“SNPS” โชว์ธุรกิจครึ่งปี 68 กำไรพุ่ง 60.72 % เดินหน้าเติบโตอย่างยั่งยืน

ดร.ธีรญา กฤษฎาพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นายอชิตเดช อาชาไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SNPS ร่วมให้ข้อมูลผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ประจำปี 2568 ในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

โดยผลการดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิ 47.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้รวม 265.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.65% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2025 ไว้ที่ 15–30%

นอกจากผลประกอบการที่โดดเด่นแล้ว SNPS ยังเดินหน้าขับเคลื่อนด้วยงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนวิจัยและพันธมิตรเพื่อสร้างนวัตกรรมที่มีความคุ้มค่าและยั่งยืน ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สีธรรมชาติภายใต้แบรนด์ “Naturebrill” พร้อมขยายเวทีสู่ระดับโลกด้วยการนำนวัตกรรมไปจัดแสดงในงานนิทรรศการสำคัญในต่างประเทศร่วมกับคู่ค้า อาทิ ฝรั่งเศส, สเปน, จีน, อินโดนีเซีย และอินเดีย

อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจบนหลัก ESG ด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและการดำเนินงานที่โปร่งใส SNPS ยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ควบคู่กับความยั่งยืน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมธรรมชาติระดับสากล

“แม็คกรุ๊ป” ปีบัญชี 68 โชว์กำไร 760 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นรับปันผลฉ่ำ 100%

“แม็คกรุ๊ป” แบรนด์ยีนส์ ที่หนึ่งในใจคนไทย !! ปีบัญชี 2568 อวดกำไร 760 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 6.6% ช้อปออนไลน์ โตสนั่น !! ดันทั้งปีกวาดรายได้รวมกว่า 4,152 ล้านบาท สวนกำลังซื้อหด-เศรษฐกิจฟื้นช้า ผู้ถือหุ้นรับปันผลฉ่ำ100%ของกำไรสุทธิ บอร์ดอนุมัติปันผลงวดครึ่งปีหลังอีกหุ้นละ 0.41 บาท หนุนทั้งปีปันผล หุ้นละ 0.96 บาท

วันที่ 29 สิงหาคม 2568 นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ  MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยว่า ผลการดําเนินงานของบริษัท สำหรับปี 2568 (1 กรกฎาคม 2567 - 30 มิถุนายน 2568) บริษัทมีกำไรสุทธิ 760 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6 % เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ  713 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิที่ 18% เพิ่มจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 17.3% รวมทั้งยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับสูงที่ระดับ 63.9% 

ทั้งนี้ในงวดปีบัญชี 2568 บริษัทมีรายได้จากการขายสินค้ารวม 4,152 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98 ล้านบาท หรือ 2.4 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 4,054 ล้านบาท และยังเป็นปีที่รายได้ของบริษัทเติบโตได้ทะลุระดับ 4 พันล้านบาท ต่อเนื่อง ท่ามกลางความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2568 ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงจากความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาล นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศต่างๆ ที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ รวมถึงการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศ

นายแมทธิว กล่าวว่า สิ้นปีบัญชี 2568 แม็คกรุ๊ปมีรายได้จากการขายรวมกว่า 4,152 ล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้จากช่องทางออนไลน์ ทำให้สัดส่วนรายได้จากช่องทางออนไลน์ขยับขึ้นมามีสัดส่วน 17 % ของโครงสร้างยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท ส่วนช่องทางออฟไลน์ มีรายได้ลดลงจากสภาวะเศรษฐกิจทำให้ประชาชนใช้สอยนอกบ้านน้อยลง

“ช่องทางการขายผ่านออนไลน์ถือว่าเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างมาก โดยในปีบัญชี 68 บริษัทมีรายได้จากออนไลน์ทั้งสิ้น 712 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 290 ล้านบาทหรือ 68.9% เมื่อเปรียบเทียมกับงวดปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นผลจากการที่บริษัทได้ร่วมมือกับ TikTok ด้วยการสร้างพื้นที่สำหรับให้ KOLs ทำ TikTok Live ขายสินค้า ที่บริษัทด้วย”  นายแมทธิว กล่าว

ขณะที่รายได้ร้านค้าปลีกของตนเอง (Free-standing Shop) มีรายได้ 2,666 ล้านบาท  คิดเป็นสัดส่วน 64 % ลดลงจากปีก่อนที่มีรายได้ 2,772 ล้านบาท มีสัดส่วน 68%, รายได้จากห้างสรรพสินค้า (Department Store) คิดเป็นสัดส่วน 17%  มีรายได้ 705 ล้านบาท ลดลงจาก 758 ล้านบาท 

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีจุดจำหน่ายรวม 570 จุด ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 582 จุด แบ่งเป็นร้านค้าปลีกของตนเอง จำนวน 426 สาขา ลดลงจากปีก่อน ที่มี 434 สาขา, ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) จำนวน 129 สาขา ลดลงจากปีก่อนอยู่ที่ 133 สาขา รถ Mobile Unit จำนวน 6 คัน และร้านค้าต่างประเทศ  9 สาขา

นายแมทธิว กล่าวว่า ผลดำเนินงานของบริษัทที่เติบโตมีกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คณะกรรมการ (บอร์ด) มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานงวดครึ่งหลังอีกหุ้นละ 0.41 บาท ทำให้ทั้งปีบัญชี 2568 บริษัทจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 0.96 บาท โดยได้จ่ายในงวดครึ่งแรกของปี ไปแล้วหุ้นละ 0.55 บาท หรือจ่ายปันผลในอัตรา 100% ของกำไรสุทธิมากกว่านโยบายที่จะจ่ายไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 ในวันที่  28 ตุลาคม 2568 นี้ จะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่  4 พฤศจิกายน 2568  

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดและเงินลงทุนชั่วคราวรวม 1,984 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท จากวันที่ 30 มิถุนายน 2567 จากผลดำเนินงานที่ดีขึ้น 

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “แม็คกรุ๊ป” กล่าวถึงแนวโน้มผลดำเนินงานปีบัญชี 2569 ว่า จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ เพื่อให้ MC เป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตในเลขสองหลักจะใช้จุดแกร่งจากบริษัทไม่มีหนี้สินกับสถาบันการเงิน และเป็นบริษัทที่มีเงินสดในมือ สร้างการเติบโตและหาโอกาสใหม่ๆ ในธุรกิจต่อไป

