“คารม” อัด “ปดิพัทธ์” วิจารณ์คนอื่นติดยึดอำนาจ ไม่นึกถึงตอนที่ตัวเองหาเหตุให้พรรคขับออก เพื่อให้หัวหน้าพรรคได้เป็นผู้นำฝ่ายค้าน

“คารม” อัด  “ปดิพัทธ์” วิจารณ์คนอื่นติดยึดอำนาจ คิดแทนคนอื่นต้องการอำนาจ ไม่นึกถึงตอนที่ตัวเองหาเหตุให้พรรคขับออก เพื่อให้หัวหน้าพรรคได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ วอนหยุดพูดแต่เอาดีใส่ตัว พูดชั่วใส่คนอื่น

วันนี้ 1 กรกฎาคม 2568 นายคารม  พลพรกลาง  สมาชิกพรรคภูมิใจไทย อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงกรณีที่นายปดิพัทธ์  สันติภาดา  อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร  กล่าวพาดพิงนายอนุทิน  ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  ในรายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ  ในทำนองที่ว่า  “นายอนุทิน  หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยอยู่ในลิสต์ของนายกรัฐมนตรี  ที่สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้  หากได้รับเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี  แถมบอกว่าโอกาสมาแล้ว  ถ้าเป็นผมคงไม่พลาด  คือรับเงื่อนไขนี้  เพราะใครก็รู้ว่า  คนเป็นรัฐบาลคุมอำนาจรัฐย่อมได้เปรียบในการเลือกตั้งที่จะมาถึง” 
          
นายคารม กล่าวว่า ความจริง นายปดิพัทธ์ น่าจะไม่ได้ติดตามจุดยืนของนายอนุทิน ที่พร้อมเข้าสู่การเลือกตั้ง  หากมีการยุบสภา  ส่วนเรื่องรายชื่อนายอนุทิน ที่มีชื่อในลิสต์ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ก็เป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ การที่ใครจะเป็นไปนายกรัฐมนตรี  ย่อมเป็นไปตามมติของสภาผู้แทนราษฎร 

“ผมอยากจะฝากถึงนายปดิพัทธ์หรือหมออ๋องนะครับว่า หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  ไม่เคยติดยึดกับอำนาจ ไม่เคยยึดติดกับตำแหน่ง  รวมถึงการลาออกของนายภราดร  ปริศนานันทกุล ตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 2 ที่ไม่ติดยึดตำแหน่งแต่อย่างใด พรรคภูมิใจไทย เป็นนักการเมืองมืออาชีพ ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนมาก่อน ผลประโยชน์ส่วนตัวเสมอ” นายคารม ย้ำ

นายคารม กล่าวต่อว่า ตนเองจำได้ว่า  ยุคที่นายปดิพัทธ์   กระสันอยากเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น  ใช้วิธีเลี่ยงข้อบังคับของสภาฯ  หาเหตุให้พรรคตัวเองขับออกจากพรรค  เพื่อให้หัวหน้าพรรคได้เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และให้ตัวเองได้เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ไม่น่าเชื่อว่านายปดิพัทธ์  จะกล้ามาวิจารณ์คนอื่น  แถมคิดไปไกลกว่านั้น บอกว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 เขียนขึ้นเพื่อเอื้อพรรคการเมืองขนาดกลาง  แบบนี้เขาเรียกว่าอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญแบบจินตนาการ  ไม่มีหลักวิชาการปนเลย ใช้ความคิดของตนเองล้วน ๆ แทนหลักการ
 

อากาศร้อน น้ำแข็งขายดี “คารม”เตือน ปชช.ระวังสุขภาพพร้อมส่งทีมปฏิบัติการอนามัยสิ่งแวดล้อม หากเกิดเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล

อากาศร้อน น้ำแข็งขายดี “คารม”เตือน ปชช.ระวังสุขภาพพร้อมส่งทีมปฏิบัติการอนามัยสิ่งแวดล้อม หากเกิดเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็ง หวั่นเกิดเหตุช่วงอากาศร้อน เตือนผู้ประกอบการ และ ปชช.เฝ้าระวังเหตุฉุกเฉิน

