เริ่มแล้ว 3 งานแสดงสินค้ายิ่งใหญ่แห่งปี  สำหรับธุรกิจโรงแรม อาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก อี-คอมเมิร์ซและสถานบันเทิง  

ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่มุ่งเน้นความเติบโตอย่างยั่งยืน กวิน อินเตอร์เทรด ผู้นำธุรกิจจัดแสดงสินค้าในประเทศไทย โดยความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน ประกาศศักยภาพนำผู้ประกอบการกว่า 250 บริษัทจาก 10 ประเทศจัดงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาค สำหรับธุรกิจโรงแรม อาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก อี-คอมเมิร์ซและสถานบันเทิง รวม 3 งานสำคัญไว้ในพื้นที่เดียวกัน ภายใต้ชื่อ Thailand Retail, Food & Hospitality Services (TRAFS 2025) ปีที่ 19,  ASEAN Retail 2025 ปีที่ 10 และ Pub Bar Asia 2025 ปีที่ 3 เริ่มตั้งแต่วันที่ 24 – 27 กรกฎาคม 2568 ณ ไบเทค ฮอลล์ 98 – 99 เผยรวมกิจกรรมไฮไลต์มากมาย สินค้าและบริการครบครัน คาดมีผู้เข้าชมงานรวม 22,000 ราย สร้างมูลค่าเจรจาธุรกิจกว่า 500 ล้านบาท 
 
นายภูริพันธ์ บุนนาค รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) รักษาการแทนผู้อำนวยการ สสปน. กล่าวระหว่างเป็นประธานเปิดงานแสดงสินค้าระดับภูมิภาค สำหรับธุรกิจโรงแรม อาหาร เครื่องดื่ม ค้าปลีก อี-คอมเมิร์ซและสถานบันเทิง ซึ่งเป็นการรวม 3 งานสำคัญไว้ในพื้นที่เดียวกัน ภายใต้ชื่อ Thailand Retail, Food & Hospitality Services (TRAFS 2025),  ASEAN Retail 2025 และ Pub Bar Asia 2025 ว่า การจัดงานครั้งนี้ถือเป็นเวทีแสดงศักยภาพของธุรกิจและผู้ประกอบการไทย ทั้งด้านเทคโนโลยีอาหาร การบริการ การค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ และธุรกิจเครื่องดื่ม ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่มุ่งเน้นความเติบโตอย่างยั่งยืน  
 

การจัดงานครั้งนี้มีผู้แสดงจากต่างประเทศมาร่วมงานถึง 10 ประเทศ เป็นข้อยืนยันได้อย่างดียิ่ง ว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจระดับนานาชาติในภูมิภาคอาเซียน ยิ่งไปกว่านั้นทางคณะผู้จัดงานและพันธมิตรผู้ร่วมสนับสนุนการจัด 3 งานแสดงสินค้ายิ่งใหญ่ในครั้งนี้   เพื่อสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ การท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม Food Service ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจผับ บาร์ ที่จะนำไปสู่การจ้างงาน ใช้วัสดุในประเทศ และส่งเสริมการเติบโตอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าของไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 3 งาน ไม่ว่าจะเป็น TRAFS / ASEAN Retail และ Pub & Bar Asia ที่กำลังจัดอยู่ในขณะนี้จะเติบโตเป็นงานแสดงนานาชาติที่มีชื่อเสียงมากที่สุดงานหนึ่งในระดับภูมิภาคในอนาคตอันใกล้ต่อไป 
 

นายกวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดงานแสดงทั้ง 3 เพื่อเป็นเวทีให้ผู้แสดงทั้งที่เป็นผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายจากไทยและต่างประเทศ ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม Food Service ค้าปลีก อีคอมเมริซ์ และเอ็นเตอร์เทนเมนต์จากไทยและต่างประเทศ ได้พบปะและเจรจาธุรกิจตลอด 4 วันของการจัดงาน เพื่อเป็นหนึ่งของฟันเฟืองที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจ ตลอดจนนำเสนอนวัตกรรมใหม่ของสินค้า และเครื่องมือทางการตลาด เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เป็นผลก่อให้เกิดการจ้างงานและการใช้วัสดุภายในประเทศ นำมาซึ่งเศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตแบบยั่งยืนสืบไป 
 
นายกวิน กล่าวถึงไฮไลต์ของงานทั้ง 3 นั้นเป็นการรวมผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำ 250 บริษัท จาก 10 ประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น อิตาลี สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลี เยอรมนี อังกฤษ สเปน และไทย นำสินค้านับพันรายการจากทั่วโลกมาจัดแสดงในพื้นที่เดียวกันสำหรับธุรกิจบริการแบบครบวงจร โดย 
- งาน Thailand Retail, Food & Hospitality Services ปีที่ 19 เป็นงานแสดงวัตถุดิบ อาหารเครื่องดื่ม อุปกรณ์เครื่องใช้สำหรับธุรกิจโรงแรม และ Food Service ไม่ว่าจะเป็น Fine dining ภัตตาคาร ร้านอาหาร กาแฟ เบเกอรี่ ไอศกรีม เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจต่อไป 
- งาน ASEAN Retail ปีที่ 10 เป็นงานแสดงอุปกรณ์ เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจค้าปลีก ประกอบด้วย โมเดิร์นเทรด ซูเปอร์มาร์เก็ต ศูนย์การค้า ร้านค้าปลีก และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ 
- งาน Pub Bar Asia ปีที่ 3 เป็นการนำเสนอนวัตกรรมล้ำสมัยของธุรกิจผับ บาร์ ตลอดจนเทรนด์ล่าสุดของเครื่องดื่ม เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจบันเทิงอันเป็นส่วนในการกระตุ้นธุรกิจท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก 
 

นอกจากการแสดงสินค้าแล้ว ภายในงานยังได้เตรียมกิจกรรมกว่า 80 รายการ โดยร่วมกับสมาคมฯ และหน่วยงานพันธมิตรทางธุรกิจต่างๆ กว่า 10 แห่ง เพื่อเสริมทักษะวิชาชีพให้บุคคลากรในสายงาน มอบความรู้ทางด้านเครื่องมือทางการตลาด และเพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้รับประโยชน์สูงสุด ตัวอย่างกิจกรรมในงาน อาทิ งาน TRAFS จัดเตรียมเชฟมืออาชีพจากสมาคมฯ สาธิตการทำอาหาร เบเกอรี่ เครื่องดื่ม การร่วมโครงการ “DIPROM Thai Cuisine” ร้านอาหารต้นแบบ 10 แห่ง ที่มีศักยภาพทั้งในด้านรสชาติ คุณภาพ และความพร้อมในการยกระดับสู่ธุรกิจระดับมืออาชีพ มาจัดแสดงและสาธิตการปรุงอาหารจริงในงาน การสัมมนาให้ความรู้เสริมทักษะวิชาชีพ และยังได้ร่วมมือกับ หอการค้าไทย-อิตาเลี่ยน ค้นหาสุดยอดเมนูทีรามิสุ เพื่อนำผู้ชนะเลิศไปแข่งขันระดับนานาชาติ ต่อไป 
 
ส่วนงาน ASEAN Retail จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลมาให้ความรู้ในเรื่องการทำ social media marketing ระบบ AI แบบเจาะลึก เสวนาการให้ความรู้ นวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ๆ ของอุปกรณ์ค้าปลีก การประชุมของสมาคมผู้ค้าปลีกและผู้ประกอบการจากทั่วประเทศ รวมถึงการมอบประสบการณ์ ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการไลฟ์สดเพื่อจำหน่ายสินค้าออนไลน์อย่างไรให้มีประสิทธิภาพจากอินฟลูเอ็นเซอร์ชื่อดัง ปิดท้ายที่งาน Pub Bar Asia พบกับการสอนทำเครื่องดื่มหลากหลายประเภท ที่ทุกคนสามารถนำไปต่อยอดประกอบธุรกิจได้ การให้ความรู้เกี่ยวกับเบื้องต้นที่ถูกต้องเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจผู้ผลิตเครื่องดื่ม และทดสอบรสชาติหลากหลายเครื่องดื่มทั้งไทย และต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจพิจารณานำสินค้าสำหรับจัดจำหน่ายต่อไป รวมไปถึงการจัดการแข่งขันเพื่อค้นหาสุดยอดนักปรุงเครื่องดื่มถึง 2 รายการ ได้แก่ Flair Bartender และ Mixologist Competition 
 
กรรมการผู้จัดการใหญ่ ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ในงานครั้งนี้ทางกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพื่อจัดโครงการ “DIPROM Thai Cuisine” ภายในงาน TRAFS และ Pub Bar Asia โดยคัดเลือก ร้านอาหารต้นแบบ 10 แห่ง ที่มีศักยภาพทั้งในด้านรสชาติ คุณภาพ และความพร้อมในการยกระดับสู่ธุรกิจระดับมืออาชีพ มาจัดแสดงและสาธิตการปรุงอาหารจริงในงานโครงการนี้ไม่เพียงส่งเสริมการบริโภคอาหารไทยให้ก้าวไกลสู่สากล แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการ ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอาหารไทย ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการใช้วัตถุดิบในประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย และสร้างรายได้ให้ชุมชน 
 
โดยในงาน Pub Bar Asia 2025 แสดงผลิตภัณฑ์ที่เป็น ซอฟต์พาวเวอร์จากเกษตรอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ ไวน์ช็อกโกแลต – เครื่องดื่มพรีเมียมที่พัฒนาจากวัตถุดิบท้องถิ่น สะท้อนถึงการต่อยอดผลผลิตทางการเกษตรด้วยนวัตกรรม สุราชุมชน – ที่ได้รับการยกระดับทั้งมาตรฐานและการออกแบบ จนสามารถแข่งขันได้ในตลาดสากลและ สาโทไทย – ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมรดกภูมิปัญญา ที่ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ร่วมสมัย พร้อมก้าวสู่เวทีโลก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นตัวอย่างของ อุตสาหกรรมฐานรากยุคใหม่ ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับภาคการเกษตรไทย และยังเป็นส่วนหนึ่งของ นโยบาย “DIPROM Community – ที่นี่...มีแต่ให้”  ที่เน้นการส่งเสริมอัตลักษณ์ชุมชนควบคู่กับนวัตกรรม เพื่อให้คนในชุมชนสามารถมีรายได้ที่มั่นคงและเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมของประเทศ 
 
