บสย. ปลดล็อกค้ำประกันสินเชื่อผ่าน Non-Bank กลุ่มลีสซิ่ง-นาโนไฟแนนซ์

บสย. ปลดล็อกค้ำประกันสินเชื่อกลุ่ม Non-Bank ตามประกาศกระทรวงการคลังฉบับใหม่ พร้อมเปิดคุณสมบัติผู้ให้บริการสินเชื่อกลุ่ม “ลีสซิ่ง-นาโนไฟแนนซ์” ระยะแรกที่สามารถใช้ บสย. ค้ำประกัน รุกหารือสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เดินหน้าค้ำประกันกลุ่มลีสซิ่งของบริษัทรถยนต์ และลีสซิ่ง Non-Bank ผ่านมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” พร้อมเปิดรับคำขอตั้งแต่ 15 ต.ค. นี้ มุ่งช่วย SMEs ซื้อรถกระบะเป็นเครื่องมือทำกินได้ง่ายขึ้น

วันที่ 30 กันยายน 2568 ตามที่ ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศกระทรวงการคลัง (ฉบับใหม่) เรื่อง “กำหนดให้นิติบุคคลที่ให้บริการสินเชื่อแก่ภารธุระอุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นสถาบันการเงิน” เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2568 โดยกำหนดให้นิติบุคคลที่ให้บริการสินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดในประกาศนี้ เป็นสถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อขยายการให้บริการค้ำประกันสินเชื่อ Credit Guarantee ของ บสย. ไปยังผู้ให้บริการสินเชื่อประเภท Non-Bank ได้ครอบคลุมตามคุณสมบัติใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่ค้ำประกันสินเชื่อได้เฉพาะผู้ให้บริการสินเชื่อประเภท Non-Bank ที่เป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงิน ซึ่งมีกว่า 10 รายเท่านั้น 

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า เป้าหมายของประกาศกระทรวงฉบับใหม่ มุ่งช่วยรายย่อย Micro SMEs และกลุ่มอาชีพอิสระให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ Credit Guarantee ของ บสย. เพื่อนำไปประกอบอาชีพหรือต่อยอดธุรกิจมากยิ่งขึ้น พร้อมลดการพึ่งพาเงินกู้นอกระบบที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง และช่วยผู้ประกอบการ Micro SMEs รายย่อย อาชีพอิสระ ให้สามารถพลิกฟื้นธุรกิจ และสร้างความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจฐานรากและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยล่าสุด คณะกรรมการ บสย. เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 ได้อนุมัติหลักเกณฑ์และคุณสมบัติผู้ประกอบการสินเชื่อ Non-Bank ที่ บสย. จะเริ่มเข้าไปค้ำประกันสินเชื่อในระยะแรก จากประกาศดังกล่าว แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 

กลุ่มที่ 1. “นาโนไฟแนนซ์” หรือ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจตามประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศกว่า 70 ราย โดยมีคุณสมบัติที่กำหนด อาทิ มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป มีอายุกิจการไม่ต่ำกว่า 3 ปี ผลประกอบการไม่ติดลบ และผู้ตรวจสอบบัญชี ต้องได้รับความเห็นชอบตามประกาศของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นต้น 

กลุ่มที่ 2. “ลีสซิ่ง” หรือ กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจการให้เช่าซื้อและการให้เช่าแบบลีสซิ่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นการค้าปกติ แต่ไม่รวมถึงสหกรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์ ประกอบด้วย ลีสซิ่งของบริษัทรถยนต์ และลีสซิ่งกลุ่ม Non-Bank ซึ่งมีมากกว่า 30 ราย ภายใต้สมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย โดยมีสัดส่วนการให้สินเชื่อสำหรับการเช่าซื้อรถกระบะเพื่อการพาณิชย์รวมถึง 60% โดยมีคุณสมบัติที่กำหนด อาทิ มีทุนจดทะเบียนตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป อายุกิจการไม่ต่ำกว่า 5 ปี ผลประกอบการไม่ติดลบ และผู้ตรวจสอบบัญชี ต้องได้รับความเห็นชอบตามประกาศของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นต้น 

