"เนสท์เล่" ลุยฟ้องอดีตคู่ค้า "ตระกูลมหากิจศิริ" หลังแตกหักธุรกิจกาแฟ ศาลนัดพิจารณาคดี 9 มิ.ย.นี้

บริษัทเนสท์เล่ เอส.เอ. จากสวิตเซอร์แลนด์ เจ้าของเครื่องหมายการค้า “เนสกาแฟ” พร้อมด้วยเนสท์เล่ ประเทศไทย “บริษัท ควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์ จำกัด” (QCP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเนสท์เล่และครอบครัวมหากิจศิริ สัดส่วนคนละ 50% หลังไม่สามารถตกลงเรื่องทิศทางของบริษัทได้ และ QCP ได้หยุดดำเนินกิจการตั้งแต่ 1 มกราคม 2568

วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ผู้สื่ข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง นัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างสองฝ่าย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลจึงมีคำสั่งให้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดี โดยจะเริ่มในวันที่ 9 มิถุนายน 2568

เนสท์เล่ ระบุว่า ต้องการให้มีการเลิกกิจการอย่างเป็นธรรม แบ่งทรัพย์สินให้ผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายนำไปใช้ตามความเหมาะสม พร้อมขอให้ศาลแต่งตั้งผู้ชำระบัญชีเพื่อดูแลทรัพย์สินของ QCP ระหว่างรอคำตัดสิน

อย่างไรก็ตามทางเนสท์เล่ ได้เรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 577 ล้านบาท ซึ่งคำนวณจากค่าเสียหายที่เนสท์เล่ต้องหยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อนหน้านี้

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มีคำสั่งให้ "เนสกาแฟ" กลับมาขายได้ตามปกติ

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ มีคำสั่งให้ "เนสกาแฟ" กลับมาขายได้ตามปกติ

เนื่องจากเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ ทป 58/2568 ได้มีคำสั่งยืนยันว่าบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เป็นผู้มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในอันที่จะใช้เครื่องหมายการค้า “Nescafé” และ “เนสกาแฟ” ในประเทศไทย และสามารถใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวกับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้ ซึ่งคำสั่งศาลนี้มีผลตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 เมษายน 2568

ตามผลของคำสั่งข้างต้น จึงทำให้ เนสท์เล่สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟในประเทศไทยได้ตามปกติ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยเนสท์เล่ได้แจ้งลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจให้ทราบว่าเนสท์เล่สามารถกลับมารับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เนสกาแฟได้ตามปกติแล้ว 

เนสท์เล่ ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางครั้งนี้ เพราะจะช่วยหยุดผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อผู้ประกอบการขนาดเล็ก ร้านค้าปลีก คู่ค้าซัพพลายเออร์ และพนักงานในห่วงโซ่คุณค่าของเนสกาแฟ ซึ่งเป็นผลกระทบที่เกิดจากคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนหน้านี้ที่ออกโดยศาลแพ่งมีนบุรี นอกจากนี้ ผู้บริโภคก็จะสามารถหาซื้อและบริโภคผลิตภัณฑ์เนสกาแฟทุกชนิดที่มีอยู่ในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง

หลังจากการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่งมีนบุรีเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 เนสท์เล่ได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น  เรารู้สึกยินดีที่ได้รับการยืนยันจากศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ซึ่งทำให้เรากลับมาดำเนินธุรกิจเนสกาแฟได้ตามปกติ

เนสท์เล่ ขอยืนยันว่าเราเคารพกฎหมายเสมอมาและได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากับบริษัทควอลิตี้ คอฟฟี่ โปรดักส์อย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด และเรามีหลักฐานของการปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาอย่างครบถ้วน ก่อนหน้านี้ เราได้ชนะคดีที่ศาลอนุญาโตตุลาการสากล โดยที่คุณประยุทธ มหากิจศิริ และครอบครัว ได้แก่คุณเฉลิมชัย มหากิจศิริ และคุณอุษณา มหากิจศิริ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น QCP ได้เข้าร่วมในกระบวนการไต่สวนของศาลอนุญาโตตุลาการสากลด้วยตนเอง

เนสท์เล่ ขอขอบคุณผู้บริโภคและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนเนสกาแฟ ในช่วงเวลาที่ท้าทายเช่นนี้

เนสท์เล่ มีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและจะยังคงเดินหน้าลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภค พนักงานของเรา เกษตรกรที่ทำงานร่วมกับเรา ตลอดจนพันธมิตรทางธุรกิจ และคู่ค้าของเรา

#เนสกาแฟ #กาแฟ #ศาลทรัพย์สินทางปัญญาเนสกาแฟ #ข่าววันนี้ #สยามรัฐ #สยามรัฐออนไลน์

 

ชุมพรประกวดสุดยอดกาแฟโรบัสต้า เกษตรกร 39 ราย ร่วมชิงเงินรางวัลรวม 40,000 บาท

จังหวัดชุมพรประกวดสุดยอดกาแฟโรบัสต้า เกษตรกร 39 รายร่วมชิงเงินรางวัลรวม 40,000 บาท

วันนี้ (3 เม.ย.68) นายอภิชาติ สาราบรรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ พร้อมมอบประกาศเกียรติคุณแก่คณะกรรมการ กิจกรรมการประกวดสุดยอดกาแฟโรบัสต้าจังหวัดชุมพร ประจำปี 2568 ภายใต้โครงการวิจัย เรื่องการพัฒนาเครือข่ายชุมชนนวัตกรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพของผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้าจังหวัดชุมพร ประจำปี 2567 โดยมี พ.อ.โชติ ยิกุสังข์ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ช.พ. (ฝ่ายทหาร) นายสุบรรณ์ รักษ์ทอง เกษตรจังหวัดชุมพร  นายอาสา จุลทับ ประชาสัมพันธ์จังหวัดชุมพร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมสังเกตุการณ์  ณ ร้านกาแฟสวนนิลเขียว อ.เมืองชุมพร