นายกวิน กล่าวเสริมอีกหนึ่งไฮไลต์ของปีนี้คือการจัด Networking Session ภายในงาน ให้ผู้เข้าชมงานได้ขยายเครือข่ายทางธุรกิจ สร้างความสัมพันธ์ เพื่อเพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจและเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน ตลอดทั้ง 4 วัน คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานประมาณ 22,000 คน จาก 40 ประเทศ และประมาณการว่าจะมีการซื้อขายประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ การจ้างงานและใช้วัตถุดิบในประเทศ  
 
งานครั้งนี้เกิดขึ้นได้โดยความร่วมมือและการสนับสนุนจากพันธมิตร ประกอบด้วย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สสปน. สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สถาบันอาหาร สมาคมเดอะเชฟ สภาพันธ์เชฟประเทศไทย สมาคมเบเกอรี่ สมาคมนักบริหารงานอาหารและเครื่องดื่ม สมาคมธุรกิจร้านอาหาร ชมรมผู้บริหารงานแม่บ้านประเทศไทย ชมรมนักบริหารทรัพยากรบุคคลโรงแรม สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และอื่นๆ รวมถึงสื่อมวลชนที่ให้การสนับสนุนประชาสัมพันธ์งาน อีกทั้งผู้ร่วมจัดแสดงงาน Sponsor และลูกค้าผู้ชมงานที่ทำให้การจัดงานครั้งนี้เกิดขึ้นได้และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง  
 
กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวเชิญชวนสำหรับผู้สนใจได้เข้าชมงานและร่วมกิจกรรมต่างๆ ตลอด 4 วันของการจัดงานแสดงอาหารและเครื่องดื่ม TRAFS 2025 งานแสดงเทคโนโลยี เครื่องมือ สินค้า และบริการสำหรับธุรกิจค้าปลีก ASEAN RETAIL 2025 และงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจบริการ Pub and Bar Asia 2025 ระหว่างวันที่ 24 – 27 กรกฎาคม 2568 ณ ไบเทค ฮอลล์ 98 – 99 บนพื้นที่รวมกว่า 14,000 ตร.ม. ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น. งานนี้เข้าชมฟรีไม่มีค่าใช่จ่าย มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยช่วงกลางปีแบบนี้ไปด้วยกัน

TMX25 เปิดอย่างยิ่งใหญ่! สำหรับนักการตลาด และธุรกิจการจัดงานแสดงสินค้า

สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) โดยการสนับสนุนจาก “ทีเส็บ” เปิดงานอย่างเป็นทางการ “Thailand MICE  X-Change 2025” (TMX 25) เสริมแกร่งประเทศไทย จุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับการจัดงานแสดงสินค้าระดับโลก พบโซลูชั่นและกิจกรรมที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจงานแสดงสินค้า จากผู้ประกอบการกว่า 150 ราย ตั้งแต่สถานที่จัดงานชั้นนำ ออแกไนเซอร์ระดับโลก ไปจนถึงซัพพลายเออร์เทคโนโลยี Smart Exhibition และแพลตฟอร์มบริหารจัดการข้อมูล มุ่งเน้นการพัฒนา Digital Marketing และ Green Exhibition /  พร้อมสัมมนา สำหรับธุรกิจการจัดงาน และกลยุทธ์สำหรับผู้เข้าร่วมแสดง ระหว่างวันที่ 2 -3 เมษายน 2568 ณ พารากอนฮอลล์ สยามพารากอน
 
นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานในพิธี กล่าวว่า งานนี้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเป็นเวทีที่สะท้อนศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลก การจัดแสดงสินค้าและบริการภายในงานไม่เพียงสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจ แต่ยังเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างโอกาสทางการค้า และต่อยอดความร่วมมือระดับนานาชาติ

“อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) เป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สามารถสร้างผลกระทบได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่เพียงส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่ตลาดโลก แต่ยังช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุน สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ และ ตอกย้ำประเทศไทยศูนย์กลางการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ” นางสาวจิราพรกล่าว
 
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กล่าวถึง Thailand MICE X- Change 2025 เป็นความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชน งานนี้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าไทยให้เป็นเวทีต่อยอดทางธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ

ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศจุดหมายปลายทางในลำดับต้นๆ สำหรับการจัดงานนานาชาติ โดยเฉพาะแสดงสินค้านานาชาติ ซึ่งประเทศไทยเป็นจุดหมายอันดับหนึ่งของภูมิภาคอาเซียน จากการจัดอันดับของ The Global Association  the Exhibition Industry หรือ UFI โดยเฉลี่ยทั้งปี มีการจัดงานแสดงสินค้าในระดับนานาชาติกว่า 200 งาน สามารถดึงผู้ร่วมงานจากต่างชาติกว่า 350,000 ราย สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 3 แสนล้านบาท คาดว่าในปีนี้ งานแสดงสินค้าจะเติบโตราวร้อยละ 6-8 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ก้าวต่อไปสู่จุดหมายของการเป็นศูนย์กลางของการจัดงานนิทรรศการนานาชาติทางการค้าและเทศกาลนานาชาติ
 
นางสาวปนิษฐา บุรี นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) และประธานการจัดงาน Thailand MICE X-Change 2025 ภายใต้แนวคิด "NEXHIBITION – ก้าวใหม่ที่ยั่งยืนของอุตสาหกรรมการแสดงสินค้า" โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยสู่อนาคตด้วย นวัตกรรม ความยั่งยืน และโอกาสใหม่ๆ
 
ในปีนี้ งาน TMX25 รวมผู้ประกอบการกว่า 150 ราย ตั้งแต่สถานที่จัดงานชั้นนำ ออแกไนเซอร์ระดับโลก ไปจนถึงซัพพลายเออร์เทคโนโลยี Smart Exhibition เช่น AI, IoT และแพลตฟอร์มบริหารจัดการข้อมูล มุ่งเน้นการพัฒนา Digital Marketing และ Green Exhibition เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดงานสู่ระดับสากล

ไฮไลต์สำคัญในส่วน Exhibition Zone – พื้นที่แสดงสินค้าโดยผู้ประกอบการชั้นนำ รวมโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของธุรกิจงานแสดงสินค้าได้แก่:
• สถานที่จัดงานชั้นนำ Top 5 จากประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์
• บริษัทออแกไนซ์เซอร์ทั้งระดับประเทศและระดับโลก ที่จะร่วมเปิดมุมมองสู่มาตรฐาน และเทรนด์งานแสดงสินค้าใหม่
• ผู้ให้บริการออกแบบและก่อสร้างบูธ ที่มีมาตรฐานระดับสากล
• ซัพพลายเออร์เทคโนโลยีและวัสดุยั่งยืน ที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตอบโจทย์การก่อสร้างในเงื่อนไขที่จำกัด ในงบประมาณที่ควบคุมได้
• Tech Village Zone: โซนเทคโนโลยีที่รวมสุดยอดนวัตกรรมสำหรับ Smart Exhibition เช่น AI, IoT, ระบบลงทะเบียนออนไลน์ และการจัดการข้อมูล

 และ Conference: เวทีสัมมนาที่ออกแบบสาระ สำหรับธุรกิจการจัดงาน และกลยุทธ์สำหรับผู้เข้าร่วมแสดง  รวมวิทยากรชั้นนำกว่า 28 ท่าน บน 2 เวทีพร้อมกัน ทั้ง Main Stange และ X-change Square เวทีแลกเปลี่ยนความรู้ที่ตกแต่งด้วยวัสดุที่ยั่งยืน อาทิ
•​The Next Exhibition – เทรนด์ใหม่ของวงการแสดงสินค้า
•​Becoming AI-Driven – การใช้ AI ยกระดับประสิทธิภาพงานแสดงสินค้า
•​Sustainability 360 – กลยุทธ์จัดงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
•​The Making of SEXY Events – เคล็ดลับเปลี่ยนงานธรรมดาให้กลายเป็นงานสุดปัง
•​New Era, New Media – การใช้สื่อยุคใหม่ในการตลาดไมซ์

นับเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ สำหรับ นักการตลาด นักธุรกิจ เจ้าของกิจการ ผู้จัดแสดงสินค้า และหน่วยงานภาครัฐ ที่ต้องการ ขยายเครือข่ายธุรกิจ อัปเดตเทรนด์ล่าสุด และยกระดับมาตรฐานการจัดงานแสดงสินค้าให้แข็งแกร่งมากขึ้น

ภาครัฐ-เอกชน ผนึกกำลังเตรียมจัดงานแสดงสินค้าและบริการด้านพลังงานสุดยิ่งใหญ่ ASEAN Energy Storage & Smart Energy Expo 2025

ตอบรับนโยบายสนับสนุนการพัฒนาพลังงานสะอาด และไทยตั้งเป้าเพิ่มพลังงานหมุนเวียนให้เป็น 51% ของพลังงานทั้งหมดในปี 2037 กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สมาคมพลังงานลมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยภาคธุรกิจนานาชาติ ประกอบด้วย สหพันธ์การค้าชาวไทย-จีน,สมาคมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่กวางตุ้ง, กวางตง แกรนด์เดอร์ เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป และ คอมพาส เอ็กซิบิชั่น ประกาศความร่วมมือจัดงานแสดงสินค้าและบริการด้านพลังงานยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ภายใต้ชื่อ ASEAN Energy Storage & Smart Energy Expo 2025 ระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี คาดมีผู้ร่วมงานจากทั่วโลกกว่า 10,000 คน

นายสายัณห์ ปานซัง ผู้ช่วยผู้ว่าการบริหารธุรกิจ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวถึงนโยบายสนับสนุนการพัฒนาพลังงานสะอาด และจากข้อมูลประเทศไทยตั้งเป้าเพิ่มพลังงานหมุนเวียนให้เป็น 51% ของพลังงานทั้งหมดภายในปี 2037 และข้อมูลภูมิภาคอาเซียน มีเป้าหมายสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวมกว่า 266 กิกะวัตต์ ภายในปี 2050 แสดงถึงโอกาสการเติบโตของธุรกิจพลังงานเป็นอย่างดี ทางภาครัฐและภาคเอกชนต่างตอบรับและมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนและส่งเสริมทางเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดและนวัตกรรมอัจฉริยะในภูมิภาคอาเซียน 

โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน และมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนโครงการ เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และองค์กรระดับสากล ในการขับเคลื่อนอนาคตพลังงานของไทย จึงพร้อมให้การสนับสนุนการการจัดงาน ASEAN Energy Storage & Smart Energy Expo 2025 ระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม 2568 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งจะเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาดและนวัตกรรมอัจฉริยะในภูมิภาคอาเซียน 

นายอาร์ดา กันเลอร์ รองนายกสมาคมพลังงานลมแห่งประเทศไทย (Thai WEA) กล่าวถึงการสนับสนุนจัดงาน ASEAN Energy Storage & Smart Energy Expo 2025 งานนี้เสมือนเป็นเวทีสำคัญที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญและนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาดจากทั่วโลก ส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาค และขับเคลื่อนความก้าวหน้าของพลังงานที่ยั่งยืน สมาคมพลังงานลมไทย ตระหนักและให้ความสำคัญพร้อมมอบความร่วมมือสนับสนุนในความพยายามของทีมงานผู้จัดงาน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่างานแสดงสินค้าครั้งนี้จะสร้างแรงผลักดันให้กับผู้คนสนใจในพลังงานสะอาดทั่วทั้งภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น

นายหวัง เจ้าอวิ๋น ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท กวางตง แกรนด์เดอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป กล่าวเสริมว่า ในปัจจุบันการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั่วโลกกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ระบบกักเก็บพลังงานและพลังงานอัจฉริยะ ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญของการปฏิวัติพลังงาน กำลังนำพาอุตสาหกรรมพลังงานไปสู่ความสะอาด มีประสิทธิภาพ และชาญฉลาดมากยิ่งขึ้น สำหรับกลุ่มประเทศอาเซียน ด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้มีศักยภาพและโอกาสอย่างมากในการพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานและพลังงานอัจฉริยะ นอกจากนี้ รัฐบาลในแต่ละประเทศยังได้ออกนโยบายสนับสนุนมากมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาของอุตสาหกรรมนี้ โดยประเทศมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม มีแผนร่วมกันที่จะติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์มากกว่า 266 กิกะวัตต์ภายในปี 2050

สำหรับประเทศไทย ในฐานะประเทศหลักของอาเซียน กำลังเดินหน้าสนับสนุนยุทธศาสตร์ “ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก” (EEC) ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) อย่างใกล้ชิด ช่วยสร้างแรงผลักดันที่แข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจในภูมิภาค การจัดงานแสดงสินค้านี้ในประเทศไทยไม่เพียงแต่เป็นสะพานสำคัญสำหรับบริษัทจีนในการขยายสู่ตลาดไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยังเป็นเหตุการณ์สำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานใหม่อีกด้วย

ทั้งนี้ด้วยเป้าหมายแห่งความร่วมมือจัดงาน ASEAN Energy Storage & Smart Energy Expo 2025 ซึ่งเป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้ประกอบการที่พร้อมนำเสนอสินค้าและบริการครอบคลุมระบบด้านพลังงานแสงอาทิตย์ (โซลาร์เซลล์) อุตสาหกรรมแบตเตอรี่และระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยีโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ พลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด และโซลูชันพลังงานอัจฉริยะ มุ่งเน้นการสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนที่ครบวงจรระหว่างบริษัทในประเทศและต่างประเทศกับผู้ซื้อจากนานาชาติ
การจัดแสดงงานครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงศักยภาพของตลาดพลังงานใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างครบถ้วน แต่ยังเป็นภาพสะท้อนความร่วมมือที่ลึกซึ้งระหว่างจีนและไทยในด้านพลังงานใหม่ เพื่อสำรวจเส้นทางการพัฒนาสีเขียวที่ยั่งยืนร่วมกันเชื่อว่าด้วยการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมของบริษัทจีน อุตสาหกรรมพลังงานใหม่ของไทยและภูมิภาคอาเซียนทั้งหมดจะสามารถสร้างวิสัยทัศน์ที่สดใสสำหรับพลังงานสีเขียวได้

นายสากล อธิการกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมพาส เอ็กซิบิชั่น จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดการจัดงาน ASEAN Energy Storage & Smart Energy Expo 2025 งานนี้ถือเป็นศูนย์รวมของเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด การจัดเก็บพลังงาน และพลังงานอัจฉริยะ พร้อมโอกาสเจรจาทางธุรกิจในระดับภูมิภาคและนานาชาติ มีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 5-7 มีนาคม 2568 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยความร่วมมือจัดโดย คอมพาส เอ็กซิบิชั่น ร่วมกับ กวางตง แกรนด์เดอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็กซิบิชั่น กรุ๊ป และการสนับสนุนจากพันธมิตรภาครัฐและเอกชนหลากหลาย อาทิ กระทรวงพลังงาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (TCEB) สมาคมพลังงานลมแห่งประเทศไทย, สหพันธ์การค้าชาวไทย-จีน, สมาคมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ กวางตุ้ง พร้อมด้วยบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจพลังงาน ซึ่งมีประสบการณ์ในการจัดงานแสดงสินค้าขนาดใหญ่และดึงดูดผู้แสดงสินค้าระดับโลก เช่น การจัดงานแสดงสินค้าในจีนที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 200,000 ตารางเมตรต่อปี มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 20 ล้านคน ใน 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ การจัดงาน ASEAN Energy Storage & Smart Energy Expo 2025 จะเป็นงานแสดงสินค้าด้านธุรกิจพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน บนพื้นที่ 20,000 ตารางเมตร มีองค์กร หน่วยงาน และบริษัทชั้นนำร่วมออกบูธกว่า 200 ราย 

โดยผู้แสดงสินค้าในงานครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ การจัดเก็บพลังงาน พลังงานลม ไฮโดรเจน และชีวมวล นอกจากนี้ ยังมีผู้ให้บริการโซลูชันด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้เข้าร่วมงานจะประกอบด้วย ผู้นำในอุตสาหกรรม ผู้บริหาร ผู้กำหนดนโยบาย นักลงทุน ที่ปรึกษาด้านพลังงาน ผู้ซื้อที่เหมาะสมของไทยและนานาชาติ ซึ่งนี่คือโอกาสในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือ ซึ่งผู้จัดแสดงงานจะการขยายโอกาสทางธุรกิจและเครือข่าย เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ สำหรับผู้เข้าชมงานจะได้เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ พบปะผู้เชี่ยวชาญและค้นหาโอกาสการลงทุนในพลังงานสะอาด ผู้แสดงสินค้าได้พบกับคู่ค้า นักลงทุน และผู้ซื้อที่เหมาะสม สร้างโอกาสความร่วมมือในระยะยาวสำหรับอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด 

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางพลังงานของอาเซียน ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับ นโยบายสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน และด้วยการสนับสนุนและความร่วมมืออันดีจากทั้งภาครัฐ-เอกชน ของไทยและนานาชาติ ซึ่งงานนี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรระดับโลกอีกถึง 2 หน่วยงาน ได้แก่ สมาคมพลังงานแสงอาทิตย์เยอรมัน (BSW) สมาคมพลังงานหมุนเวียนรัสเซีย (RREDA) รวมถึงสื่อชั้นนำ เช่น PV Magazine และ Renewable Energy Magazine ที่ช่วยเพิ่มการรับรู้ในวงกว้างระดับโลก เชื่อว่าการจัดงาน ASEAN Energy Storage & Smart Energy Expo 2025 จะได้ผลตอบรับเป็นอย่างดีมีผู้ร่วมงานจากทั่วโลกรวมกว่า 10000 คน ที่จะมาร่วมสร้างเครือข่าย และร่วมพัฒนานวัตกรรมพลังงานเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนด้วยกัน 

ผู้นำอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติระดับโลกมั่นใจศักยภาพประเทศไทยจุดหมายจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เผยความสำเร็จในการจัดประชุมสุดยอดผู้นำอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติระดับโลก หรือ Exhibition Industry Summit 2024  โดยผู้เข้าร่วมประชุมระดับผู้ตัดสินใจทางธุรกิจทั้งจากยุโรปและเอเชีย ย้ำมั่นใจในศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยที่จะเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของภูมิภาคในการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ  พร้อมชื่นชมนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลที่ชัดเจน โครงสร้างพื้นฐาน วัฒนธรรมการทำธุรกิจที่เปิดกว้าง พร้อมเดินหน้าขยายเครือข่ายความร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศไทย และเสนอให้ไทยเร่งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลยกระดับการจัดงานให้ตอบสนองผู้จัดงาน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอนาคต


 
งาน Exhibition Industry Summit 2024 จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ภายใต้แนวคิด “See Tomorrow Now” เพื่อฉายภาพโอกาสทางธุรกิจในอนาคตที่จะเกิดขึ้นในประเทศให้ผู้ร่วมงานมองเห็นได้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้องค์กรธุรกิจปรับทิศทางเจาะโอกาสทางธุรกิจได้ก่อนใคร โดยใช้อุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติเป็นกลไกสำคัญในการเข้าถึงโอกาสที่จะเกิดขึ้น 

 

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ ทีเส็บ กล่าวว่า “การจัด Exhibition Industry Summit 2024 นับเป็นความสำเร็จที่สำคัญต่อประเทศเป็นอย่างมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่ระดับผู้นำซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจของบริษัทผู้จัดงานแสดงสินค้านานาชาติยักษ์ใหญ่จากยุโรปและเอเชียได้มารวมตัวกัน ได้รับฟังวิสัยทัศน์ ข้อมูลเชิงลึก และทิศทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการจัดงานสินค้านานาชาติโดยตรงจากผู้นำและผู้มีอำนาจในการตัดสินใจระดับสูงของไทย จึงมีผลต่อการตัดสินใจเลือกสถานที่จัดงานในอนาคตของผู้จัดงานขนาดใหญ่ระดับโลก และเป็นที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้เข้าร่วมงานได้แสดงความมั่นใจว่า ประเทศไทยเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับจัดงานแสดงสินค้า การทำธุรกิจที่เน้นการพบปะ แลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็น ลงทุน และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ นอกจากนี้ เรายังได้รับข้อเสนอแนะในการพัฒนาด้านต่างๆ ที่จะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติเติบโตได้รวดเร็ว สอดรับกับความต้องการของตลาดโลก” นายจิรุตถ์กล่าว