พร้อมกันนี้ เพื่อเตรียมพร้อมในการขยายบริการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ “ลีสซิ่ง” ไปยังกลุ่ม Non-Bank ภายใต้ประกาศฉบับใหม่ได้อย่างเหมาะสม เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 บสย. ได้จัดประชุมรับฟังข้อเสนอแนะจากกลุ่มผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ โดยผู้บริหารจากกลุ่มบริษัทลีสซิ่ง ที่เป็นสมาชิกสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย นำโดย นายศรัณย์ ทองธรรมชาติ ประธานกรรมการสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย ได้ร่วมหารือพร้อมกัน ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น พบว่ามีผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ ที่เป็นไปตามคุณสมบัติในระยะแรกที่สามารถใช้การค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. รวม 12 ราย โดยในจำนวนนี้ผู้ให้บริการที่มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ สามารถใช้ บสย. ค้ำประกันผ่านมาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ซึ่งพร้อมเปิดรับคำขอค้ำประกันกลุ่ม Non-Bank ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2568 โดยมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดรับคำขอค้ำประกันภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568

 

“การแก้ประกาศดังกล่าว เป็นการปลดล็อกที่สำคัญที่ทำให้ บสย. สามารถเข้าไปค้ำประกันผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะเพื่อการพาณิชย์ ได้ครอบคลุมไม่ต่ำกว่า 80% ซึ่งจะช่วยให้ SMEs สามารถเข้าถึงรถกระบะเพื่อประกอบอาชีพได้ง่ายขึ้น ขั้นตอนจากนี้ บสย. จะประสานเพื่อทำข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับผู้ให้บริการดังกล่าว เพื่อเริ่มให้บริการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ ลีสซิ่ง ต่อไป” นายสิทธิกร กล่าว 

สำหรับผู้ให้บริการสินเชื่อประเภท “นาโนไฟแนนซ์” บสย. จะมีการจัดประชุมรับฟังข้อเสนอแนะและทำข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การให้บริการค้ำประกันสินเชื่อกับ บสย. ในลำดับถัดไป โดยสามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs (บสย. F.A. Center) หรือสำนักงานเขต บสย. 11 แห่งทั่วประเทศ และ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999

ดีเดย์ 15 ก.ค. บสย.ค้ำประกันสินเชื่อดิจิทัล ผ่านแอปฯ ‘เงินดีดี’ ช่วย SMEs รายย่อยและอาชีพอิสระเข้าถึงสินเชื่อง่ายขึ้น

เริ่มแล้ว! 15 ก.ค. บสย. ค้ำประกันสินเชื่อดิจิทัลผ่านแอป ‘เงินดีดี’ เปิดโอกาสให้ SMEs รายย่อยและอาชีพอิสระเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น

วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 บรรยากาศการเข้าถึงสินเชื่อสำหรับผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยและอาชีพอิสระเปิดกว้างขึ้นกับบริการ Digital Lending และ Digital Credit Guarantee ผ่านแอปพลิเคชัน “Good Money” โดยความร่วมมือระหว่าง บสย. และบริษัทลูกธนาคารออมสิน ผู้ให้บริการสินเชื่อดิจิทัลในไทย ซึ่งครั้งแรกในประเทศไทยที่จะมีบริการค้ำประกันสินเชื่อดิจิทัลอย่างครบวงจร

บริการค้ำประกันสินเชื่อดิจิทัล นี้มีเป้าหมายหลักในการช่วยให้ กลุ่มเปราะบาง หรือ Micro SMEs รายย่อย สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยสามารถยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่ วันนี้ และจะได้รับสิทธิ์การค้ำประกันสินเชื่อโดยไม่มีค่าธรรมเนียมใน 3 ปีแรก ปีต่อไปจะมีค่าธรรมเนียม 1.5% ต่อปีจากยอดวงเงินค้ำประกันคงเหลือ และสามารถขอค้ำประกันได้ยาวถึง 7 ปี เริ่มต้นวงเงินค้ำประกันที่ 10,000 บาท

ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจสามารถสมัครได้ง่ายๆผ่านแอปพลิเคชัน Good Money โดยการสมัครสินเชื่อและขอค้ำประกันสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน สามารถคลิกที่ลิงก์ https://goodmoneybygsb.go.link/4c69w หรือเข้าที่ LINE OA: @tcgfirst และยังมีเครื่องมือในการตรวจสุขภาพทางการเงินให้คำปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจาก บสย.

ข้อแนะนำ: ผู้ประกอบการควรกู้สินเชื่อที่จำเป็นและสามารถชำระคืนได้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางการเงินในอนาคต

#สินเชื่อดิจิทัล #บสย #GoodMoney #SMEs #ธุรกิจรายย่อย #ค้ำประกันสินเชื่อ #MicroSMEs #สินเชื่อเพื่อธุรกิจ #นาโนกู๊ดมันนี่ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

บสย.จัดวงเงินค้ำประกันสินเชื่อกว่า 1 แสนล้านตลอดปี 68 พลิกฟื้น SMEs ไทย หนุนกลุ่มเปราะบางเข้าถึงสินเชื่อ 

