพฤติ 2 ปี โดยให้รายงานตัวต่อเจ้าพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน และให้ทำประโยชน์สาธารณะเป็นเวลา 12 ชั่วโมง

ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่น เมื่อศาลพิพากษาให้รอการลงโทษ จึงไม่สามารถนับโทษต่อได้ ให้ยกคำขอของอัยการโจทก์

หลังอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น พรหมศรได้ร้องไห้ด้วยความดีใจและสวมกอดเพื่อน ธนพัฒน์เองก็ขอบคุณทนายความและเพื่อน ๆ ที่มาให้กำลังใจ และทั้งสองได้กล่าวขอบคุณผู้พิพากษาก่อนที่จะไปจ่ายค่าปรับรวม 35,000 บาท

สำหรับพรหมศร คดีนี้เป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 2 ที่ศาลมีคำพิพากษา ในจำนวนคดี 112 ที่พรหมศรถูกดำเนินคดีทั้งหมด 6 คดี โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีปราศรัยและร้องเพลงหน้าศาลจังหวัดธัญบุรี เรียกร้องให้ศาลปล่อยตัวนักศึกษาธรรมศาสตร์ ลงโทษจำคุก 4 ปี ก่อนลดเหลือ 2 ปี แต่คดียังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ และได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์

ส่วนธนพัฒน์ คดีนี้เป็นคดีมาตรา 112 คดีที่ 2 ที่ศาลมีคำพิพากษาเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีวางเพลิงพระบรมฉายาลักษณ์หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม จำคุก 1 ปี และได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์เช่นกัน

“เพจดัง” ชี้คำพิพากษาศาล ปมสั่งจำคุก ให้เหตุผลชัดเจน เตือนระวังเจอข้อหาหมิ่นฯ

จากกรณีที่ ศาลอาญาคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก "ศาสตราจารย์กิตติคุณพิรงรอง รามสูต" กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เป็นเวลา 2 ปี กระทำผิด มาตรา 157 ทำให้ "ทรูไอดี" หรือ "TrueID" ให้ได้รับความเสียหาย

เมื่อวันที่ 7 ก.พ.68 เพจ Drama-addict ระบุข้อความว่า

การจะปกป้องผู้บริโภคนั้นเป็นเรื่องดีแต่กระบวนการต้องถูกต้องด้วย

คนที่อ่านข่าวคำพิพากษาอย่าพึ่งรีบด่าศาล  เดี๋ยวเจอข้อหาหมิ่นศาลเอานะครับ

ตามที่หมอสาริกาแกสรุปแหละ ตอนแรกเห็นข่าวก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงโดนตัดสินจำคุก แต่อ่านคำพิพากษาที่เผยแพร่ออกมาศาลให้เหตุผลไว้ชัดเจนแล้ว

ไม่รอด! จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา “สายน้ำ-ออย” คดีพ่นสีสเปรย์

จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา“สายน้ำ - ออย” พ่นสีฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและเสาชิงช้าปี 66

เมื่อวันที่ 9 ก.ย.67  ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีพ่นสีสเปรย์ที่ฐานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตัวเลข 112 และที่ฐานเสาชิงช้ากรณีหยกเมื่อปี    66 คดีของ"สายน้ำและออย"ในฐานความผิด พ.ร.บ.โบราณสถาน ม.32 และฐาน พ.ร.บ.ความสะอาด ม.12 ความผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรม ตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน ม.32 วรรคหนึ่งและวรรคสอง และฐาน พ.ร.บ.ความสะอาด ม.12 ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.โบราณสถานมาตรา 32 วรรคหนึ่งวรรคสอง ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่หนักที่สุด จำคุกคนละ 1 ปี รวม 2 กรรม 2 ปี

จำเลยให้การรับสารภาพหลังสืบพยานไปบ้าง เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษกระทงละกึ่งหนึ่ง เป็นกระทงละ 6 เดือน รวมสองกระทงจำคุกคนละ 12 เดือน ด้วยจำเลยกระทำความผิดในลักษณะเดียวกันหลายครั้งในลักษณะคึกคะนอง สมควรลงโทษให้หลาบจำ จึงไม่รอการลงโทษ

ต่อมาในเวลา 16.25 น. ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัวในระหว่างชั้นอุทธรณ์ โดยให้วางเงินประกันคนละ 50,000 บาท และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ

#ข่าววันนี้ #ข่าวการเมือง #การเมือง #ไม่รอด #ไม่รอลงอาญา #สายน้ำ #พ่นสีสเปรย์

ศาลตัดสินจำคุก คนละ 25 ปี สองผัวเมียโหด สาดน้ำกรดสาว ม.6 หน้าเสียโฉม ให้ชดใช้ 2 ล้าน

ศาลนางรอง จ.บุรีรัมย์ ตัดสินจำคุกสองผัวเมียโหดสาดน้ำกรดนักเรียนหญิง ม.6 สาหัสเสียโฉม หูขาด ตาหวิดบอด เมื่อ 10 เดือนก่อนจำคุกคนละ 25 ปี ผัวมีคดีเดิมโดนเพิ่มอีก 10 ปี พร้อมให้ชดใช้เงิน 2 ล้าน แม่เผยลูกสาวต้องตกอยู่ในสภาพเหมือนตายทั้งเป็นร่วมปี ผู้ก่อเหตุไม่เคยเยียวยาแม้แต่บาทเดียว ขอบคุณศาล ตร. อัยการ ทนายความที่ช่วยเหลือจนลูกสาวได้รับความยุติธรรม แต่กังวลคู่กรณีจะไม่ชดใช้ค่าเสียหาย

วันนี้ ( 19 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายเจษฎาภรณ์ อายุ 21 ปี และ น.ส.อังคณา อายุ 25 ปี สองสามีภรรยา สวมชุดดำและไอ้โม่งปิดบังใบหน้า ถือถังบรรจุน้ำกรดบุกเข้าไปสาดใส่ น.ส.ณัฐติกานต์ หรือน้องอั้ม อายุ 18 ปี นักเรียนชั้น ม.6 ขณะนั่งกินข้าวอยู่กับยายและน้าชาย ภายในร้านอาหารตามสั่งในเขตเทศบาลนางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 27 ส.ค.2566 ทำให้น้องอั้มโดนน้ำกรดทั้งที่ใบหน้า ดวงตา หน้าอก ไหลอาบลำตัวสภาพผิวหนังไหม้ เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย ส่วนยายและน้าชายที่นั่งกินข้าวด้วยกันก็โดนน้ำกรดกระเด็นใส่ มีรอยไหม้ตามใบหน้า ลำคอ ลำตัว แขน และขา แต่ไม่สาหัสเท่าน้องอั้ม ที่ใบหน้าเสียโฉม หูซ้ายขาด และ ตาซ้ายเกือบบอด สภาพเหมือนตายทั้งเป็นต้องรักษาตัวที่ รพ.นานกว่า 4 เดือน ส่วนมูลเหตุจูงใจคาดว่าสองสามีภรรยาแค้นที่เคยถูกแจ้งความฐานพรากผู้เยาว์ และทำให้เสียทรัพย์ ถึงแม้จะมีการไกล่เกลี่ยชดใช้ค่าเสียหายและคดีจบกันไปแล้ว

หลังก่อเหตุทั้งสองสามีถูกตำรวจจับกุมได้ ขณะหนีไปซ่อนตัวอยู่สวนมะม่วงที่ จ.อุดรธานี หลังพบพยานหลักฐานทั้งการเช่ารถยนต์ที่ใช้ประกอบเหตุ ภาพจากกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ ที่สามารถยืนยันได้ว่าทั้งสองร่วมในการก่อเหตุสาดน้ำกรดน้องอั้ม
              

คดีนี้พนักงานอัยการจังหวัดนางรอง ได้เป็นโจทย์ยื่นฟ้องต่อศาล ในข้อกล่าวหา “พยายามฆ่า” จากที่ตอนแรกพนักงานสอบสวนแจ้งเพียงข้อหา “ทำร้ายร่างกายให้ได้รับอันตรายสาหัส” แต่อัยการเห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองทำด้วยการนำน้ำกรดถึง 2 ถังไปสาดใส่น้อง อาจทำให้ได้รับอันตรายแก่ชีวิต จึงให้สอบเพิ่มเติมและแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม คือ “พยายามฆ่า โดยไตร่ตรอง”