โดยกิจกรรมดังกล่าว มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ได้รับสนับสนุนงบประมาณวิจัย ชุดโครงการ "การพัฒนาเครือข่ายชุมชนนวัตกรรม เพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มศักยภาพของผู้ผลิตกาแฟโรบัสต้าจังหวัดชุมพร" จากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) มีเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน จึงร่วมกับ เกษตรจังหวัดชุมพรและเกษตรกรผู้เพาะปลูกกาแฟ จัดกิจกรรมการประกวดสุดยอดกาแฟโรบัสต้าจังหวัดชุมพรประจำปี 2568 เพื่อค้นหามล็ดกาแฟที่มีคุณภาพดี ตั้งแต่ต้นทางการปลูกกาแฟ รวมถึงรสชาติกาแฟจนได้เป็นเมล็ดกาแฟเกรดพิเศษ และรณรงค์และส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟให้ตระหนักถึงความสำคัญของการปลูกกาแฟให้ได้ผลผลิตกาแฟอย่างมีคุณภาพ โดยมีเงินรางวัลรวมมูลค่ารวม 40,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและประกาศนียบัตร ซึ่งได้รับความสนใจจากเกษตรกรส่งกาแฟเข้าร่วมการประกวด จำนวน 39 ราย โดยจะมีการประกาศผลและมอบรางวัล ในวันที่ 4 เมษายนนี้ ณ โรงแรมมรกตทวิน อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร
​​​​​​​

"เครือซีพี" ย้ำนโยบายสนับสนุนเกษตรไม่เผา 100% พร้อมชูต้นแบบ “สบขุ่นโมเดล น่าน“ กาแฟสร้างป่า ฟื้นฟูป่าภาคเหนือ

ก้าวเข้าปีที่ 10 ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ประกาศนโยบายด้านความยั่งยืนในภาคเหนือ โดยเข้าไปขับเคลื่อนการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังในหลายจังหวัด จากสภาพปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกิดจากภาคการเกษตร โดยเข้าไปสนับสนุนเกษตรกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ปลอดการเผา 100% โดยผนึกกำลังทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคการศึกษาและชุมชน เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจต้นเหตุของปัญหาของเกษตรกรและชุมชนตลอดห่วงโซ่อุปทาน พร้อมทั้งสร้างแรงจูงใจ สนับสนุนในการปรับเปลี่ยนอาชีพ “ปลูกกาแฟสร้างป่า” ทดแทนการปลูกข้าวโพด จนเกิดโมเดลความยั่งยืนแก่ชุมชน และขยายผลในพื้นที่ 4 ต้นน้ำ สำคัญ ปิง วัง ยม และน่าน ในภาคเหนือ

นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า เครือซีพียังคงมีนโยบายสนับสนุนเกษตรปลอดเผา 100% ด้วยระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Corn Traceability) โดยกลุ่มธุรกิจในเครือซีพี บริษัท กรุงเทพโปรดิ๊วส จำกัด (มหาชน) หรือ BKP พร้อมทั้ง มีนโยบายส่งเสริมเกษตรกรให้มีความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปพร้อมกับการสร้างอาชีพและรายได้ เพื่อต่อสู้กับปัญหาภาคการเกษตรแบบเชิงรุก โดยที่ผ่านมาได้เข้าไปศึกษาต้นเหตุซึ่งมีหลายปัจจัย เช่น การขาดความรู้ ขาดโอกาสทางอาชีพ ขาดสิทธิในที่ดินทำกิน ปัญหาของสภาพพื้นที่ และขาดเงินทุน เครือซีพี จึงเข้าไปสนับสนุนตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำในการปรับเปลี่ยนอาชีพจากปลูกพืชเชิงเดี่ยว มาเป็นพืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง โดย “กาแฟสร้างป่า” จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เมื่อเปรียบเทียบการปลูกกาแฟเพียง 1 ไร่ สามารถสร้างรายได้เทียบเท่ากับการปลูกข้าวโพด 7 ไร่ ลดการใช้พื้นที่ทางการเกษตรได้มหาศาล ช่วยยกระดับอาชีพและรายได้แก่กลุ่มเกษตรกร ลดการเผาวัสดุทางการเกษตร โมเดลดังกล่าวได้นำร่องในชุมชนสบขุ่น อ.ท่าวังผา จ.น่าน สามารถฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวกลับมากว่า 5,551 ไร่ คิดเป็น 60% จากพื้นที่ทำกินเดิมของสมาชิก และสร้างเศรษฐกิจชุมชนกว่า 1.6 ล้านบาท ต่อปี ขณะเดียวกันยังขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ ครอบคลุมพื้นที่ ต้นน้ำ ปิง วัง ยม และน่าน ที่ผ่านมาปลูกต้นไม้ไปแล้วรวม 1,387,859 ต้น เพิ่มพื้นที่สีเขียว 12,079 ไร่

โดยในปี 2568 ชุมชนบ้านสบขุ่น ยังคงดำเนินโครงการจากการสนับสนุนของเครือซีพี โดยมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟสบขุ่นให้เป็นกาแฟคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Coffee) ที่ผลิตโดยใช้วิธีการและเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต และขยายการพัฒนาสู่กาแฟบ้านกองกาย อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่นๆที่เครือซีพีเข้าไปสนับสนุนในทุกพื้นที่ ปิง วัง ยม น่าน โดยที่ผ่านมา เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนมาปลูกพืชมูลค่าสูงอย่างกาแฟสร้างป่า  ผ่านการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชนต่อยอดสู่ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)  ได้รับการสนับสนุนตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำแบบครบวงจร จนกระทั่งมีผลิตภัณฑ์กาแฟสบขุ่นจำหน่ายใน True Coffee ทั่วประเทศ ได้รับตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์จังหวัดน่าน หรือ Nan Brand พร้อมทั้งยกระดับกาแฟสบขุ่นสู่กาแฟ Specialty อีกทั้งร่วมกับชุมชนสร้างความเปลี่ยนแปลงจากการสร้างแรงจูงใจปลูกพืชที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมีโครงการ “คืนป่าแลกอาชีพทางเลือก” แก่เกษตรกรให้มีทางเลือกในการปลูกพืชชนิดอื่นได้พื้นที่ป่ากลับมากว่า 2.9 พันไร่ ฟื้นกลับมาเขียวขจีอีกครั้ง

น่าน  เปิดงาน "กาแฟดีวิถีเมี่ยน" และงานประเพณีปีใหม่เมี่ยน พร้อมทำ MOU พัฒนาผลักดันชุมชนสู่การท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ชาติพันธุ์

น่าน  เปิดงาน "กาแฟดีวิถีเมี่ยน" และงานประเพณีปีใหม่เมี่ยน พร้อมทำ MOU พัฒนาผลักดันชุมชนสู่การท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ชาติพันธุ์ ท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน  

วันที่ 29 มกราคม 2565 นางวจิราพร อมาตยกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้เป็นประธานในพิธีเปิดงาน "กาแฟดีวิถีเมี่ยน" และงานประเพณีปีใหม่เมี่ยน ณ วิสาหกิจชุมชนกาแฟสวนยาหลวง บ้านสันเจริญ อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน โดยมีนายสุทัศน์ จินตเวชศาสตร์ นายอำเภอท่าวังผา นายเทพศักดิ์ หลี่พาณิชย์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลผาทอง  นายโยธิน ทับทิมทอง ผอ.การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานน่าน และหัวหน้าส่วนราชการให้เกียรติร่วมงาน

โดยการจัดงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของชุมชนเมี่ยน รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามอัตลักษณ์ชุมชน  และได้มีการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัยแม่โจ้ (คณะพัฒนาการท่องเที่ยว) โดยดร.กีรติ ตระการศิริวานิช คณบดีคณะพัฒนาการท่องเที่ยว กับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยนายยุทธนา ขัญถาวร ผู้อำนวยการธนาคารการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาน่าน และองค์การบริหารส่วนตำบลผาทอง, หน่วยป้องกันและพัฒนาป่าไม้ท่าวังผา และชุมชนบ้านสันเจริญ  เพื่อความร่วมมือ พัฒนางานวิชาการ วิจัย และบริการวิชาการร่วมกัน ในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนในบริบทตำบลท่าวังผาสู่ภูมิทัศน์แห่งการแข่งขันใหม่ และเพื่อให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลง การท่องเที่ยวตามบริบทของการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงชาติพันธุ์ และการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ โดยอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน  โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ, นิเวศ, ชาติพันธุ์ และสร้างสรรค์  พร้อมกับเปิดห้องนิทรรศการ เส้นทางกาแฟสันเจริญ ที่ถ่ายทอดเรื่องราว ที่เปลี่ยนจากดินแดนปลูกฝิ่น สู่ถิ่นกาแฟ พืชเศรษฐกิจที่นำพาความอบอุ่นกลับคืนสู่ครอบครัว  และมอบเกียรติคุณให้แก่คุณเอราวัณย์-เอกวริษฐ์ อริยฉัตรเกคิน เจ้าของร้านอราบริก้า ในฐานะบุคคลสำคัญที่ทำให้กาแฟสันเจริญได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง 

นางวจิราพร อมาตยกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน กล่าวว่า  บ้านสันเจริญ เป็นชนเผ่าอิ้วเมี่ยน ที่เคยยังชีพด้วยการปลูกและค้าขายฝิ่นจึงถูกขนานนามว่า "สวนยาหลวง" ซึ่งมีพื้นที่ปลูกฝิ่นกว่า 2 หมื่นไร่ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ปลูกฝิ่นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศใน 4 ทศวรรษที่แล้ว ปัจจุบันประชากรกว่า 180 ครัวเรือน เกือบ 800 คน หันมาสร้างรายได้จากการปลูกกาแฟบนพื้นที่สูงที่มีกว่า 5 พันไร่ มีโรงงานแปรรูปกาแฟสาร 38 โรงงาน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชนกว่า 200 ล้านบาท ต่อปี สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้จังหวัดน่าน จากการเป็นแหล่งผลิตกาแฟที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดน่าน การจัดงาน "กาแฟดีวิถีเมี่ยน" จึงนอกจากจะเป็นการฉลองปีใหม่อิ้วเมี่ยนแล้ว ยังเป็นการเชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับวิถีชุมชน ที่เคล้าคลุ้งด้วยกาแฟและอบอลวนด้วยธรรมชาติกลางหุบเขาสูง  ผู้มาเยือนสามารถเรียนรู้เส้นทางกาแฟน่าน ณ สันเจริญ ได้ที่ห้องเรียนรู้ของชุมชน ที่ซึ่งได้รวบรวมและประมวลทั้งแหล่งที่มาของ กาแฟพิเศษ (specialty coffee) และกาแฟคุณภาพ (premium coffee) ทั้งกาแฟอาราบิก้า และโรบัสต้าด้วยกระบวนการแปรรูปต่างๆ ทั้ง Dry washed Honey process ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ของชุมชนยังได้สร้างแบรนด์กาแฟชุมชนที่เป็นที่รับรู้ของคนทั่วประเทศ ซึ่งดึงดูดและสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักดื่มและคอกาแฟ อยากมาเยือนสันเจริญ สร้างเศรษฐกิจต่อเมื่องทางด้านการท่องเที่ยววิถีกาแฟเชิงในรูปของโฮมสเตย์ แคมป์ปิ้ง พารามอเตอร์ การท่องเที่ยวเชิงเกษตร 

โดยในงานมีการเฉลิมฉลองปีใหม่เมี่ยนและกิจกรรมหลากหลายที่สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน  การแข่งขัน "ดริปกาแฟ ชิงแชมป์สวนยาหลวง Drip Battle ครั้งที่ 1" การชิมกาแฟจากสวนยาหลวง ทั้งกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้า ให้ผู้เข้าร่วมได้ลิ้มลองรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์  งานนี้ถือเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชน ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์ในพื้นที่ตำบลท่าวังผา และมุ่งหวังให้การพัฒนาเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในทุกมิติ.//
 

อายุวัฒนะกาแฟ?

สวนทางแตกต่างอย่างชนิดอยู่คนละขั้ว ยืนคนละข้าง กับ “สุขบัญญัติแห่งชาติ” ที่คนไทยเราท่องติดปากกันมาตั้งแต่เด็กว่า 1 ใน 10 ข้อของสุขบัญญัติแห่งชาตินั้น ระบุว่า งดดื่มชา กาแฟ แล้วให้ดื่มน้ำสะอาดมากๆ 8 – 10 แก้วต่อวัน เพื่อสุขภาพพลามัยที่ดี

Photo : AFP

เมื่อนักวิชาการด้านโภชนาการยุคใหม่จำนวนหนึ่ง ออกมาเปิดเผยผลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของการดื่มชา กาแฟ ต่อสุขภาพของผู้ดื่มกันอยู่เป็นระยะๆ

ยกตัวอย่างในการศึกษาวิจัยก่อนหน้า โดยโรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ เมืองซอลต์เลกซิตี รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า การดื่มชา กาแฟ อาจจะช่วยผู้ดื่ม ลดความเสี่ยงจากการป่วยด้วยโรคมะเร็งที่พบบ่อย (Common cancer) ในประชากรทั่วโลกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคมะเร็งที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนศีรษะและคอ ซึ่งโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นกับอวัยวะทั้งสองส่วนนี้ ตามสถิติข้อมูลเมื่อปี 2020 (พ.ศ. 2563) ระบุว่า พบผู้ป่วยรายใหม่จำนวนมากกว่า 745,000 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิตกว่า 364,000 ราย

ทั้งนี้ คณะผู้ศึกษาวิจัยจากโรงเรียนแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ ได้ติดตามกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วหรือมากกว่านั้น กับกลุ่มตัวอย่างที่มีสุขภาพดีที่ไม่ดื่มกาแฟ