บสย.เผยยอดค้ำประกันสินเชื่อปี 67 รวม 53,738 ล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อ 88,472 ราย ประสบความสำเร็จแก้หนี้สะสม 18,489 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวม 11,872 ล้านบาท ปี 68 เตรียมวงเงินค้ำประกันกว่า 1 แสนล้านบาท คาดช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 1.65 แสนราย ขานรับนโยบายรัฐ ส่งโครงการค้ำประกันใหม่ ปลดล็อก SMEs ซื้อรถกระบะใหม่ พร้อมหนุน “กลุ่มเปราะบาง” อาชีพอิสระเข้าถึงสินเชื่อ สานต่อภารกิจ Transforms องค์กร ขยายบทบาทช่วย SMEs ในประเทศไทย  

เมื่อวันที่ 6 มี.ค.68 นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานปี 2567 บสย. มียอดค้ำประกันสินเชื่อ 53,738 ล้านบาท ช่วย SMEs ได้รับสินเชื่อ 88,472 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (Micro SMEs) 90% ค้ำประกันเฉลี่ย 100,000 บาทต่อราย อีก 10% เป็น SMEs ทั่วไป ค้ำประกันเฉลี่ย 4.96 ล้านบาทต่อราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงิน 58,986 ล้านบาท รักษาการจ้างงาน 487,253 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 220,462 ล้านบาทภายใต้ 3 โครงการหลัก ได้แก่ 1. โครงการตามมาตรการรัฐ วงเงิน 33,502 ล้านบาท คิดเป็น 62% ของยอดค้ำประกัน ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 83,012 ราย 2. โครงการค้ำประกันสินเชื่อ โดย บสย. ดำเนินการเอง วงเงิน 10,343 ล้านบาท คิดเป็น 20% ของยอดค้ำประกัน ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 5,184 ราย และ 3. โครงการ พ.ร.ก. สินเชื่อฟื้นฟู ระยะที่ 2 (โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก) วงเงิน 9,893 ล้านบาท คิดเป็น 18% ของยอดค้ำประกัน ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 1,543 ราย  

สำหรับโครงการหลัก PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” มียอดค้ำประกัน 28,537 ล้านบาท ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 30,381 ราย โดยเป็นกลุ่มที่ไม่เคยใช้บริการ บสย. (ลูกค้าใหม่) ถึง 72% และเป็นกลุ่ม Micro SMEs ถึง 83% ตอกย้ำความสำเร็จในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้า แม่ค้า อาชีพอิสระ ที่มีปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อ สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น โดยประเภทอุตสาหกรรมที่ค้ำประกันสินเชื่อสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ภาคบริการ 28.4% 2. การผลิตสินค้าและการค้าอื่นๆ 10.8% และ 3. อาหารและเครื่องดื่ม 10.7% ซึ่งทั้ง 3 อุตสาหกรรมมีสัดส่วนค้ำประกันถึง 50% สะท้อนถึงอุตสาหกรรมหลักของประเทศที่มีส่วนสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 

นายสิทธิกร กล่าวอีกว่า ตลอดปี 2567 บสย. ยังมีภารกิจสำคัญในการช่วยแก้หนี้ให้กับ SMEs ที่ บสย. จ่ายค่าประกันชดเชย (ลูกหนี้ บสย.) ตอบโจทย์นโยบายภาครัฐ ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” หรือ มาตรการ 3 สี (ม่วง เหลือง เขียว) ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน 2565 จุดเด่นคือ “ผ่อนน้อย เบาแรง” “ตัดเงินต้น ก่อนตัดดอก” หรือจ่ายเงินต้นบางส่วน คิดอัตราดอกเบี้ย 0% และผ่อนยาว 7 ปี “หนี้ลด หมดเร็ว“ โดยตั้งแต่ออกมาตรการในปี 2565 ประสบผลสำเร็จในการช่วยเหลือลูกหนี้ไปแล้วถึง 18,489 ราย (เฉพาะปี 2567 จำนวน 4,037 ราย) คิดเป็นมูลหนี้รวมกว่า 11,872 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 33 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้ง บสย.  