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2568 เวลา  08.30 น. นายคารม พลพรกลาง  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในขณะนี้ ซึ่งปกติช่วงหน้าร้อนร้านค้าและประชาชนจะมีความต้องการบริโภคน้ำแข็งมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการเร่งผลิตน้ำแข็งให้ทันต่อความต้องการ และมักเกิดเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล จากสถานประกอบกิจการประเภทการผลิตน้ำแข็ง และส่งผลกระทบกับประชาชนที่อาศัยโดยรอบ กรมอนามัย ได้เตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดเหตุฉุกเฉิน โดยมอบหมายให้ทีมปฏิบัติการอนามัยสิ่งแวดล้อม ของศูนย์อนามัยประสานไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่นที่รับผิดชอบ ควบคุม กำกับ และบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขในระดับพื้นที่ ดำเนินการตามมาตรการควบคุม ป้องกันภาวะฉุกเฉินจากก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากสถานประกอบกิจการประเภทผลิตน้ำแข็ง ลดความเสี่ยงผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน

สำหรับมาตรการควบคุม ป้องกัน และเฝ้าระวังเหตุฉุกเฉิน กรณีก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ได้มอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้อนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพประเภทการผลิตน้ำแข็ง มีหนังสือแจ้งผู้ประกอบการทุกแห่ง เพื่อปฏิบัติตามมาตรการ 1) ตรวจตรา ควบคุม กระบวนการผลิตทุกขั้นตอนเป็นประจำทุกวัน โดยให้เฝ้าระวังเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตน้ำแข็ง ให้อยู่ในสภาพดี ไม่มีชำรุด เสียหาย หากพบความผิดปกติต้องเร่งให้มีการดูแล ซ่อมแซม ปรับปรุง สภาพให้ใช้งานได้ปกติ ทั้งนี้ ให้ผู้ประกอบการรายงานผลการตรวจตราระบบไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบอย่างต่อเนื่อง 2) ตรวจสอบระบบเส้นท่อส่งก๊าซแอมโมเนีย ถังบรรจุก๊าซ ตลอดจนอุปกรณ์ ระบบไฟฟ้า ระบบตรวจวัดแรงดัน ที่เกี่ยวข้องทั้งระบบ โดยต้องอยู่ในสภาพดี ไม่มีการชำรุด แตกร้าว หรือมีความผิดปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรั่วไหลของก๊าซแอมโมเนีย 3) ประเมินความเสี่ยง ตรวจสอบระบบความปลอดภัย ของสถานประกอบกิจการให้มีประสิทธิภาพ เช่น ประสิทธิภาพของระบบดับเพลิง วันหมดอายุถังดับเพลิง และระบบเตือนภัยสำหรับพนักงานกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เป็นต้น 4) ตรวจสอบระบบบำบัดน้ำเสียของสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็งให้มีการดำเนินการได้ตามปกติ และมีประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสีย และมีคุณภาพน้ำทิ้งให้เป็นไปตามมาตรฐาน รองรับการเกิดภาวะฉุกเฉินจากเหตุก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล จัดทำแผนและทำการซ้อมแผนสำหรับพนักงานของสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็ง รองรับกรณีเกิดภาวะฉุกเฉินจากก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล โดยให้ส่งแผนรับมือภาวะฉุกเฉิน อาจเพิ่มความถี่ในการซ้อมแผน โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อนและมี การเร่งผลิตน้ำแข็งที่มากขึ้นกว่าปกติ โดยมีการซ้อมการอพยพ แจ้งเตือนภัยภายในสถานประกอบกิจการและเตือนภัยประชาชนโดยรอบ 
           
“รัฐบาลห่วงใยสุขภาพประชาชน และคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ เตรียมความพร้อมของทีมปฏิบัติการ โดยให้นำแนวทางการปฏิบัติงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม กรณีภาวะฉุกเฉินจากการรั่วไหล ระเบิด และเกิดเพลิงไหม้ของสารเคมี ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ และจัดเตรียมเครื่องมือตรวจวัด วัสดุ อุปกรณ์ ชุดทดสอบภาคสนามสำหรับสนับสนุนการปฏิบัติการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในกรณีเกิดเหตุภาวะฉุกเฉินก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็ง ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ” นายคารม ระบุ

“คารม” เตือนภัย สายบุญระวัง!!! กลลวงมิจฉาชีพหลอกเวียนเทียนออนไลน์ในวันมาฆบูชา

“คารม” ย้ำเตือน คนบาปในคราบนักบุญ เตือนภัย สายบุญระวัง !!! กลลวงมิจฉาชีพหลอกเวียนเทียนออนไลน์ในวันมาฆบูชา

วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2568) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันมาฆบูชา เป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญของชาวไทยพุทธ โดยทั่วไปในวันมาฆบูชาจะนิยมทำบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา ถวายสังฆทาน เวียนเทียนรอบอุโบสถเพื่อความเป็นสิริมงคล โดยปัจจุบันชาวไทยพุทธบางส่วนอาจไม่มีเวลามากพอในการทำกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา จึงเลือกใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ ขอย้ำเตือนให้ระมัดระวังภัยกลลวงของมิจฉาชีพที่อาศัยวันสำคัญทางศาสนาในการหลอกลวง ขอให้ระมัดระวังการกดลิงก์จากข้อความ SMS หรือ URL เว็บไซต์ที่ส่งเข้ามาผ่านอีเมลหรือช่องทางออนไลน์ที่แอบอ้างว่าเป็นลิงก์การเวียนเทียนออนไลน์ เพราะอาจเป็นลิงก์ปลอมที่ส่งผลให้เงินของผู้บริโภคหายไปจากบัญชีโดยไม่รู้ตัวและอาจถูกมิจฉาชีพขโมยข้อมูลส่วนบุคคลอีกด้วย

สำหรับข้อควรระวัง มีดังนี้ 1. ขอให้หลีกเลี่ยงเว็บไซต์เวียนเทียนออนไลน์ที่ให้ใส่ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เลขประจำตัวประชาชน เลขบัญชีหรือมีการส่งเลข OTP ให้เพื่อใช้กรอกข้อมูล เนื่องจากการเวียนเทียนออนไลน์ไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้ 2. หลีกเลี่ยงการกดลิงก์จากเบอร์แปลกปลอมที่ส่ง SMS ชวนเวียนเทียนออนไลน์ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่า มีมิจฉาชีพฉวยโอกาสช่วงเทศกาลต่าง ๆ ในการส่ง SMS พร้อมแนบลิงก์ให้กด และเมื่อใครเผลอกดเข้าไป ก็อาจถูกดูดเงินจากบัญชีธนาคารจนหมด และ 3.หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอปพลิเคชันที่แปลกปลอมที่แอบอ้างเป็นการเวียนเทียนหรือให้ทำบุญออนไลน์ เนื่องจากอาจเป็นกลลวงของมิจฉาชีพที่หลอกให้ติดตั้งเพราะอาจเป็นแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพสามารถใช้ระบบการควบคุมระยะไกลเพื่อดูดเงินออกจากบัญชีของผู้บริโภค

“จะต้องไม่เปิดอ่านหรือกดลิงก์ใน SMS แปลกปลอม หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่มิจฉาชีพหลอกให้ติดตั้ง กรณีมีการส่ง SMS ที่ผิดปกติ ควรโทรศัพท์ตรวจสอบกับสายด่วนของธนาคาร หรือหน่วยงานนั้น ๆ โดยตรง หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใด ๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ Apple Store เท่านั้น อย่าเชื่อคำแนะนำของคนร้ายให้กดเข้าเบราว์เซอร์อื่น มิจฉาชีพอาจใช้วิธีการหลอกลวงในรูปแบบให้สแกน QR Code หรือเพิ่มเพื่อนไลน์ทาง ID Line จึงไม่ควรสแกนหรือเพิ่มเพื่อนไลน์ทาง ID Line จากคนที่ไม่น่าเชื่อถือ” นายคารม ย้ำ

​“คารม” ย้ำเตือนการอบรมออนไลน์หลักสูตร e-Learning สำนักงาน ก.ค.ศ. ไม่สามารถนำเกียรติบัตรไปใช้ต่อใบประกอบวิชาชีพได้

​“คารม” รองโฆษกรัฐบาล ย้ำเตือนการอบรมออนไลน์หลักสูตร e-Learning สำนักงาน ก.ค.ศ. ไม่สามารถนำเกียรติบัตรไปใช้ต่อใบประกอบวิชาชีพได้ ขออย่างหลงเชื่อข้อมูลบิดเบือน

วันนี้ (10 มิถุนายน 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มีข้อมูลปรากฏถึงเรื่องอบรมออนไลน์หลักสูตร e-Learning สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สำนักงาน ก.ค.ศ.)  และนำเกียรติบัตรไปใช้ต่อใบประกอบวิชาชีพได้นั้น ขอย้ำว่าข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริง ซึ่งการเรียนออนไลน์ดังกล่าว เป็นหลักสูตรที่เปิดขึ้นเมื่อตอนวันครู 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมามีวัตถุประสงค์เพื่อเรียนรู้เท่านั้น ไม่สามารถนำเกียรติบัตรไปใช้ในการต่อใบประกอบวิชาชีพได้
 
นายคารม กล่าวว่า การอบรมออนไลน์หลักสูตร e-Learning ของสำนักงาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธิการ มี 2 หลักสูตรให้เรียนจริง ประกอบด้วย 1.เรื่องเสริมพลังการบริหาร เป็นหลักสูตรสำหรับผู้อำนวยการเท่านั้น และ 2. เรื่องการเงินสามารถเรียนได้ทุกคน โดยทั้ง 2 หลักสูตรเข้าไปเรียนได้ฟรี และมีใบประกาศออกให้จากทาง ก.ค.ศ. แต่ไม่สามารถนำเกียรติบัตรไปใช้ในการต่อใบประกอบวิชาชีพได้
 
“ข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ในประเด็นดังข่าวต้น  เป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ สามารถติดตามได้ที่ http://www.ops.moe.go.th/ หรือโทร. 02-628-6346” นายคารม เน้นย้ำ
.