ล่าสุด นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ ได้ออกมาเปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีดังกล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2567 ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดนางรอง ได้พิพากษาตัดสินลงโทษสองสามีภรรยา ที่เป็นจำเลยในคดีนี้ ในอัตราโทษสูงสุดคือ ประหารชีวิต เพราะกระทำผิดฐานพยายามฆ่า และไตร่ตรอง แต่ความผิดยังไม่สำเร็จ จึงเหลือจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพจึงตัดสินลดโทษเหลือจำคุกคนละ 25 ปี แต่ผู้เป็นสามีเคยมีคำพิพากษาก่อนหน้านี้เรื่องคดีพรากผู้เยาว์ด้วย จึงเพิ่มโทษสามีอีก 10 ปี รวมเป็น 35 ปี ส่วนคดีแพ่งก็ให้ชดใช้เงินอีก 2,006,000 บาท

ในฐานะทนายความที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือน้อง ขอชื่นชมและขอบคุณกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นตำรวจที่ติดตามจับกุมได้เร็ว ทีแรกพนักงานสอบสวนอาจจะกล่าวหาพียงทำร้ายร่างกายให้ได้รับอันตรายสาหัส แต่อัยการเห็นว่าการกระทำและผลที่ได้รับมันเกินกว่านั้นกระทั่งมีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเป็นพยายามฆ่า ซึ่งได้ต่อสู้ในชั้นศาลมาร่วมปี ถือว่าวันนี้น้องได้รับความยุติธรรม

แต่ยังกังวลว่าหากจำเลยไม่ยอมชดใช้เงินค่าเสียหาย 2,006,000 บาทตามคำพิพากษา ก็จะได้แค่กระดาษหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาทางจำเลยทั้งสองไม่เคยเยียวยาผู้เสียหายแม้แต่บาทเดียว และไม่เคยเอาเงินมาวางศาลเพื่อทุเลาผลที่กระทำผิดเลย ต้องทำการสืบทรัพย์ว่าทั้งคู่จะมีทรัพย์สินเป็นของตัวเองที่จะทำการยึดมาชดใช้ให้ผู้เสียหายได้หรือไม่ แต่มองว่าตามหลักความเป็นมนุษย์ด้วยกันก็น่าจะเยียวยาบ้าง

ด้าน น.ส.จิราวรรณ แม่น้องอั้ม บอกว่า พอใจในคำตัดสินของศาลที่ท่านเมตตาให้ความยุติธรรมกับน้อง แต่แม่ยังกังวลว่าผู้กระทำผิดทั้งคู่จะไม่จ่ายเงินเยียวยาให้ตามคำพิพากษาศาล เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยเยียวยาเลยแม้แต่บาทเดียว ซึ่งตั้งแต่เกิดเหตุน้องก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น แม้ว่าปัจจุบันสภาพจิตใจ และร่างกายจะเริ่มดีขึ้นบ้างช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ยังไม่สามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ

ทุกวันนี้ยังต้องไปหาหมอตามนัดทั้งที่ รพ.บุรีรัมย์ เพื่อทำการรักษาโดยเฉพาะดวงตาที่มองไม่ชัด ใบหูที่ขาดและรูหูปิดได้ยินไม่ชัด ทั้งต้องเดินทางไปคลินิกศัลยกรรม “ธีรพรคลินิก” ที่กรุงเทพฯ เป็นระยะ เพื่อประเมินสภาพใบหน้าและรักษาผังผืด เพราะทางคลินิก โดยคุณหมอ ชลธิศ จะทำศัลยกรรมให้กับน้องฟรี

“ขอบคุณทุกคนทั้ง ตำรวจ อัยการ ทนายความ และศาลที่ให้ความเป็นธรรม และขอบคุณคุณหมอที่ดูแลรักษาน้องเป็นอย่างดี หวังว่าคู่กรณีจะเห็นใจและนึกถึงความเป็นเพื่อนมนุษย์ดูแลเยียวยาน้องบ้าง” แม่น้องอั้ม กล่าว

จำคุก 50 ปี “จนท.ราชทัณฑ์” ไม่รอลงอาญา โกงเงิน“ร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง” 4 แสนบาท

เมื่อวันที่ 19 ก.พ.2567 เพจสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ออกเอกสารข่าว แจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ทุจริตเบียดบังเงินค่าสินค้าร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง โดยระบุว่า คดีนี้ได้มีการกล่าวหา นาย ส. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ เรือนจำกลางตาก กระทำการทุจริตในภาครัฐ