ทั้งนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ในปี 2568 บสย. ได้ปรับเงื่อนไขมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” ให้ผ่อนปรนยิ่งขึ้น เพื่อช่วย SMEs ปลดหนี้ได้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น อาทิ เพิ่มระยะเวลาผ่อน, ตัดเงินต้นเพิ่มขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัว มาตรการใหม่ ช่วย SMEs “กลุ่มเปราะบาง” ที่มียอดหนี้ เงินต้นไม่เกิน 2 แสนบาท อัตราดอกเบี้ย 0% ชำระครั้งแรกเพียง 500 บาท ผ่อนสูงสุด 80 เดือน ตัดเงินต้นทั้งจำนวน ค่างวดขั้นต่ำเพียง 500-2,500 บาท และสามารถปลดหนี้ ลดต้น 30% เมื่อจ่ายต่อเนื่อง 6 งวด โดยตลอดปี 2568 ตั้งเป้าปรับโครงสร้างหนี้ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” ไม่ต่ำกว่า 5,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้ไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท  

ขณะเดียวกันยังได้จัดกิจกรรมเชิงรุก “บสย. พร้อมค้ำ พร้อมช่วย” ระดมทีมงานผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำการปรับโครงสร้างหนี้ผ่านมาตรการ “บสย. พร้อมช่วย” และการเข้าถึงสินเชื่อให้กับ SMEs เดินสายออกบูธที่ห้างโลตัส 12 จังหวัด กระจายไปยังทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ตลอดเดือนมกราคม – มีนาคม 2568 โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มี SMEs และลูกหนี้ บสย. เข้าร่วมกิจกรรมที่บูธรวม 288 ราย เป็นลูกหนี้ที่เข้ามาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ 229 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 183 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็น SMEs ลูกหนี้ “กลุ่มเปราะบาง” ยอดหนี้ไม่เกิน 200,000 บาท จำนวน 175 ราย โดยมีลูกหนี้สามารถปลดหนี้ ปิดบัญชีได้ถึง 93 ราย จำนวนนี้เป็นกลุ่มเปราะบางสูงถึง 96% คิดเป็นมูลหนี้ 5.6 ล้านบาท สำหรับลูกหนี้ บสย. ที่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้ สามารถลงทะเบียนผ่าน LINE OA : @tcgfirst ฟรี! หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999 

นายสิทธิกร กล่าวอีกว่า ในปีนี้ บสย. สานต่อการยกระดับ และพัฒนาการค้ำประกันสินเชื่อในประเทศไทยให้แข็งแกร่ง เสริมสร้างกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ การบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดีขึ้น และเพิ่มศักยภาพในการสนับสนุนทางการเงินให้ SMEs พร้อมเปิดตัวโครงการค้ำประกันสินเชื่อรูปแบบใหม่ๆ เพื่อขยายการช่วยเหลือ SMEs ให้ครอบคลุมมากที่สุด เมื่อบวกกับข้อมูลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุดที่ระบุถึง สินเชื่อที่หดตัวลงในปี 2567 สำหรับสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์หดตัว 0.4% ลดลงสูงสุดในรอบ 15 ปี โดยสินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัวลง เช่นเดียวกับสินเชื่อเช่าซื้อที่ลดลง 9.9% ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่อง  

จากสถานการณ์ดังกล่าว บสย. ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วย SMEs จำนวนกว่า 3.2 ล้านราย ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. ปีนี้ได้เตรียมวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ 110,000 ล้านบาท คาดว่าจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบ 142,000 ล้านบาท ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อ 165,000 ราย รักษาการจ้างงาน 940,000 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้ 454,300 ล้านบาท ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อต่างๆ ทั้งโครงการตามมาตรการรัฐ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ โดย บสย. ดำเนินการเอง ครอบคลุมการช่วยเหลือ SMEs ทุกกลุ่ม ดังนี้  
1. ผู้ประกอบการที่ต้องการซื้อกระบะใหม่ ในการขนส่งสินค้าและธุรกิจค้าขาย ล่าสุดได้เปิดตัว มาตรการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ (บสย. SMEs PICK-UP) วงเงิน 10,000 ล้านบาท เพื่อช่วย SMEs กลุ่มนี้เข้าถึงสินเชื่อในระบบผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. คาดว่าสามารถช่วยผู้ประกอบการที่ต้องการซื้อรถกระบะใหม่ เข้าถึงสินเชื่อ 12,500 ราย รักษาการจ้างงาน 37,500 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 41,300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นตลาดรถเชิงพาณิชย์ที่ซบเซาให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตลอดปีนี้   