 

KJL ฟอร์มแรง Q2/68 กำไรสุทธิพุ่ง ปันผลต่อเนื่อง เสริมแกร่งอุตสาหกรรมไฟฟ้า

วันที่ 28 สิงหาคม 2568 นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายพงศกร ประเวศวัฒนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ร่วมนำเสนอผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 ในงาน Opportunity Day ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยบริษัทมีรายได้รวม 308.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 48.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.29% QoQ จากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปรับเพิ่มเป็น 15.76%

 ทั้งนี้บริษัทจะจ่ายปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสดให้ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.19 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล หรือ XD ในวันที่ 26 ส.ค. 2568 และจ่ายปันผลในวันที่ 8 ก.ย.2568 ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้ารายได้ทั้งปีเติบโต 10–15% โดยยังคงเน้นสินค้ามาตรฐาน เช่น ตู้สวิตช์บอร์ด รางเดินสายไฟ สินค้าพลาสติก และรุ่น 5K ซึ่งคิดเป็น 73.53% ของยอดขายในไตรมาสนี้

KJL ยังเดินหน้ายกระดับกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยี Industry 4.0 และเครื่องจักรอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและควบคุมต้นทุน พร้อมจัดกิจกรรมสัมมนา “รวมพลคนไฟฟ้า” ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านระบบไฟฟ้าที่ถูกต้องและปลอดภัย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างเครือข่ายและเสริมความแข็งแกร่งสู่อุตสาหกรรมไฟฟ้าที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

LTS มั่นใจปีนี้วิ่งสู่เป้าหมายรายได้แตะ 1 พันล้าน งบ Q2/68 รายได้ 133.8 ลบ. ทะยาน 66% จากปีก่อน กำไรสวย 20.4 ลบ.

บมจ. ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น หรือ LTS รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ได้ไปต่อกวาดรายได้จากการขายและการให้บริการ 133.8 ล้านบาท พุ่งขึ้น 66.8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 20.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ครึ่งปีแรกตุนรายได้ 261.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 38.8 ล้านบาท อานิสงค์หลักจากธุรกิจ IT Solution สำหรับ Data Center ขณะที่ธุรกิจอุปกรณ์ไฟฟ้าแสงสว่างมีการส่งมอบงานโครงการขนาดใหญ่ พร้อมจัดตั้งบริษัทย่อยรองรับงาน ผลิต ส่งออกสินค้าประเภทโคมไฟส่องสว่าง รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องทุกชนิด ในต่างประเทศ มั่นใจปี 2568 พร้อมก้าวสู่เป้าหมายรายได้แตะ 1,000 ล้านบาท

วันที่ 19 สิงหาคม 2568 นายภัฏ ตรัสโฆษิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์อัพ โทเทิล โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ LTS เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ สามารถผลักดันผลประกอบการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการขายและบริการ 133.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.8 ล้านบาท คิดเป็น 66.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการที่ 80.2 ล้านบาท  ซึ่งปัจจัยความสำเร็จของการเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจ IT Solution จากงาน Commissioning Data Center จำวน 76.4 ล้านบาท และส่งมอบสินค้าสำหรับงานโครงการขนาดใหญ่ของธุรกิจด้านอุปกรณ์ไฟส่องสว่างเพิ่มเติม จำนวน 24.2 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการงวด  6 เดือนแรก รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 261.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 90.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 52.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการ 171.4 ล้านบาท ในส่วนของกำไนสุทธิอยู่ที่ 38.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจัดตั้งบริษัทย่อย 2 บริษัท ประกอบด้วย บริษัทไลท์อัพ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดำเนินธุรกิจ ผลิต ส่งออกสินค้าประเภทโคมไฟส่องสว่าง รวมทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องทุกชนิด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขยายตลาดส่งออกเพื่อสร้างรายได้ โดยถือหุ้นในสัดส่วน 51%  และจัดตั้งบริษัท ไลท์อัพ เทคโนโลยี จำกัด โดยถือหุ้นในสัดส่วน 49% ดำเนินธุรกิจด้านโคมไฟส่องสว่างและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปยังต่างประเทศ เช่นเดียวกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระดับสากล ทั้งในด้านคุณภาพ ราคา การบริการ รวมทั้งจัดตั้งเพื่อพัฒนาเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย คู่ค้าธุรกิจในต่างประเทศ

สำหรับเป้าหมายปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าจะทำรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท จากกลุ่มธุรกิจหลักอย่างไฟฟ้าส่องสว่างที่คาดที่เริ่มทยอยส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ตามแผนซึ่งเริ่มเห็นตั้งแต่ไตรมาส 2/2568 รวมถึงกลุ่มธุรกิจ IT ที่เกี่ยวข้องกับ Data Center และ AI ที่จะเห็นสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจดังกล่าวเข้ามาบันทึกเป็นรายได้เพิ่มขึ้นจากการส่งมอบงานให้แก่ลูกค้าอย่าง

ต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ทั้งนี้ในส่วนงานของ IT Solution Data Center มีแผนการดำเนินงานที่เติบโตในกลุ่มธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในครึ่งปีหลัง 2568 ทยอยรับรู้รายได้ จากมูลค่างานคงค้างในมือประมาณ 300 ล้านบาท  พร้อมทั้งรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังเข้าซื้อกิจการบริษัท อี.เอ็น.ซ็อฟ จำกัด ที่ประกอบกิจการด้านวิศวกรรมบริหารติดตั้งคอมพิวเตอร์พร้อมระบบซอฟท์แวร์

พร้อมกันนี้ยังประเมินสถานการณ์เชิงบวกจากปัจจัยเรื่องการสนับสนุนจากภาครัฐบาลของอุตสาหกรรม Data Center และ AI รวมถึงความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ของทำเลที่ตั้งส่งผลให้มีเม็ดเงินลงทุนด้าน Data Center และ AI เข้ามาจำนวนมาก โดยประเมินว่าขนาดตลาด Generative AI ในระหว่างปี 2568-2573 จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 41.52% หรือเพิ่มเป็น 1,773 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 จากปีนี้ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 312.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปณท เปิดกำไรครึ่งปีแรกกว่า 631 ล้าน ดันหลากโซลูชันสร้างโอกาสอีคอมเมิร์ซ-ศก.ดิจิทัล