โดยมีพฤติการณ์การกระทำความผิด กล่าวคือ นาย ส. ได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดตาก ให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการเงินการบัญชี การจัดซื้อสินค้าภายในร้านฯ ได้อาศัยโอกาสที่ตนมีอำนาจหน้าที่ดังกล่าว ทำการจัดซื้อสินค้าร้านสงเคราะห์ผู้ต้องขัง โดยสั่งซื้อสินค้าเชื่อจากร้านค้า และเบิกเงินค่าสินค้าดังกล่าวจากเจ้าหน้าที่การเงิน แต่ไม่ได้นำเงินที่เบิกไปชำระค่าสินค้าที่สั่งซื้อสินค้าเชื่อ กลับเบียดบังเอาเงินที่เบิกในแต่ละครั้งไปเป็นประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น รวม 35 ครั้ง เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 418,560 บาท (สี่แสนหนึ่งหมื่นแปดพันห้าร้อยหกสิบบาท)

คณะกรรมการ ป.ป.ท. พิจารณาแล้วในคราวประชุมครั้งที่ 33/2565 เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 โดยมีมติเป็นเอกฉันท์ชี้มูลความผิดว่า การกระทำของนาย ส. ผู้ถูกกล่าวหา เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ต่อมาพนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ถูกกล่าวหาเป็นจำเลยต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ได้มีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขดำที่ อท 162/2566 คดีหมายเลขแดงที่ อท 405/2566 พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 35 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวม 35 กระทง เป็นจำคุก 70 ปี 210 เดือน เมื่อรวมทุกกระทงแล้ว คงจำคุกมีกำหนด 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ให้จำเลยชดใช้เงินคืนจำนวน 418,560 บาท แก่เรือนจำจังหวัดตาก กรมราชทัณฑ์ ผู้เสียหาย พิเคราะห์พฤติการณ์แล้วไม่สมควรรอการลงโทษ

พนักงานอัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ไม่อุทธรณ์

คณะกรรมการ ป.ป.ท. พิจารณาเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 แล้วมีมติเห็นชอบไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ตามความเห็นของพนักงานอัยการ

รับกรรม! ศาลสั่งจำคุก “ส.ต.ท.”ร่วมแก๊งลักปืนหลวงขาย โทษหนักสุดโดน 96 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 72และ 119/2566 ที่ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 ยื่นฟ้อง สิบตำรวจโท น. กับพวกรวม 9 คน จำเลย ทั้งสองคดีศาลสั่งรวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันโดยโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเก้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83,86,91,147157, 57,371 พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ พรบฯอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปีน , พรบ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่องกำหนดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาต ตามพรบ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ ให้จำเลยทั้ง 9 คืนอาวุธปืนเล็กยาวแบบเอ็ม 16 จำนวน 71 กระบอก หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,483,900 บาท

จำเลยทั้ง 9 ให้การปฏิเสธศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งเก้าตามทางไต่สวนแล้ว ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 เจ้าหน้าที่ทหารสืบทราบว่ามีการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนสงครามชนิดต่างๆ หน่วยข่าวกรองทหารใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งสามารถตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือ การใช้แอปพลิเคชันทางการเงิน แอปพลิเคชันสื่อสังคมออนไลน์ชนิดต่างๆตรวจสอบกระบวนการซักถามไปแล้วบันทึกข้อมูลร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจสืบสวนขยายผลจากภาพกล้องวงจรปิดมีการสื่อสารการใช้แอพพลิเคชั่น Google Maps นำทางมาบริเวณที่เกิดเหตุ

เส้นทางทำธุรกรรมของธนาคารที่เกี่ยวข้องกับการเงินของจำเลยทั้งหมด และพยานที่เกี่ยวข้องสอบสวนพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องตามลำดับพบว่า มีการเก็บกุญแจคลังเก็บอาวุธไว้ในที่เดียวกันเพื่อง่ายต่อการที่จำเลยที่ 1 กระทำความผิดนำกุญแจคลังเก็บอาวุธอาศัยจังหวะและโอกาสที่ตนเองทำหน้าที่เวรยามกระทำการลักลอบนำเอาอาวุธปืนออกจากคลังอวุธและมีเส้นทางการธุรกรรมการเงินโอนเงินระหว่างจำเลย ด้วยกันแต่ละครั้งเป็นจำนวนมาก และพบว่ามีจำเลยบางคนทำรายการถอนเงินสดหน้าธนาคารที่ได้รับมาจากภาพวงจรปิดกล้องของธนาคารต่างๆ เชื่อมโยงสัมพันธ์กันว่ามีการตกลงซื้อขายอาวุธปืน แต่ละช่วงเวลาที่มีการลักเอาและส่งมอบอาวุธปืนวันเกิดเหตุเพื่อให้แน่ใจว่าจะมีการส่งมอบกันจริงมีภาพวงจรปิดยืนยันว่ามีจำเลยที่ 2 พบกับจำเลยที่ 1 ถือสิ่งของเป็นซองกระดาษบรรจุเงินมอบให้แก่กันแล้วจำเลยที่ 1 นำเอาถุงบรรจุเงินสดส่งมอบให้จำเลยที่ 2ในกรุงเทพมหานครแล้ว จำเลยที่ 1 ถือถุงดังกล่าวกับทางอาวุธตามภาพถ่ายของกล้องวงจรปิด