ต้นกาแฟที่กำลังออกเมล็ด (Photo : AFP)

ผลปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างมีอัตราความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็วบริเวณอวัยวะศีรษะและคอ ต่ำกว่าร้อยละ 17 และอัตราต่ำกว่าร้อยละ 30 สำหรับมะเร็งบริเวณปาก รวมถึงร้อยละ 22 ในผู้ป่วยมะเร็งบริเวณช่องคอ

ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มกาแฟ 3 – 4 แก้วต่อวัน ปรากฏว่า ช่วยลดอัตราความเสี่ยงป่วยด้วยโรคมะเร็งบริเวณคอหอยส่วนล่างได้ถึงร้อยละ 41 และกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มชา ก็จะลดอัตราความเสี่ยงโรคมะเร็งบริเวณนี้ได้ราวร้อยละ 29

เมล็ดกาแฟ (Photo : AFP)

คณะผู้ศึกษาวิจัยจากโรงเรียแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยยูทาห์ ยังระบุด้วยว่า สารคาเฟอีนที่อยู่ในชาและกาแฟ ไม่น่าจะมีผลต่อทำให้ผู้ดื่มมีอัตราความเสี่ยงต่ำที่จะป่วยด้วยโรคมะเร็ง เพราะในการวิจัย ยังได้ศึกษาติดตามจากกลุ่มตัวอย่งที่ดื่มกาแฟที่ไม่มีคาเฟอีน หรือคาเฟอีนถูกทำให้ลดลงจนเหลืออยู่น้อยเต็มที ผลปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างผู้ดื่มก็มีอัตราความเสี่ยงป่วยด้วยโรคมะเร็งบริเวณปากลดลงที่ร้อยละ 25

ทางด้าน กลุ่มตัวอย่างที่ดื่มชา 1 แก้วต่อวัน หรือน้อยกว่านั้น ปรากฏว่า ช่วยลดอัตราความเสี่ยงป่วยโรคมะเร็งบริเวณศีรษะและคอได้ที่ร้อยละ 9 อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มตัวอย่างที่ดื่มชามากกว่า 1 แก้วต่อวัน กลับมีความเสี่ยงที่จะป่วยโรคมะเร็งบริเวณลำคอ หรือช่องคอ ที่ร้อยละ 38 ทั้งนี้ เหล่านักวิจัย ตั้งข้อสงสัยว่า ชาอาจจะไปช่วยเพิ่มความกรดในผู้ดื่มที่มีปัญหาเรื่องภาวะกรดไหลย้อนภายในช่องบริเวณลำคอของผู้นั้นก็เป็นได้

ทั้งนี้ ผลการศึกษาวิจัยข้างต้น ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ลงในวารสารโรคมะเร็ง เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม 2024 (พ.ศ. 2567) ที่เพิ่งผ่านพ้นมา

“กาแฟ” หนึ่งในเครื่องดื่มยอดฮิตของชาวโลก แม้ในหมู่ผู้นำประเทศระดับโลก (Photo : AFP)

ตามมาด้วยผลการศึกษาวิจัยโดยคณะแพทย์ของโรงพยาบาลเด็กเบนิออฟของซานฟรานซิสโก แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ระบุว่า สารคาเฟอีนที่มีอยู่ในกาแฟ อาจส่งผลดีต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ที่จะเกิดใหม่ โดยจะช่วยป้องกันการเกิดโรคสมองพิการของเด็กทารกเกิดใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นหลังคลอดได้

โดยโรคสมองพิการ (Cerebral Palsy) ในเด็กทารกเกิดใหม่หลังคลอดข้างต้นนั้น ก็เป็นผลจากการเด็กทารกฯ มีภาวะขาดออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายในระดับรุนแรงอันเกิดจากการหายใจผิดปกติ

ทั้งนี้ โรคสมองพิการ ก็เป็นโรคทางระบบประสาท ทำให้เกิดความบกพร่องทางด้านกล้ามเนื้อ ท่าทาง การเคลื่อนไหวทางร่างกายต่างๆ เนื่องจากสมองได้รับความเสียหาย

ก่อนหน้านี้ ทางคณะผู้ศึกษาวิจัยจากสถาบันดังกล่าว ก็ยังเคยพบว่า สารคาเฟอีนนั้น สามารถช่วยกระตุ้นเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจในทารกได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม คณะนักวิจัยได้แนะนำว่า ยังต่อศึกษากันต่อไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อการป้องกันโรคสมองพิการในเด็กทารก โดยโรคนี้แต่ละปี พบมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกลุ่มประเทศยากจน

ล่าสุด วารสารโรคหัวใจแห่งยุโรป ก็ได้รายงานเกี่ยวกับประโยชน์ของกาแฟที่มีต่อผู้ดื่ม ซึ่งดำเนินการศึกษาวิจัยโดยมหาวิทยาลัยทูเลน เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา ประเทศสหรัฐฯ

โดยผลการศึกษาวิจัย ระบุว่า การดื่มกาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิต หรือตายก่อนวัยอันควรให้แก่ผู้ดื่มที่เป็นวัยผู้ใหญ่ ซึ่งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรข้างต้น ก็มาจากสาเหตุของโรคต่างๆ รวมถึงโรคหัวใจด้วย

อย่างไรก็ตาม ในศึกษาวิจัย ก็เปิดเผยด้วยว่า การดื่มกาแฟดังกล่าว ก็จะต้องมีช่วงเวลาของการดื่มด้วยเช่นกัน นั่นคือ ควรดื่มในช่วงเวลาเช้า โดยระบุเวลาว่า อยู่ในระหว่าง 04.00 น. ถึงเวลา 11.59 น. จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ยิ่งกว่าการดื่มในช่วงเวลาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในช่วงหลังเที่ยงวันถึงเวลาเย็น และช่วงเวลาดึกตั้งแต่ 23.00 น. ไปจนถึงก่อนตี 4 หรือ 4 นาฬิกา

นอกจากนี้ ปริมาณการดื่ม ก็อยู่ที่ราวๆ 2 – 4 แก้วต่อวันเท่านั้น จึงจะส่งผลดีต่อสุขภาพ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ดื่มกาแฟ และผู้ที่ดื่มกาแฟมากเกินไประดับตลอดทั้งวัน

ทั้งนี้ ทางคณะผู้ศึกษาวิจัยได้ติดตามในกลุ่มตัวอย่างจำนวน 40,000 คน ในระหว่างช่วงปี 1999 – 2018 (พ.ศ. 2542 – 2561)

