CPP Myanmar เดินหน้าระบบตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทานปี 2568 ย้ำจุดยืนผู้นำอุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

CPP Myanmar ระบบตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่อุปทาน ประจำปี 2568 ย้ำจุดยืนผู้นำอุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มุ่งสู่ความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน

บริษัท CPP Myanmar เดินหน้าดำเนินการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดจัดการทวนสอบระบบเป็นครั้งที่ 3 ประจำปี 2568 โดย บริษัท คอนโทรลยูเนี่ยน (Control Union) องค์กรผู้ตรวจประเมินการตรวจสอบย้อนกลับและมาตรฐานการทำเกษตรยั่งยืน (Farm Sustainability Assessment : FSA) ตามแผนการทวนสอบห่วงโซ่อุปทานทุก 3 เดือน เพื่อยืนยันความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือในกระบวนการผลิต การตรวจสอบยังครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่ร้านค้าจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด การเพาะปลูกในไร่ของเกษตรกร การรวบรวมผลผลิต การขนส่ง สมาคมผู้ค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (MCIA) ไปจนถึงการส่งต่อเข้าสู่อุตสาหกรรม โดยยึดหลักการสำคัญคือ “ไม่ปลูกในพื้นที่รุกป่า และไม่มีการเผาแปลง” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

นายวรสิทธิ์  สิทธิวิชัย  ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ ธุรกิจ CPP Myanmar เปิดเผยว่า “การตรวจสอบย้อนกลับทุก 3 เดือน เป็นการตอกย้ำความตั้งใจของเราในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม CPP Myanmar มุ่งมั่นที่จะยกระดับอุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของภูมิภาคนี้สู่มาตรฐานสากล พร้อมขับเคลื่อนการผลิตที่ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของตลาดและความยั่งยืนในระยะยาว”

บริษัทฯ ดำเนินการพัฒนาระบบ Value Chain Traceability หรือ “การตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่คุณค่า” เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้อง ว่าเมล็ดพันธุ์ทุกเมล็ดได้ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานและมีการตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการปลูกในพื้นที่ป่าและไม่มีการเผาแปลง และระบบดังกล่าวครอบคลุมทุกขั้นตอน ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างพันธุ์ที่มีคุณภาพ , โดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูงพัฒนาพันธุ์เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ให้เป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญของภูมิภาคนี้ ร่วมมือกับคู่ค้าผู้จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดส่งต่อถึงเกษตรกร ผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน พร้อมกันนี้ยังมีหน่วยงานและองค์กรพันธมิตร อาทิ บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (BKP) , Myanmar C.P. Livestock Co., Ltd. (MCPL) และ สมาคมผู้ค้าข้าวโพด ประเทศเมียนมา (MCIA) เข้ามามีบทบาทในการควบคุม ตรวจสอบและสนับสนุน เพื่อให้การจัดการอุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 
Mrs. Ma Yu Wadi Tun  จากสมาคมผู้ค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์  (MCIA) กล่าวว่า การสร้างมาตรฐานตรวจสอบย้อนกลับและมาตรฐานการค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของประเทศเมียนมา จะเปลี่ยนแปลงให้เกษตรกรของเราเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบอย่างมีคุณภาพ ความรู้และคำแนะนำจากผู้ทวนสอบยังทำให้เกิดการพัฒนาระบบบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่อุปทานนี้ให้มีมาตรฐาน มีการปรับปรุงระบบอย่างต่อเนื่อง และยังสร้างการตระหนักถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งสำคัญมากต่อการทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืน

การดำเนินการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องนี้ ไม่เพียงสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า เกษตรกร และผู้เกี่ยวข้อง แต่ยังสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้งด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมการเกษตรที่เป็นมิตรต่อโลก อันเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างอนาคตที่มั่นคงของอุตสาหกรรมเกษตรกรรมในภูมิภาค

#CPPMyanmar #ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ #CPCRTGreatStory

พาณิชย์ ประกาศรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 68/69 สร้างหลักประกันราคา เข้มใช้กม.ผู้รวบรวม–รง.อาหารสัตว์

วันที่ 30 สืงหาคม 2568 นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 เห็นชอบการกำหนดราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ ประจำปี 2568/69  ตนจึงได้ลงนามออก ประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ ประจำปี 2568/69 เพื่อให้การรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกร ผู้รวบรวม และโรงงานอาหารสัตว์ มีความเหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับสถานการณ์การผลิตและการตลาด โดยประกาศฉบับนี้ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2568 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2569

โดยตามประกาศดังกล่าว ได้กำหนดราคารับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สด ชนิดเมล็ดที่มีความชื้น 30% ของเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ กำแพงเพชร ชัยภูมิ พิจิตร และอุทัยธานี ในราคากิโลกรัมละ 7.05 บาท สำหรับจังหวัดอื่น ๆ ให้เป็นไปตามโครงสร้างราคารับซื้อรายจังหวัด ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แห้ง ชนิดเมล็ดที่มีความชื้น 14.5% ณ หน้าโรงงานอาหารสัตว์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในราคากิโลกรัมละ 9.80 บาท สำหรับจังหวัดอื่น ให้เป็นไปตามระยะทาง และค่าขนส่งในแต่ละพื้นที่ โดยปรับเพิ่มหรือลดราคาตามตารางการหักลดน้ำหนักเมล็ดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีความชื้น ซึ่งกรมการค้าภายในได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2562 ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สำหรับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและได้ตกลงราคากันไว้ก่อนหน้าประกาศฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ คู่สัญญา สามารถซื้อขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้ในราคาที่ตกลงกันไว้ในสัญญา