ในชั้นซักถาม สืบสวนและสอบสวนจำเลยแต่ละคนได้ให้การถึงรายละเอียดของการซื้อขายอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนชนิดต่างๆ กับบุคคลภายนอกจำนวนหลายครั้งพยานหลักฐานของโจทก็สอดคล้องเชื่อมโยงตามพฤติกรรมที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นคำซัดทอดที่ต้องห้ามตามกฎหมายคำให้การของจำเลยแต่ละคนในชั้นสอบสวนสามารถนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ไม่

ปรากฎว่าพนักงานสอบสวนบังคับ ขู่เข็ญ ให้สัญญาล่อลวงทำร้ายร่างกายหรือกระทำการอื่นใดอันมิชอบด้วยกฎหมายจำเลยแต่ละคนให้การถึงรายละเอียดดังกล่าว ตามลำดับขั้นตอนข้อเท็จจริงสอดคล้องกันเป็นอย่างมากพูดถึงรายละเอียดการกระทำความผิดที่เจือสมสอดคล้องกัน การวินิจฉัยพยานหลักฐานของศาลฟังประกอบหลักฐานอื่นมิได้รับฟังแต่เพียงพยานบอกเล่าโดยลำพังมีเหตุผลหนักแน่นแม้จะไม่สามารถยึดอาวุธปืนของกลางนำมาตรวจสอบได้ว่าเป็นอาวุธปืนจากคลังอาวุธที่ถูกลักไปหรือไม่ แต่ภาพที่บันทึกในโทรศัพท์ของจำเลยที่ 6,7 มีสัญลักษณ์ของกองบัญซาการ ต. จำนวน 3 กระบอก มีหมายเลขอาวุธปืน 2 กระบอก ปะปนอยู่กับอาวุธปืนที่สูญหายอีก 71 กระบอก จึงเชื่อว่าเป็นจำนวนเดียวกันกับที่จำเลยที่  1 กับพวกลักนำออกไป

พยานหลักฐานของโจทย์ที่นำสืบและไต่สวนสามารถพิสูจน์ ความผิดของจำเลยผู้ทำความผิดได้ ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลย แต่ละคนที่อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องนั้น เห็นว่า เป็นการกล่าวอ้างที่ไม่สมเหตุสมผล ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานของโจทก็ได้ ฟังได้ว่าจำเลยแต่ละคนรู้หน้าที่และบทบาทของกันและกันมีสักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ รวมถึงรู้ถึงการกระทำในแต่ละครั้งของจำเลยที่ 1 ด้วยจำเลย 2,4-8 และที่ 8 มิใช่เจ้าพนักงานตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวบุคคล การกระทำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานนี้เท่านั้น

ดังนั้นการกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริตหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าหนักงนของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดในตำแหน่งหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

การกระทำของจำเลยที่ 2,4-6 และ 8 จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างหนึ่งอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4-6 และ 8 มีความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ฐานร่วมกันค้าหรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ และฐานร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 3 มีอาชีพรับจ้างอยู่ที่ห้างสรรพสินค้ามีจำเลยที่ 2เป็นผู้ว่าจ้างให้ชับรถยนต์มารับที่กรุงเทพมหานคร