อย่างไรก็ตาม แม้ผลการศึกษาวิจัยที่ออกมานี้มีความน่าสนใจ แต่ก็ต้องมีศึกษาวิจัยเพิ่มเติมกันอีก

กาแฟถูกนำไปปรุงแต่งด้วยส่วนผสมต่างๆ จนกลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตหลากหลายรูปแบบ (Photo : AFP)

รวมถึงบรรดานายแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ก็แนะนำว่า หากจะดื่มกาแฟ โดยเฉพาะในหมู่คนเอเชีย ที่มีรูปร่างทางร่างกายเล็กกว่าชาวตะวันตก ก็ควรจะต้องลดปริมาณกาแฟลงมาเพื่อความปลอดภัย ตลอดจนผู้ที่ไม่เคยดื่มกาแฟ หากต้องการจะดื่มเพื่อให้ได้ประโยชน์ดังกล่าว ก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อความปลอดภัยของผู้ดื่มเช่นกัน ร่างกายของเราเหมาะกับกาแฟ และหรือเหมาะกับสารหลายอย่างในกาแฟหรือไม่ เช่น สารคาเฟอีน เป็นต้น เพราะกาแฟไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน แต่อาจจะเกิดโทษต่อผู้ดื่มก็ได้ เช่น ทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เป็นต้น แบบเข้าทำนองที่ว่า ลางเนื้อชอบลางยา ตามสำนวนไทยเรา

"กวิน อินเตอร์เทรด" ประกาศความพร้อมเตรียมจัดงาน ASEAN CAFÉ SHOW 2024

กวิน อินเตอร์เทรด ประกาศความพร้อมเตรียมจัดงาน ASEAN CAFÉ SHOW 2024 ตอบรับธุรกิจคาเฟ่ที่กำลังเติบโตรวมไปถึงการบริโภคกาแฟที่เพิ่มขึ้น 15% ต่อปี กวิน อินเตอร์เทรด เตรียมจัดงานใหญ่ต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 ภายใต้ชื่อ ASEAN CAFÉ SHOW 2024 ขนสินค้านับพันรายการจากทั่วโลก พร้อมอัดกิจกรรมพิเศษเกือบ 50 รายการ คาดผู้เข้าชมงานกว่า 20,000 คนจากกว่า 30 ประเทศและมีเงินสะพัดกว่า 500 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567 นายกวิน กิตติบุญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กวิน อินเตอร์เทรด จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้งาน ASEAN CAFÉ SHOW 2024 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-27 ตุลาคมนี้ ณ ฮอลล์ EH103-104 ไบเทค บางนา โดยมี 150 บริษัทจากประเทศ จีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย และไทย ร่วมแสดงสินค้าและบริการภายใต้รูปแบบ “Total Cafe Solution” มาที่เดียวได้ครบ และจากข้อมูลศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร สถาบันอาหาร ระบุการบริโภคกาแฟในประเทศเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 15.0 ต่อปี ปัจจุบันคนไทยบริโภคกาแฟเฉลี่ยอยู่ที่ 300 แก้วต่อคนต่อปี สำหรับตลาดเครื่องดื่มกาแฟในไทย ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 64,517 ล้านบาท แบ่งเป็นกาแฟที่ปรุงนอกบ้านหรือที่เรียกว่ากาแฟสดตามร้านต่างๆ ประมาณ 20,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 30,000-40,000 ล้านบาท เป็นกาแฟที่ปรุงในบ้าน ดังนั้นจะเห็นว่าตลาดกาแฟของไทยนั้นมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริโภคในประเทศ และการแปรรูปเพื่อส่งออก ซึ่งการขยายตัวของธุรกิจ ผู้ประกอบการในธุรกิจกาแฟที่มีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดกาแฟในประเทศไทย

โดยจากปัจจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงตลาดกาแฟในประเทศมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทางบริษัทฯ จึงเตรียมจัดงาน ASEAN CAFÉ SHOW 2024 งานแสดงสินค้าเจรจาธุรกิจเครื่องดื่มกาแฟ เบเกอรี่ ไอศกรีม ชา ช๊อคโกแลต ประกอบด้วยกลุ่มเครื่องชง อุปกรณ์ เครื่องมือ วัตถุดิบ และโซลูชั่นเพื่อร้านค้าคาเฟ่ ในรูปแบบ “Total Cafe Solution” สำหรับผู้ผลิต ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายให้ได้พบกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรง ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 18 ภายในงานได้รวบรวมบริษัทชั้นนำกว่า 150 แบรนด์ของไทยและจากต่างประเทศ อาทิ จีน ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม อินเดีย เข้าร่วมจัดแสดงสินค้าและบริการ พร้อมจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ กว่า 50 หัวข้อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการธุรกิจคาเฟ่ และบรรดาคอกาแฟ ผู้ที่รักการท่องเที่ยวคาเฟ่ จะได้เข้าร่วมเจรจาธุรกิจ ดื่มด่ำกับเครื่องดื่ม ต่างๆ บนพื้นที่รวมกว่า 10,000 ตารางเมตร

“ASEAN CAFÉ SHOW 2024 ถือเป็นการจัดงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจคาเฟ่ที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดในอาเซียน ภายในงานรวบรวมอุปกรณ์ วัตถุดิบ และเครื่องใช้สำหรับร้านกาแฟ เบเกอรี่ ไอศกรีม ชา เครื่องดื่ม และ ช๊อคโกแลต ผู้เข้าชมงานจะพบกับทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับการเปิดร้านกาแฟ เช่น เครื่องชงกาแฟ ชา กาแฟ เมล็ดกาแฟหลากหลายสายพันธุ์ ช็อกโกแลต ไซรัป สารเพิ่มความหวาน และอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับร้านเบเกอรี่และร้านไอศกรีม เช่น เครื่องนวดแป้ง เตาอบ วัตถุดิบแต่งหน้าเค้ก เครื่องทำวาฟเฟิล เครื่องทำเจลาโต้ ผงทำไอศกรีม ครีมเทียม นมผง รวมไปถึง ตู้เย็น ตู้แช่ ตู้วางเค้ก เครื่องทำน้ำแข็ง วัตถุดิบต่างๆ และบริการด้านเทคโนโลยี เรียกว่ามางานเดียวสามารถกลับไปเปิดร้านคาเฟ่ได้เลย นอกจากนี้ ยังมีบรรจุภัณฑ์ชนิดต่างๆ ทุกรูปแบบ รวมถึงภาชนะถ้วย แก้วใส่เครื่องดื่ม และกูรูที่คอยแนะเป็นพี่เลี้ยงสำหรับผู้ประกอบการรายใหม่หรือรายเดิมที่ต้องการพัฒนาร้านให้ดียิ่งขึ้น” นายกวิน กล่าว

กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวต่อไปว่าบริษัทฯ ยังได้จัดเตรียมกิจกรรมเกือบ 50 หัวข้อโดยร่วมกับหน่วยงานราชการและสมาคมต่างๆ และผู้เชียวชาญเพื่อเสริมทักษะ เทคนิค ความรู้ใหม่ ให้กับผุ้เข้าร่วมชมงานได้นำไปต่อยอดกับธุรกิจของตน ประกอบด้วยการแข่งขันบาริสต้า การสอนเทคนิคการชงกาแฟ เครื่องดื่ม การสอนทำเบเกอรี่และไอศกรีมเมนูใหม่ๆ พร้อมแจกสูตร และสัมมนาเรื่องกาแฟ เป็นต้น

ทั้งนี้เริ่มต้นที่กาแฟ กิจกรรมประกอบไปด้วย Thailand Ultimate Barista Championship 2024 ร่วมค้นหาสุดยอดบาริสต้าจากทั่วประเทศที่มาพิสูจน์ฝีมือ ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 150,000 บาท Coffee Cupping จากสุดยอดเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ดีของไทย ที่ชนะเลิศโครงการ Thai Coffee Excellence (TCE 2024) โดยกรมวิชาการเกษตร ร่วมเป็นสักขีพยานในงานมอบรางวัล ชิมและเรียนรู้ กาแฟ Arabica, Robusta, Liberica กาแฟในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับการรับรองจาก CQI Coffee Quality Institute จากงาน SEAGCC Southeast Asia Green Coffee Competition 2024 กลยุทธ์เด็ด เคล็ดลับ การเปิดร้านกาแฟยุค 2024 รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกลยุทธ์และเคล็ดลับสำคัญในการเริ่มต้นและขยายธุรกิจคาเฟ่ในยุคใหม่ เรียนรู้วิธีการวางแผนธุรกิจ การเลือกซัพพลายเออร์การสร้างประสบการณ์ลูกค้า และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ แจกสูตรและเทรนด์เมนูใหม่ๆ ในปี 2024 พบกับสูตรลับและเทรนด์เมนูใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมในปี 2024 พร้อมเคล็ดลับในการสร้างสรรค์เมนูที่โดดเด่นเพื่อยกระดับร้านคาเฟ่ของคุณให้เป็นที่จดจำและน่าพอใจ หลักสูตรเร่งรัดจาก “จีจี้ แม่มดนักชง” ดีกรีแชมป์บาริสต้าไทย 4 สมัยที่จะสอนเทคนิคการปรุงเครื่องดื่มรสเลิศและการสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ ที่จะทำให้ร้านคาเฟ่ของคุณโดดเด่นกว่าใคร มือใหม่หัดดริป กับ Brewista เรียนรู้เทคนิคการดริปจากพื้นฐานสู่ระดับมืออาชีพ มีสำหรับมือใหม่หัดดริป หรือผู้ที่ชื่นชอบการดริป Champion Showcase เวทีรวบรวมบาริสต้าแชมป์ระดับประเทศมาจัดแสดงสินค้า และเปิดโอกาสให้ได้พบปะพูดคุยเพื่อเสริมสร้างความรู้และแรงบันดาลใจ พร้อมโซนนิทรรศการกาแฟไทย พื้นที่ที่จะทำให้คุณได้รู้จักและรักกาแฟมากยิ่งขึ้นอีก 300%

ต่อด้วยกิจกรรมสาธิตและเวิร์กช็อปด้านเบเกอรี่ ขนมและไอศกรีม กับ 3 วัน 6 เมนู กับสมาคมเบเกอรี่ (ประเทศไทย) พบสาธิตการทำเบเกอรี่เสริมเคล็ดลับอัปสกิลเปลี่ยน Home baker ให้มีฝีมือทัดเทียมมาตรฐาน เรียกว่ามางานทุกวัน ได้สูตรกลับบ้านทุกวันแน่นอน Sweet Cottage เบเกอรี่เร่งรัด” เข้าสู่โลกของเบเกอรี่ใน 4 วัน ด้วยหลักสูตรเร่งรัดจาก Sweet Cottage โรงเรียนเบเกอรี่ชั้นนำ เรียนรู้ตั้งแต่พื้นฐานถึงเทคนิคขั้นสูงจากผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ Flower Bundt Cake โดย เชฟฟาง ศศิธร Pastry Chef Halloween Monster Cakes ฝึกฝีมือการตกแต่งเค้กสไตล์แฟนซี ต้อนรับเทศกาลฮาโลวีน เพิ่มไอเดียพร้อมตีตลาดคาเฟ่ด้วยเมนูสุดชิค Pumpkin Roll Cake เชฟนัท ณพชร จงจิรวิศาล เชฟผู้คร่ำหวอดในวงการขนมนานาชาติ สอนเมนูใหม่ต้อนรับเทศกาลฮาโลวีน พร้อมนำไปต่อยอดเสริมสีสันให้ตู้เค้กในร้านคาเฟ่ของคุณ ไอศกรีมขนมเปี๊ยะ นอกจากรสชาติขนมเปี๊ยะแน่นๆ แล้ว เชฟนิมณิชา กรรณเลขา ยังอัดแน่นจัดเต็มเทคนิคการทำไอศกรีมมาสาธิตให้ทุกคนได้เรียนรู้แบบไม่มีกั๊ก การันตีความครีเอท พร้อมสัมผัสรสชาติที่แปลกใหม่และอร่อยไม่เหมือนใครแน่นอน เวิร์กชอปวานิลลาเรียนรู้ตั้งแต่การปลูกจนถึงการใช้งานในเบเกอรี่ พร้อมเรียนรู้เทคนิคการเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมให้ขนมของคุณโดดเด่นและน่าจดจำยิ่งขึ้น เวิร์กช็อปช็อกโกแลต ตื่นตาตื่นใจกับเทรนด์ช็อกโกแลตใหม่ๆ ในรูปแบบแปลกตาและเรียนรู้เทคนิคเด็ดจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยกระดับขนมหวานของคุณ ทุกกิจกรรมเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟรี เพียงแค่ลงทะเบียนเข้าชมงาน สามารถดูรายละเอียดหัวข้อกิจกรรมทั้งหมดได้ที่หน้าเว็บไซต์ของงาน “กิจกรรมที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถเข้าร่วมชมและฟังฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ยกเว้นคอร์สสอนทำแก้วกาแฟเซรามิกส์“ นายกวินกล่าวและเสริมว่าที่นั่งมีจำนวนจำกัดขอแนะนำผู้ที่สนใจลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าและจองที่นี่งเพื่อจะได้ไม่พลาดโอกาสการเข้าร่วมงานที่จัดเพียงปีละครั้งเท่านั้น