นายจตุพร เน้นย้ำว่า ผู้รวบรวมและโรงงานอาหารสัตว์ทุกแห่งต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงพาณิชย์อย่างเคร่งครัด โดยต้องแสดงราคารับซื้อและอัตราการหักลดความชื้น ณ จุดรับซื้ออย่างชัดเจน 
โดยกรมการค้าภายในได้แจ้งไปยังจังหวัดทุกจังหวัดที่เกี่ยวข้องเพื่อกำกับดูแลการซื้อขายให้เป็นไปตามประกาศ และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดกำกับดูแลพร้อมกับชุดตรวจสอบลงพื้นที่ ตรวจสอบการรับซื้ออย่างสม่ำเสมอ หากฝ่าฝืน เช่น การรับซื้อในราคาต่ำกว่าที่แสดงไว้ หรือหักลดน้ำหนักความชื้นไม่ตรงตามที่ประกาศกำหนด จะมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีทั้งโทษปรับและโทษจำคุก

ทั้งนี้ หากมีผู้รวบรวมรายใดปฏิเสธหรือประวิงการจำหน่ายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 30 และหากโรงงานอาหารสัตว์รายใดรับซื้อในราคาที่ต่ำเกินสมควร หรือหยุดรับซื้อ จำกัดคิว หรือปิดโรงงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จนทำให้ราคาในตลาดปั่นป่วน ก็อาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 29 โดยทั้งสองกรณีมีโทษสูงสุดถึงจำคุก 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ ประกาศกระทรวงพาณิชย์ยังได้กำหนดมาตรการสอดคล้องกับการกำหนดการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้กรอบ WTO ในโควตาหรือข้าวสาลีสำหรับการผลิตอาหารสัตว์ ในปี 2569 โดยระบุว่า ผู้ประกอบการที่ยื่นขออนุญาตนำเข้า จะต้องรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายในประเทศในปริมาณ 3 ส่วน ต่อการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หรือข้าวสาลี 1 ส่วน พร้อมทั้งต้องแสดงหลักฐานการรับซื้อจากเกษตรกรในประเทศ และราคารับซื้อต้องเป็นไปตามราคาดังกล่าวข้างต้น 

“ประกาศฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อเป็นหลักประกันราคาผลผลิตของเกษตรกร ป้องกันการกดราคาจากกลไกตลาด และสร้างความชัดเจนแก่ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ กระทรวงพาณิชย์จะติดตามและกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกติกาและเกิดความเป็นธรรมต่อเกษตรกร” นายจตุพร กล่าว

รบ.เดินหน้าแก้ฝุ่น สั่งเข้มประกาศผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องมีใบรับรองปลอดเผา

“รัฐบาล”เดินหน้าเต็มสูบทุกทางแก้ฝุ่นระยะยาว สั่งเข้มประกาศผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องมีใบรับรองปลอดเผา

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 11.45 น. นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในทุกมิติ เพื่อลดการสะสมของฝุ่นจากการเผาในแหล่งเพาะปลูกทั้งในและนอกประเทศ ด้วยการสนับสนุนวัตถุดิบทางการเกษตรที่ปราศจากการเผา โดยกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี เพื่อกำหนดแนวทางลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ข้ามพรมแดน  ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการ ที่จะดำเนินการกับข้าวโพด ที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นลำดับแรก  โดยจะออกประกาศกระทรวงพาณิชย์กำหนดมาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวโพดจากต่างประเทศ เพื่อป้องกันการนำเข้าข้าวโพดที่มาจากการเผา 

นายอนุกูล กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการที่เตรียมประกาศใช้ ผู้นำเข้าต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กรมการค้าต่างประเทศกำหนด ต้องแสดงเอกสารประกอบการนำเข้า ทั้งแบบฟอร์มการแจ้งข้อมูลประกอบการนำเข้า ตามที่กำหนด เอกสารรับรองจากหน่วยงานผู้มีอำนาจอย่างเป็นทางการ (Competent Authority : CA) ของประเทศผู้ส่งออกว่าสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่นำเข้า เป็นสินค้าที่มาจากแหล่งเพาะปลูกที่ไม่มีการเผา และพิสูจน์ได้ว่า  ผู้เพาะปลูก ผู้ส่งออก ผู้รวบรวมมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับ และต้องมีภาพแผนที่แสดงถึงแปลงที่ใช้ในการเพาะปลูกให้ชัดเจน ซึ่งแนวทางทั้งหมดจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การการค้าโลก (WTO) และพันธกรณีตาม FTAs รวมทั้งไม่สร้างภาระให้กับผู้ประกอบการ โดยจะเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นสินค้าที่ไทยผลิตได้ประมาณ 4 – 5 ล้านตันต่อปี ขณะที่มีความต้องการใช้ประมาณ 8 – 9 ล้านตันต่อปี จึงมีความจำเป็นต้องมีการนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ เมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งที่ผ่านมามีการนำเข้าประมาณปีละ 1.3 - 1.8 ล้านตัน แต่ปี 2567 นำเข้าถึง 2 ล้านตัน เป็นการนำเข้าจากเมียนมา มากที่สุดในสัดส่วนร้อยละ 87 ของปริมาณการนำเข้า รองลงมา คือ สปป.ลาว ร้อยละ 12.61 และ กัมพูชา ร้อยละ 0.39 ตามลำดับ โดยทางกรมการค้าต่างประเทศจะร่วมมือกับทูตพาณิชย์ในเมียนมา เพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ส่งออกที่ไม่ใช้การเผา และเจรจาจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประเทศเพื่อนบ้านทราบถึงมาตรการดังกล่าว เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนซึ่งเป็นประเด็นสำคัญระดับชาติ

 “รัฐบาลมุ่งสร้างมาตรฐานสินค้านำเข้าและส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของไทยในการค้าระหว่างประเทศ โดยสนับสนุนการจับคู่ธุรกิจระหว่างผู้ส่งออกที่ปลอดการเผากับผู้นำเข้าที่ต้องการสินค้าเกษตรคุณภาพ สำหรับมาตรการดังกล่าว จะเริ่มจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ก่อนขยายสู่สินค้าเกษตรอื่น ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกันอย่างสมดุล ซึ่งจะพิจารณาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ใช้ข้าวโพดอย่างรอบด้านเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด” นายอนุกูล กล่าว