ปณท ประกาศผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2568 มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 362.34% รายได้รวม 11,544 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา 8.88% โดยในวาระครบรอบ 142 ปี ไปรษณีย์ไทยมุ่งดำเนินงานผ่านกลยุทธ์ “1-4-2” เป็นขนส่งอันดับ 1 ที่โดดเด่นทั้งคุณภาพและเครือข่าย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมด้วย 4 พลังสำคัญ ได้แก่ พลังความเร็ว พลังเพื่อธุรกิจ พลังเชื่อมโลก พลังความล้ำ พร้อมทั้งเป็น 2 แกนหลักการเป็นผู้เชื่อมความสัมพันธ์และความสำเร็จให้คนไทย โดยจะสร้างประสบการณ์ใหม่ภายใต้แนวคิด “POSTsible Together เป็นไปรฯ ได้ไปรฯ ด้วยกัน” อาทิ การเปิดตัว Super App การเปิดตัว D/ID ระบบจ่าหน้าแบบดิจิทัล การต่อยอดคุณภาพบริการขนส่งแบบ Specialized Logistics ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคน

วันที่ 18 สิงหาคม 2568 นายรัฐพล ภักดีภูมิ ประธานกรรมการ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่า เพื่อสอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การดำเนินงานของไปรษณีย์ไทยในยุคดิจิทัลจึงได้ขับเคลื่อนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่กับการยกระดับคุณภาพบริการให้ได้มาตรฐานสากล รวมถึงการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของประชาชน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ของไทย พร้อมกันนี้ ยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ โดยมุ่งให้ไปรษณีย์ไทยไม่เพียงเป็นผู้ให้บริการขนส่ง แต่เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล และสร้างคุณค่าทางสังคมในระยะยาว นอกจากนี้ ได้วางแผนขยายความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชนท้องถิ่น เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าและการเข้าถึงบริการดิจิทัลอย่างทั่วถึงพร้อมทั้งผลักดันโครงการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนให้สามารถใช้แพลตฟอร์มไปรษณีย์ไทยเป็นช่องทางสร้างรายได้ และเข้าถึงตลาดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ดร.ดนันท์ สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ไปรษณีย์ไทย กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 ไปรษณีย์ไทยยังคงมีการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง สะท้อนจากรายได้รวม 11,544 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 631.56 ล้านบาท โดยรายได้รวมเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ถึง 8.88% กำไรสุทธิเติบโตขึ้น 362.34% กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้สูงสุด คือ กลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ คิดเป็น 46.83% ของรายได้ทั้งหมดโดยมีรายได้รวม 5,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.56% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ปริมาณชิ้นงานเพิ่มขึ้น 6%

ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำศักยภาพสื่อสารและขนส่งของชาติ ในวาระ 142 ปี ไปรษณีย์ไทยได้มุ่งการเสริมสร้างทุกความสัมพันธ์ ส่งเสริมทุกการเติบโต พร้อมวางกลยุทธ์ “1-4-2” ให้เป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนองค์กรโดย “1” คือการเป็นขนส่งอันดับ 1 ของคนไทย ที่โดดเด่นทั้งคุณภาพบริการตั้งแต่ระบบรับฝาก ส่งต่อ และนำจ่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีเครือข่ายครอบคลุมเข้าถึงทุกพื้นที่ทั่วประเทศรวมกว่า 50,000 แห่ง ทำให้สามารถให้บริการแบบมืออาชีพ และเหนือความคาดหวังของลูกค้าในทุก Touch point อีกทั้งยังยกระดับองค์กรสู่การเป็น Tech Post อย่างเต็มรูปแบบด้วยการนำเทคโนโลยี AI มาขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ ซึ่งในปีที่ผ่านมาไปรษณีย์ไทย มีคะแนน Top of Mind ของแบรนด์ 99.54% และมีคะแนนความไว้วางใจในแบรนด์ 96.11% สะท้อนถึงการเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อมั่นและไว้ใจจากคนไทย

 “4 พลัง” ขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ พลังความเร็ว ที่มุ่งส่งมอบการให้บริการที่รวดเร็ว แม่นยำ โดยบริการที่มีความโดดเด่น และได้รับความนิยมสูงที่สุดยังคงเป็นบริการส่งด่วน EMS ที่ทำรายได้คิดเป็น 43.31% ของรายได้รวมของไปรษณีย์ไทย พลังเพื่อธุรกิจ ที่ออกแบบโซลูชันรองรับตั้งแต่ผู้ประกอบการรายเล็กถึงรายใหญ่ เช่น การให้บริการคลังสินค้าครบวงจร หรือ THP Fulfillment ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่มีภาคธุรกิจขนาดใหญ่ลงทุนมีการเติบโตและขยายตัวของธุรกิจขนาดเล็ก – กลาง ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานที่จะเอื้อต่อการขยายฐานลูกค้าเป้าหมายของผู้ใช้บริการ พลังเชื่อมโลก ที่พร้อมพาธุรกิจไทยเติบโตได้ครอบคลุม 205 ปลายทาง 193 ประเทศ และพลังความล้ำ ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมใหม่มาปรับใช้ในการพัฒนาบริการเพื่อตอบโจทย์โครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น Digital Postbox บริการตู้ไปรษณีย์ดิจิทัลจาก Prompt Post ที่ต่อยอดการส่งจดหมายแบบ Physical สู่ Digital สามารถรับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ รวดเร็ว ใช้งานง่าย ปลอดภัย ติดตามสถานะได้ บริการ D/ID ระบบการจ่าหน้าแบบดิจิทัล ที่สามารถแปลงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ส่งและผู้รับเป็นรหัส 6 หลัก ซึ่ง 2 บริการนี้พร้อมจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ 