2. ผู้ประกอบการรายย่อย/กลุ่มเปราะบาง ผู้ที่เริ่มทำธุรกิจ อาชีพอิสระ ภายใต้โครงการค้ำประกันที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการกลุ่ม Micro SMEs ให้ครอบคลุมมากที่สุด ได้แก่    
-โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs สร้างโอกาส” โครงการล่าสุดร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐ มุ่งช่วย SMEs ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบ วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันไม่เกิน 20,000 บาทต่อราย และโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs มีทุน” อีกโครงการล่าสุด มุ่งช่วย SMEs รายย่อย อาชีพอิสระที่มีปัญหาเข้าถึงสินเชื่อในระบบ วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท ค้ำประกันไม่เกิน 50,000 บาทต่อราย รวม 2 โครงการ คาดว่าจะช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อในระบบไม่ต่ำกว่า 200,000 ราย  
-โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 บสย. SMEs Small Biz และโครงการ PGS 11 บสย. SMEs Smart Gen ให้ความช่วยเหลือต่อเนื่อง สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือขนาดกลางที่มีศักยภาพ ต้องการขยายธุรกิจด้วยวงเงินสินเชื่อที่สูงขึ้น  
-โครงการ PGS 11 บสย. SMEs No One Left Behind และ โครงการ PGS 11 บสย. SMEs Smart Build ตอบโจทย์ SMEs ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จากเหตุการณ์หรือในภาวะที่ไม่ปกติ อาทิ อุทกภัย และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ  
3. ผู้ประกอบการที่มุ่งเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี หรือปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจ สีเขียว ผ่านโครงการ PGS 11 บสย. SMEs Smart Green  
4. ผู้ประกอบการใน 8 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่อนาคต ผ่านโครงการ PGS 11 บสย. SMEs Ignite Biz และ บสย. SMEs Ignite One  
5. ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิด และอยู่ระหว่างฟื้นตัว เป็นกลุ่มที่ต้องการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง โดย บสย. ให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องผ่าน 2 โครงการ ได้แก่  
-โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ร่วมกับสถาบันการเงินของรัฐ โครงการใหม่ล่าสุด วงเงิน 20,000 ล้านบาท มุ่งช่วย SMEs รายเล็กทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3% ต่อปี และอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2% ต่อปี ผู้ประกอบการ SMEs รับภาระอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมค้ำประกันเริ่มต้นเพียง 6% ต่อปี 
-โครงการ PGS 11 บสย. SMEs Smart One ให้ความช่วยเหลือต่อเนื่อง สำหรับ SMEs ทั่วไปที่ต้องการสินเชื่อสำหรับขยายกิจการ หรือเสริมสภาพคล่อง  
6. ผู้ประกอบการที่ฟื้นตัวจากโควิด และต้องการขยายกิจการ โดย บสย. เดินหน้าให้ความช่วยเหลือผ่าน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการค้ำประกันสินเชื่อ อัตราค่าธรรมเนียมตามความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) และโครงการรายสถาบันการเงินระยะที่ 7  

นายสิทธิกร กล่าวว่า ตลอดปี 2568 บสย. ยังเดินหน้ายกระดับองค์กร 4 มิติ เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง มุ่งเพิ่มศักยภาพในการช่วยเหลือ SMEs ในประเทศไทย เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs ทุกกลุ่ม ตามพันธกิจและวิสัยทัศน์ของ บสย. “SMEs’ Gateway” ศูนย์กลางเชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสให้แก่ SMEs เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

#บสย #ค้ำประกันสินเชื่อ #ข่าววันนี้ #กลุ่มเปราะบาง #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

ส่งออกรถยนต์เดือน ม.ค.ต่ำสุดรอบ 33 เดือน วอนรัฐค้ำประกันสินเชื่อซื้อรถกระบะเร็วขึ้น

ส่งออกรถยนต์เดือน ม.ค.ต่ำสุดรอบ 33 เดือน วอนรัฐค้ำประกันสินเชื่อซื้อรถกระบะเร็วขึ้น

เมื่อวันที่ 24 ก.พ.68 นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จำนวนการผลิตรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม 2568 มีทั้งสิ้น 107,103 คัน ลดลง 24.63% จากเดือนมกราคม 2567 เพราะผลิตขายในประเทศลดลง 31.78% ตามยอดขายที่ลดลง และผลิตส่งออกลดลง 21.10% ตามยอดส่งออกที่ลดลง ทั้งนี้เดือนมกราคม 2568 เป็นการผลิตเพื่อส่งออก 75,044 คัน เท่ากับ 70.07% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลง 21.10% จากเดือนมกราคม 2567 ขณะที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ผลิตได้ 32,059 คัน เท่ากับ 29.93% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลง 31.78% จากเดือนมกราคม 2567

โดยยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนมกราคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 48,092 คัน ลดลง12.26% จากเดือนมกราคม 2567 เพราะสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจในประเทศปี 2567 ขยายตัวในอัตราต่ำที่ 2.5% ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงลดลงโดยเฉพาะผลผลิตยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากลดลง แรงงานจำนวนมากมีรายได้ลดลง ทำให้ใช้จ่ายลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราต่ำ จึงขอให้รัฐบาลเร่งออกมาตรการช่วยเหลือค้ำประกันการปล่อยสินเชื่อซื้อรถกระบะให้เร็วขึ้นจากสี่เดือนเป็นสองเดือนเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตมากขึ้น จ้างงานมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงขึ้นซึ่งจะสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เร็วขึ้นตามความประสงค์ของนายกรัฐมนตรี