ส.อาหารสัตว์ ขานรับนโยบายรัฐนำเข้าข้าวโพดตามข้อตกลง AFTA พร้อมช่วยรับซื้อ “มันเส้น”

ส.อาหารสัตว์ ขานรับนโยบายรัฐนำเข้าข้าวโพดตามข้อตกลง AFTA พร้อมช่วยรับซื้อ “มันเส้น” แม้ใช้น้อย ย้ำอย่าให้มีทรายปน  

วันที่ 18 ธ.ค.67 นายอรรถพล ชินภูวดล ผู้จัดการสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า สมาชิกสมาคมรับทราบมติที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามความตกลงเขตการค้าเสรีปี 2568 แล้ว  ชื่นชมรัฐประกาศได้รวดเร็ว ส่งผลให้กระบวนการผลิตเดินหน้าต่อได้อย่างราบรื่น ขณะเดียวกัน สมาชิกยินดีช่วยรับซื้อ “มันเส้น” ตามที่กรมการค้าภายในขอความร่วมมือ แม้จะมีสัดส่วนการใช้เพียง 4-5% ซึ่งน้อยมาก  ขอเพียงอย่าให้มีทรายปะปนเข้ามา เนื่องจากจะทำให้เครื่องจักรเสียหาย 

“ครม.อนุมัติงบ 368 ล้านบาทช่วยชาวไร่มัน รักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังไปแล้ว แต่เมื่อกรมการค้าภายในขอความร่วมมือมา สมาชิกของเราก็ยินดีที่จะช่วยเหลือโดยช่วยซื้อมันเส้นตามสัดส่วนการใช้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่พบคือมีทรายปะปนเข้ามาซึ่งอาจทำให้เครื่องจักรของสมาชิกเสียหายได้ จึงต้องขอให้ระมัดระวังให้มาก และชาวไร่มันสามารถติดต่อกับโรงงานอาหารสัตว์แต่ละแห่งได้โดยตรง” นายอรรถพลกล่าว 

ทั้งนี้ เมื่อวานนี้ (17 ธ.ค.67) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักร ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) สำหรับ พ.ศ. 2568 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยผู้นำเข้าจะได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร ในอัตรา 0%  โดยเป็นการคงนโยบายและมาตรการนำเข้าเช่นเดียวกับปี 67 ทั้งหมด เพื่อให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ สามารถนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ ในช่วงที่ผลผลิตภายในประเทศออกสู่ตลาดน้อย ตลอดจนเพื่อให้เป็นไปตามความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยผูกพันไว้

ข้าวโพดที่ยอดเยี่ยม คือข้าวโพดที่ไม่มีควัน...ต้องร่วมด้วยช่วยกันทั้งประเทศ 

ความก้าวหน้าในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาหมอกควัน PM2.5 ที่หลายฝ่ายกำลังพยายามช่วยกันแก้ไขนับว่ามีความคืบหน้าไปไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น พรบ.อากาศสะอาดที่มีร่างออกมาหลายร่าง หรือ การเตรียมออกมาตรฐานบังคับต่างๆ ที่มุ่งเป้าลดการเผาที่ก่อให้เกิดควัน  โดยภาคเกษตรเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ถูกพาดพิงว่าก่อเกิดมลพิษดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นาข้าว ไร่อ้อย และไร่ข้าวโพด 

การตระหนักและคำนึงถึงสุขภาพของสิ่งแวดล้อมและผู้คน สะท้อนออกมาผ่านความชัดเจนในการแก้ปัญหา PM2.5  ซึ่งดูเหมือน “ข้าวโพด” จะมีความชัดเจนในการแก้ปัญหาดังกล่าวมากกว่าพืชชนิดอื่น  อาจเป็นเพราะข้าวโพด เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตัวหลัก เป็นต้นน้ำของการผลิตอาหารปลอดภัย จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพดก่อนส่งเข้าไลน์การผลิตอาหารสัตว์อยู่แล้ว ดังนั้น การพัฒนาต่อยอดให้ตรวจสอบถึงแหล่งผลิตว่าต้องไม่มีการเผาแปลงด้วย จึงเป็นสิ่งที่ทำได้รวดเร็วกว่าพืชชนิดอื่น

แม้จะไม่ใช่ผู้ที่ลงมือเผา แต่ผู้ประกอบการอาหารสัตว์ก็นำจุดแข็งในฐานะผู้ซื้อ มากำหนดเป็นเงื่อนไขการรับซื้อว่าข้าวโพดทุกเมล็ดที่เข้าสู่กระบวนการผลิตต้องยืนยันได้ว่าไม่ได้มาจากพื้นที่รุกป่าหรือผ่านการเผาตอซัง โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่นำร่อง ด้วยการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่เชื่อมโยงกับดาวเทียม และตรวจจับได้ถึงจุดความร้อนในแปลงปลูกแต่ละพื้นที่ พร้อมการปฏิเสธที่จะรับซื้อทันทีหากพบว่าเกษตรกรกรรายใดใช้วิธีเผาแปลง  

มาตรการในด้านของภาคเอกชน เดินหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความร่วมมือของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ผู้รวบรวมข้าวโพด ที่ลงทะเบียนร่วมมือลด PM2.5 ด้วยกัน แม้จะมีเพียงผู้ประกอบรายใหญ่รายเดียวที่เข้มแข็งเดินหน้าพัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับให้ถึงที่สุดก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นต้นแบบที่ดีที่กำลังสร้างให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ เดินตาม  