รัฐบาล เชิญชวนพี่น้องประชาชนเที่ยวงาน OTOP MIDYEAR 2024 วันที่ 8 - 16 มิ.ย. 67 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

รัฐบาล เชิญชวนพี่น้องประชาชนเที่ยวงาน OTOP MIDYEAR 2024 "หลากหลายผลิตภัณฑ์ สีสันภูมิปัญญาไทย" ระหว่าง 8 - 16 มิ.ย. 67 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี

วันนี้ (7 มิถุนายน 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขับเคลื่อนนโยบายในการ "เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาสให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ" ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดงาน OTOP MIDYEAR 2024  ระหว่างวันที่ 8 - 16 มิถุนายน 24567 เพื่อจัดแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เพิ่มช่องทางการตลาดหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ และสร้างรายได้ให้กับชุมชน รวมถึงเพื่อประชาสัมพันธ์การดำเนินงานโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ตลอดจนเพื่อสร้างการเรียนรู้แนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ OTOP ให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
 
นายคารม กล่าวว่า งาน OTOP MIDYEAR 2024 ครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด "หลากหลายผลิตภัณฑ์ สีสันภูมิปัญญาไทย" โดยมีพื้นที่จัดงานมากกว่า 60,000 ตารางเมตร ครอบคลุมชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพคเมืองทองธานี ซึ่งในปีนี้เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567 การจัดงาน OTOP ครั้งนี้ จึงจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสดังกล่าว โดยโซนแรก โซนนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สะท้อนพระมหากรุณาธิคุณ โครงการพระราชดำริต่าง ๆ แนวคิดการพัฒนาประเทศ และความรู้สึกคนไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โซนที่ 2 โซนหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี และอีกหลายหน่วยงาน มาจัดแสดงและจำหน่าย โซนที่ 3 OTOP Trader จับคู่ธุรกิจ โซนที่ 4 จำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP มากกว่า 2,000 ร้านค้า ทั้งผ้าไทย เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องจักสาน อาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ โซนที่ 5 OTOP ชวนชิม มากกว่า 160 ร้านค้า ทั้งประเภทอาหารและเครื่องดื่ม โดยจะเพิ่มพื้นที่สำหรับผู้เที่ยวชมงานเพื่อจะได้มีที่นั่งรับประทานอาหารเพิ่มเติม นอกจากนี้ โซนศิลปิน OTOP เพื่อส่งเสริมภูมิปัญญาและอนุรักษ์ภูมิปัญญาดั้งเดิมมาให้สัมผัส โดยชูภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งเป็นแกนกลางของการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนมาให้ทุกคนที่มางานได้แสวงหาความรู้ผ่านการสาธิตต่าง ๆ ควบคู่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ รวมถึงโซนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี แบ่งเป็น 4 ภาค ภาคเหนือ Wellness ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การทอผ้าการผลิตตัดเย็บผ้า ภูมิปัญญาท้องถิ่นวิถีทอผ้า ภาคกลาง หมู่บ้านขนมหวาน ที่ดึงภูมิปัญญาขนมในแต่ละจังหวัด จนกลายเป็นขนมไทย ภาคใต้ เน้นงาน craft เครื่องถมเงิน ถมทอง และโซน First Lady นวัตกรรมสินค้าต่าง ๆ โดยผู้เลือกซื้อสินค้าจะได้ร่วมชิงโชค และพบกับสินค้านาทีทอง และในงานมีการแสดงบนเวทีซึ่งมีศิลปินหลากหลาย ศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคปัจจุบัน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาแสดงบนเวทีตลอดการจัดงาน
 
"รัฐบาลเชิญชวนพี่น้องประชาชนเที่ยวงาน OTOP MIDYEAR 2024 "หลากหลายผลิตภัณฑ์ สีสันภูมิปัญญาไทย" ระหว่างวันที่ 8 - 16 มิถุนายน 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 - 21.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ร่วมชม ช็อป ชิม แช๊ะ แชร์ การจัดงานแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย พร้อมร่วมอุดหนุนสินค้าไทย ให้เม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศไทย ด้วยความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของคนไทยไปด้วยกัน" นายคารม กล่าว