ส่วนรถยนต์สำเร็จรูปเดือนมกราคม 2568 ส่งออกได้ 62,321 คัน ลดลง 28.13% จากเดือนมกราคม 2567 ต่ำสุดรอบ 33 เดือนจากความกังวลเรื่องสงครามการค้าที่สหรัฐอเมริกาขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ จึงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีการตอบโต้มากน้อยเพียงใด รวมทั้งการส่งออกของรถยนต์ไฟฟ้าจีนราคาถูกมาแข่งขันมากขึ้นในประเทศคู่ค้า และรถยนต์ส่งออกบางรุ่นกำลังจะเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ และจากเดือนธันวาคมมีวันหยุดมาก บางบริษัทเปิดทำการช้าในเดือนมกราคม จึงผลิตได้น้อย ทำให้เดือนมกราคมมีรถส่งออกได้น้อยตลาดออสเตรเลียตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนมกราคม 2568 จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 14,711 คัน ลดลง 7.73% จากเดือนมกราคมปีที่แล้ว ส่งผลให้ ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 242,076 คัน เพิ่มขึ้น 63.85% จากปีที่แล้ว

#ส่งออกรถยนต์ #ข่าววันนี้ #ค้ำประกันสินเชื่อ #ซื้อรถกระบะ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

บสย.ผนึกพันธมิตรธนาคาร จัดโครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ช่วย SMEs ประหยัดต้นทุน เข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น   

บสย.ผนึกพันธมิตรสถาบันการเงิน ทั้งแบงก์รัฐ-เอกชน จัดโครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก ฟรีค่าธรรมเนียม 2-4 ปีแรก ช่วย SMEs ประหยัดต้นทุน ลดภาระทางการเงิน เพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ช่วยเติมสภาพคล่อง และพลิกฟื้นธุรกิจให้ SMEs  

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. ได้ผนึกความร่วมมือกับสถาบันการเงินต่างๆ จัด “โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก” ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” คิดอัตราค่าธรรมเนียม 1.5-1.75% ต่อปี ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2-4 ปีแรก ค้ำประกันให้กับกลุ่ม “สินเชื่อดอกเบี้ยถูก” ของธนาคารต่างๆ อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 5% ต่อปี ช่วยผู้ประกอบการประหยัดต้นทุน และลดภาระทางการเงิน เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจสามารถต่อยอดและพลิกฟื้นได้ 

สำหรับสินเชื่อดอกเบี้ยถูกของสถาบันการเงินต่างๆ ที่มี บสย. ค้ำประกันสินเชื่อ ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” อาทิ สินเชื่อเสริมแกร่ง SME เกษตร ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร, สินเชื่อ SME Green Productivity ของ SME D Bank, สินเชื่อบัวหลวงเพื่อการปรับตัวธุรกิจ ของธนาคารกรุงเทพ, สินเชื่อเงินกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมสำหรับ SMEs ของ ธนาคารกรุงไทย, สินเชื่อเพื่อความยั่งยืนธุรกิจ ของธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น

นอกจากนี้ บสย. ยังได้ร่วมกับธนาคารออมสิน ค้ำประกันโครงการสินเชื่อ IGNITE THAILAND วงเงินค้ำประกันสินเชื่อรวม 5,000 ล้านบาท ค้ำประกันสูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย สอดรับนโยบายรัฐบาล และวิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ช่วยลดภาระผู้ประกอบการ SMEs  ฟรี! ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 2 ปีแรก และปีที่ 3-4 จ่ายค่าธรรมเนียม 0.75% ต่อปี โดยธนาคารออมสินคิดอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.5% ต่อปี ใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน 

“โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก จะช่วยผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มต่างๆ สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ในต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ ภายใต้การสนับสนุนจากภาครัฐ ช่วยให้ SMEs ที่ต้องการสินเชื่อไปลงทุน ขยายกิจการ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ระหว่างการพลิกฟื้น สามารถประคับประคองและผ่านพ้นไปได้” นายสิทธิกร กล่าว 

สำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” มีสิทธิประโยชน์ต่างๆที่รัฐบาลให้การสนับสนุน อาทิ ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ 2-4 ปีแรก ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้ รวมทั้งการขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อต่อราย ด้วยอัตราค่าธรรมเนียมต่ำ วงเงินค้ำประกันต่อรายตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 40 ล้านบาท ระยะเวลาการค้ำประกันนานสูงสุด 10 ปี 

โดยผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วม “โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก” สามารถติดต่อที่สำนักงานเขต บสย. 11 สาขาทั่วประเทศ หรือลงทะเบียนผ่าน Line OA : @tcgfirst  โดย บสย.ยังมีการให้บริการผ่าน “ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs” ที่พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำ SMEs ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การแก้ปัญหาหนี้ และให้ความรู้ทางการเงิน โดยผู้ประกอบการ SMEs สามารถขอรับคำปรึกษาและตรวจสุขภาพทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมก่อนยื่นขอสินเชื่อ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

#บสย #ค้ำประกันสินเชื่อ #ดอกเบี้ยถูก #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

บสย.เปิดตัว 3 โครงการค้ำประกันสินเชื่อ ตอบโจทย์ SMEs ทุกกลุ่ม หนุนผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมสภาพคล่อง ฟื้นธุรกิจ

​บสย.เปิดตัว 3 โครงการค้ำประกันสินเชื่อ ช่วยผู้ประกอบการทั่วไป และ SMEs กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เข้าถึงสินเชื่อ เติมพอร์ตค้ำประกันฯ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” ครบทุกเซ็กเมนต์ เดินหน้าเติมทุน เสริมสภาพคล่อง ช่วย SMEs พลิกฟื้นธุรกิจ กว่า 2 เดือน ค้ำประกันสินเชื่อแล้วกว่า 6,100 ล้านบาท ช่วย SMEs เข้าถึงสินเชื่อไม่ต่ำกว่า 5,400 ราย
 
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. มุ่งให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ครอบคลุมทุกกลุ่ม ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” ซึ่งเน้นออกแบบโครงการค้ำประกันสินเชื่อที่หลากหลาย มุ่งช่วยเหลือ SMEs เป็นกลุ่มๆ เพื่อให้เหมาะกับความต้องการ และประเภทธุรกิจ ล่าสุดได้เปิดตัวโครงการค้ำประกันสินเชื่ออีก 3 โครงการใหม่ได้แก่ 1.โครงการ Smart One ช่วยเหลือผู้ประกอบการทั่วไป นอกเหนือจากกลุ่ม Ignite บสย. ค้ำประกัน 2 แสน – 5 ล้านบาทต่อราย อัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก 2.โครงการ Smart Biz ช่วยเหลือผู้ประกอบการทั่วไป นอกเหนือจากกลุ่ม Ignite บสย. ค้ำประกัน 2 แสน – 10 ล้านบาทต่อราย อัตราค่าธรรมเนียม 1.5% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียม 2 ปีแรก และ 3.โครงการ Smart Build โครงการพิเศษเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บสย. ค้ำประกัน 2 แสน – 10 ล้านบาทต่อราย อัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี ฟรี! ค่าธรรมเนียม 3 ปีแรก

ทั้งนี้จากการเปิดตัว 3 โครงการใหม่นี้ ทำให้ บสย. สามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการ SMEs ได้ทุกกลุ่ม ทุกความต้องการ ครอบคลุมการช่วยเหลือตั้งแต่การช่วยเหลือ “กลุ่มเปราะบาง” ผู้ประกอบการรายย่อย พ่อค้า แม่ค้า อาชีพอิสระ และผู้ประกอบการใหม่ รวมถึงกลุ่มอุตสาหกรรมตามภายใต้ยุทธศาสตร์ IGNITE THAILAND และธุรกิจที่ดำเนินในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ESG/BCG และการปรับตัวเข้าสู่สังคม Carbon ต่ำ รวมถึง SMEs กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นอกจากตอบโจทย์นโยบายภาครัฐแล้ว ยังตอบโจทย์ตามเทรนด์ธุรกิจที่เกิดขึ้น
 
โดยภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” มีสิทธิประโยชน์ต่างๆที่รัฐบาลให้การสนับสนุน อาทิ ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อ เริ่มต้น 2 ปีแรก ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้ รวมทั้งการขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อต่อราย ด้วยอัตราค่าธรรมเนียมต่ำ วงเงินค้ำประกันต่อรายตั้งแต่ 10,000 บาท ถึง 40 ล้านบาท ระยะเวลาการค้ำประกันนานสูงสุด 10 ปี ช่วยผู้ประกอบการ SMEs ประหยัดต้นทุน สอดคล้องกับสถานการณ์

สำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” บสย. ได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันการเงิน เมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ถึงวันนี้ผ่านมากว่า 2 เดือน (ณ 20 กันยายน 2567) มียอดค้ำประกันสินเชื่อแล้วกว่า 6,100 ล้านบาท สามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อมากกว่า 5,400 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้กว่า 7,100 ล้านบาท รวมถึงรักษาการจ้างงานไม่น้อยกว่า 45,000 ราย ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี สะท้อนให้เห็นถึงการตอบรับจากสถาบันการเงินที่พร้อมปล่อยสินเชื่อ ภายใต้การค้ำประกันของ บสย.