ส่วนภาครัฐ ผู้มีบทบาทสำคัญที่จะช่วยลดการเผาตอซังได้นั้น คงหนีไม่พ้น “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ซึ่งกรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร และ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ต่างก็มีการขับเคลื่อนมาตรฐานหลายๆ ตัว  อาทิ “กรมปศุสัตว์” ที่กระตือรือล้นปรับปรุงแนวทางการจัดการวัตถุดิบอาหารสัตว์ เพื่อลดปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 โดยตั้งเป้าหมายให้ ผู้ประกอบการอาหารสัตว์ ไม่รับซื้อผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเผาแปลงปลูก เพื่อสร้างเป็นมาตรฐานด้านการเกษตรที่ดี (Good Agriculture Practice- GAP) พร้อมสนับสนุนให้ โรงงานอาหารสัตว์ทุกแห่ง ทำระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด เพื่อให้มั่นใจได้จริงๆว่าข้าวโพดที่รับซื้อนั้นไม่ผ่านการเผาแปลง ด้วยการสนับสนุนโครงการ “ไม่เผาเราซื้อ”  เช่นเดียวกับที่ผู้นำอุตสาหกรรมดำเนินการอยู่ 

ขณะที่ “กรมวิชาการเกษตร” ก็เร่งออกประกาศเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการขอรับรองกระบวนการผลิตข้าวโพดเมล็ดแห้งแบบไม่เผา เพื่อลดปัญหาฝุ่น PM2.5 (PM 2.5 Free Plus) ส่วน “สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ” หรือ มกอช. ก็ได้จัดประชุมคณะกรรมการวิชาการ พิจารณามาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่องการผลิตพืชแบบไม่เผา โดยเริ่มที่สินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ พร้อมตั้งเป้าหมายให้เป็น “มาตรฐานบังคับ” ในอนาคต  เกิดเป็นภาพความร่วมมือที่จะสร้างมาตรฐานให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติได้จริง 

ในขณะที่เห็นฟากฝั่งหนึ่งตั้งอกตั้งใจแก้ปัญหา มุ่งลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน โดยไม่ให้กระทบอาชีพของผู้คนในห่วงโซ่การผลิต ก็กลับได้เห็นอีกฟากฝั่งหนึ่งพยายามบั่นทอน สร้างความแตกแยก ทำแม้กระทั่งสื่อสารข้อมูลบิดเบือนว่า รัฐบาลจะส่งเสริมให้ไทยเป็นผู้นำอาหารสัตว์ หวังสร้างความเกลียดชัง ทั้งที่จริงๆ แล้ว รัฐบาลประกาศผลักดันส่งเสริมอาหารหมา-แมว หรืออาหารสัตว์เลี้ยง

ถึงกับต้องตั้งคำถามว่า คนกลุ่มนี้ทำไปแล้วได้ประโยชน์อะไร รับเงินสนับสนุนจากใครมาบ่อนทำลายความตั้งใจของคนไทยที่กำลังร่วมมือกันแก้ปัญหานี้อยู่ แทนที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเร่งทำการตรวจสอบย้อนกลับให้ครบทุกราย หรือร่วมด้วยช่วยกันรณรงค์ให้เกษตรกรลดการเผา … 

คงเพราะพูดแต่ปากมันง่ายกว่าลงมือทำ แต่ไม่ช่วยทำก็ไม่ว่า…ขอแค่ “อย่าเอาเท้าราน้ำ” ก็พอ

โดย : ธนา วรพจน์วิศิษฐ์ 

อาหารสัตว์เดือด!! ร้องรัฐเร่งทำลาย “วงจรอุบาทว์ข้าวโพดไทย” ปั่นราคาทำห่วงโซ่อาหารระส่ำ

ห่วงโซ่การผลิตอาหารระส่ำจากวงจรอุบาทว์ข้าวโพดไทย กักตุน-ข่มขู่-ปั่นราคาข้าวโพดให้พุ่งถึงกิโลกรัมละกว่า 13 บาท สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยสุดทน ลั่นเหมือนถูกมัดมือมัดเท้าจากมาตรการรัฐ เร่งยื่นหนังสือ “ด่วนที่สุด” ถึงกระทรวงพาณิชย์ เรียกร้องแก้ปัญหาและทำลายพฤติกรรมมาเฟียทันที ก่อนห่วงโซ่การผลิตอาหารหยุดชะงักและเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ตายยกประเทศ 

นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย เปิดเผยว่า ได้รับข้อร้องเรียนอย่างหนักจากสมาชิก ถึงความยากลำบากในการหาซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีการกักตุนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเรียกร้องราคาขยับสูงขึ้น โดยมีเป้าสูงกว่า 13 บาท/กก. จากปกติควรจะอยู่ที่ 11 บาท/กก.ในช่วงนี้ ซ้ำขู่ไม่ส่งข้าวโพดเข้าโรงงาน ระบุโรงงานอาหารสัตว์ไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากถูกมัดมือมัดเท้าจากมาตรการรัฐหลายมาตรการ จึงต้องร้องขอความช่วยเหลือด่วนที่สุดไปยังกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

“การกักตุนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เกิดผลประโยชน์กับกลุ่มพ่อค้าคนกลางเท่านั้น ไม่เกิดประโยชน์กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แม้แต่บาทเดียว เพราะผลผลิตข้าวโพดทั้งหมดอยู่ในมือพ่อค้าคนกลางหมดแล้ว ราคาข้าวโพดที่ขยับขึ้นแค่กิโลกรัมละ 1 บาท คิดเป็นเม็ดเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 5,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาระต้นทุนของเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ สถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนจะกลับไปใกล้เคียงกับเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาหรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่า เพราะธุรกิจอาหารสัตว์ขาดทุนสะสมและมีการปิดโรงงานและขายกิจการไปแล้วหลายแห่ง เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ก็ขาดทุนและเลิกเลี้ยงกันไปจนนับไม่ถ้วน” นายพรศิลป์ กล่าว

ทั้งนี้ สิ่งที่เอื้อประโยชน์ให้พ่อค้าคนกลางสามารถมีพฤติกรรมกักตุนข้าวโพดเพื่อเก็งกำไรได้มีหลายประการ อาทิ

1.ผลผลิตข้าวโพดไทยมีแนวโน้มลดลง และจะออกสู่ตลาดอีกครั้งกลางเดือนกันยายน ช่วงนี้จึงเข้าสู่ภาวะขาดแคลนวัตถุดิบยาวนานกว่า 3 เดือน เปิดโอกาสให้มีการกักตุนสินค้า