 


    
ทีเส็บ นำโดย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำกับดูแล ทีเส็บ และ ดร.พสุ โลหารชุน ประธานกรรมการ ได้นำคณะผู้นำอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติระดับโลก เข้าเยี่ยมคารวะนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีได้แสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการเติบโตและความสำเร็จของภาคธุรกิจในประเทศไทย เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเชิงกลยุทธ์สำหรับการจัดนิทรรศการนานาชาติในทุกประเภท พร้อมทั้งย้ำว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติอย่างเต็มที่ และกำลังดำเนินการสร้างระบบ One Stop Service เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการจัดงานแสดงสินค้า เพื่อให้เกิดการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งมั่นใจว่าจะส่งเสริมเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว 


    
หลังจากนั้น คณะฯ ได้ร่วมการประชุมโต๊ะกลมกับผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลไทย ได้แก่ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อหารือประเด็นสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยผู้แทนภาครัฐของไทยแสดงความเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และดึงดูดนักลงทุนเข้ามามากขึ้น รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาของธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่อง ซึ่งสอดรับกับนโยบายของภาครัฐที่เน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ปัจจุบันอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้แก่ประเทศคิดเป็นร้อยละ 12 ของ GDP  


    
นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับฟังข้อมูลที่น่าสนใจของประเทศไทย ทั้งในด้านศักยภาพของประเทศ  ข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างมีศักยภาพ และแนวโน้มทิศทางของอุตสาหกรรมการจัดการแสดงสินค้านานาชาติ ในการบรรยายเรื่อง Shaping Thailand’s Future in the Global Value Chain" โดยผู้แทนจาก International Financial Corporation และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย  การเสวนาเรื่อง "Thailand’s Economic Potential and Integration into ASEAN: Future Frontiers" โดยผู้นำจาก 3 ธุรกิจที่เป็นกลุ่มหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้แก่ ธุรกิจการแพทย์และการดูแลสุขภาพ ฟินเทคและเทคโนโลยี และยานยนต์ และการเสวนาเรื่อง "Exhibition Industry Strengths and Emerging Trends" โดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการจัดการแสดงสินค้านานาชาติ


    
ทั้งนี้ ผู้นำอุตสาหกรรมการแสดงสินค้านานาชาติ ได้ชี้ให้เห็นเทรนด์และโอกาสสำคัญ 3 เรื่องที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ประการแรก การบริการที่ตรงตามความต้องการเฉพาะกลุ่ม (Customised Service) สามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ สอดคล้องกับเทรนด์ใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน คือ การสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต ซึ่งผู้จัดงานต้องคำนึงถึงและจัดสิ่งอำนวยความสะดวก บริการโทรคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานยังคงใช้ชีวิตปกติขณะมาร่วมงานได้  ประการที่ 2 คือ การใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วย เช่น การจัดการฐานข้อมูลใหญ่ๆ การแปลคอนเทนต์เป็นภาษาต่างๆ  และประการที่ 3 คือ การเลือกสถานที่จัดงานซึ่งนอกจากจะมีความพร้อมแล้วยังต้องทำให้ผู้เข้าร่วมงานประทับใจ รู้สึกว่าได้รับการต้อนรับที่ดี ซึ่งประเทศไทยมีจุดแข็งทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม มีกิจกรรมนอกโรงแรมให้ทำ และที่สำคัญคือวัฒนธรรมการต้อนรับของไทยที่ทำให้นักเดินทางประทับใจ


    
ในการจัดงานครั้งนี้ ทีเส็บ ยังได้นำเสนอภาพประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางมูลค่าสูงแห่งเอเชีย (High-Value Added Destination) โดยใช้แนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การเดินทางด้วยรถยนต์ไฮบริดและเรือพลังงานไฟฟ้า การรังสรรค์เมนูอาหารที่ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นและชุมชน สมุนไพรที่ทางโรงแรมปลูกเองและใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่า เพื่อลดของเหลือใช้จากการปรุงอาหาร รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสกับวัฒนธรรมไทยในทุกมิติ อาทิ ปรุงอาหารรสชาติแบบไทย การแสดงศิลปวัฒนธรรม เช่น โขน และหุ่นละครเล็ก ที่ผู้เข้าร่วมงานมีปฏิสัมพันธ์ได้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างความเป็นธุรกิจกับความเป็นไทยได้อย่างลงตัว

ทีเส็บคาดว่า การจัดงาน Exhibition Industry Summit 2024  จะส่งผลให้สามารถดึงงานใหม่ๆ เข้ามาจัดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 60 งานตลอดระยะเวลาอีก 3 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2568 - 2570) สร้างรายได้ให้แก่ประเทศเป็นมูลค่า 7,425 ล้านบาท  มีผู้เข้าร่วมงานทั้งจากต่างประเทศและในประเทศรวมประมาณ 426,000 คน  และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากนักเดินทางที่มาร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทยรวมประมาณ 11,649 ล้านบาท

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสดงสินค้านานาชาติได้ที่  
Facebook: https://www.facebook.com/TCEBExhibitionsDept
Instagram: https://www.instagram.com/tcebthailandexhibitions/ 
LinkedIn https://www.linkedin.com/company/tceb-thailand-exhibitions/?originalSubd...

 

งานแสดงสินค้าและสัมมนาระดับนานาชาติด้านเครื่องจักรเทคโนโลยีงานไม้-อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ผปก.งานไม้ห้ามพลาด 

สุดยอดงานแสดงสินค้าและสัมมนาระดับนานาชาติด้านเครื่องจักร เทคโนโลยีงานไม้และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (TIWF 2024) งานเดียวที่รวมผู้แสดงสินค้าชั้นนำจาก 20 ประเทศทั่วโลกกว่า 230 บริษัท พร้อมกูรูด้านงานไม้มาไว้ให้คุณได้อัปเดตความรู้ เทคโนโลยีผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พบกันวันที่ 18 - 20 กันยายน 2567  ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี

วันที่ 18 ก.ย. 2567 ดร.ชญานันท์ ภักดีจิตต์ รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมเป็นหนึ่งในเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้าและสัมมนาระดับนานาชาติด้านเครื่องจักรเทคโนโลยีงานไม้ และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ 2024 (Thailand International Woodworking & Furniture Exhibition 2024 :TIWF 2024) ครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่มุ่งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ควบคู่ไปกับการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์ ที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีเป้าหมายในการสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมการใช้ไม้จากแหล่งที่ได้รับการรับรองความยั่งยืน การปลูกไม้เศรษฐกิจ และการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิต เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน ในการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน

"งานแสดงสินค้าและสัมมนาระดับนานาชาติด้านเครื่องจักรเทคโนโลยีงานไม้ และอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ 2024 ได้รวบรวมผู้ประกอบการ นักลงทุน และผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์จากทั่วโลก มานำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรงานไม้ เทคโนโลยีการผลิตเฟอร์นิเจอร์ วัสดุและอุปกรณ์เสริม รวมไปถึงแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ถือว่าเป็นงานที่ได้รวบรวมโซลูชันครบวงจรสำหรับอุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์ อีกทั้งเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้ เทคโนโลยี สร้างความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์อย่างยั่งยืนต่อไป"

นายลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า TIWF 2024 ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของไทยเป็นเจ้าภาพการจัดงานและได้รับการสนับสนุนจาก Germany’s Federal Ministry of Economic Affairs and Climate Action (BMWK) รวมถึงบริษัท ต้าโจว อินดัสทรี จำกัด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในฐานะผู้จัดงานระดับนานาชาติด้านเครื่องจักร เทคโนโลยีงานไม้ และเฟอร์นิเจอร์ตัวจริงที่เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนทางการค้าและความรู้ เพื่อให้เกิดการยกระดับอุตสาหกรรมด้านเครื่องจักร เทคโนโลยีงานไม้และเฟอร์นิเจอร์ วัสดุ โซลูชัน และความยั่งยืนต่อภาคอุตสาหกรรมของไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สำหรับภายในงานมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย อาทิ โปรแกรมจับคู่ทางธุรกิจ การสร้างเครือข่าย การสาธิตเทคโนโลยี และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ พร้อมหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ เช่น โอกาสและความท้าทายในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทย โดย คุณจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ นายกสมาคมเฟอร์นิเจอร์ไทย,แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของความต้องการวัตถุดิบไม้ในตลาดโลก โดย คุณสุกิจ จันทร์ทอง ผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้,การจัดการทรัพยากรป่าไม้เชิงเศรษฐกิจ โดย คุณบุญสุธีย์ จีระวงค์พานิช ผู้อำนวยการสำนักเศรษฐกิจการป่าไม้,การขับเคลื่อนนวัตกรรม โอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมไม้และเฟอร์นิเจอร์ไทยในอนาคต โดย รศ.ทรงกลด  จารุสมบัติ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และการใช้นวัตกรรมงานไม้ยุคใหม่เพื่อการออกแบบสถาปัตยกรรมคาร์บอนต่ำ โดย InnovatorX เป็นต้น รวมถึงกิจกรรมการฝึกอบรมและเวิร์กชอปจากหลายหน่วยงาน เช่น พื้นฐานสำคัญของการทำเฟอร์นิเจอร์ โดย คุณวรฤทธิ์ แสนเสมอใจ หรือ อาจารย์เก่ง ช่างไม้อินดี้,การเคลือบให้เหมาะกับงาน โดย บริษัท ทีโอเอ-ยูเนี่ยน เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด และพันธมิตรทางความรู้จาก บริษัท ลานนาไม้อัดไทย จำกัด ที่สนับสนุนหัวข้อ สกิลที่ควรรู้สำหรับช่างไม้ โดย คุณนิพนธ์ เจียมสมบัติ หรือ อาจารย์เอ๋ เพาะช่าง  เป็นต้น ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่ https://evcnx.co/jl5cg หรือ สอบถามรายละเอียด โทร 02-833-5370 อีเมล info@thailandwoodworking.com

