บี.กริม เพาเวอร์ แต่งตั้งประธานกรรมการ - ผู้บริหารระดับสูง มีผล 17 ก.ย.68 ขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน 

บี.กริม เพาเวอร์ แต่งตั้ง “ดร. ฮาราลด์ ลิงค์” เป็นประธานกรรมการ พร้อมแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 3 ท่านเป็นผู้บริหารสูงสุดแทน ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ มีผลตั้งแต่ 17 กันยายน 2568 พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจ เติบโตอย่างยั่งยืน ก้าวสู่องค์กรชั้นนำระดับโลก

ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 13/2568 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568 ได้มีมติสำคัญ โดยรับทราบการลาออกของนายปกรณ์ ทวีสิน กรรมการซึ่งดำรงตำแหน่ง ประธานกรรมการ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เนื่องจากเกษียณอายุ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้คณะกรรมการจะสรรหาผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพื่อแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทแทนกรรมการที่ลาออก โดยจะแจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทราบในลำดับถัดไป

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติแต่งตั้ง ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ให้ดำรงตำแหน่ง “ประธานกรรมการ”  โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2568 เป็นต้นไป เพื่อนำทัพธุรกิจในภาพรวมองค์กร ซึ่งมีการเติบโตและขยายตัวต่อเนื่องในหลากหลายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่พันธมิตรและนักลงทุน พร้อมกันนี้ยังได้แต่งตั้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร 3 ท่าน เป็นผู้บริหารสูงสุดแทน ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ได้แก่ นายพีรเดช พัฒนจันทร์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ธุรกิจพัฒนาพลังงานหมุนเวียน, นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ธุรกิจในประเทศไทย มาเลเซีย และโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม และนางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  งานการเงินและบัญชี ซึ่งปัจจุบันยังคงดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน  โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทั้ง 3 ท่าน ถือเป็นกำลังทัพสำคัญของ บี.กริม เพาเวอร์ ในการขับเคลื่อนแต่ละกลุ่มธุรกิจ ตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยรางวัลและเกียรติประวัติมากมาย ดังนี้

นายพีรเดช พัฒนจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจพัฒนาพลังงานหมุนเวียน
การศึกษา: ปริญญาโทนิติศาสตร์มหาบัณฑิตจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เข้าร่วมอบรมหลักสูตรผู้บริหารและวิชาชีพระดับนานาชาติจากสถาบันชั้นนำในเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา
ประสบการณ์: เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียน โดยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจพลังงานทดแทนของบี.กริม เพาเวอร์ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะการบุกเบิกโครงการพลังงานหมุนเวียนโดยภาคเอกชนของไทยในสาธารณรัฐเกาหลีที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับศักยภาพขององค์กรสู่เวทีโลก และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุนและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์   โดยที่ผ่านมา ได้ริเริ่มและนำทีมพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนที่สำคัญ ได้แก่ (1) Phu Yen TTP Joint Stock Company – 257 MWp Solar PV project ที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ Best Power Plant Project Developer – Solar ประจำปี 2019 (2562) จาก International Finance ในสาขา Utility / Energy และ (2) Ray Power Supply Co., Ltd. - 39 MWp Solar PV project ที่ได้รับรางวัลระดับนานาชาติ Best New Solar PV Project, Cambodia ประจำปี 2021 (2564) ในสาขา Utility / Energy โดยนิตยสาร International Finance เพื่อให้รางวัลแก่บริษัทที่ริเริ่มดำเนินงานด้วยความเชี่ยวชาญและล้ำสมัย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทย มาเลเซีย และโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม 
การศึกษา : ปริญญาตรีและปริญญาโทด้านเศรษฐศาสตร์จาก University of Maryland และ University of Texas, สหรัฐอเมริกา 
ประสบการณ์ : มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารธุรกิจพลังงานและการเงินในองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีประสบการณ์กว่า 25 ปีในธุรกิจพลังงาน การเงิน และอุตสาหกรรม เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในสถาบันการเงินและองค์กรพลังงานชั้นนำ มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสี่ยง การวางกลยุทธ์ทางการเงิน และการพัฒนาโซลูชันธุรกิจอุตสาหกรรม เพื่อเสริมศักยภาพและการเติบโตอย่างยั่งยืนขององค์กร โดยได้รับรางวัลต่างๆ อาทิ เช่น Best CFO จาก International Finance, Finance Asia Magazine, Asian Excellence Awards และ Best COO จาก Finance Asia Asia’s Best Companies 2025

นางสาวศิริวงศ์ บวรบุญฤทัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร งานการเงินและบัญชี และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน (Chief Financial Officer)
การศึกษา : สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการเงินและการบัญชีจาก University of Illinois at Urbana-Champaign สหรัฐอเมริกา 
ประสบการณ์ : มีบทบาทสำคัญในการบริหารการเงินและบัญชีขององค์กร ผลักดันการระดมทุนและโครงการด้านการเงินที่สำคัญ จนได้รับการยอมรับด้วยรางวัลผู้บริหารการเงินยอดเยี่ยมทั้งในประเทศไทยและระดับเอเชีย โดยได้รับรางวัลต่างๆ อาทิ เช่น Best CFO จาก Finance Asia Asia’s Best Companies 2025 และ Asia’s Best CFO จาก Asian Excellence Award 2025 โดย Corporate Governance Asia 

ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า การแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารดังกล่าว เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเป้าหมายในอนาคต บริษัทตั้งเป้าขยายการลงทุนสู่กำลังการผลิต 10,000 เมกะวัตต์จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว และอยู่ระหว่างการพัฒนาภายในปี 2573 โดยมากกว่า 50% เป็นสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีเป้าหมายก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ หรือ Net Zero Carbon Emissions ภายในปี 2593 หรือ คศ. 2050 ด้วยแนวทางในการดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี พร้อมเดินหน้าเติบโตสู่องค์กรชั้นนำระดับโลก 

“เบทาโกร” โชว์ผลงานปี 67 แข็งแกร่ง-เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจปี 68 ทุ่มงบลงทุน 4,800 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้เติบโต 3-7%   

BTG บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทย ประกาศผลการดำเนินงานปี 67 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 114,942.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากปีก่อน และสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ 2,466.2 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าสู่ปี 68 วางงบลงทุน 4,800 บาท ขับเคลื่อนธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 3-7%  

เมื่อวันที่ 26 ก.พ.68 นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ “BTG” เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจเบทาโกรในปี 2567 เป็นปีที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวรับมือความท้าทายทางเศรษฐกิจและสภาวะตลาดที่ผันผวน ผ่านการดำเนินกลยุทธ์ที่รอบคอบและการบริหารจัดการองค์กรที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทในปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค.) อยู่ที่ 114,942.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจอาหารและโปรตีน  ที่สามารถขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และการบริหารพอร์ตการขายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งราคาไก่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามการส่งออกที่ยังเติบโตดีต่อเนื่อง และราคาสุกรฟื้นตัวขึ้นจากสถานการณ์การลักลอบนำเข้าชิ้นส่วนและเนื้อสุกรที่คลี่คลายลง ส่งผลให้รายได้และปริมาณจากการขายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ รายได้จากกลุ่มธุรกิจเกษตรยังเติบโตจากการขยายกำลังการผลิตของบริษัทฯ ที่โรงงานผลิตอาหารสัตว์แห่งใหม่ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งแล้วเสร็จและเริ่มเดินหน้าการผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 โดยโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตกว่า 400,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้น 10% ส่งผลให้สามารถรองรับความต้องการของตลาดได้ดียิ่งขึ้น

ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2567 อยู่ที่ระดับ 2,466.2 ล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิที่ระดับ 1,398.2 ล้านบาท ในปี 2566 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของกำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ในปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 15,401.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น42.1% จาก 10,837.6 ล้านบาทในปี 2566 และอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2567 อยู่ที่ 13.5% เพิ่มขึ้นจาก 10.0% ในปี 2566 โดยหลักเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงตามราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ อีกทั้งบริษัทฯ ยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายและบริหารต่อรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการลดลงจาก 10.7%  ในปี 2566 เหลือ 10.5% ในปี 2567 นอกจากนี้ TRIS Rating ยังคงอันดับเครดิตของเบทาโกรที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ศักยภาพการดำเนินธุรกิจ และโอกาสเติบโตของบริษัทฯ รวมทั้งโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง

สำหรับปี 2568  เบทาโกรมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่ “บริษัทอาหารครบวงจรชั้นนำของไทยที่มุ่งมั่นเพิ่มคุณค่าชีวิตทุกคน ด้วยอาหารที่ดีกว่า” วางแผนงบลงทุนประมาณ 4,800 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยดำเนินงานผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่

1) การขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ (International expansion) มุ่งขยายธุรกิจไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูง ผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) และการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเร่งการขยายตลาด 

2) การปรับพอร์ตสินค้าเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร (Product and Channel Mix Optimization) มุ่งเน้นบริหารจัดการผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่าย ไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้และส่วนแบ่งการตลาด

3) การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุนตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Cost Transformation) มุ่งปรับปรุงกระบวนการผลิตและลดต้นทุนผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการออกแบบกระบวนการใหม่ เพื่อเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพและผลิตภาพ รวมถึงเพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าราคาหมูและไก่จะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2567 ขณะที่ต้นทุนอาหารสัตว์ยังมีแนวโน้มลดลง อีกทั้งภาคการส่งออกคาดว่าจะเติบโตได้ดีจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในตลาดยุโรป โดยเชื่อมั่นว่ารายได้ของเบทาโกรจะสามารถเติบโตได้ 3-7% ตามเป้าหมาย

ขณะเดียวกัน เบทาโกรยังให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 บริษัทฯ มุ่งยกระดับมาตรฐาน ESG (Environmental, Social, and Governance) ให้สอดคล้องกับ FTSE Russell ESG Scores ซึ่งสืบเนื่องจากความสำเร็จในปี 2567 ที่ได้รับการประเมิน SET ESG Ratings จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในระดับสูงสุด “AAA” เป็นปีแรก และเป็น 1 ใน 56 บริษัทที่ได้รับการจัดเรตติ้งระดับสูงสุด สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเบทาโกรในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

“ด้วยศักยภาพทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์การดำเนินงานที่ชัดเจน และความมุ่งมั่นสู่ความยั่งยืน เบทาโกรพร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน และขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตอย่างยั่งยืน” นายวสิษฐ กล่าว