2.โรงงานอาหารสัตว์ไม่มีทางเลือกในการนำเข้าวัตถุดิบทดแทน เพราะถูกบีบด้วย “มาตรการควบคุมการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วน”  ด้วยข้อกำหนดให้ซื้อข้าวโพดภายในประเทศก่อน เพื่อนำไปใช้แลกนำเข้าข้าวสาลี แต่โรงงานไม่มีข้าวโพดเพียงพอ จึงเท่ากับถูกบังคับให้ซื้อข้าวโพดจากพ่อค้าในราคาที่เขาต้องการก่อน เป็นสาเหตุหลักให้พ่อค้าชะลอการส่งข้าวโพดเข้าโรงงานเพื่อดึงราคาให้สูงขึ้นอีก

3.ราคาวัตถุดิบทดแทนปรับตัวสูงขึ้น สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ค่าระวางเรือ ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว รวมถึงสถานการณ์เพาะปลูกข้าวสาลีที่มีแนวโน้มลดน้อยลง ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีนำเข้าอยู่ที่ 12 บาท/กก. พ่อค้าคนกลางทราบถึงสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี จึงตั้งราคาขายข้าวโพดไว้ที่ 13 บาท/กก. สูงกว่าราคานำเข้าข้าวสาลี เพราะหากไม่ซื้อข้าวโพดก่อนก็ไม่สามารถนำเข้าข้าวสาลีได้

4.จากนโยบายรัฐที่มุ่งแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 โดยกระทรวงเกษตรฯ ผลักดันการหยุดรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเผาแปลงปลูก ซึ่งสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทยขานรับและสนับสนุนนโยบายดังกล่าว ทำให้พ่อค้าเร่งทำการกักตุนข้าวโพด เพราะรู้ดีว่าข้าวโพดที่โรงงานจะรับซื้อได้นั้น จะมีปริมาณลดน้อยลง เพราะไม่สามารถซื้อข้าวโพดที่ผ่านการเผาแปลงได้

นายพรศิลป์ ระบุว่า การแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุดคือ กระทรวงพาณิชย์ต้องปลดล็อกมาตรการนำเข้าข้าวสาลี 3 : 1 ส่วนในทันที เพื่อให้มีปริมาณข้าวสาลีเข้ามาเป็นทางเลือก คลายความกดดันในด้านปริมาณที่ขาด และลดสิ่งที่เอื้อให้พ่อค้าคนกลางทำการกักตุนเก็งกำไร แม้ราคาข้าวสาลี ณ ตอนนี้จะสูงถึง 12 บาท/กก. ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนำเข้า มิฉะนั้นจะไม่มีวัตถุดิบที่จะใช้ในการผลิต ย้ำว่ากระทรวงพาณิชย์ ต้องดำเนินการในเรื่องนี้ “ทันที” เพื่อไม่ให้สายพานการผลิตหยุดชะงัก นอกจากนี้ ต้องพิจารณาปลดมาตรการนำเข้าอื่นๆ โดยเฉพาะการนำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบ WTO เพื่อรองรับนโยบายไม่รับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีการเผาแปลงปลูก ซึ่งจะทำให้ข้าวโพดที่ซื้อขายในระบบหายไปกว่า 2 ล้านตันด้วย 

“หากยังปล่อยให้สถานการณ์กักตุนนี้ยืดเยื้อต่อไป จะเกิดผลกระทบรุนแรงต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารทั้งระบบ  เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ไม่สามารถประกอบอาชีพต่อได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้เลี้ยงหมูรายย่อยที่ขาดทุนมาก่อนหน้า จากต้นทุนสูง และจากปัญหาหมูเถื่อน ที่สุดแล้วเศรษฐกิจชาติจะพังไม่เป็นท่า ไม่คุ้มเลยถ้าจะมัวอุ้มกลุ่มพ่อค้าคนกลางกลุ่มเดียวแบบนี้” นายพรศิลป์ กล่าว

พยุงราคาข้าวโพด หวังช่วยเกษตรกรไทย “พ่อค้า” ฉวยโอกาส ยัดไส้ข้าวโพดเมียนมา ฟันกำไร

เห็นข่าวพ่อค้าเรียกร้องให้โรงงานอาหารสัตว์รับซื้อข้าวโพดทุกเมล็ด รวมข้าวโพดที่รุกป่าและเผาแปลงด้วย สะท้อนความไม่เข้าใจสิ่งที่โลกต้องการ เมินเฉยต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม แบบนี้จะพากันพังกันทั้งระบบ เพราะโลกไม่มีที่ยืนให้ข้าวโพดรุกป่าและเผาตอซังอีกแล้ว ซ้ำยังให้ข้อมูลบิดเบือนราคาขายหน้าโรงงานว่าข้าวโพดที่นำเข้าจากเมียนมานั้น มีราคาต่ำกว่า 9 บาท/กก. ทั้งที่จริงๆ แล้วขายได้สูงกว่า 10 บาท/กก. มาตั้งแต่ พ.ย.2566 ซึ่งเป็นความร่วมมือในการรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จาก“เกษตรกรไทย” ในการประชุมร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2566

อันที่จริงการเรียกร้องให้รับซื้อข้าวโพดเมียนมาในราคาเท่ากับข้าวโพดไทย เท่ากับให้คนไทยพยุงราคาช่วยเกษตรกรเมียนมาด้วยซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเป็น แต่ทุกวันนี้ต้องยอมรับว่ายังไม่สามารถแยกเมล็ดไทยกับเมียนมาออกจากกันได้ ทำให้กลุ่มพ่อค้าสามารถ “ยัดไส้” ข้าวโพดเมียนมาให้เป็นข้าวโพดไทยได้ (แม้ในช่วงที่ไม่อนุญาตนำเข้า) ซึ่งไม่เป็นธรรมกับคนไทย ไม่เป็นธรรมกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ของไทยที่ต้องแบกภาระช่วยเกษตรกรเมียนมา ขณะที่ต้องเสียส่วนต่างกำไรให้เข้ากระเป๋า “พ่อค้าพืชไร่” เรื่อยมา