ขณะที่ “2” คือ 2 แกนหลักที่เป็นผู้เชื่อมทั้งความสัมพันธ์และความสำเร็จ นอกจากนี้ยังมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจพร้อมกับดูแลสังคมอย่างยั่งยืน ภายใต้ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยได้นำยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในระบบงาน มุ่งดำเนินงานด้าน Circular Economy ผลักดันโครงการ Green Hub ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร อาทิ โครงการ reBOX โครงการ reBAG โครงการ e-Waste ฯลฯ ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 4,670 ตันคาร์บอนเทียบเท่าในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังได้ปรับเปลี่ยนเสื้อเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ไทยโดยเครื่องแบบแต่ละชุดใช้ผ้าที่ใช้กรรมวิธีช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.77 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการลดระยะทางขับรถยนต์ได้ประมาณ 3.08 กิโลเมตร ซึ่งจากปริมาณการผลิตทั้งหมดสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 53,360 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หรือเท่ากับการลดระยะทางขับรถยนต์ได้ประมาณ 213,440 กิโลเมตร เท่ากับการเดินทางรอบโลก 5 รอบ

ด้านสังคม มุ่งเน้นการสร้างชุมชนที่ยั่งยืน ด้วยการสร้างงาน สร้างอาชีพ ซึ่งไปรษณีย์ไทยมุ่งสนับสนุนเกษตรกรไทยกระจายสินค้า และผลผลิตผ่านเครือข่ายไปรษณีย์กว่า 1,200 แห่ง และแพลตฟอร์ม ThailandPostMart โดยครึ่งปีแรกของปี 2568 สร้างรายได้แล้วกว่า 360 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 10% และคาดว่าในปี 2568จะสามารถสร้างรายได้รวมที่ 760 ล้านบาท นอกจากนี้ ไปรษณีย์ไทยยังสนับสนุนบริการเชิงสังคม (PSO) ตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปัจจุบัน รวมกว่า 28,000 ล้านบาท และในช่วงที่เกิดการปะทะในพื้นที่ชายแดนไปรษณีย์ไทยได้เปิดแคมเปญเชิญชวนคนไทยร่วมส่งสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัยชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีน้ำใจจากคนไทยส่งผ่านไปรษณีย์ไทยแล้วกว่า 34,302 กล่อง รวมน้ำหนักมากกว่า 104,365 กิโลกรัม

ด้านธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล ที่มุ่งเน้นการให้ความสำคัญในเรื่องของการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาผลการประเมินคะแนนคุณธรรมและความโปร่งใส (ITA) อยู่ที่ 91.70 คะแนน และยังได้รับรางวัลระบบบริหารจัดการความเสี่ยงการทุจริตระดับ “ดีเยี่ยม” จากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) อีกด้วย

“นอกจากกลยุทธ์ “1-4-2” แล้ว ไปรษณีย์ไทยยังมุ่งสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะมีการสร้างการจดจำ และสร้างประสบการณ์ใหม่ทั้งในด้านสินค้า บริการ และไลฟ์สไตล์ ภายใต้แนวคิด “POSTsible Together เป็นไปรฯ ได้ ไปรฯ ด้วยกัน” อาทิ การเปิดตัว Super App แอปพลิเคชัน ที่รวบรวมบริการหลากหลายของไปรษณีย์ไทยไว้ในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดตามพัสดุ สร้างใบจ่าหน้า เรียกรับพัสดุ ชำระค่าบริการ และเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างครบวงจร พร้อมรองรับการเชื่อมต่อกับบริการภาครัฐและพันธมิตรภาคเอกชน มุ่งเสริมศักยภาพ SME ไทย ให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมา ไปรษณีย์ไทยได้ร่วมกับแพลตฟอร์ม Amazon ในการส่งสินค้าจากผู้ประกอบไทยเข้าคลัง Amazon FBA (Fulfillment by Amazon) ซึ่งออกแบบมาสำหรับผู้ขายบน Amazon.com ที่ต้องการส่งสินค้าเข้าคลังในสหรัฐอเมริกา โดยไปรษณีย์ไทย เป็นผู้รวบรวมสินค้าในประเทศไทย ดำเนินพิธีการศุลกากร และส่งสินค้าสู่คลัง FBA เพื่อสนับสนุนผู้ค้ารายย่อยและ SME ไทยกระจายสินค้าสู่ตลาดอเมริกา นอกจากนี้ ยังมีการต่อยอดแนวคิดการขนส่ง Parcel Defined Logistics ให้มีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นในรูปแบบ Specialized Logistics เช่น Healthcare Logistics for Pet หรือการขนส่งสินค้าเพื่อกลุ่มสัตว์เลี้ยงการขนส่งสินค้ามูลค่าสูง และการขนส่งนมแม่ เป็นต้น ขณะที่ในด้านบริการทางการเงิน ไปรษณีย์ไทยพัฒนา e-Payment ให้รองรับการชำระ COD และเชื่อมต่อกับพันธมิตรหลากหลาย ทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น กรมการขนส่งทางบก ทิพยประกันภัย WeChat Pay และ Alipay เพื่อขยายช่องทางชำระเงินอย่างครอบคลุมทุกความต้องการ อีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญคือการต่อยอดข้อมูลขนาดใหญ่สู่ “Data as a Service” ที่จะสร้างรายได้เชิงพาณิชย์อย่างจริงจังในปี 2569 โดยใช้การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อพัฒนาบริการที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะบุคคลและภาคธุรกิจได้อย่างแม่นยำ” ดร.ดนันท์ กล่าว

ธ.ทิสโก้ชี้ ! จังหวะนี้ต้องขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ โยกเงินซื้อตราสารหนี้โลก - หุ้นปันผล”

ธ.ทิสโก้ ชี้หุ้นสหรัฐฯ จ่อปรับฐาน หลังราคาขึ้นแรงสวนทางภาวะเศรษฐกิจที่ส่งสัญญาณอ่อนตัวจากอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น ฉุดกำไรจดทะเบียนลดลงตาม แนะใช้จังหวะนี้ขายทำกำไรหุ้นสหรัฐฯ โยกเงินเข้าซื้อตราสารหนี้โลก รับอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา พร้อมเชียร์ซื้อหุ้นปันผลทั่วโลก รวมถึงหุ้นปันผลไทยที่ปัจจุบันระดับเงินปันผลอยู่ในระดับเกือบ 7%