นายลูก้า มูลเลอร์ กรรมการผู้จัดการ ไออีซี เมสเซ่ กล่าวว่า งาน TIWF จะจัดขึ้นทุก 2 ปี และปีนี้ถือเป็นปีแรกของการจัดงาน ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดี โดยมีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 230 บริษัท จาก 20 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งมีพาวิลเลียนจาก 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย จีน เยอรมนี สโลวีเนีย ไต้หวัน สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส ที่ได้รวบรวมแบรนด์จากผู้แสดงสินค้ากว่า 350 แบรนด์  สะท้อนให้เห็นถึงว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องจักร เทคโนโลยีงานไม้ และเฟอร์นิเจอร์ทั่วโลกยังให้ความสำคัญและมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้     โดยคาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 4,000 ราย และสามารถสร้างโอกาส สร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการไทยและเอเชีย

"อีกไฮไลต์สำคัญ คือ โครงการ "Greening the Wood Industry" ที่จัดขึ้นในงานนี้ โดยจะบริจาคเงินจำนวน 1 ดอลลาร์สหรัฐในทุก ๆ ตารางเมตรที่ขายได้ในงาน เพื่อสนับสนุนโครงการฟื้นฟูป่าไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้แก่ประเทศไทยด้วย ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น"

"กวิน อินเตอร์เทรด" เปิดตัวเลขลูกค้า 22,221 รายจาก 61 ประเทศ ร่วมชมงานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจด้านเฟรนไซส์ ค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม โรงแรม ผับและบาร์

กวิน อินเตอร์เทรด ประกาศความสำเร็จลูกค้า 22,221 ราย จาก 61 ประเทศ ร่วมชมงานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจด้านเฟรนไซส์ ค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม โรงแรม ผับและบาร์

นายกวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการจัดงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจด้านเฟรนไซส์ ค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม โรงแรม ผับและบาร์ พร้อมกัน 4 งาน ประกอบด้วย Thailand Franchise & Business Opportunity (TFBO 2024) หรือ งานแสดงแฟรนไชส์นานาชาติและโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด Thailand Retail, Food & Hospitality Services (TRAFS 2024) งานแสดงเกี่ยวกับอุปกรณ์ เครื่องใช้ วัตถุดิบอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและ Food Service  ASEAN RETAIL 2024 งานแสดงสินค้าเทคโนโลยี และบริการแบบครบวงจรเพื่อธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ ปิดท้ายด้วย Pub & Bar Asia 2024 งานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านไฟน์ไดนิ่ง ผับ บาร์และสถานบันเทิงโดยเฉพาะ เมื่อวันที่ 11-14 กรกฎาคม 2567 ณ อาคาร 101-104 ไบเทค บางนา ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ONE STOP HOTEL/ FOOD SERVICE/ PUB AND BAR / RETAIL /FRANCHISE SOLUTIONS” โดยวางรูปแบบการจัดงานอย่างยั่งยืน มุ่งหวังส่งเสริมภาคธุรกิจบริการ เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจการสร้างธุรกิจ สร้างงาน สร้างอาชีพ ตลอดจนเป็นส่วนผลักดันสนับสนุนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นความตั้งใจของจัดงานแสดงสินค้าตลอดระยะเวลา 25 ปี งานครั้งนี้ถือเวทีให้ผู้แสดงทั้งผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายจากไทยและต่างประเทศ  ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ให้กับผู้ซื้อ และนักลงทุนจากไทยและต่างประเทศ ได้พบปะเจรจาธุรกิจตลอด 4 วันของการจัดงานเพื่อเป็นหนึ่งของฟันเฟืองที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจ เป็นผลก่อให้เกิดการจ้างงานและการใช้วัสดุ วัตถุดิบภายในประเทศ นำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศแบบยั่งยืน 

โดยงานครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากพันธมิตรธุรกิจ หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ทั้งในและต่างประเทศรวมกว่า 330 บริษัท ได้นำสินค้าและนวัตกรรมครอบคลุม 4 ธุรกิจด้านเฟรนไซส์ ค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม โรงแรม ผับและบาร์ รวมกว่า 10,000 รายการ จาก 10 ประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เข้าร่วมจัดแสดงภายในงาน อีกทั้งได้จัดกิจกรรมพิเศษมากมาย ทั้งการให้ความรู้ผ่านงานเสวนา กิจกรรมประกวดแข่งขัน กิจกรรมเวิร์คช็อป ที่เกี่ยวเนื่องเพื่อส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพ และการเปิดโอกาสให้ผู้สนใจทั้งไทยและต่างประเทศได้เข้าร่วมชมสินค้า บริการ และเจรจาธุรกิจโดยตรงทั้ง 4 งานในพื้นที่เดียวกัน

ทั้งนี้ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรธุรกิจ การนำเสนอสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ การจัดกิจกรรมที่ให้ความรู้ การทำเวิร์กช็อปที่หลากหลายหมุนเวียนให้ร่วมกิจกรรม ตลอด 4 วันของการจัดงานนั้น สร้างความน่าสนใจและได้รับผลตอบรับที่ดีมาก โดยมีผู้เข้าร่วมงานทั้งหมดรวม 22,221 คน จาก 61 ประเทศทั่วโลก ถือเป็นความสำเร็จสูงสุดหลังจากวิกฤตโควิด-19 ในนามผู้จัดงานฯ ขอขอบคุณผู้ร่วมจัดแสดง หน่วยงาน องค์กร พันธมิตรธุรกิจ และผู้ร่วมงานทุกท่าน และโอกาสนี้หวังจะได้ต้อนรับในการจัดงานปีต่อไป ซึ่งกำหนดจัดงานช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ณ  ศูนย์แสดงนิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา 

มัดรวมกิจกรรมไฮไลท์น่าสนใจจาก 4 งานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ

มัดรวมกิจกรรมไฮไลท์น่าสนใจจาก 4 งานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ

แวดวงธุรกิจท่องเที่ยวและบริการห้ามพลาด เตรียมพบกับ 4 งานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจ ด้านเฟรนไซส์ ค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม โรงแรม ผับและบาร์ ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน โดย กวิน อินเตอร์เทรด ร่วมกับ พันธมิตรองค์กร สมาคม หน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ ขนทัพสินค้ากว่า 10,000 รายการ ตลอดจนกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจอีกกว่า 100 กิจกรรม ทั้งการสัมมนาให้ความรู้ การสาธิตทำอาหาร เบเกอรี่ และเครื่องดื่ม โชว์เทคโนโลยีนวัตกรรม การแข่งขันบาร์เทนเดอร์และการประกวดค้นหาสุดยอดนักบริการ รวมถึงเวิร์กช็อปสร้างอาชีพหลากหลาย หมุนเวียนตลอด 4 วันจัดงานระหว่างวันที่ 11-14 กรกฎาคม 2567 ณ อาคาร 101-104 ไบเทค บางนา ให้ผู้สนใจได้เข้าร่วมงาน ฟรี

นายกวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวถึงความพร้อมของการจัดงานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ด้านการบริการเพื่อการท่องเที่ยวครบวงจร ประกอบด้วย Thailand Franchise & Business Opportunity (TFBO 2024) หรือ งานแสดงแฟรนไชส์นานาชาติและโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด Thailand Retail, Food & Hospitality Services (TRAFS 2024) หรือ งานแสดงเกี่ยวกับอุปกรณ์ เครื่องใช้ วัตถุดิบอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและ Food Service  งาน ASEAN RETAIL 2024 จัดแสดงสินค้าบริการครบครัน เพื่อธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ ปิดท้ายด้วย Pub & Bar Asia 2024 งานแสดงสินค้าสำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านไฟน์ไดนิ่ง ผับ บาร์และสถานบันเทิงโดยเฉพาะ ซึ่งมีกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 11-14 กรกฎาคม 2567 ณ อาคาร 101-104 ไบเทค บางนา

ทั้งนี้ถือเป็นการจัด 4 งานบนพื้นที่เดียวครอบคลุมกลุ่มธุรกิจเฟรนไซส์ ค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม โรงแรมที่พัก ผับและบาร์ ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งภายในงานรวบรวมสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ จากผู้ประกอบการแบรนด์ชั้นนำถึง 10 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจกว่า 100 กิจกรรม ทั้งการสัมมนาให้ความรู้ การโชว์เทคโนโลยีนวัตกรรม การสาธิตทำอาหาร เบเกอรี่ และเครื่องดื่ม การแข่งขันบาร์เทนเดอร์และการประกวดค้นหาสุดยอดนักบริการ อีกทั้งเวิร์กช็อปสร้างอาชีพมากมาย รวมถึงกิจกรรมจับคู่เจรจาธุรกิจ เชื่อมต่อกับผู้นำอุตสาหกรรม และพันธมิตรทางธุรกิจแบบตัวต่อตัว ในโซน Business Matching อีกด้วย

สำหรับงาน Thailand Franchise & Business Opportunity กิจกรรมไฮไลท์ ประกอบด้วย สัมมนาเรียนรู้กลยุทธ์การลงทุนที่ได้ผลจริง รวมถึงเทคนิคการบริหารแฟรนไชส์ที่มีประสิทธิภาพ จากวิทยากรผู้มากประสบการณ์ กิจกรรมเวิร์คช็อป "ปั้นร้านให้เป็นร้อย (ล้าน)" ที่จะช่วยพัฒนาทักษะการบริหารจัดการ และการตลาด แบบระดับมืออาชีพ “วิเคราะห์แฟรนไชส์” เรียนรู้วิธีการประเมินแฟรนไชส์อย่างละเอียด เพื่อการตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด การอบรม  หลักสูตร "นักวิเคราะห์ธุรกิจแฟรนไชส์" (พร้อมรับประกาศนียบัตร) ยกระดับความเชี่ยวชาญ ในการวิเคราะห์โอกาสทางธุรกิจแฟรนไชส์ และบริการจับคู่ธุรกิจ เปิดโอกาสในการพูดคุยแบบตัวต่อตัวกับเจ้าของแบรนด์ให้ได้ซักถามทุกรายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน

โดยในส่วนของงาน Thailand Retail, Food & Hospitality Services กิจกรรมไฮไลท์ ประกอบด้วย สาธิตพร้อมแจกสูตรทำอาหาร เบเกอรี่ เรียนรู้ทักษะและเทคนิคการปรุงอาหารและเบเกอรี่สดใหม่ อย่างสร้างสรรค์ ให้กลายเป็นสุดยอดเมนูรสเลิศ กว่า 30 เมนู พร้อมรับเคล็ดลับอันมีค่ากลับไปใช้ในครัวหรือร้านอาหาร ซึ่งสอนโดยทีมเชฟมืออาชีพ จากสมาคมเดอะเชฟประเทศไทย และสมาคมเบเกอรี่ ประเทศไทย อาทิ เมนูอกเป็ดซอสลูกพีช เบอร์เกอร์ปูซอสซีซาร์ ทีโบนพาสต้า ซอสอะโวคาโด ซี่โครงแกะอบ ซอสโทบัสโค, เป็ดย่าง ซอสมะขาม,  สเต็กแซลมอน ราดซอสโยเกิร์ต และวีแกนเบเกอรี่ การประกวดและแข่งขันของสุดยอดฝีมือในวงการโรงแรม: การประกวดการประดิษฐ์เชิงอนุรักษ์จากวัสดุเหลือใช้ในธุรกิจโรงแรม เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อความยั่งยืนและโอกาสในการเพิ่มผลกำไรให้กับเจ้าของธุรกิจ  

ไฮไลท์ที่สำคัญและไม่ควรพลาดอีกหนึ่งรายการ คือ การแข่งขันการตกแต่งห้องพักอย่างมืออาชีพ ใครจะเป็นผู้ชนะในการเลือกใช้อุปกรณ์และการจัดสรรพื้นที่ เพื่อเนรมิตพื้นที่ว่างให้กลายเป็นห้องพักอันน่าทึ่งที่ช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าพัก นอกจากนี้ ยังมีการจัดสัมมนา 10 หัวข้อ นำโดยผู้เชี่ยวชาญในวงการอาหารและโรงแรม อาทิ AI in Hotel Industry โดย BOOKINGJINI เชื่อมโยงทุกโอกาสธุรกิจด้วยแพลตฟอร์มจับคู่ธุรกิจ โดย Krungsri Business Link หัวข้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เทรนด์ธุรกิจใหม่ ปี 2024 หัวข้อเปิดร้านอาหารอย่างไรให้ลูกค้าประทับใจ หัวข้อเปิดโลกค้าปลีกบนแพลทฟอร์มออนไลน์และการส่งออกขายต่างประเทศ หัวข้อเปิดประตู สู่โลก AI  2024 เสริมศักยภาพให้ธุรกิจร้านอาหาร ควบคุมต้นทุนวัตถุดิบ เพิ่มกำไรให้ร้านอาหารด้วยข้อมูล และอีกมากมาย

สำหรับงาน ASEAN Retail 2024 กิจกรรมไฮไลท์ RetailTech REVOLUTION Zone พบกับเทคโนโลยีล้ำสมัยและนวัตกรรมที่จะช่วยพัฒนาธุรกิจของคุณให้เป็นร้านค้าแห่งอนาคตทั้ง ระบบ Self-checkout, Smart Mirror, AR, VR และ AI photo มาให้ได้ทดลองใช้ฟรี จาก CYBERREX, RBS Shopping, Smart Identify และอีกมากมาย พื้นที่สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจอีคอมเมิร์ซหรือขยายธุรกิจ พร้อมโชว์เทคนิคการไลฟ์สดจากบริษัทชั้นนำ และสัมมนาที่จะช่วย Upskill ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ พัฒนาศักยภาพ และยกระดับให้แบรนด์ของคุณกับกูรูที่ได้รับการรับรองจากแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ กลไกการส่งเสริม Digital Transformation โดยสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล บุกตลาดต่างประเทศให้ปังกับแพลตฟอร์มค้าส่งระดับโลก Alibaba Cross Border eCommerce by amazon และเวิร์กช็อป การเพิ่มยอดขาย เปิดร้านออนไลน์ ด้วย LINE SHOPPING โดย LINE Certified Coach และShop Concept & Branding สถาบัน DiiSchool เป็นต้น

ปิดท้ายด้วยงาน PUB & BAR ASIA 2024 กับโซนกิจกรรม Sip Square บาร์เครื่องดื่มที่จะเสิร์ฟเครื่องดื่มสูตรเด็ดจากบาร์เทนเดอร์ ดีกรีแชมป์การแข่งขันบาร์เทนเดอร์ประเทศไทยหลายรายการ และแชมป์อันดัง 3 ในรายการ "World Finals BACARDI MARTINI GRAND PRIX @Italy และโซน SavorSphere พื้นที่เปิดตัวเครื่องดื่มใหม่จากทั้งไทยและต่างประเทศ อาทิ ผู้ผลิตจากญี่ปุ่นกว่า 10 บริษัท นำเครื่องดื่มที่ไม่เคยจำหน่ายในประเทศไทยมาให้ผู้ที่สนใจได้ทดลองชิม พร้อมมองหาตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย และโซน BrewHub Creations เวทีสัมมนาและเวิร์กช็อป เพื่ออัปเดตความรู้กับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ร่วมสร้างมาตรฐาน พร้อมทั้งยกระดับแบรนด์ของคุณ ด้วยหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ ยกระดับ คราฟต์เบียร์ ของคุณด้วยเครื่องหมายการค้า เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ โดย วิทยากรจากกรมทรัพย์สินทางปัญญา และเวิร์กช็อป ทำคราฟต์เบียร์ สาโท สุราท้องถิ่น เพื่ออาชีพ โดย บางแก้ว อคาเดมี่ อบรมการทำม็อกเทลหลักสูตรเข้มข้น เพื่อต่อยอดอาชีพ โดยวิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร เป็นต้น

ทั้งนี้ ยังมีกิจกรรมไฮไลท์สำคัญๆ อีกมากมาย ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ หน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน  รวมถึงนักวิชาการ นักศึกษา และประชาชนทั่วไปได้เข้าร่วมงาน ฟรี โดยผู้สนใจสามารถเข้าชมข้อมูลงานเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานล่วงหน้าได้ผ่านทางเฟซบุ๊ก TRAFS Exhibition, Thailand Franchise Show, ASEAN Retail, Pub & Bar Asia 

"กวิน อินเตอร์เทรด" มั่นใจเศรษฐกิจไทย เตรียมจัดใหญ่ 4 งานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ

"กวิน อินเตอร์เทรด" มั่นใจเศรษฐกิจไทย เตรียมจัดใหญ่ 4 งานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ

ตอบรับนโยบายกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวไทยครึ่งปีหลัง หนุนรายได้ธุรกิจและบริการที่เกี่ยวเนื่องเติบโต กวิน อินเตอร์เทรด เดินหน้าเตรียมจัด 4 งานแสดงสินค้าและเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ ประกอบด้วยงานแสดงธุรกิจเฟรนไซส์ ค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม โรงแรม ผับและบาร์ ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ดึงผู้ประกอบการ 330 บริษัทชั้นนำ จาก 10 ประเทศจัดแสดงสินค้ารวม 630 บูธบนพื้นที่ 20,000 ตร.ม. ของฮอลล์ 101-104 ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 11-14 กรกฎาคม นี้ พร้อมกิจกรรมพิเศษกว่า 100 รายการ คาดผู้เข้าชมงานราว 25,000 คน จาก 50 ประเทศทั่วโลก ก่อให้เกิดเงินสะพัดในงานกว่า 500 ล้านบาท

นายกวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดท่องเที่ยวไทยแนวโน้มครึ่งปีหลัง 2567 มีความคึกคัก ด้วยภาครัฐวางนโยบายกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวไทยทั้งในประเทศและตลาดต่างประเทศ เพื่อรองรับกับตลาดท่องเที่ยวที่จะขยายตัว ทางบริษัทฯ จึงร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ หน่วยงาน องค์กร เตรียมจัด 4 งานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ ประกอบด้วย Thailand Franchise & Business Opportunity (TFBO), Thailand Retail, Food & Hospitality Services (TRAFS 2024), ASEAN RETAIL 2024,และ Pub & Bar Asia 2024 

ทั้งนี้ถือเป็นการจัดงานที่ครอบคลุมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง สนับสนุนบริการด้านการท่องเที่ยวครบวงจร ภายในงานรวบรวมสินค้ามากกว่า 10,000 รายการจากทั่วโลกให้กลุ่มเป้าหมายผู้ประกอบการได้เข้ามาเจรจาเลือกซื้อสินค้าจากผู้แสดงจาก 10 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจเฟรนไซส์ ค้าปลีก อาหาร-เครื่องดื่ม โรงแรมที่พัก ผับและบาร์ ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการที่สนใจได้ร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้แสดงสินค้าโดยตรง ในโซน Business Matching ตลอด 4 วันของงาน

โดยงานครั้งนี้ได้รับความสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐและสมาคมภาคเอกชนรวมเกือบ 20 แห่ง อาทิ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) สถาบันอาหาร สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจแฟรนไชส์และไลเซนส์ สมาคมเดอะเชฟ สมาคมธุรกิจร้านอาหาร ศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีเพื่อการตลาดให้ผู้ประกอบการไทย หอการค้าไทย-อิตาเลี่ยน สมาคมนักบริหารงานอาหารและเครื่องดื่ม บางแก้วอะคาเดมี่ และ ASSOCIATION OF CHAIN AND FRANCHISE PROMOTION, TAIWAN (ACFPT) เป็นต้น

สำหรับรายละเอียดของทั้ง 4 งานแสดงสินค้า เริ่มด้วยงาน Thailand Franchise & Business Opportunity (TFBO) งานแสดงแฟรนไชส์นานาชาติและโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด และมีประสิทธิภาพสูงสุดในประเทศไทย จัดมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 20 ภายในงานจะได้พบกับแฟรนไชส์แบรนด์ชั้นนำน่าลงทุนกว่า 150 แบรนด์ จากผู้แสดง 7 ประเทศ คือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ไต้หวัน จีน ฮ่องกง และไทย ครอบคลุม 10 ประเภทธุรกิจ เช่น อาหารและเบเกอร์รี่ กาแฟและชานมไข่มุก บริการสะดวกซัก ร้านค้า การศึกษา และเครื่องหยอดเหรียญ  เป็นต้น พร้อมกันนี้ยังมีกิจกรรมสัมมนาและอบรมการเลือกลงทุนแฟรนไชส์ โดยผู้เชี่ยวชาญและเจ้าของแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จ ที่จะมาแชร์กลยุทธ์การลงทุนที่ได้ผลจริง เป็นต้น