ปัจจุบันภาครัฐมีการกำกับดูแลการนำเข้าข้าวโพดอยู่แล้วในระดับหนึ่ง มีการจำกัดระยะเวลานำเข้าได้เพียง 8 เดือน (1 ก.พ.- 31 ส.ค.) และผู้นำเข้าต้องแจ้งขอผ่านกรมปศุสัตว์ก่อน ตัวเลขการนำเข้าและมูลค่านำเข้าข้าวโพดในเดือน ก.พ.-มี.ค.2567 พบว่าไทยมีการนำเข้าจากเพื่อนบ้านรวมจำนวน 595,098 ตัน ในราคากก.ละ 9.50 บาท นำมาขายให้โรงงานอาหารสัตว์ ในราคาสูงกว่า 10 บาท/กก.ดังกล่าวข้างต้น

เหตุปะทะรุนแรงตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ฝั่งเมียวดี ส่งผลผู้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเมียนมาเปลี่ยนเส้นทางจากด่านแม่สอด ไปนำเข้าทางด่านระนอง-ด่านแม่สายแทน รวมถึงเปลี่ยนวิธีขนส่งเป็นการขนส่งทางเรือทั้งหมด ลดปัญหาการลักลอบนำเข้าตามเส้นทางธรรมชาติไปได้มาก แต่หากสงครามยุติ การลักลอบก็อาจกลับมาเกิดขึ้นได้อีก ทางที่ดีที่สุดคือการเร่ง “ขึ้นทะเบียนผู้นำเข้า” เพื่อการตรวจสอบและแยกแยะข้าวโพดนำเข้าออกจากข้าวโพดไทยให้ชัดเจน แก้ปัญหาการ “ยัดไส้” กินส่วนต่าง ขณะที่โรงงานอาหารสัตว์ทุกแห่งกล่าวตรงกันว่า “ยินดีที่จะช่วยเหลือเกษตรกรไทย ไม่ใช่เกษตรกรจากเมียนมา หรือกลุ่มคนบางกลุ่ม เพราะภาระต้นทุนส่วนนี้จะตกไปอยู่กับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และผู้บริโภคไทย”

ทำไมจึงไม่อยากมีส่วนร่วมพัฒนาเกษตรกรไทย?

การเรียกร้องของพ่อค้าพืชไร่ก่อเกิดคำถามมากมายว่า เหตุใดคนกลุ่มนี้จึงไม่ต้องการมีส่วนร่วมพัฒนาเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดไทยให้ยุติการเผาตอซังและลดคาร์บอน เพื่อรักษาไว้ซึ่งสิ่งแวดล้อมให้คนรุ่นหลัง รวมถึงตอบโจทย์การค้าตามทิศทาง EU Green Deal ที่ประเทศคู่ค้าอย่างสหภาพยุโรปต้องการ เหตุใดจึงเรียกร้องแต่ราคา ราคา ราคา โดยไม่เห็นแก่อนาคตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดของไทยเลยแม้แต่น้อย อย่าลืมว่าโลกไม่มีที่ยืนให้วัตถุดิบที่ทำลายสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่กฎหมาย EU บังคับใช้ พืชผลของไทยที่ไม่สามารถแสดงการปล่อยคาร์บอนได้อย่างเหมาะสมจะไม่มีใครรับซื้ออีกต่อไป

ขณะที่วันนี้หลายฝ่ายทั้งภาครัฐ เช่น กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร มกอช. ฯลฯ รวมถึงภาคเอกชน เช่น สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กำลังร่วมกันวางยุทธศาสตร์ในการพัฒนา GAP (Good Agriculture Practice) เพื่อเกษตรกรไทย รวมถึงการนำโมเดล Corn Traceability ที่ประสบความสำเร็จแล้วมาเป็นต้นแบบในการพัฒนา นอกจากนี้ ยังประสานความร่วมมือกับผู้รับซื้อในประเทศเพื่อนบ้านให้ร่วมกันลดมลพิษที่เกิดจากการเผาแปลงเกษตร แก้ปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน เห็นความพยายามของทุกภาคส่วนเช่นนี้แล้ว ยังสงสัยอยู่ว่าจะสะกิดต่อมสำนึกของคนบางกลุ่มได้บ้างหรือไม่

ยืนยันอีกครั้งว่าต่อไปแวดวงอุตสาหกรรมนี้จะไม่มีการคุยเรื่องราคาจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าข้าวโพดที่นำมาขายนั้นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

โดย : ดำรง พงษ์ธรรม

กรมปศุสัตว์ร่วมมือเครือข่ายกำชับมาตรการไม่รับซื้อข้าวโพดจากการเผา

กรมปศุสัตว์ร่วมมือเครือข่ายกำชับมาตรการไม่รับซื้อข้าวโพดจากการเผา ตามนโยบาย “ไม่เผา เราซื้อ” มุ่งแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างยั่งยืน

นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลและนโยบายของร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้มีมาตรการกำชับห้ามนำเข้าข้าวโพดที่มาจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีการเผา และที่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผา โดยมุ่งแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนและการแก้ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างยั่งยืนนั้น กรมปศุสัตว์รับสนองนโยบายและได้ดำเนินการอย่างจริงจังเคร่งครัด