​“คารม” แนะห้ามกดลิงก์หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ไม่ได้อยู่ใน APP Store หรือ Play Store หากโทรศัพท์โดนควบคุมจากระยะไกล

​“คารม” เผย ขั้นตอนแก้ไข หากโทรศัพท์มือถือโดนรีโมตควบคุมจากระยะไกล แนะห้ามกดลิงก์หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ไม่ได้อยู่ใน APP Store หรือ Play Store

วันนี้  22 มีนาคม  2567  นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากกรณีที่มิจฉาชีพหลอกให้กดลิงก์เพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ไม่ได้อยู่ใน APP Store หรือ Play Store ทำให้ถูกติดตั้งแอปพลิเคชัน Remote Access ลงบนโทรศัพท์มือถือ ส่งผลทำให้มิจฉาชีพสามารถควบคุมโทรศัพท์ และโอนเงินออกจากบัญชีของเราได้ ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) แนะนำหากโทรศัพท์มือถือโดนรีโมตควบคุมจากระยะไกล ให้ทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.หากยังสามารถสัมผัสหน้าจอโทรศัพท์ได้ ให้รีบตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต โดยการปิดไวไฟ ปิดเซลลูลาร์ ปิดบลูทูธ และเปิด airplan mode (โหมดเครื่องบิน) จากนั้นลบแอปแปลกปลอมออกจากเครื่องทันที

2.หากไม่สามารถสัมผัสหน้าจอได้ หรือหน้าจอเป็นสีดำ ในระบบ IOS กดปุ่มเพิ่มเสียง 1 ครั้ง > กดปุ่มลดเสียง 1 ครั้ง > กดปุ่มเปิด/ปิดเครื่องค้างไว้ จนกว่าหน้าจอจะขึ้นรูปแอปเปิล เมื่อเครื่องเปิดมาใหม่ให้รีบตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต โดยการปิดไวไฟ ปิดเซลลูลาร์ ปิดบลูทูธ และเปิด airplan mode (โหมดเครื่องบิน) จากนั้นลบแอปแปลกปลอมออกจากเครื่องทันที 
ในระบบ Android กดปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง ค้างไว้ประมาณ 20-30 วินาที รอจนหน้าจอดับไป รอจนกว่าเครื่องจะเปิดขึ้นใหม่ (อาจใช้เวลาสักระยะนึง) เมื่อเครื่องเปิดมาใหม่ให้รีบตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต โดยการปิดไวไฟ ปิดเซลลูลาร์ ปิดบลูทูธ และเปิด airplan mode (โหมดเครื่องบิน) จากนั้นลบแอปแปลกปลอมออกจากเครื่องทันที

3.หากไม่สามารถทำตามขั้นตอนที่ 1 และขั้นตอนที่ 2 ได้ ให้ปิด WiFi Router และถอดปลั๊ก จากนั้นให้ถอดซิมออกจากโทรศัพท์มือถือทันที

“เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้โทรศัพท์ถูกมิจฉาชีพควบคุมจากระยะไกล ต้องไม่กดลิงก์หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่ไม่ได้อยู่ใน APP Store หรือ Play Store ทั้งนี้ หากท่านตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพออนไลน์ สามารถแจ้งเข้ามาที่ศูนย์ AOC 1441 เพื่อทำการอายัดบัญชีคนร้าย และดำเนินคดีตามกฎหมายกับมิจฉาชีพ” นายคารม ย้ำ

“คารม” เผยกรมการจัดหางาน ใช้มาตรการเชิงรุกกวาดล้างต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย

“คารม” เผยกรมการจัดหางาน ใช้มาตรการเชิงรุกกวาดล้างต่างชาติแย่งอาชีพคนไทย ปีงบ 67 ตรวจสอบแล้วกว่า 3 แสนราย พบกระทำผิด 1,689 คน