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องรับข่าวสงครามการค้าที่มีความชัดเจนมากขึ้น แต่การปรับขึ้นในครั้งนี้กลับสวนทางกับแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนที่อาจปรับลดลงจากต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นตามอัตราภาษีนำเข้า นอกจากนี้ตัวเลขชี้วัดเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอ โดยเฉพาะดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตเดือนกรกฎาคมที่หดตัวเป็นเดือนที่ห้า และการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ได้ชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด จนเพิ่มความเสี่ยงที่หุ้นสหรัฐฯ จะเจอแรงขายและปรับฐานลง ดังนั้น ธนาคารทิสโก้จึงแนะนำให้ผู้ลงทุนที่มีหุ้นสหรัฐฯ ใช้จังหวะนี้ “ขายทำกำไร” หุ้นสหรัฐฯ และโยกเงินเข้าซื้อตราสารหนี้โลก รวมถึงหุ้นปันผลทั่วโลกและหุ้นปันผลของไทย ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่า

“ราคาหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นแรงจนทำให้ค่า P/E พุ่งแตะระดับกว่า 22.4 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่อยู่ที่ 18.6 เท่า และหากเทียบกับผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปีที่อยู่ที่ 4.5% หมายความว่า ค่าเชิดชูความเสี่ยง (Equity Risk Premium) ของหุ้นอยู่เพียง 2.5% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 4.5% อย่างมีนัยสำคัญ และถือเป็นหนึ่งในระดับที่แพงที่สุดในรอบ 30 ปี นอกจากนี้ ผู้งทุนอาจละเลยประเด็นต้นทุนของผู้ประกอบการที่จะเพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้นจากเฉลี่ย 2.5% เป็น 18% โดยคาดว่าผู้ประกอบการจะส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภคภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือนหลังจากต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น” นายณัฐกฤติกล่าว

เชียร์ ! โยกเงินเข้าซื้อตราสารหนี้โลกและหุ้นปันผล

นายณัฐกฤติ กล่าวอีกว่า ในขณะเดียวกันการลงทุนในตราสารหนี้โลกกลับมีความน่าสนใจมากขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ระดับสูงและธนาคารกลางต่างๆทั่วโลกยังมีทิศทางปรับตัวลดลงจากภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง ทำให้โอกาสการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้โลกที่มีอายุระยะกลางถึงยาวที่นอกจากผู้ลงทุนจะได้อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูงแล้วยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) อีกด้วย

ส่วนผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง หุ้นที่ยังน่าสนใจช่วงนี้ได้แก่ หุ้นกลุ่มปันผลสูงทั่วโลก (High Dividend) ที่มีการจ่ายปันผลที่สูงและสม่ำเสมอ มีผลประกอบการมีความแข็งแกร่ง รวมทั้งยังมีมูลค่าหุ้น (Valuation) ถูก ปรับขึ้นน้อยกว่าดัชนีตลาดหุ้นโลก (Discount) ประมาณ 25% ส่วนอีกตลาดหนึ่งที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มปันผล ที่ปัจจุบันระดับเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ในระดับเกือบ 7% และ Valuation ของหุ้นกลุ่มปันผลของไทยจากดัชนี SETHD ยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี สะท้อนจากค่า Price to Book Value (PBV) ประมาณ 0.9 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมากถึง 35%

 

 

 

DDD โชว์กำไร Q2/68 โตจากปีก่อน ท่ามกลางสภาวะศก.ชะลอตัว พร้อมหนุนยอดขายในประเทศ

วันที่ 14 สิงหาคม 2568 นางสาวนันทวรรณ สุวรรณเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD เผยว่า บริษัทฯเป็น~ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก อุปกรณ์ตกแต่งทรงผม อุปกรณ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เครื่องครัว รวมไปถึงสินค้าไลฟ์สไตล์ แบรนด์ดัง อาทิ SNAILWHITE, NAMU LIFE, OXE'CURE, SPARKLE, LESASHA, JASON, MAKAVELIC, EMJOI, @HOME, และแบรนด์ใหม่ล่าสุด VALERA, และ ELCHIM รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีรายได้จากการขาย 653.15 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 15.36 โดยมีสาเหตุหลักมาจาก รายได้จากธุรกิจผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีรายได้ลดลงร้อยละ 20.54 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการลดลงของรายได้จากการขายต่างประเทศร้อยละ 49.77 ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ จากบริษัทร่วมทุน (Joint venture) เป็นตัวแทนจัดจำหน่าย (Authorized distributor) ในบางประเทศ ส่งผลโดยตรงต่อการรับรู้รายได้จากการขาย จากเดิมรับรู้รายได้จากยอดขายจากลูกค้า (End customer) เป็นการรับรู้รายได้จากการขายให้ตัวแทนจัดจำหน่ายซึ่งเป็นราคาขายส่ง (Wholesale price)

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของยอดขายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 18.61 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตหลักมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยมภายใต้แบรนด์ SPARKLE ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงขยายตลาดช่องทางออนไลน์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น 

สำหรับรายได้จากส่วนงานธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมความงามมีรายได้ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสัดส่วนลดลงร้อยละ 6.51 โดยสอดคล้องกับอัตราผู้คนที่เดินทางเข้าไปใช้บริการตามห้างร้าน (Footfall traffic) ที่มีแน้วโน้มลดลงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด และมุ่งเน้นช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ต้นทุนขายรวมไตรมาสที่ 2/2568 อยู่ที่ 265.04 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20 โดยสาเหตุหลักมาจากการบริหารจัดการต้นทุนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้เต็มกำลังการผลิตของโรงงาน (Full Capacity Utilization) ส่งผลให้มีความประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) นอกจากนี้ในงวดปัจจุบันไม่มีการขายสินค้าซึ่งเป็นการขายครั้งใหญ่ (Big Lot) ในต่างประเทศ

ส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหารมีมูลค่า 367.74 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยลดลงในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านการส่งเสริมการขายตามนโยบายควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการให้สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร พร้อมปรับกลยุทธ์รับการเปลี่ยนแปลงของตลาดรวมถึงการขยายช่องทางสั่งซื้อที่หลากหลายเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าอย่างทั่วถึง  

จากปัจจัยดังกล่าวทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ (Net Profit) เท่ากับ 30.47 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 4.50 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้รวม แม้ครึ่งปีแรก ปี 2568 ภาพรวมของเศรษฐกิจทั่วโลกโลกและภายในประเทศต้องเผชิญภาวะชะลอตัวจากสงครามการค้าและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย

อย่างไรก็ดีบริษัทมุ่งมั่นรักษาระดับกำไรสุทธิได้เทียบเคียงกับปีก่อน พร้อมเดินหน้าสู่การใช้เทคโนโลยีและข้อมูลเชิงลึกในการสร้างกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แม่นยำและตรงกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการบูรณาการกระบวนการดำเนินงานเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพขององค์กรอย่างยั่งยืนในอนาคต

SYNEX โชว์ผลงาน Q2/68 กำไรพุ่ง 19% กวาดรายได้แตะ 11,655 ล้าน

บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย) หรือ SYNEX ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านไอทีอีโคซิสเต็ม ประกาศผลงานไตรมาส 2/68 เติบโตแข็งแกร่ง กวาดรายได้ 11,655 ล้านบาท กำไรพุ่งกว่า 19% แตะ 190 ล้านบาท แม้เป็นช่วงโลว์ซีซั่น แต่ยังสามารถสร้างการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ จากกลยุทธ์รับกระแสเมกะเทรนด์เทคโนโลยีและโฟกัสสินค้ามาร์จิ้นสูง พร้อมเปิดตัว Nintendo Switch 2 หนุนครึ่งปีหลัง รับไฮซีซั่นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ บอร์ดอนุมัติจ่ายปันผล 0.10 บาท/หุ้น กำหนดจ่าย 10 กันยายน 68 นี้

วันที่ 13 สิงหาคม 2568 นางสาวสุธิดา มงคลสุธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ดิสทริบิวเตอร์ผู้นำด้านไอทีอีโคซิสเต็ม เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 ฟอร์มแข็งแกร่งแม้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาดไอที โดยมีรายได้จากการขายและบริการกว่า 11,655 ล้านบาท เติบโต 16.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตในทุกกลุ่มสินค้าหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม Smartphone และ Apple ด้านกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 446 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.6% และมีกำไรสุทธิ 190 ล้านบาท เติบโต 19% ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากยอดขายที่ขยายตัวทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ภายใต้กลยุทธ์เชิงรุก ควบคู่การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้งวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 22,814 ล้านบาท เติบโต 16.6% กำไรขั้นต้น 871 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% และมีกำไรสุทธิ 378 ล้านบาท เติบโต 21.4%

“แม้เศรษฐกิจยังเผชิญแรงกดดันจากต้นทุนและดอกเบี้ยที่ผันผวน แต่ซินเน็คสามารถบริหารจัดการได้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมเดินเกมรุกในทุกเซกเมนต์ ควบคู่ไปกับการพัฒนาอีโคซิสเต็มไอทีที่ครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และโซลูชั่น เพื่อตอบโจทย์ตลาดที่กำลังเข้าสู่ยุค AI และ Cloud เน้นสินค้านวัตกรรมที่มีมาร์จิ้นสูงและสอดรับเทรนด์ ตลอดจนการเปิดตัว Nintendo Switch 2 การขยายจุดจำหน่าย Apple และการเตรียมอัปเกรดสู่ Windows 11” นางสาวสุธิดากล่าว

สำหรับความสำเร็จในไตรมาส 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ Apple เติบโต 21.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากไลน์สินค้าที่ครบทุกหมวด เสริมด้วยโปรโมชันหน้าร้านที่เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายจุดจำหน่ายครอบคลุมทั่วประเทศ และกลยุทธ์ Solution-Based Offering เจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรและสถาบันการศึกษา

กลุ่มผลิตภัณฑ์มือถือและอุปกรณ์ เติบโตโดดเด่นอยู่ที่ 46.5% จากแรงหนุนของเทรนด์ AI ที่กระตุ้นรอบการเปลี่ยนอุปกรณ์ของผู้บริโภค โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนแบรนด์ชั้นนำ เช่น Samsung, Huawei, Honor รวมถึงสมาร์ทวอทช์ที่ยังได้รับความนิยมจากกระแสสุขภาพและไลฟ์สไตล์ดิจิทัล
กลุ่มคอมเมอร์เชียล เติบโต 3.2 % จากดีมานด์อัปเกรดสู่ Windows 11 ซึ่งองค์กรจำนวนมากให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและการปฏิบัติตามมาตรฐาน (Security & Compliance) และการเข้าสู่ยุค AI PC ที่ติดตั้งชิป AI ในตัว ตอบโจทย์การทำงานยุคใหม่ทั้งด้าน Productivity และ Collaboration ที่กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในองค์กรยุคดิจิทัล ทำให้ภาคธุรกิจและผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญและวางแผนอัปเกรดอุปกรณ์มากยิ่งขึ้น 

กลุ่มเอนเตอร์ไพรซ์และโซลูชั่น เติบโต 7.7% จากความต้องการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายความเร็วสูง ผนวกความต้องการซอฟต์แวร์และบริการ Cloud ครบวงจร ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานไปจนถึง As-a-Service ซึ่งเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนองค์กรสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ
กลุ่มคอนซูเมอร์ กลับมาเติบโต 2.7% จากการเตรียมเปิดตัว Windows 12 พร้อมฟีเจอร์ AI แบบเต็มรูปแบบ และการเปิดตัวชิปกราฟิกรุ่นใหม่ที่กระตุ้นการอัปเกรดอุปกรณ์

กลุ่มเกมมิ่งและแก็ดเจ็ต เป็นอีกหนึ่งกลุ่มไฮไลท์ ที่เติบโตถึง 78.6% จากการเปิดตัว Nintendo Switch 2 เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม คาดยอดขายปีนี้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ พร้อมเดินหน้าส่งสินค้าใหม่และเกมใหม่ในรูปแบบแผ่น (Physical Release) เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างมีนัยสำคัญ และขยายตลาดไปสู่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่ คาดเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเติบโตในครึ่งปีหลัง

นางสาวสุธิดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลงานครึ่งปีแรกที่เติบโตสวนทางฤดูกาลของตลาดไอที เป็นเครื่องยืนยันถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที สำหรับครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ คาดว่าจะได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  เทรนด์เทคโนโลยี AI, Cloud, E-Commerce และ Digital Payment รวมถึงสินค้านวัตกรรมใหม่ที่จะทยอยเปิดตัว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญผลักดันรายได้สู่เป้าหมายที่วางไว้