    
นายสัตวแพทย์โสภัชย์ ชวาลกุล รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมปศุสัตว์เร่งดำเนินการเพื่อหารือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ 30 เมษายน 2567 ณ กรมปศุสัตว์ เพื่อภาคเกษตรมีการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาหารปลอดภัยและผลิตได้อย่างยั่งยืน โดยร่วมหาแนวทางการจัดการวัตถุดิบอาหารสัตว์ เพื่อลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย สมาคมส่งเสริมผู้ใช้วัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งจากการหารือได้มีแนวทางดำเนินการ ดังนี้ 1) กรมวิชาการเกษตรทำแนวทางการรับรองกระบวนการผลิตข้าวโพดเมล็ดแห้งแบบไม่เผาโดยหลักเกณฑ์การรับรองผู้ที่ได้รับการรับรองจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับข้าวโพดเมล็ดแห้ง (GAP) และเพิ่มเติมกระบวนการผลิตข้าวโพดเมล็ดแห้งแบบไม่เผาตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่กำหนด 2) สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ทบทวนหลักเกณฑ์การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับข้าวโพดเมล็ดแห้งแบบไม่เผา ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับข้าวโพดเมล็ดแห้งแบบไม่เผา ซึ่งจะมีการจัดประชุมในวันที่ 9 พ.ค. 67 โดยใช้มาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ.4402-2553 ฉบับเดิมมาปรับปรุงเพิ่มเติม ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวยังเป็นแบบสมัครใจ โดยจะมีการประเมินผลการดำเนินการก่อนจะมีการนำไปใช้แบบภาคบังคับ 3) กรมปศุสัตว์และสมาคม ร่วมประสานแจ้งหน่วยงานบริษัทต่างๆ ที่รับซื้อวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้รับซื้อและสนับสนุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่ไม่มาจากการเผาหรือเกี่ยวข้องกับการเผา และหาข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนพื้นที่ที่ได้มาตรฐาน GAP และไม่มีการเผา ไม่ได้มาตรฐาน GAP แต่มีการเผา/ไม่มีการเผา


    
ทั้งนี้ ให้ทุกหน่วยงานร่วมมือกันดำเนินการอย่างเร่งด่วน นำข้อมูลและความคืบหน้าการดำเนินการมารายงานการประชุมครั้งหน้ากำหนดวันที่ 23 พฤกษาคม 2567 เพื่อปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับบริบทในพื้นที่และสภาพแวดล้อมของประเทศไทย สามารถแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนและลดปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ได้อย่างยืนต่อไป ด้วยนโยบาย “ไม่เผา เราซื้อ”

รู้ได้อย่างไรว่า “ข้าวโพด” ไม่ผ่านการเผาแปลง

การที่เมืองใดเมืองหนึ่งของประเทศไทย ติดอันดับโลกด้านฝุ่นพิษ PM2.5 ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่เป็นเรื่องจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน จากทุกภาคส่วน จากคนทุกคนที่ร่วมหายใจบนแผ่นดินนี้ ในส่วนของภาครัฐมีความพยายามในการออกกฎหมาย การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ระดมความช่วยเหลือด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า ตลอดจนการรณรงค์กิจกรรมใดๆ ที่จะทำให้ลดปัญหาฝุ่นควัน เช่น การรณรงค์ใช้รถไฟฟ้า แทนน้ำมัน เป็นต้น 

ห่วงโซ่การผลิตอาหาร เป็นภาคส่วนหนึ่งที่ถูกพาดพิงว่ามีส่วนในการสนับสนุนให้เกิด PM2.5 และก็เป็นอีกภาคส่วนหนึ่งที่สามารถแสดงความรับผิดชอบออกมาได้อย่างชัดเจน พร้อมลงมือแก้ไขทันทีในส่วนที่ตนจะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีส่วนในการ “รับซื้อ” พืชวัตถุดิบอาหารสัตว์ ทั้งเพื่อช่วยให้โลกลดปริมาณฝุ่น และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคู่ค้าในสหภาพยุโรป ที่ต้องตรวจสอบย้อนกลับได้ว่ากระบวนการผลิตอาหารของประเทศไทยนั้นไม่ก่อมลพิษ

มาตรการนี้มี “ผู้ประกอบการรายใหญ่” ของไทย ดำเนินโครงการจัดหาข้าวโพดยั่งยืนมาหลายปีแล้ว สามารถทำระบบตรวจสอบย้อนกลับข้าวโพด (corn traceability) ได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นตัวอย่างให้อีกหลายบริษัทเดินตาม ซึ่งมีวิธีดำเนินการที่น่าสนใจ ดังนี้  

1.ในฐานะผู้รับซื้อ ภาคเอกชนดังกล่าว ทำการตั้งกติกาการรับซื้อให้ ผู้ขายเมล็ดข้าวโพด แสดงเอกสารสิทธิ์ของที่ดินที่ปลูก เพื่อยืนยันว่าเป็นข้าวโพดจากที่ดินที่ไม่รุกป่า และจูงใจด้วยราคารับซื้อที่สูงกว่าข้าวโพดทั่วไป รวมถึง ปฎิเสธ การรับซื้อข้าวโพดทุกเมล็ดที่ไม่มีเอกสารสิทธิแสดง

2.สร้างแอพพลิเคชั่น For Farm ให้เกษตรกรยืนยันตัวตนและแปลงปลูก โดยมีข้อมูลความรู้ที่จะสนับสนุนประสิทธิผลการปลูกข้าวโพดให้เกษตรกรด้วย เช่น ปริมาณน้ำฝน ราคารับซื้อ ขณะเดียวกันก็จัดทีมลงพื้นที่ให้ความรู้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง ถึงการปลูกข้าวโพดโดยไม่มีการเผาแปลงนั้น สามารถเพิ่มผลผลิตได้ขนาดไหน บนปัจจัยใดบ้าง เป็นการปลูกข้าวโพดแบบไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ที่จะสร้างรายได้มั่นคงให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน  

3.ใช้ “เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียม” โดยดึงจุด Hotspot จาก NASA-FIRMS สำหรับตรวจสอบจุดความร้อน หากพบจุดความร้อนในแปลงปลูกที่ลงทะเบียนไว้ จะมีมาตรการตักเตือน ซึ่งหากทำซ้ำจะถูกตัดออกจากรายชื่อเกษตรกรที่จะสามารถขายเมล็ดข้าวโพดให้บริษัทได้เป็นเวลา 1 ปี

4.เมื่อถึงขั้นตอนการรับซื้อ จะเชื่อมโยงทุกการซื้อขายเข้าสู่เทคโนโลยีบล็อกเชน รวบรวมข้อมูลทั้งหมด ตั้งแต่แปลงเพาะปลูก ผ่านการขนส่งจนถึงโรงงานอาหารสัตว์ เพื่อความโปร่งใส