วันนี้ (21 มีนาคม 2567) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดถึง กรณีพบคนต่างชาติ เช่น สัญชาติเมียนมา กัมพูชา เวียดนาม จีน รัสเซีย และอินเดียเดินทางเข้าประเทศไทยแย่งอาชีพคนไทย โดยเฉพาะในตลาดนัด ตลาดสด ร้านทำเล็บ อู่ซ่อมรถ แผงค้าขาย รถเข็น ผับบาร์ตามแหล่งท่องเที่ยว และย่านการค้าซึ่งเป็นที่นิยมทั้งในกลุ่มชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ จนกระทบต่อบรรดาผู้ประกอบการในพื้นที่ นั้น นายคารม กล่าวว่า กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงานใช้มาตรการเชิงรุกตรวจสอบต่างชาติแย่งงานคนไทยทั่วประเทศโดยไม่แจ้งล่วงหน้า เผยตรวจสอบสถานประกอบการแล้ว 25,628 แห่ง ดำเนินคดี 820 แห่ง ตรวจสอบคนต่างชาติ จำนวน 306,577 คน ดำเนินคดีแล้ว 1,689 คน เป็นความผิดแย่งอาชีพคนไทย 721 คน ส่วนมากคนต่างชาติจะอาศัยอยู่ตามจังหวัดใหญ่ ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ภูเก็ต สมุย พัทยา และเชียงใหม่ ซึ่งเป็นแหล่งประกอบอาชีพคนไทย และย่านการค้าแหล่งเศรษฐกิจสำคัญที่พบเห็นแรงงานต่างชาติทำงานจำนวนมาก

นายคารม กล่าวต่อไปว่า จากผลการดำเนินการของกรมการจัดหางาน ปีงบประมาณ 2567 (วันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 18 มีนาคม 2567) มีการเข้าตรวจสอบสถานประกอบการที่จ้างแรงงานต่างชาติทั่วประเทศแล้ว จำนวน 25,628 แห่ง ดำเนินคดี 820 แห่ง และตรวจสอบคนต่างชาติ จำนวน 306,577 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 232,106 คน กัมพูชา 42,698 คน ลาว 18,001 คน เวียดนาม 236 คน และสัญชาติอื่น ๆ 13,536 คน มีการดำเนินคดีทั้งสิ้น 1,689 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 875 คน กัมพูชา 318 คน ลาว 231 คน เวียดนาม 87 คน และสัญชาติอื่น ๆ 178 คน ซึ่งพบเป็นการแย่งอาชีพคนไทย ทั้งสิ้น 721 คน แยกเป็นสัญชาติเมียนมา 316 คน กัมพูชา 175 คน ลาว 106 คน อินเดีย 65 คน เวียดนาม 42 คน จีน 5 คน และสัญชาติอื่น ๆ 12 คน

โดยอาชีพที่พบคนต่างชาติแย่งอาชีพมากที่สุด ได้แก่ งานเร่ขายสินค้า งานตัดผม งานขับขี่ยานพาหนะ และงานนวด ตามลำดับ และงานที่คนต่างชาติถูกดำเนินคดีเพราะไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ได้แก่ งานขายของหน้าร้าน งานช่างก่อสร้าง งานกรรมกร ตามลำดับ

ครม.เห็นชอบแผนอัตรากำลัง รพ.ม.พะเยา ประจำปี 68-71 จำนวน 731 อัตรา งบ 208.08 ล้าน

ครม.เห็นชอบแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยพะเยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 – 2571 จำนวน 731 อัตรา งบประมาณรวมทั้งสิ้น 208.08 ล้านบาท

วันนี้ (19 มี.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยพะเยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา (แผนอัตรากำลังโรงพยาบาลฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571 จำนวน 731 อัตรา งบประมาณรวมทั้งสิ้น 208.08 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ทั้งนี้ แผนอัตรากำลังฯ จะส่งผลต่อการเพิ่มอัตรากำลังและบุคลากร และภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต จึงเห็นควรที่มหาวิทยาลัยพะเยาจะพิจารณาดำเนินการเท่าที่จำเป็นตามภารกิจหลัก อย่างประหยัด และคุ้มค่า และคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่าย โดยเฉพาะรายได้หรือเงินนอกงบประมาณอื่นใดที่มหาวิทยาลัยมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายเป็นลำดับแรก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
 
โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้  (1) ขยายศักยภาพเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก ระดับ M1 ขนาด 200 เตียง ในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571 เพื่อรองรับการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและการขยายศักยภาพเป็นโรงพยาบาลทั่วไป ระดับ S  (2) เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของเขตสุขภาพที่ 1 ในเขตพื้นที่ล้านนาตะวันออก (จังหวัดเชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน และพะเยา) เป็นหน่วยให้บริการที่เป็นโรงพยาบาลรับผู้ป่วยส่งต่อระดับสูง รวมทั้งพัฒนาเรื่องต่าง ๆ เช่น ระบบบริการสุขภาพด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน การดูแลผู้สูงอายุในเขตบริการ ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินและระบบการส่งต่อเพื่อลดความแออัดในเขตสุขภาพที่ 1 (3) พัฒนาศูนย์การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อรองรับการเป็นสถานฝึกปฏิบัติการในชั้นคลินิกสำหรับนิสิตแพทย์มหาวิทยาลัยพะเยาให้มีศักยภาพ สามารถใช้เป็นแหล่งฝึกบุคลากรทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมทั้งเพื่อรองรับการจัดการเรียนการสอนทั้งก่อนปริญญาและหลังปริญญา และ (4) พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ เช่น ศูนย์ตรวจสุขภาพ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง ศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง 
 
“สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลฯ แล้ว เห็นว่า แผนความต้องการอัตรากำลังฯ มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาขีดความสามารถ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เช่น (1) ควรทบทวนภารกิจของหน่วยงานให้สอดคล้องกับภาระงาน เช่น การขยายสถานที่บริการ ควรฝึกวิชาชีพเฉพาะทางหลักสูตรต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น (2) ควรวิเคราะห์ปริมาณงานเฉลี่ย (3) การของบประมาณตามแผนความต้องการอัตรากำลังฯ ควรคำนึงถึงภาระผูกพันในการจัดสรรงบประมาณด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยพะเยาได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อรองรับการขอเพิ่มอัตรากำลังดังกล่าวไม่สอดคล้องกับระยะเวลาการขอรับจัดสรรงบประมาณในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยพะเยาจึงได้ปรับระยะเวลาของแผนอัตรากำลังฯ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2566-2569 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571” นายคารม กล่าว

ครม.อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา

ครม.อนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา จำนวน 14 ตอน และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพิ่มเติม โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา

วันนี้ (19 มี.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมทางหลวง (ทล.) เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา จำนวน 14 ตอน ตามปริมาณงานและวงเงินค่างานจริง ซึ่งไม่เกินกรอบวงเงินที่สำนักงบประมาณได้พิจารณาให้ความเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2565 และอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน 10 ตอน ตามนัยข้อ 7 (3) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ ทล. ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยการดำเนินการจะต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ทั้งนี้ สำหรับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ได้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รองรับไว้ ให้ ทล. ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การบริหารวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้สำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับภาระงบประมาณส่วนที่คงขาดอยู่ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 รองรับตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
         
นายคารม กล่าวว่า โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา (โครงการฯ) แบ่งเป็นจำนวน 40 ตอน ปัจจุบันมีงานก่อสร้าง 16 ตอนที่พบปัญหาและจำเป็นต้องแก้ไขรูปแบบการก่อสร้าง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงคมนาคมได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงด้านวิศวกรรมเพื่อตรวจสอบความเหมาะสมในการแก้ไข เปลี่ยนแปลงรูปแบบก่อสร้างและได้ข้อยุติว่าการปรับรูปแบบของโครงการฯ เป็นรูปแบบที่เหมาะสมและถูกต้องตามหลักวิศวกรรมแล้ว โดยการปรับรูปแบบของโครงการฯ ส่งผลให้ค่าก่อสร้างงานโยธาเพิ่มขึ้นจากค่างานตามสัญญาจากเดิม 59.410.2475 ล้านบาท เป็น 66,165.9010 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นจำนวน 6,755.6535 ล้านบาท) ซึ่งเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณเฉพาะในส่วนของงานที่ยังไม่ได้ดำเนินการก่อสร้าง จำนวน 12 ตอน วงเงิน 4,970.7107 ล้านบาท (คงเหลือที่ต้องขอคณะรัฐมนตรีอนุมัติจำนวน 1,784.9429 ล้านบาท) พร้อมทั้งให้ ทล. ตรวจสอบงานก่อสร้างในส่วนที่ดำเนินการก่อสร้างไปก่อนการแก้ไขสัญญาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2566 ทล. ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบงานโครงการฯ ในส่วนของงานก่อสร้างที่ได้ดำเนินการก่อสร้างก่อนลงนามในสัญญาแก้ไขดังกล่าว (ซึ่งยังไม่มีการจ่ายค่างานในส่วนที่ดำเนินการไปก่อน) จำนวน 14 ตอน พบว่า มีงานก่อสร้างบางตอนที่วงเงินลดลง (จากเดิมวงเงินรวม 1,784.9429 ล้านบาท เป็นวงเงินรวม 1,740.9882 ล้านบาท ซึ่งเป็นข้อเสนอในครั้งนี้) ทั้งนี้ การเพิ่มค่างานของทั้ง 16 ตอน จะทำให้กรอบวงเงินค่างานก่อสร้างของทั้งโครงการฯ รวม 40 ตอน เพิ่มขึ้นจากเดิม 59,410.2475 ล้านบาท เป็น 66,121.9464 ล้านบาท แต่ยังคงอยู่ภายใต้กรอบวงเงินค่างานก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2559 (69,970 ล้านบาท)
 