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติในที่ประชุม อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล งวดผลดำเนินงานงวด 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 68 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท ซึ่งกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ในวันที่ 27 สิงหาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 กันยายน 2568 เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นที่เชื่อมั่นและไว้วางใจซินเน็คฯ อย่างเสมอมา
นอกจากการบริหารงานที่ประสบความสำเร็จแล้ว ซินเน็คยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนและการกำกับดูแลกิจการที่ดี ในกรอบดำเนินงาน 3 มิติหลัก สะท้อนจากรางวัล  
- รางวัล AGM Checklist ระดับ 5 ดาว ประจำปี 2568 จากสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย(TIA)  
- SET ESG Ratings ระดับ AA และติดอันดับหุ้นยั่งยืน (Sustainable Stock)  
- CGR Score ปี 2567 ระดับ 5 ดาว (Excellent) จากโครงการ CGR 2024 
- เกียรติบัตรจากโครงการ ESG DNA 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ 
- ติดอันดับ Fortune SEA 500: อันดับ 51 ของไทย

ทรูคอร์ปอเรชั่น โชว์ผลงาน Q1/68 กำไรสุทธิ 2.0 พันล้าน ทำกำไรต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน

ทรูคอร์ปอเรชั่น รายงานผลกำไรหลังหักภาษีประจำไตรมาส 2/2568 เป็นมูลค่ากว่า 2.0 พันล้านบาท ซึ่งนับเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกันที่ผลการดำเนินงานของบริษัทพลิกกลับมาทำกำไร โดยมีกำไรสุทธิหลังหักภาษีและหลังปรับปรุงรายการพิเศษ อยู่ที่ 4.2 พันล้านบาท ในส่วน EBITDA ยังคงมีแนวโน้มการปรับตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการควบรวมกิจการ โดยเป็นผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ

วันที่ 5 สิงหาคม 2568 นายซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานทางการเงินในไตรมาสที่ 2 ยังคงทรงตัว ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายและเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว โดยทรู คอร์ปอเรชั่น สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน ตามความมุ่งมั่นของเราต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย นอกจากนี้ การที่ทรูชนะการประมูลคลื่นความถี่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ทรูครอบครองคลื่นความถี่ครบและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะใช้ประโยชน์จากการจัดสรรคลื่นความถี่นี้มาเพื่อเพิ่มความสามารถของเครือข่าย รองรับเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแห่งอนาคต รวมถึงการเร่งผลักดันบริการทางดิจิทัลใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของทั้งลูกค้ารายย่อยและลูกค้าองค์กร และเพื่อให้ธุรกิจก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง เราจึงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตแบบพลิกโฉม ผ่านการยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และการเสริมสร้างความเป็นผู้นำในตลาดอย่างยั่งยืน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ทรู คอร์ปอเรชั่น มุ่งเน้นการสร้างฐานลูกค้าที่มีคุณภาพ จากความพยายามลดจำนวนผู้ใช้งานใหม่จากการหมุนเวียนของฐานลูกค้าเดิมลง (rotational gross adds) รวมทั้งการปรับปรุงโครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านคอมมิชชั่นให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ จำนวนผู้ใช้บริการยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยลดลง จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในไตรมาส 2/2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 47.5 ล้านเลขหมาย ลดลง 2.9 ล้านเลขหมาย หรือลดลง 5.8% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่จำนวนผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 3.8 ล้านราย และ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 จำนวนผู้ใช้บริการ 5G มีจำนวน 14.7 ล้านเลขหมาย

นายนกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2568 มีกำไรสุทธิหลังหักภาษี เป็นไตรมาสที่สองติดต่อกัน ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้หลักชะลอตัวลงในระหว่างไตรมาสที่สอง ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากเหตุการณ์ระบบโครงข่ายขัดข้องชั่วคราว ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อรายได้จากบริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่

ไตรมาส 2/2568 รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC ลดลง 0.6% เทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลดลงของกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจโทรทัศน์บอกรับสมาชิก ชดเชยบางส่วนจากการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว และการลดลงของรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศ รายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และไตรมาสก่อน ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานรายได้รวมลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการลดลงของรายได้จากการให้บริการ การลดลงของรายได้ค่าเช่าโครงข่ายอันเป็นผลจากการโอนย้ายผู้ใช้บริการออกจากคลื่น 850 MHz ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาในเดือนสิงหาคม 2568 และรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์โทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ลดลงจากปัจจัยตามฤดูกาล

สำหรับไตรมาส 2/2568 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย หรือ D&A ลดลง 8.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต้นทุนโครงข่ายลดลง 7.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักจากค่าไฟฟ้าที่ลดลงและการประหยัดต้นทุนจากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลดลง 12.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับผลประโยชน์จากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ จากการปรับโครงสร้างองค์กรให้ทันสมัยและการริเริ่มกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ ด้วยการบูรณาการกรอบการดำเนินงานที่มุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืนและวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทรู คอร์ปอเรชั่น ยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง”

ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกการปรับตัวดีขึ้นของ EBITDA จำนวน 5.5 พันล้านบาท นับตั้งแต่การควบรวมกิจการ สะท้อนถึงความสามารถทางการเงินที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องของ EBITDA สำหรับ EBITDA ในไตรมาส 2/2568 ปรับตัวดีขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยได้รับผลกระทบเชิงลบจากการลดลงของรายได้ อันเป็นผลจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชั่วคราว และรายได้จากการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศที่ลดลง สำหรับ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน EBITDA ยังคงได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมกิจการ ประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการรักษาวินัยทางการเงิน อัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้จากการให้บริการปรับตัวดีขึ้น 2.2 จุดเปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 60.8% สำหรับไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 อัตราส่วนหนี้สินต่อกำไรของทรู คอร์ปอเรชั่น อยู่ที่ 4.0 เท่า ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 ลดลง 0.7 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลง 0.1 เท่า เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