นายกวิน กล่าวเสริมอีกว่า งาน ASEAN Café Show ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรองค์กร หน่วยงานสำคัญ ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(สสว.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สถาบันอาหาร สมาคมเบเกอรี่ประเทศไทย สมาคมบาริสต้าไทย สมาคมกาแฟและชาไทย สมาคมกาแฟไทย สมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย ฯลฯ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 20,000 คน จากกว่า 30 ประเทศเข้าชมตลอด 4 วันของการจัดงานและจะมีเงินสะพัดการซื้อขายกว่า 500 ล้านบาท ผู้เข้าชมงานที่ลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านทาง https://eventpassinsight.co/el/to/ACS2409 จะได้รับบัตรจอดรถฟรี 3 ชั่วโมง หมดเขต วันที่ 23 ตุลาคมนี้

“การจัดงานในปีนี้ได้รับความสนใจจากต่างประเทศเพราะมองเห็นศักยภาพของตลาดไทย ด้านธุรกิจคาเฟ่ รวมไปถึงผู้ประกอบการในประเทศเพื่อต้อนรับเทศกาลความสุขส่งท้ายปลายปี ไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวด้วย การจัดงานครั้งนี้เป็นเวทีสนับสนุนความยั่งยืน ในด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ สังคม มีสินค้าที่เป็นบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมอาชีพให้เรียนฟรี พร้อมแจกสูตรเด็ดเมนูกาแฟ ชา เครื่องดื่ม เบเกอรี่และไอศกรีม ให้กับผู้ที่สนใจนำไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพสร้างรายได้ให้ตัวเอง ครอบครัว ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนในสังคมและสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคงให้กับประเทศต่อไป” นายกวินกล่าว

 

สิงห์บุรี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ใส่สูท 7 วัน 7 สี "ขายกาแฟเทวดา" สร้างรายได้เสริม

สิงห์บุรี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ใส่สูทขายกาแฟ 7 วัน 7 สี ขายกาแฟเทวดาสร้างรายได้เสริม

นายรังสิมันไทย สืบจากกัน หรือ นายไก่ อายุ 54 ปี  ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3 ตำบลบางน้ำเชี่ยว อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี แต่งตัวใส่สูทผูกไท้ค์หล่อ ขายกาแฟรถเข็นชื่อ “กาแฟเทวดา” มานานกว่า 10 ปี เปิดขายตั้งแต่เวลา 6.00 -9.00 น. เป็นประจำที่ตลาดเช้าหลัง วัดกุฎีทอง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี โดยใช้รถซาเล้งมาดัดแปลงตกแต่งรถไม่เหมือนใครสะดุดตากับผู้พบเห็นด้วย ตะเกียง ตะข้อง กระป๋องนม แก้วกาแฟ และพระพุทธรูป สไตล์โบราณมีเมนูพิสดาร เช่น ชาดำดิ่ง โอวัลติลระเบิดเทิดเถิง กาแฟโมโห กาแฟสดนมสาว และกาแฟขย่มตอสมานฉันท์ จะขายให้ลูกค้าแถวตลาดวัดกุฎีทอง ส่งตามร้านแม่ค้าติดใจดื่มกันทุกวัน ที่ตั้งชื่อกาแฟเทวดา

นายไก่ เล่าว่า ฝันเห็น หลวงพ่อซวง เกจิอาจารย์ของ จ.สิงห์บุรี บอกว่ากาแฟเทวดา พอสะดุ้งตื่นขึ้นมา เลยมาทบทวนว่าตนเองเคยขายกาแฟกับเพื่อน จากนั้นจึงทำเป็นอาชีพเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน สร้างรายได้เลี้ยงดูตนเองได้ พ่อค้าเป็นคนอัธยาศัยดีมีแต่คนในตลาดรัก พบเห็นการแต่งตัวที่ไม่เหมือนใครต่างก็ยิ้มเพราะความแปลกตา ใส่สูทขายกาแฟ 7 วัน 7 สี
         

ใครอยากอุดหนุนมาได้ที่ตลาดเช้าหลังวัดกุฏีทอง และตลาดเย็นหน้าวัดกุฏีทอง ต.บางน้ำเชี่ยว  อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ชงแบบโบราณหาทานได้ยากแล้ว แวะมาถ่ายรูปเช็คอินพ่อค้าและรถพ่อค้ากันได้

ปลุกเมืองสตูลให้ตื่น พาณิชย์จังหวัดเอาใจคอกาแฟ รวมรวบคาเฟ่ชื่อดังมากกว่า 30 ร้าน ในงานสตูลคาเฟ่เฟสติวัล

ปลุกเมืองสตูลให้ตื่น พาณิชย์จังหวัดเอาใจคอกาแฟ รวมรวบคาเฟ่ชื่อดังมากกว่า 30 ร้าน ในงานสตูลคาเฟ่เฟสติวัล ครั้งที่ 1 วันที่ 8-10 ส.ค.นี้ห้ามพลาด คาดเม็ดเงินสะพัด 2 ล้านบาท 

ที่ลานวัฒนธรรมหน้าคฤหาสน์กูเด็น (พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ) ต.พิมาน อ.เมืองสตูล  สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสตูลรวบรวมร้านกาแฟชื่อดังทั่วทั้งจังหวัดสตูลที่มีมากกว่า 30 ร้านมารวมตัวกันภายในงาน สตูลคาเฟ่เฟสติวัล ครั้งที่ 1 ที่บรรดาคอกาแฟและสายคาเฟ่ห้ามพลาด 
  
โดยงานมีตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 15.30 นาทีจนถึง 2 ทุ่ม การจัดงานในครั้งนี้เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดและเครือข่ายให้ผู้ประกอบการจังหวัด ไปพร้อมกับการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ร้านค้าคาเฟ่จังหวัดสตูลให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวต่อผู้บริโภค อีกทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล

โดยภายในงานมีการจำหน่ายกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้า ที่ขึ้นชื่อของจังหวัดสตูลแล้วคอกาแฟไม่ควรพลาดสายพันธุ์อื่นที่มาบริการด้วย การจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาประหยัดที่ได้รับความสนใจจากประชาชน  เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน การแสดงดนตรีโฟล์คซอง การดริปกาแฟ และอีกมากมาย 

ซึ่งงานครั้งนี้ได้รับเกียรติจากนายศักระ  กปิลกาญจน์  ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูลและนายคณิต คงช่วย  รองผู้ว่าราชการจังหวัดและหัวหน้าส่วนร่วมงานอย่างคับคั่ง