แม้จำเลยที่ 3 จะรู้จักจำเลยที่ 1 จากการแนะนำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเล่นกีฬาบาสเกตบอลด้วยกันรู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ก็ตามแต่เมื่อจำเลยที่ 3 ได้ถามจำเลยที่ ว่ามาทำธุระอะไร จำเลยที่ 2 แจ้งว่าจะมาขนอาวุธ เมื่อถึงบริเวณหลักสี่แล้วจำเลยที่ 3 แจ้งเพียงเท่าที่จำเลยที่ 2 ต้องการให้ทราบ ไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 3 ล่วงรู้มาก่อนจำเลยที่ 1 เเละ 2 วางแผนลักลอบเอาอาวุธปืนออกมาหรือไม่อย่างไร แล้วไม่ปรากฎการโอนเงินมากไปกว่าที่ตกลงการจ้างเป็นเงิน 2 หมื่นบาท

พฤติการณ์เท่านี้จึงไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานซึ่งมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตหรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นไปเสีย ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

การกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ไว้ได้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ฐานสนับสนุนผู้อื่นพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร และสนับสนุนให้ผู้อื่นมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาต

จำเลยที่ 7 เป็นนายทหารมีความรู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาวุธปืนทราบได้ว่าปืนที่ ลักมาเป็นปืนที่บุคคลธรรมดาไม่อาจครอบครองได้ จำเลยที่ 6 นำอาวุธปืนมาให้จำเลยที่ 7 ถอดแยกชิ้นส่วนโดยอ้างว่าเป็นปืนตัดจำหน่าย จำเลยที่ 7 นำปืนดังกล่าวมาแยกชิ้นส่วนติดสติกเกอร์เขียนเครื่องหมายกำกับไว้ในโครงปืนแล้ว ถ่ายภาพอาวุธปืนและลักษณะสติกเกอร์ที่มีตราหน่วยราชการกองบัญชาการ ต. ย่อมเป็นที่สังเกตของจำเลยที่ 7 ได้ง่ายล่วงรู้ได้ว่าเป็นอาวุธปีนจำเลยที่ 6 ได้มาโดยไม่ซอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 7 แยกชิ้นส่วนใส่ถุงดำแล้วนำใส่กล่องกระดาษไปให้จำเลยที่ 6 ที่บ้านพักอยู่ห่างจากบ้านพักจำเลยที่ 7 ประมาณ 10 กิโลเมตร และมีบุคคลมารับต่อไป ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 7ร่วมกันหรือจำหน่ายอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้

เมื่อพิเคราะห์ถึงเส้นทางการเงินแล้วปรากฎว่าจำเลยที่ 7 ได้รับเงินโอนเพียง 5 หมื่นบาทโดยที่ทางไต่สวนจำเลยที่ 6,7 เคยทำธุรกิจต่างๆ ต่อกัน จำนวนเงินที่อ้างว่ากู้ยืมเงินติดค้างกันมาจึงไม่ใช่ข้อพิรุธซึ่งผิดวิสัยว่าหากร่วมการลงทุนค้าขายอาวุธซึ่งมีความเสี่ยงสูงต้องได้รับค่าตอบแทนที่มากกว่านี้ การกระทำของจำเลยที่ 7 เป็นเพียงความผิดฐานร่วมกันมีอวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ฐานเป็นผู้ร่วมทำประกอบ ซ่อมแซม เปลี่ยนลักษณะ ซึ่งอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นค้าหรือจำหน่ายอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่ข้างหรือทางสาธารณะไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรและร่วมกันมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ส่วนจำเลยที่ 9 ทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงระบุเส้นทางการเงินเกี่ยวพันจำเลยที่ 9 ทั้งไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุนว่าจำเลยที่ 9 กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้อง

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1-8 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,86,91,147157, 57,371 พรบ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ พรบฯอาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปีน , พรบ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ประกาศกระทรวงกลาโหม เรื่องกำหนดยุทธภัณฑ์ที่ต้องขออนุญาต ตามพรบ.ควบคุมยุทธภัณฑ์การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4-6,8 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 6ปี สองกระทงจำคุก12ปี การกระทำของจำเลยที่2,4,6,8 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 4 ปี สองกระทงจำคุกคนละ 8 ปี

จำเลยที่ 1,2,4-6,8 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันค้าหรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปีนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบนุญาตให้ได้ ตาม พรบ.อาวุธปืนมาตรา 78 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 20 ปี

จำเลย 1,2-4,6 และ ๘กระทำผิดคนละสองกระทง จำคุกคนละ 40 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 กระทำผิด4กระทงจำคุก 80 ปีการกระทำจำเลยที่ 3 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตาม พรบ.อาวุธปืน มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 2 ปี สองกระทงรวมจำคุก 4ปี และการกระทำจำเลยที่7เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นค้า หรือจำหน่ายซึ่งอาวุธปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบนุญาตให้ได้ ตาม พรบ.อาวุธปืนมาตรา 78วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 13ปี 4 เดือน สองกระทงจำคุก 26 ปี8เดือน

การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4-8 ที่เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาต ตามพรบ.อาวุธปืน มาตรา 72ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 2ปี

การกระทำของจำเลยที่ 1,2,4,6-8กระทำผิดคนละสองกระทง จำคุกคนละ 4ปี จำเลยที่ 5กระทำผิดสี่กระทงจำคุก 8ปี การกระทำของจำเลยที่ 3เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานสนับสนุนผู้อื่นให้พาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่รับอนุญาต ตาม พรบ.อาวุธปืน มาตรา 72ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 1ปี4เดือน สองกระทงจำคุก 2 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 1รวม 56 ปี จำคุกจำเลยที่ 2,4,6,8 รวมคนละ 52ปี จำคุกจำเลยที่ 5รวม 96 ปี จำคุกจำเลยที่ 3รวม 6ปี 8เดือน จำคุกจำเลยที่ 7รวม 30ปี 8เดือน

จำเลยที่ 1-8 ให้การในชั้นซักถาม ชั้นสืบสวนและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1มีกำหนด 28ปี คงจำคุกจำเลยที่2,46,8 มีกำหนดคนละ 26ปี จำคุก

จำเลยที่ 3มีกำหนด 3ปี 4เดือน จำเลยที่ 5มีกำหนด 48ปี จำคุกจำเลยที่ 7มีกำหนด 15ปี 4เดือน และให้จำเลยที่ 1-8คืนอาวุธปืนเล็กยาวแบบเอ็ม 16เอ จำนวน 71กระบอก หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,483,900 บาทแก่ผู้เสียหาย ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 9 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

ศาลสั่งจำคุก “สิระ” 8 เดือนไม่รอลงอาญา คดีหมิ่น “เสรีพิศุทธ์”สร้างท่าเทียบเรือริมน้ำ

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นโจทก์ฟ้อง นายสิระ เจนจาคะ อดีต สส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ , นายสนธิญา สวัสดี , นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ และนายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในคดีความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา

สืบเนื่องจากกรณีพวกจำเลยกล่าวใส่ร้ายโจทก์ทำนองว่าโจทก์ได้ก่อสร้างท่าเทียบเรือริมแม่น้ำเจ้าพระยาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายในที่ประชุมกรรมาธิการกฎหมายฯ ซึ่งมีนายสิระเป็นประธาน ทั้งที่จำเลยทั้งสามทราบดีว่ามีการถ่ายทอดภาพและเสียงของนักข่าวในขณะนั้น

ทั้งนี้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลเห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1-3 ให้ประทับฟ้องคดีไว้พิจารณา ส่วนจำเลยที่ 4 ให้ยกฟ้อง จำเลยทั้งสาม ให้การปฏิเสธ

โดยศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานโจทก์แล้วมีน้ำหนักมั่นคงน่าเชื่อถือ ส่วนข้อต่อสู้จำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326,328ประกอบมาตรา 83 ฐานร่วมกันกระทำการหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา จำคุก คนละ 1 ปี ปรับ จำเลยที่ 2,3 คนละ 1.2 แสนบาท จำเลยทั้งสามให้การเป็นประโยชน์ในการพิจารณาอยู่บ้างตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78ลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยคนละ 8 เดือน ปรับเฉพาะจำเลยที่ 2-3 คนละ8 หมื่นบาท โดยโทษจำคุกของจำเลยที่ 2-3 ให้รอการลงโทษมีกำหนดคนละ 2 ปี ให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.504/2563 , อ.577/2563 , อ.850/2563 , อ.1148/2563 , อ.1149/2563 ของศาลอาญา และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ. 306/2563ของศาลอาญาธนบุรี และในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.522/2564ของศาลอาญาตลิ่งชัน และในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1176/2564 ของศาลแขวงดอนเมือง สำหรับคำขอนับโทษจำคุกจำเลยที่2-3 ศาลรอการลงโทษจำคุกจึงไม่อาจนับโทษจำคุกต่อได้

ต่อมาทนายความของนายสิระ ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว โดยศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้นายสิระมีประกันตัวไประหว่างอุทธรณ์คดี โดยตีราคาประกัน 5 หมื่นบาท