สำหรับไตรมาส 2/2568 ทรู คอร์ปอเรชั่น รายงานกำไรสุทธิหลังหักภาษี 2.0 พันล้านบาท ทรู คอร์ปอเรชั่น บันทึกผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time costs) จำนวน 2.5 พันล้านบาทที่เกี่ยวข้องกับการด้อยค่าสินทรัพย์จากการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย และการยุติบริการคลื่น 850 MHz เมื่อปรับปรุงผลกระทบจากรายการครั้งเดียวและผลประโยชน์ทางภาษีในไตรมาส 2/2568 จำนวน 368 ล้านบาท กำไรสุทธิหลังหักภาษีมีจำนวน 4.2 พันล้านบาท ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) สำหรับไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 7.2 พันล้านบาท ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นต้นทุนการบูรณาการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการพัฒนาโครงข่ายให้ทันสมัย

จากภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่เป็นอุปสรรคต่อประเทศไทยในปี 2568 การปรับลดแนวโน้มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ และผลกระทบจากเหตุการณ์โครงข่ายขัดข้องชี่วคราวต่อรายได้จากการให้บริการธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ คณะผู้บริหารบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จึงได้ปรับเป้าหมายการดำเนินงานปี 2568 คณะผู้บริหารคาดว่ารายได้จากการให้บริการจะทรงตัว ถึงเติบโต 1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย IC และการให้บริการข้ามโครงข่ายภายในประเทศกับ NT แนวโน้ม EBITDA เติบโต 7-8% สำหรับทั้งปี ขณะที่เงินลงทุน (CAPEX) คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 2.8-3.0 หมื่นล้านบาทสำหรับปี 2568 (ไม่เปลี่ยนแปลง) และจะยังคงมีกำไรตลอดทั้งปี 2568 ตามรายงานงบการเงิน (ไม่เปลี่ยนแปลง)

“MMM” ท็อปฟอร์ม Q2/68 กำไรทะยาน 190.93% (YoY) จ่ายปันผล 6 ไตรมาส ล่าสุด 0.12 บาท/หุ้น

บมจ.เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล หรือ MMM โชว์ฟอร์ม แจ้งผลงาน Q2/2568 กำไรสุทธิแตะ 63.30 ล้านบาท ทะยาน 190.93% (YoY) ขณะที่รายได้จากการขายและบริการ 339.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 181.71%(YoY) พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท จ่อ XD วันที่ 14 สิงหาคมนี้ ส่งผลให้บริษัทฯ จ่ายปันผลติดต่อกัน 6 ไตรมาส ในตลาดไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ปูทางความสำเร็จสู่การย้ายบ้านเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ

นางสาวณิชา โรจน์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MMM หนึ่งในผู้นำด้านตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การให้บริการที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ และซื้อขายอสังหาฯ เปิดเผยว่า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภคโดยรวม ในประเทศให้ชะลอตัว แต่หากพิจารณาจากดีมานด์ของกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยยังอยู่ในทิศทางที่เพิ่มขึ้น สะท้อนถึงผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน 2568 ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) โดยมีรายได้จากการขายและบริการรวม 339.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 181.71%(YoY) ขณะที่กำไรสุทธิ 63.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 190.93%(YoY) คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 18.58% และจากความสามารถในการทำกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ MMM จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ถึง 6 ไตรมาสติดต่อกันนับตั้งเแต่ปี 2566 จนถึงงวดปัจจุบัน 

ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากกำไรสะสม ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2568 ในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท คิดเป็นจำนวนเงินรวม 29.74 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) วันที่ 14 สิงหาคม 2568 และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เพื่อจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพความแข็งแกร่งทางการเงิน พร้อมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นก่อนที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (PO) จำนวนไม่เกิน 64,200,000 หุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท เพื่อย้ายจากตลาดหลักทรัพย์ LiVEx มาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปีนี้

สำหรับอัตราการเติบโตของสัดส่วนรายได้ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/2568 มาจาก 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย

1. ธุรกิจที่ปรึกษางานขายโครงการ (BU1) ดำเนินธุรกิจตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ แต่เพียง   ผู้เดียวให้กับเจ้าของโครงการ เพื่อให้บริการแนะนำติดต่อผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงประสานงานเพื่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างผู้ซื้อและเจ้าของโครงการจนแล้วเสร็จ มีรายได้ 124.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.14%(YoY) จากยอดโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น ประกอบกับรายได้ต่อยูนิตสูงขึ้นจากการปรับกลยุทธ์การขายทรัพย์ที่มีราคาสูงขึ้น และจากการที่บริษัทฯ ขายทรัพย์ที่อยู่ในระยะเวลาช่วงแรกของสัญญาสำหรับโครงการที่ทำสัญญา ในลักษณะ Hybrid – BU1 ได้เพิ่มขึ้น

2. ธุรกิจการบริหารงานขายโครงการ (BU2) ดำเนินธุรกิจตัวแทนขายและรับประกันการขายแต่เพียงผู้เดียว เพื่อให้บริการแนะนำ ติดต่อผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างผู้ซื้อและเจ้าของโครงการจนกว่าแล้วเสร็จ รวมถึงให้บริการบริหารงานขายแบบวางหลักประกันการซื้อ Hybrid – BU2 มีรายได้ 189.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,354.58% (YoY) จากยอดโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มขึ้น ประกอบกับโครงการที่บริษัทฯ ให้บริการมีรายได้ต่อยูนิตสูงขึ้นจากการปรับกลยุทธ์การขายทรัพย์ที่มีราคาสูงขึ้น และจากการที่สามารถขายทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นสำหรับโครงการที่ทำสัญญาในลักษณะ Hybrid – BU2

 3. ธุรกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (BU3) บริษัทฯ มีรายได้ 25.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53.93% (YoY) จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ นางสาวณิชา ยังได้กล่าวทิ้งท้ายถึงวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ว่า เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจ เช่น การวางเงินประกันสัญญาในธุรกิจการให้บริการที่ปรึกษางานขายโครงการ (BU1) และสัญญาการให้บริการบริหารงานขายโครงการ (BU2) รวมทั้งสัญญาการให้บริการบริหารงานขายแบบวางหลักประกันการซื้อ (Hybrid) รวมถึงนำไปใช้เพื่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ (BU3) และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรองรับการขยายธุรกิจ ตอบโจทย์การเป็นผู้ให้บริการด้านตัวแทนการขายอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจร ภายใต้แนวคิดการเป็น “เพื่อนคู่คิด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์”