ต่อด้วยงาน Thailand Retail, Food & Hospitality Services (TRAFS 2024) งานแสดงเกี่ยวกับอุปกรณ์ เครื่องใช้ วัตถุดิบอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและ Food Service ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 รวบรวมสินค้ากว่า 7,000 รายการจากทั่วโลก พร้อมกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น การสาธิตเมนูอาหารและเบเกอรี่แปลกและใหม่ พร้อมแจกสูตรเพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดธุรกิจต่อไป การประกวดสิ่งประดิษฐ์เชิงอนุรักษ์จากวัสดุเหลือใช้ในธุรกิจโรงแรม (Hospitality Innovation & Sustainability Product ContestGuest Room Styling Competition) การแข่งขันการตกแต่งห้องพักโรงแรม (Hospitality Innovation & Sustainability Product Contest) ยังมีกิจกรรมสัมมนากว่า 10 หัวข้อน่าสนใจของคนโรงแรมและภัตตาคาร โดยผู้เชี่ยวชาญในวงการมาร่วมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เพื่อยกระดับฝีมือและพัฒนาขีดความสามรถ เป็นต้น

นายกวิน กล่าวเพิ่มเติมถึงงานที่ 3 คือ ASEAN Retail 2024 เป็นงานแสดงสินค้าบริการครบวงจรเพื่อธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ถือเป็นงานเดียวในประเทศที่รวมเทคโนโลยีนานาชาติสำหรับธุรกิจค้าปลีก ซุปเปอร์มาร์เก็ต Modern trade ศูนย์การค้า และธุรกิจ Ecommerce ครบครันและสมบูรณ์แบบที่สุด โดยประเภทสินค้าประกอบด้วย นวัตกรรมใหม่ เทคโนโลยีค้าปลีก อุปกรณ์ตกแต่งร้าน อีคอมเมิร์ซ พร้อมสัมมนาและสาธิตการไลฟ์สดกับผู้เชี่ยวชาญในแพลตฟอร์มชั้นนำ อาทิ amazon, Alibaba, Line เป็นในโซน E-Commerce และกิจกรรมไฮไลต์ในโซน RetailTech REVOLUTION พบกับเทคโนโลยีล้ำสมัยและที่จะช่วยยกระดับธุรกิจให้เป็นร้านค้าแห่งอนาคต ทั้งระบบ Self-checkout, Smart Mirror, และ AI photo มาให้ได้ทดลองใช้ฟรี 

งานที่ 4 คือ PUB & BAR ASIA 2024 งานแสดงสินค้านานาชาติงานแรกและงานเดียวของประเทศไทย สำหรับธุรกิจโรงแรม ร้านไฟน์ไดนิ่ง ผับ บาร์และสถานบันเทิงโดยเฉพาะ ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 งานนี้เป็นแพลตฟอร์มสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเครื่องดื่ม เครื่องมือ วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ พร้อมพบปะซัพพลายเออร์รายใหม่ และอัปเดตเทรนด์หรือสูตรเครื่องดื่มใหม่ๆ ภายในงาน และยังมีกิจกรรมไฮไลต์ เช่น Sip Square เคาเตอร์บาร์เสมือนจริงที่ให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลองเครื่องดื่มชนิดต่างๆ โดยบาร์เทนเดอร์ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์ SavorSphere โซนเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่จากทั้งไทยและประเทศญี่ปุ่นที่ไม่เคยจำหน่ายในประเทศไทย มาให้ผู้ที่สนใจได้ทดลองชิม และหาตัวแทนจำหน่าย พร้อมลองคราฟท์เบียร์สูตรเฉพาะ และการอัปเดตรสชาติไวน์ใหม่ๆ ที่นำเข้ามาโดยเฉพาะ เหมาะสำหรับร้านอาหาร/ ผับ /บาร์ และสถานบันเทิงทุกระดับ นอกจากนี้ ยังมีมุม BrewHub Creations เวทีสัมมนาและเวิร์กช็อป เพื่ออัปเดตความรู้กับผู้เชี่ยวชาญโดยตรง ที่จะช่วยสร้างมาตรฐาน พร้อมทั้งยกระดับแบรนด์ ด้วยหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจ 

“คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานรวมกว่า 25,000 คน จากราว 50 ประเทศเดินทางมาที่งานเพื่อดูสินค้าเทคโนโลยีใหม่ พร้อมเข้าร่วมกิจกรรมและฟังเสวนาต่างๆ กว่า 100 หัวข้อ อีกทั้งเป็นโอกาสที่ได้พบปะเพื่อนๆ ในอุตสาหกรรมอีกด้วย เชื่อมั่นว่าการจัด 4 งานใหญ่พร้อมกันนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการและผู้บริหารที่สามารถมาเดินดูงานใดงานหนึ่งและยังสามารถไปชมอีก 3 แสดงที่จัดพร้อมๆ กันและสามารถต่อยอดธุรกิจได้ในคราวเดียวกัน อีกทั้งประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้เป็นอย่างมาก” นายกวิน กล่าวสรุป

อย่างไรก็ตามทั้ง 4 งานแสดงสินค้านี้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ เจ้าของธุรกิจ หน่วยงาน องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน  รวมถึงนักวิชาการ นักศึกษา และประชาชนทั่วไปที่สนใจได้เข้าร่วมงานฟรี โดยสามารถเข้าชมข้อมูลงานเพิ่มเติมและลงทะเบียนร่วมงานล่วงหน้าได้ผ่านทางเฟซบุ๊ก TRAFS Exhibition, Thailand Franchise Show, ASEAN Retail Pub & Bar Asia 

 

"TEA" ชี้เทรนด์จัดงานแสดงสินค้า ปี 67 มุ่งสู่ "Regenerative Exhibitions" สร้างการรับรู้ไทย MICE Destination อย่างยั่งยืน

สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA เผยเทรนด์การจัดงานแสดงสินค้าปี 67 จำนวนการจัดงานแสดงสินค้าเริ่มกลับมาเกือบ 100% โดยเทรนด์ปีนี้จะเห็นงานใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ "IGNITE THAILAND" ของรัฐบาลมากขึ้น อาทิ งานทางด้าน Fintech, Wellness, Food และ Logistics  ด้าน TEA ให้ความสำคัญกับ "Regenerative Exhibitions" การจัดงานฟื้นสร้างอย่างยั่งยืน มุ่งเป้าการอบรมเสริมองค์ความรู้ให้สมาชิก พร้อมยกระดับมาตรฐานการการจัดงาน รองรับงานระดับโลก

"เทรนด์โลก" ชี้ "เทรนด์ไทย"
ปนิษฐา บุรี นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) เผยภาพรวมงานแสดงสินค้า (Exhibitions)ว่า จำนวนการจัดงานเริ่มกลับมาเกือบ 100% และเริ่มเห็นงานใหม่ๆ มากขึ้น รวมถึงขนาดของการจัดงานที่เคยลดลง ก็เริ่มขยายพื้นที่ขึ้น สำหรับเทรนด์การจัดงานในอดีต จะเน้นจำนวนการจัดงาน แต่ ณ ปัจจุบันเน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผู้ซื้อ(Buyers) ที่มีคุณภาพและชัดเจน โดยตัวเลขของการจัดงานตลอดปี 2566 จาก 4 ศูนย์การแสดงสินค้า คือ รอยัล พารากอน ฮอลล์,   อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เป็นงาน Trade Exhibition 39% และงาน Consumer 61% ใช้พื้นที่ในการจัดงานทั้งสิ้น 23 ล้าน ตร.ม. คาดปี 2567 แนวโน้มการเติบโตขึ้น 10 % จากปี 2566
 
ปนิษฐา กล่าวถึงเทรนด์ของการจัดงานปี 2567 ว่า การจัดงานแสดงสินค้าหลายงาน สอดรับกับวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND: จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” ของรัฐบาล โดยวิสัยทัศน์ทั้ง 8 ด้าน ได้แก่ 1. ศูนย์กลางเมืองท่องเที่ยว 2. ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ 3. ศูนย์กลางอาหาร 4. ศูนย์กลางการบิน 5. ศูนย์กลางขนส่งของภูมิภาค 6. ศูนย์กลางผลิตยานยนต์แห่งอนาคต 7. ศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัล และ 8. ศูนย์กลางทางการเงิน

"ปีนี้เราจะเห็นงานที่เกี่ยวกับ Fintech, Wellness และ Logistics  เข้ามามากขึ้น รวมถึงงานทางด้านการท่องเที่ยว อาหาร และนวัตกรรมเทคโนโลยีการผลิต จะยังคงมีอย่างต่อเนื่อง การที่รัฐบาลประกาศวิสัยทัศน์ทั้ง 8 ด้าน ทำให้ผู้จัดงานมองเห็นว่าเทรนด์ของการจัดงานว่าควรไปในทิศทางใด เพราะงาน Exhibition ถือเป็น กลยุทธ์การตลาดที่สำคัญขององค์กร"
 
ปี 67 ‘Regenerative Exhibitions’ เทรนด์ใหญ่ระดับโลก
ปนิษฐา กล่าวเพิ่มเติมถึงเทรนด์สำคัญอีกอย่างที่ผู้จัดงานจะต้องเตรียมพร้อม คือ Sustainability  (ความยั่งยืน) ยกระดับเป็น Regenerative Exhibitions เนื่องจากลูกค้าจากยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ประเทศไทยในฐานะเป้าหมายศูนย์กลางการจัดงานของเอเชีย เราต้องพร้อมที่จะต้อนรับและสนองต่อเทรนด์ความต้องการของบริษัทใหญ่ๆ จากทั่วโลก โดย TEA มีแนวคิดที่อยากให้คนในอุตสาหกรรมเข้าใจเรื่องดังกล่าว สิ่งที่เน้นในปีนี้คือ Regenerative การฟื้นสร้างอย่างยั่งยืน คือ แนวคิดตั้งแต่ต้นน้ำเลย เช่น การใช้ทรัพยากรทดแทนในการก่อสร้าง การลดปริมาณขยะหลังการจัดงาน การสื่อสารเพื่อให้มีความเข้าใจ ที่ต้องเป็นความร่วมมือกันทั้งระบบที่เกี่ยวข้อง (ซัพพลายเซน) อาทิ ถ่ายทอดองค์ความรู้แก่สมาชิก ถึงการเลือกต้องใช้วัสดุอะไร เหมาะแก่การใช้งาน (function) และไม่สร้างภาระ หรือการออกแบบเพื่อเอาไปใช้ต่อ ส่งต่อ และไม่ทำลายธรรมชาติ การเอาของไปทิ้ง ต้องทิ้งอย่างไรถึงจะถูกต้องและปลอดภัย เป็นต้น