ข้อดีอีกข้อที่จะช่วยสังคมลดมลพิษ PM2.5 ได้คือ การที่แอพพลิเคชั่น For Farm สามารถใช้เป็นแหล่งแจ้งเบาะแสการเผาแปลง โดยผู้พบการเผาสามารถถ่ายรูปเป็นหลักฐาน พร้อมแจ้งข้อมูลและระบุตำแหน่งจีพีเอสของแปลงที่เผา ผ่านทางแอพพลิเคชั่น   หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นแปลงของเกษตรกรที่ลงทะเบียนกับบริษัทไว้ก็จะดำเนินการตักเตือนตามขั้นตอน แต่หากพบว่าเป็นแปลงของผู้อื่นก็จะประสานงานไปยังหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลเรื่องนี้ นับเป็นอีกข้อดีในการช่วยสังคมสอดส่องดูแลเพื่อลดปัญหา PM2.5 ได้อีกทางหนึ่ง 

เท่านี้ก็มั่นใจได้ว่าข้าวโพดที่ผู้ประกอบการรายดังกล่าวใช้ ไม่ได้ปลูกในพื้นที่ที่รุกป่าหรือเผาแปลง นับเป็นบทพิสูจน์ความตั้งใจที่จะช่วยให้ประเทศไทยลดการเผาแปลงเกษตรในที่โล่ง มาตรการนี้ยังขยายผลไปใช้ในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อจัดหาข้าวโพดที่ตรวจสอบย้อนกลับได้เช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม การเผาแปลงในที่โล่ง ยังเกิดขึ้นอยู่ในพืชชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น นาข้าว ไร่อ้อย ซึ่งต้องรอดูผู้เกี่ยวข้อง แสดงความรับผิดชอบออกมาอย่างเป็นรูปธรรมเช่นนี้บ้าง ต้องหันมาช่วยกันคนละไม้คนละมืออย่างจริงจัง เพื่อช่วยกันลดปัญหา PM2.5 ที่น่ากลัวมากขึ้นทุกวัน

โดย : สมรรถพล ยุทธพิชัย

ธ.ก.ส.เติมทุน 2 พันล้าน รักษาเสถียรภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังตามนโยบายรัฐบาล            

ธ.ก.ส.เติมทุนกว่า 2,000 ล้านบาท รักษาเสถียรภาพผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ปีการผลิต 66/67 ผ่านสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนให้กับสถาบันเกษตรกรในการรับซื้อ รวบรวมและแปรรูปผลผลิตจากเกษตรกรรายย่อย วงเงินรวม 1,500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 1 ต่อปี และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลัง วงเงินรวม 690 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MRR-3 ต่อปี แจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

นายสุนัน พงศ์ประยูร ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้ ธ.ก.ส. ดำเนินมาตรการรักษาเสถียรภาพผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ปีการผลิต 66/67 วงเงินรวม 2,190 ล้านบาท เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันเกษตรกรในการรับซื้อ รวบรวมและแปรรูปผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิตเกษตรกร เพื่อสร้างเสถียรภาพด้านราคาและเพิ่มคุณภาพผลผลิตในการจำหน่ายในตลาดทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ 1.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2565/66 วงเงิน 1,000 ล้านบาท เพื่อให้สถาบันเกษตรกรมีเงินทุนหมุนเวียนในการรับซื้อ รวบรวมหรือแปรรูปข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2566/67 กับกรมส่งเสริมการเกษตร คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทั้งการรับซื้อ รวบรวม แปรรูป หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ วงเงินแบ่งตามประเภทลูกค้า ได้แก่ 1) สหกรณ์การเกษตร วงเงินไม่เกิน 300 ล้านบาท 2) กลุ่มเกษตรกร วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาท และ 3) วิสาหกิจชุมชน วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.50 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรจ่ายดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี และส่วนที่เหลือรัฐบาลรับหน้าที่ชดเชยให้ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน แจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 พฤษภาคม 2567

2.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมมันสำปะหลังและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปี 2566/67 วงเงินรวม 500 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้กับสถาบันเกษตรกรในการรับซื้อหรือรวบรวมผลผลิตมันสำปะหลัง จากเกษตรกรผู้ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง ปีการผลิต 2566/67 กับกรมส่งเสริมการเกษตร คุณสมบัติผู้เข้าร่วมโครงการ ต้องเป็นชุมนุมสหกรณ์การเกษตร สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับมันสำปะหลัง ทั้งการรับซื้อ รวบรวม แปรรูป หรือใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในการสร้างผลิตภัณฑ์ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.50 ต่อปี โดยสถาบันเกษตรกรจ่ายดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 1 ต่อปี และส่วนที่เหลือรัฐบาลรับหน้าที่ชดเชยให้ระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือน แจ้งความประสงค์ขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิถุนายน 2567

3.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการเพาะปลูกมันสำปะหลังปี 2566/67 วงเงินรวม 690 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้กับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง วงเงินรายละไม่เกิน 230,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR-3 ต่อปี (ปัจจุบัน MRR เท่ากับร้อยละ 6.975) โดยรัฐบาลรับหน้าที่ชดเชยดอกเบี้ยให้ร้อยละ 3 ต่อปี ระยะเวลา 24 เดือน โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมมาตรการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยมีสิทธิ์ในการยื่นขอสินเชื่อได้ แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 กันยายน 2567

ทั้งนี้คาดว่า 3 โครงการดังกล่าว จะช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตในช่วงที่ผลผลิตออกมาจำนวนมากและราคาตกต่ำ อันเป็นการสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรได้ทำหน้าที่เป็นกลไกในการสร้างเสถียรภาพด้านราคา และเพิ่มอำนาจต่อรองทางการตลาด รวมถึงเพิ่มทางเลือกในการจำหน่ายผลผลิตและช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรรายย่อยอีกด้วย สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02-555-0555

 

#ธกส #ข้าวโพด #เกษตรกร