“ตัวเลขค้ำประกันสินเชื่อนี้สะท้อนความต้องการสินเชื่อของผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆที่รอคอยการเสริมสภาพคล่อง ด้วยสินเชื่อต้นทุนต่ำ ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน ตลอดจนมาตรการการช่วยเหลือต่างๆ เพื่อการพลิกฟื้นธุรกิจจากภาครัฐ” นายสิทธิกรกล่าว

ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” สามารถติดต่อที่สำนักงานเขต บสย. 11 สาขาทั่วประเทศ หรือลงทะเบียนผ่าน Line OA : @tcgfirst นอกจากนี้ บสย. ยังมีการให้บริการผ่าน “ศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs” ที่พร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำ SMEs ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การแก้ปัญหาหนี้ และให้ความรู้ทางการเงิน โดยผู้ประกอบการ SMEs สามารถขอรับคำปรึกษาและตรวจสุขภาพทางการเงินเพื่อเตรียมพร้อมก่อนยื่นขอสินเชื่อ ฟรี..ไม่มีค่าใช้จ่าย

#บสย #ค้ำประกันสินเชื่อ #ข่าววันนี้ #เข้าถึงแหล่งเงินทุน #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

บสย.ผนึก SME D Bank ค้ำประกันสินเชื่อ SME Green Productivity ลดต้นทุนผู้ประกอบการ-มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

​บสย. ผนึก SME D Bank ลุยค้ำประกันสินเชื่อ SME Green Productivity ฟรี! ค่าธรรมเนียม 4 ปีแรก ลดภาระผู้ประกอบการด้วยโครงการค้ำประกัน Smart Green ช่วย SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น พร้อมยกระดับสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศเติบโตอย่างยั่งยืน  

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. ผนึก ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ค้ำประกันสินเชื่อ SME Green Productivity ยกระดับเพิ่มผลิตภาพเอสเอ็มอีสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ “Green Industry” ภายใต้รูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะสร้างประโยชน์ช่วยให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพการแข่งขันสูงขึ้น ช่วยลดต้นทุนธุรกิจ และสามารถปรับตัวเข้ากับกฎกติกาการค้าใหม่ระดับสากลได้ ตอบรับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยปรับเปลี่ยนสู่การผลิตและการใช้พลังงานสะอาด พร้อมสานต่อนโยบาย Carbon Neutrality เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ
ภายใต้โครงการนี้ บสย. และ SME D Bank มุ่งสนับสนุน SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันของ บสย. เติมสภาพคล่อง เพื่อสามารถพัฒนาและเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียวได้อย่างราบรื่น ตอบโจทย์เทรนด์ธุรกิจทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันให้กับ SMEs ไทยมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ด้วยเงื่อนไขที่ผ่อนปรน โครงการค้ำประกันสินเชื่อดอกเบี้ยถูก SME Green Productivity จะช่วยลดภาระผู้ประกอบการ SMEs ปัจจุบัน บสย. มีวงเงินค้ำประกันสินเชื่อโครงการ Smart Green ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PGS 11 “บสย. SMEs ยั่งยืน” มุ่งช่วยผู้ประกอบการประหยัดต้นทุนมากยิ่งขึ้น โดย บสย. ค้ำประกันได้สูงสุด 40 ล้านบาทต่อราย อัตราค่าธรรมเนียม 1.5% ต่อปี ฟรี!ค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 4 ปีแรก โดย SME D Bank คิดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 10 ปี แถมปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือนแรก ช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs มีเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และมีระยะผ่อนชำระนานเพียงพอที่จะสามารถพัฒนายกระดับเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียวได้อย่างราบรื่น
 
โดยจากความร่วมมือในครั้งนี้ มั่นใจว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 300 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท รวมถึงรักษาการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7,200 ตำแหน่ง ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs อย่างครบวงจร บสย. ยังพร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำ SMEs ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน การแก้ปัญหาหนี้ และให้ความรู้ทางการเงิน ผ่านศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน บสย. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสะดวกให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้ามาตรวจสุขภาพทางการเงิน พร้อมจองคิวขอรับคำปรึกษาทางการเงิน ฟรี! ได้ที่ LINE OA : @tcgfirst

#บสย #SMEDBank #ค้ำประกันสินเชื่อ #สังคมคาร์บอนต่ำ #แหล่งทุน