หนึ่งในพันธกิจ (วิสัยทัศน์) ของการพัฒนาอุตสาหกรรมของ TEA จึงต้องการขับเคลื่อนในเรื่องนี้ ต้องการให้ Regenerative Exhibitions เป็นมาตรการขั้นพื้นฐานของอุตสาหกรรม เป็น Branding ของการจัดแสดงสินค้าของไทย โดยให้ทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของ TEA เดินหน้าไปด้วยกัน บนมาตรฐานเดียวกัน 

ไทยพร้อมแล้วที่จะเป็น "MICE Destination"
ปนิษฐา กล่าวถึงการแข่งขันตลาดการจัดแสดงสินค้าว่า สำหรับคู่แข่งสำคัญของไทยในด้านการจัดแสดงสินค้า คือ สิงคโปร์และฮ่องกง แต่ด้วยประเทศไทยมีเสน่ห์เอกลักษณ์ความเป็นไทย และความหลากหลายในหลายๆ ด้าน เช่น การเดินทางมีตั้งแต่ Private Jet จนถึงรถตุ๊กตุ๊ก อาหารมีตั้งแต่ Street Food จนถึง Michelin Stars ราคาห้องพักโรงแรมก็ไม่แพงหากเทียบกับสิงคโปร์ เป็นต้น โดยขณะนี้ไทยเป็น อันดับ 1 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นอันดับ 4 ของเอเชียในด้านการจัดงานแสดงสินค้า

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ประเทศไทยจะต้องปรับตัวเอง เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน คือ การอำนวยความสะดวกให้ผู้เข้ามาจัดงาน และคนทำงานต้องพร้อมในเรื่องของภาษาเพื่อรองรับผู้เข้าชมงานจากต่างประเทศ

ด้วยบทบาทสมาคม TEA พร้อมผลักดัน การจัดเทรนนิ่งบุคลากรหรือองค์กรขนาดเล็ก ให้พร้อมสำหรับตลาดจัดงานแสดงสินค้า พร้อมเสริมองค์ความรู้ใหม่ให้กับสมาชิกอย่างต่อเนื่อง

สำหรับงาน Thailand MICE X-Change 2024 งานแสดงนวัตกรรมและบริการ การจัดงานแสดงสินค้า การจัดประชุมองค์กรและการจัดอีเว้นท์ ระหว่างวันที่ 17 – 18 กรกฎาคมนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เกิดจากแนวคิดเพื่อสร้างโอกาส ประกาศความพร้อมของเครือข่ายธุรกิจการจัดงานแสดงสินค้าไทยในการรองรับงานระดับนานาขาติ เป็นการรวมตัว Supply Chain ผู้ประกอบการงานแสดงสินค้าทุกสาขาได้นำเสนอสินค้าและบริการ เวทีนี้ นอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่สมาชิกได้เข้าถึงบริษัท องค์กร ที่ต้องการใช้งานแสดงสินค้าเป็นเครื่องมือทางการตลาดแล้ว ในครั้งนี้ก็จะเป็น Showcase ด้วย Regenerative Exhibitions ที่เป็นวิสัยทัศน์ของสมาคมด้วย

ภารกิจทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้ Vision ของ TEA ที่ว่า "To be the driving force in making Thailand one of the preferred choices for the Regenerative Exhibitions by 2030" ซึ่ง ปนิษฐา บุรี นายกสมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) พร้อมพาไทยสู่ความเป็นหนึ่งในด้านการจัดงานแสดงสินค้า

"GIT" จับมือ "จ.จันทบุรี" จัดงานนานาชาติพลอย-เครื่องประดับ 7 - 11 ธ.ค. คาดเงินสะพัดกว่า 100 ล้าน

"GIT" จับมือ "จ.จันทบุรี" จัดงานใหญ่  “เทศกาลนานาชาติพลอยและเครื่องประดับจันทบุรี 2023" 7 - 11 ธ.ค. คาดเงินสะพัดกว่า 100 ล้าน

วันที่ 14 พ.ย.2566 ที่ รร. Gaysorn Urban Resort กทม. สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GITร่วมกับจังหวัดจันทบุรี สมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี เทศบาลเมืองจันทบุรี สภาอุตสาหกรรมจันทบุรี หอการค้าจังหวัดจันทบุรี หน่วยงานในจังหวัดจันทบุรี และหน่วยงานพันธมิตร แถลงข่าวประกาศพร้อมเดินหน้าจัดงานเทศกาลนานาชาติพลอยและเครื่องประดับจันทบุรี 2023(International Chanthaburi Gems and Jewelry Festival 2023 ) ระหว่างวันที่ 7 - 11 ธันวาคม 2566 เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้จังหวัดจันทบุรี ก้าวเข้าสู่การเป็น นครอัญณีโลก คาดสร้างเงินสะพัดภายในจังหวัดจันทบุรีกว่า 100 ล้านบาท และมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 10,000 ราย

นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี กล่าวว่า การจัดงานเทศกาลนานาชาติพลอยและเครื่องประดับจันทบุรี 2023 เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะเร่งผลักดัน ตามมติของคณะรัฐมนตรีมีมติสนับสนุนจังหวัดจันทบุรีให้เป็น นครอัญณีศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก (Chanthaburi:
City of Gems) ซึ่งมติดังกล่าวเป็นหนึ่งในมาตรการเพื่อช่วยสนับสนุนประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก (World's Gems & Jewelry Hub) และสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค รวมถึงมาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจ และความสามารถในการแข่งขันของไทย ถือว่าเป็นงานสำคัญของจังหวัด เป็นการปิดเมืองจัดงาน โดยมีพื้นที่การจัดงาน ในรัศมี 1 กิโลเมตรของเมืองจันทบุรี ซึ่งมีจุดจัดงานหลักอยู่ 3 จุดด้วยกัน คือ ศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี/ เคพี จิวเวลรี่ เซ็นเตอร์/ ตลาดพลอย ถนนศรีจันทร์ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก

นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ หรือ GIT กล่าวเสริมว่า สำหรับการจัดงานครั้งนี้ จัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 4 และได้รับการตอบรับอย่างดีจากพันธมิตรทั้งภาครัฐ และภาคธุรกิจ ที่ให้ความร่วมมือ ถือว่าเป็นงานแสดงอัญมณีและเครื่องประดับที่สำคัญอีกหนึ่งงาน นอกจากงาน
Bangkok Gems and Jewely Fair ขณะนี้มีผู้ประกอบการทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ ให้ความสนใจร่วมออกงานครั้งนี้กว่า 300 คูหา ผลิตภัณฑ์อัญมณีและเครื่องประดับและสินค้าเกี่ยวข้องมากมาย ได้แก่ พลอยดิบพลอยเจียระไน  เครื่องประดับอัญณี วัตถุดิบประกอบอัญมณี เครื่องจักรและอุปกรณ์ รวมถึงบรรจุภัณฑ์ครอบคลุมทุกภาคส่วนในวงการอุตสาหกรรมอัญมณี


“นอกจากการแสดงและจำหน่ายสินค้าแล้ว ยังมีกิจกรรมพิเศษที่น่าสนใจมากมาย อาทิ งานสัมมนาด้านการตลาด การค้าออนไลน์ การจัดสัมมนาด้านอัญมณีและเครื่องประดับ กิจกรรมเวิร์คช็อปต่างๆ มากมายโดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ การจับคู่ธุรกิจภายใต้โครงการซื้อด้วยความมั่นใจ (BWC Business Matching) รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นผ่านการให้บริการตรวจสอบอัญมณีและเครื่องประดับภายในงาน(Mobile Lab) ภายใต้โครงการซื้อด้วยความมั่นใจ (Buy With Confidence) และยังมีการนิทรรศการอัญมณีและเครื่องประดับที่ได้รับรางวัล GIT's World Jewelry Design Awards 2023 นิทรรศการในโครงการพัฒนา ผู้ประกอบการในภูมิภาค Gems Treasure กับผลงานชุด "เสน่ห์ใต้" รวมถึงนิทรรศการเครื่องประดับจาก ผู้ประกอบการจันทบุรีที่ออกแบบมาเพื่อแสดงภายในงานงานครั้งนี้โดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชื่นชอบอัญมณีและต้องการเข้าสู่วงการอัญมณีและเครื่องประดับ”นายสุเมธกล่าว


ด้านน.ส.กนกพร ดำรงกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดไมซีในประเทศ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ ได้เสริมว่า จังหวัดจันทบุรีถือเป็นเมืองที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและชุมชนท้องถิ่นการจัดงานครั้งนี้สอดคล้องกับนโยบายของทีเส็บที่ส่งเสริมให้มีการจัดกิจกรรมไมซ์ในประเทศ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจคาดว่าตลอดระยะเวลา 5 วันของการจัดงาน จะมีผู้เข้าร่วมชมงานไม่น้อยกว่า 10,000 ราย และมีมูลค่าซื้อขาย
ภายในงานไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท



"นอกจากนี้ สมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับจันทุบรี ก็ได้จัดเตรียม กิจกรรม Gems Tour เพื่อให้ผู้สนใจได้เรียนรู้กระบวนการทำพลอย ตั้งแต่การทำเหมือง จนสู่การจำหน่ายสินค้า รวมถึงการพาไปชมแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในจังหวัดจันทุบรี อาทิ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล เที่ยวชมวิถีชีวิตชุมชนริมน้ำจันทบูร อีกทั้ง
ยังได้รับความร่วมมือจากโรงแรมในจังหวัดจันทบุรี จัดโปรโมชั่นพิเศษในช่วง ระยะเวลาการจัดงานด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นการซื้อขายอัญมณีและเครื่องประดับ แต่ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในจังหวัดจันทบุรีให้คึกคักด้วย" นางสาวกนกพรกล่าว



นายภูเก็ต คุณประภากร ที่ปรึกษาสมาคมผู้ค้าอัญณีและเครื่องประดับจันทุบรี กล่าวปิดท้ายสำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงานเทศกาลพลอยและเครื่องประดับจันทบุรี 2023 สามารถติดตาม ข่าวสาร เพิ่มเติมได้ที่เว็บไชต์ www.changemsfest.org หรือ Facebook@ChanGemsFest