นายสายช่อ อังศุพานิช สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสตูล  คาดการณ์ว่ามูลค่าการจำนหน่ายอาหารเครื่องดื่ม  ผลิตภัณฑ์ชุมชน ไม่ต่ำกว่า 2 ล้านบาท และประชาชนลดรายจ่ายจากการซื้อสินค้าราคาประหยัดในงานไม่น้อยกว่า 1 แสนบาท

กิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจในตัวเมืองสตูลให้คึกคัก  และกลับมามีสีสันที่เหล่าบรรดาคอกาแฟและสายคาเฟ่ไม่ควรพลาดและตามรอยร้านดังในจังหวัดสตูลกันนะคะ
 

เชียงราย เตรียมจัดใหญ่ เทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก “สวรรค์ของเมืองกาแฟ” 17-18 สิงหาคม นี้

วันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่ ห้องไลบรารี่ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย นางสาวการะเกด นันทศรีนนท์ ส่วนจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ผู้แทนศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center :AIC) จังหวัดเชียงราย  นายวัชรพันธ์ ปัญญาคำ 93degree Coffee อ.เชียงของ จ.เชียงราย ตัวแทนเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ  นายพงษ์ศิลา คำมาก กรรมการและประชาสัมพันธ์สมาคมกาแฟพิเศษไทย ร่วมกันแถลงความพร้อม ในการจัดเทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก “สวรรค์ของเมืองกาแฟ” กิจกรมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟและพัฒนาเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ โครงการเพิ่มขีดในการแข่งขันการเกษตรระดับภูมิภาค

โดยการจัดการจัดงาน เทศกาลกาแฟล้านนาตะวันออก Eastern Lanana Coffee Fest 2024 “สวรรค์ของเมืองกาแฟ” ในระหว่างวันที่ 17-18 สิงหาคม 2567 ณ ลานกิจกรรมชั้น G ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย ซึ่งจะมีการออกบูธประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟคุณภาพ การเจรจาธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการกาแฟ/เกษตรกรและนักธุรกิจที่สนใจ การจัดกิจกรรมนิทรรศการแสดงผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ได้รับการพัฒนา พร้อมทั้งกิจกรรม workshop สาธิตให้ความรู้เกี่ยวกับกาแฟ เช่น การตัดเมล็ดกาแฟตามมาตราฐานสมาคมกาแฟ การชิมกาแฟสำหรับคอกาแฟและนักท่องเที่ยว 

การทำสครับกาแฟ ชิมกาแฟจากแหล่งปลูกต่าง ๆ ของ 4 จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ฟรี ทุกวัน พร้อมกิจกรรมการแสดงบนเวที การร่วมสนุกเล่นกมส์ ลุ้นรับของรางวัล โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย 053-718970

นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย  กล่าวว่า   กาแฟนอกจากเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างมูลค่าให้กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (จังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดแพร่ และจังหวัดน่าน) ไม่ต่ำกว่า 721 ล้านบาทต่อปีแล้ว ยังมีส่วนช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระบบเกษตรแบบยั่งยืน ด้วยการปลูกร่วมกับพืชอื่นๆ ทั้งไม้ผลและป่าธรรมชาติ จึงเรียกได้ว่าเป็นกาแฟรักษาป่า นอกจากนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายลดการใช้สารเคมีทางการเกษตรและส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์มากขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาของภาคเหนือและกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ที่ว่า "ท่องเที่ยวบนพื้นฐานวัฒนธรรมร่วมสมัย ยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร สิ่งแวดล้อมยั่งยืนสู่เศรษฐกิจมั่นคง" ด้วยการขับเคลื่อนอย่างมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งการยกระดับสินค้าเกษตรปลอดภัยสู่เกษตรอินทรีย์ มีการพัฒนาตั้งแต่กระบวนการผลิตต้นน้ำด้วยการส่งเสริมเกษตรกรปลูกในระบบเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ กลางน้ำด้วยการแปรรูปให้เป็นสินค้าเกษตรมูลค่า สูงและพัฒนาเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการกาแฟคุณภาพใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และปลายน้ำ ด้วยการประชาสัมพันธ์และขยายช่องทางการตลาด

กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) มีการปลูกกาแฟที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม ในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ทั้งที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Organic Thailand /PGS และแบบวิถีพื้นบ้านที่ไม่ใช้สารเคมีแต่มีข้อจำกัดในการออกใบรับรองมาตรฐาน รวมทั้งแบบเกษตรปลอดภัย (GAP) ที่มีการใช้สารเคมีอย่างจำกัด ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งเสริมและพัฒนารวมทั้งตรวจ รับรองมาตรฐาน เกษตรกรส่วนใหญ่จำหน่ายในรูปแบบเชอรี่และสารกาแฟ (Green bean) ให้กับพ่อค้าคนกลางหรือโรงคั่ว เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการแข่งขันของภาคเกษตร เน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตในภาคเกษตรไปสู่สินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง โดยการใช้ประโยชน์จากอัตลักษณ์ในแต่ละ พื้นที่ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกระบวนการผลิต

นายอดิศร จันทรประภาเลิศ เกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย กล่าวว่า  สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย จึงได้รับอนุมัติจากกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ให้ดำเนินกิจกรรม ส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์กาแฟ และพัฒนาเชื่อมโยงตลาดเมล็ดก าแฟคุณภาพภายใต้กิจกรรมหลัก ส่งเสริมช่องทางการตลาดของสินค้าเกษตรอินทรีย์สู่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 โครงการเพิ่มขีดในการแข่งขันการเกษตรระดับภูมิภาค โดยดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพื่อ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมและสร้างตราสินค้ากาแฟของเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟคุณภาพ ประชาสัมพันธ์และนำเสนอกาแฟคุณภาพของเกษตรกรต่อผู้บริโภคและเชื่อมโยงตลาดเมล็ดกาแฟคุณภาพ

โดยมีเกษตรกรเป้าหมาย จำนวน 27 ราย จาก 4 จังหวัด (เชียงราย 17 ราย พะเยา 4 ราย แพร่ 4ราย น่าน 2 ราย) ซึ่งเกษตรกรทั้ง 27 ราย ได้ผ่านการอบรมการทดสอบรสชาติของกาแฟ หรือ Cupping ภายใต้กิจกรรม สนับสนุนการยกระดับผลผลิตกาแฟสู่มาตรฐานและการพัฒนาอัตลักษณ์เพื่อสร้างมูลค่าโดยส่งเสริมให้เกษตรกรแบ่งผลผลิตบางส่วน มาทำกาแฟคุณภาพหรือกาแฟพิเศษ (Special Coffee).