“ครม.พิจารณาอนุมัติเพิ่มวงเงินงบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณ ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา จำนวน 14 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 1 ตอนที่ 3 ตอนที่ 4 ตอนที่ 5 ตอนที่ 6 ตอนที่ 17 ตอนที่ 18 ตอนที่ 19 ตอนที่ 20 ตอนที่ 21 ตอนที่ 23 ตอนที่ 24 ตอนที่ 32 และตอนที่ 39 วงเงิน 1,740.9882 ล้านบาท และพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (ก่อหนี้ผูกพันฯ) ภายใต้แผนงานบูรณาการพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน - สระบุรี - นครราชสีมา จำนวน 10 ตอน ดังนี้ 1) ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2563 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2568 จำนวน 4 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 3 ตอนที่ 6 ตอนที่ 17 และตอนที่ 32   2) ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2566 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2568 จำนวน 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 5 ตอนที่ 20 และตอนที่ 24  และ    3) ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันฯ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2567 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 - 2568 จำนวน 3 ตอน ได้แก่ ตอนที่ 18 ตอนที่ 19 และตอนที่ 39” นายคารม กล่าว

“คารม”เผย รัฐบาลยกระดับแรงงานคนรุ่นใหม่ เข้าระบบ Credit Bank ทำงานช่วงวัยเรียน เทียบโอนหน่วยกิต รับวุฒิจบได้

“คารม” เผย รัฐบาล โดย ก.แรงงาน ก.อว. ลงนามความร่วมมือพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกับ มทร.-ม.เกษตรฯ ยกระดับแรงงานคนรุ่นใหม่ เข้าระบบ Credit Bank ทำงานช่วงวัยเรียน เทียบโอนหน่วยกิต รับวุฒิจบได้

วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมความร่วมมือในการผลิตกำลังคนในภาคการศึกษา และภาคแรงงาน Up-Skill for More Earn เพื่อมีงานทำรองรับเศรษฐกิจใหม่ รวมทั้ง พัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกำลังแรงงานรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งระบบ มีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะฝีมือในทุกระดับอย่างมีมาตรฐาน รวมทั้งส่งเสริมให้มีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ เป็นการสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพ มีรายได้ มีงานทำ มีสวัสดิการ และเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพต่อการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ
 
นายคารม กล่าวว่า รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงาน และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม   ร่วมเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการจัดการศึกษาการพัฒนาฝีมือแรงงาน เทียบโอน และสะสมหน่วยกิตในระบบธนาคารหน่วยกิต ระหว่าง กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 9 แห่ง และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยกระทรวงแรงงานและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมจะร่วมกันจัดฝึกอบรมหลักสูตรฝึกอบรมฝีมือแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานทันต่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ การพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อสะสมในระบบธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) โดยนำมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ และหลักสูตรการฝึกอบรมฝีมือแรงงานมาเทียบโอนการเรียนรู้สู่ระบบธนาคารดังกล่าว เพื่อแรงงานจะได้วุฒิการศึกษา เป็นการเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ได้เรียนในระบบ แต่มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากการทำงาน การฝึกอบรม การทดสอบ หรือประสบการณ์ด้านอื่น ได้มีโอกาสนำไปใช้เพิ่มคุณวุฒิการศึกษาด้านวิชาชีพ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีงานทำ และมีรายได้ที่สูงขึ้น
 
นายคารม กล่าวย้ำว่า ระบบ Credit Bank เป็นระบบที่ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ให้กำลังแรงงานสามารถนำผลการเรียนรู้และประสบการณ์จากการประกอบอาชีพที่หลากหลายรูปแบบมาเทียบโอนเป็นหน่วยกิตตามหลักเกณฑ์เพื่อเก็บสะสมไว้ในการขอรับรองคุณวุฒิทางการศึกษาที่สูงขึ้น จะทำให้แรงงานที่อยู่นอกระบบการศึกษา แต่ที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ในการทำงานที่ยาวนานผ่านการฝึกอบรม และทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงานแล้ว  นำมาเทียบโอนหน่วยกิต เพื่อปรับวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรี สามารถลดระยะเวลาการเรียน ลดค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง เพิ่มโอกาสในการเลื่อนระดับ ความก้าวหน้าในอาชีพ